.
ผมไม่อยากเขียนบทความเรื่องเขาพระวิหารเลย เพราะเขียนมาหลายครั้งและเบื่อมากๆ แต่ผมก็ยังเห็นคนไทยจำนวนมากที่ไม่รู้ข้อมูลที่ถูกต้อง ไม่เคยศึกษาข้อมูลแล้วนำมาอ้างเพื่อทะเลาะกับคนไทยเอง แล้วปล่อยให้เขมรได้ใจ
ไทยเรายอมรับตามมติศาลโลกว่า ตัวปราสาทเขาพระวิหารเป็นของเขมร แต่!! พื้นที่นอกตัวปราสาท ตั้งแต่หัวบันไดนาคลงมาจนถึงหัวบันไดสิงห์ รวมถึงพื้นที่4.6ตร.กม. เป็นของไทยตามมติครม.2505 (ไม่มีใครเขาไปทวงตัวปราสาทหรอกครับ มีแต่เขาไปทวงพื้นที่4.6ตร.กม.ที่เป็นของเราคืนกลับมา ฉะนั้นอย่าหลงประเด็นนะครับ)
และเขมรก็ไม่เคยเรียกร้องดินแดน4.6ตร.กม.ตรงนั้นมาเกือบ40ปีหรืออ้างว่าพื้นที่นั้นป็นของเขมร ที่ผ่านมาเราก็มีทหารไทยคุมอยู่บนเชิงหัวบันไดพญานาคมาตลอด แต่เดี๋ยวนี้ทหารไทยถอยร่นไปไกลมาก ส่วนคนเขมรและทหารเขมรกลับเข้ามายึดพื้นที่ตั้งแต่บันไดนาคที่เคยมีทหารไทยเฝ้าอยู่ และยึดทั้งหมดลงมาจนถึงบริเวณโดยรอบเขาพระวิหารได้ แถมสร้างบ้านเรือนวัด ถนน ได้อย่างสบายๆ
ความโง่ของรัฐบาลไทยที่ผ่านมา
1. สมัยจอมพลสฤษดิ์ รัฐบาลไทยเราโง่ที่ไปขึ้นศาลโลกกับเขมร ที่ควรทำคือ ไทยเราต้องไม่สนคำฟ้องของเขมร เพราะไทยเรายึดตามสันปันน้ำ และตอนนั้นเขาพระวิหารเป็นของไทยอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องขึ้นศาลโลก
ปล่อยให้เขมรเรียกร้องไป ส่วนไทยก็ยืนยันตามหลักการสากลไปเลยว่า ไทยยึดตามแนวสันปันน้ำเท่านั้น และไม่ต้องไปขึ้นศาลให้เสียเวลา เพราะศาลโลกไม่มีสิทธิบังคับชาติใดให้ขึ้นศาลโลกได้
(เช่นสมัยเหมาเจ๋อตุง เหมาเจ๋อตุงฉีกสนธิสัญญาอัปยศที่จีนถูกบังคับจากต่างชาติให้ทำสัญญาทิ้งหมด โดยอ้างว่า นั่นเป็นสัญญาอัปยศที่จีนถูกบังคับ ไทยเราที่จริงก็ควรทำเช่นนั้นเหมือนกัน แต่เราไม่ทำ!! เลยเสียเปรียบเขมรเรื่องสนธิสัญญากับฝรั่งเศส)
2.สมัยรัฐบาลชวน ดันไปเปิดจุดผ่อนผันเมื่อปี41 ให้คนไทยและเขมรเข้าไปสร้างร้านค้าได้ เพื่อเป็นจุดท่องเที่ยวและเป็นตลาด แต่ต่อมานายชวนสั่งปิดจุดผ่อนผันแล้วให้ทั้งคนไทยและคนเขมรออกจากพื้นที่ทั้งหมด
แต่ปี43เขมรกลับเข้าไปสร้างบ้านเรือนอีก นายกฯชวนดันไปเซ็นข้อตกลงว่า จะไม่ให้ชาติใดเข้ามาปลูกสร้างสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อน ก่อนที่จะมีการเจรจาปักปันเขตแดนให้เสร็จสิ้น
นี่ก็เท่ากับว่า นายกฯชวนไปยอมรับให้เขมรเองว่า พื้นที่4.6ตร.กม.ตรงนั้นกลายเป็นพื้นที่ทับซ้อนไปซะแล้ว ทั้งๆที่ร่วมๆ40ปีที่ผ่านมา พื้นที่4.6ตร.กม.ตรงนั้นเป็นของไทยมาตลอด ไม่ใช่พื้นที่ทับซ้อน แต่อย่างใด
กลายเป็นว่า สมัยนายกฯชวนไปเรียกพื้นที่ทับซ้อน ก็เท่ากับว่า ไปยกพื้นที่ให้เขมรไปแล้วอย่างน้อยครึ่งนึง
ที่สำคัญ มีเพียงฝ่ายไทยเท่านั้นที่เรียกพื้นที่ทับซ้อน แต่เขมรเรียกพื้นที่ของเขมรอย่างเดียว
"
แต่นั่นเป็นแค่ข้อตกลง และเขมรก็ละเมิดข้อตกลงไปแล้วจึงถือว่า พื้นที่นั้นยังเป็นของไทย เพราะหากเขมรไม่ละเมิดข้อตกลง เราก็เสียเปรียบตรงที่ไปยอมให้กลายเป็นพื้นที่ทับซ้อน แต่เมื่อเขมรละเมิดข้อตกลงไปแล้ว จากพื้นที่ที่เกือบไปเป็นพื้นที่ทับซ้อนซะแล้ว ก็กลับมาเป็นพื้นที่ของไทยดังเดิม(งง!มะ)
3. สมัยทักษิณ ในปี2544 เขมรละเมิดข้อตกลงปี43กลับเข้ามาบุกรุกสร้างบ้านเรือนอีก กองกำลังสุรนารีต้องการผลักดัน แต่ทักษิณห้ามไว้เพื่อต้องการเปิดเป็นจุดค้าขายเพื่อการท่องเที่ยว อนุญาตให้คนไทยและคนเขมรเข้ามาสร้างร้านค้าได้ร่วมกัน
ต่อมาทหารไทยกลับถอยร่นออกไปไกลตามนโยบายการเปิดจุดการค้าของไทย แต่ทหารเขมรกลับเข้ามาย้ายเข้ามาแทนที่ แถมทหารไทยไม่คอยตรวจตราดูแลเพื่อปกป้องคนไทยในพื้นที่ แต่กลับปล่อยให้ทหารเขมรไล่คนไทยที่เคยค้าขายตรงนั้นออกมาจนหมด
แล้วเขมรก็สร้างบ้านเรือนมากขึ้นหลายร้อยหลังจนเป็นชุมชนขนาดใหญ่ สร้างวัด ตัดถนน โดยเฉพาะในช่วงปี44-47จะก่อสร้างมาก ซึ่งทักษิณไม่เคยสนใจ ละเลยอีก จนกลายเป็นปัญหามากขนาดนี้
4.รัฐบาลสมัคร ตรงนี้ผมขี้เกียจเขียนอีกครับ ไปอ่านในบทความเก่าๆของผมแล้วกัน (มีหลายบทหลายตอน)
ถ้าพื้นที่4.6ตร.กม.ตรงนั้นไทยเรายังถือว่าเป็นพื้นที่ของไทยแท้ๆ การที่มีกองกำลังต่างชาติบุกรุกเข้ามาในพื้นที่ไทย และให้ชาวบ้านต่างชาติเข้ามาสร้างถิ่นฐานได้ ก็เท่ากับว่า ทหารไทยละเว้นหน้าที่ในการปกป้องแผ่นดิน จนปล่อยให้เขมรเข้ามายึดครองพื้นที่มานานหลายปี
ทหารไทยที่ควรทำมานานแล้วคือ ต้องผลักดันในทันทีเมื่อมีกองกำลังต่างชาติบุกรุกเข้ามา ไม่ใช่รอเจรจาของรัฐบาลจนเลยเถิดลุกลาม แก้ยากจนถึงป่านนี้
จากที่ทหารไทยเคยมีกำลังเฝ้าอยู่บนบันได้หัวพญานาค แต่ตอนนี้ถอยร่นห่างจากที่เดิมไปหลายกิโลเมตรแล้ว ทหารไทยอายไหมครับ
หรือหากว่าไทยถือว่า พื้นที่ตรงนั้นเป็นพื้นที่ทับซ้อนไปแล้ว เมื่อเคยมีข้อตกลงว่าจะไม่ให้ทั้งสองชาติเข้าไปสร้างสื่งปลูกสร้างใดๆได้ แต่ตอนนี้เขมรเข้าไปสร้างได้ แต่คนไทยเข้าไปไม่ได้ อย่างนี้เรียกว่าเขมรทำถูกหรือไม่ และทำไมรัฐบาลไทยและทหารปล่อยปละละเลยไม่ดูแลใส่ใจ จนเขมรละเมิดทำตามข้อตกลงปี2543
*********************************
ในหลักการนานาชาติทั่วๆไป ทหารของทุกชาติมีหน้าที่ปกป้องแผ่นดิน หากมีกองกำลังต่างชาติรุกล้ำเข้ามา หรือมีชาวบ้านต่างชาติเข้ามา หน้าที่ของทหารคือผลักดันออกไปทันที และสหประชาชาติก็ไม่มีสิทธิตำหนิการปกป้องประเทศของชาติใดทั้งสิ้น เพราะปกป้องไม่ใช่รุกราน
ตอนนี้ผมยังนึกไม่ออกเลยว่า เคยมีกรณีแบบนี้ที่ไหนในโลกบ้าง ที่มีต่างชาติรุกรานเข้ามาตั้งกองกำลัง มาสร้างถิ่นฐานบ้านเรือนในชาติคนอื่น แล้วใช้การเจรจาแบบสันติวิธีได้สำเร็จ จนทำให้กองกำลังต่างชาติและชาวบ้านต่างชาติที่บุกรุกเข้ามาสร้างถิ่นฐานจะยอมย้ายออกไปโดยดี
นี่ไม่ต้องมองไปไหนไกล เช่น ชาวม้งลาว ที่เข้ามาอยู่ในไทย ไทยพยายามจะผลักดันออกไปแบบสันติดีๆ แต่ก็ล้มเหลว เพราะชาวม้งลาวยังไงๆก็ไม่ยอมออกไป
แล้วพื้นที่4.6ตร.กม.นั้น มีทั้งชาวเขมรนับพันๆ มีทั้งบ้านเรือน ถนน วัด และกองกำลังทหาร ผมไม่เชื่อว่าการเจรจาดีๆกับเขมรให้ย้ายออกไปดีๆจะได้ผล
ผมมั่นใจว่า ไม่มีทางที่เขมรจะย้ายออกไปโดยดี โดยไม่มีการใช้กำลังทหารผลักดัน เพราะเราเจรจากับเขมรดีๆมาตลอด เขมรไม่เคยปฏิบัติตามเลย เขมรยังคงยืนยันจะอยู่ในพื้นที่และไม่ยอมย้ายออกไปไหน แถมเขมรยังเร่งก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างเพิ่มขึ้นตลอด หากเขมรมีเจตนาอยากเจรจาโดยดีกับไทย ก็ควรหยุดการก่อสร้างทั้งหลายทันที แต่เขมรไม่ทำเลย
**************************
สมัยเกาะฟอร์คแลนด์ อาเจนตินาเข้าไปยึดครองดินแดนปกครองนอกอาณาเขตของอังกฤษ อังกฤษอยู่ไกลเกาะฟอร์คแลนด์มาก แต่อังกฤษก็ไม่ยอมให้อาเจนตินาหยาม อังกฤษยกพลไปบุกเอาเกาพฟอร์คแลนด์คืนมา
อเมริกากลัวเรื่องการก่อการร้ายในปรเทศตัวเอง เลยกล่าวหาอิรักว่ามีอาวุธเคมีและอาวุธชีวภาพ แล้วก็ใช้กำลังบุกอิรัก จนทหารอเมริกันตายไปมากเท่าไร่ สุดท้ายบุชก็มายอมรับผิดว่าการข่าวผิดพลาด
.
หรือจะเป็นอเมริกาบุกยึดอัฟกานิสถาน ก็เพื่อปกป้องการก่อการร้ายในประเทศของตัวเอง อเมริกาไม่รอให้เกิดเหตุอีก แต่ไปบุกด้วยกำลังที่แหล่งกบดานของผู้ก่อการร้ายเลย หากอเมริกามัวรอเจรจาสันติภาพ อเมริกาจะโดนก่อการร้ายไม่สิ้นสุด อเมริกาเลยใช้วิธีโจมตีทำลายและเพื่อขู่ผู้ก่อการร้ายไปในตัว
รัสเซียบุกยึดดินแดนคืนจากจอร์เจียทันที ทั้งที่จอร์เจียมาบุกยุดเพียงวันเดียว ทำให้มีคนตายมากมาย แต่รัสเซียเขาก็บอกว่าเขาทำถูกต้องในการนำดินแดนกลับคืนมา
นี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็กน้อยที่ชาติอื่นๆเขาทำกัน เขาก็ใช้กำลังปกป้องประเทศตัวเองทั้งนั้น อเมริกาไปบุกรุกชาติอื่นด้วยซ้ำ ไทยเราแค่ปกป้อง ไม่ได้รุกรานใครสักหน่อย จึงไม่ผิดแต่อย่างใด
นานาประเทศในโลกหากมีกองกำลังต่างชาติบุกเข้ามา ที่ไหนๆในโลกเขาต้องผลักดันก่อน การเจรจาเอาไว้ทีหลังทั้งนั้น ทั้งอเมริกา อังกฤษ รัสเซีย ก็ไม่รอเจรจาเนิ่นนานแบบไทย ไทยเราเคยเจรจากับเขมรสำเร็จหรือไม่?
หากการเจรจาในโลกกรณีมีกองกำลังต่างชาติเข้ามาพร้อมอาวุธ แถมยังนำประชาชนเข้ามาตั้งถิ่นฐานถาวรด้วย ผมไม่เคยเห็นมีการเจรจาที่ใดในโลกจะทำสำเร็จ เห็นมีแต่ต้องใช้กำลังผลักดันทั้งสิ้น การเจรจาเป็นเพียงทฤษฎีที่ไม่ค่อยเกิดผลได้จริง ยังไงๆก็ต้องมีการใช้กำลังก่อนทั้งนั้น
ไทยเราไม่ได้ไปบุกรกุเขมร แต่เขมรบุกรุกไทยมาหลายปี แม้ไทยเราต้องการเจรจาอย่างสันติ ซึ่งผมเชื่อว่าเขมรจะไม่มีทางยอมย้ายออกไปแน่นอน ถึงมีการเจรจาจริง เขมรก็จะเตะถ่วงไม่ยอมออกจากพื้นที่โดยสันติแน่นอน
แถมที่ผ่านมา เขมรพยายามยั่งยุ และใส่ร้ายไทยเราเสมอ ฮุนเซ็นก็หยามทหารไทยว่าไร้น้ำยา ฮุนเซ็นประกาศพร้อมรบ เจตนาเขมรเขาไม่ต้องการออกจากพื้นที่ดีๆแน่ๆ
ผมไม่อยากให้เกิดสงคราม แต่เขมรยังไงก็ไม่ออกไปโดยดีแน่ ลองดูกันไปครับ ว่าจริงหรือไม่!!
หากกรณีแบบนี้เกิดกับลาว เวียตนาม พม่า มาเลเซีย ผมเชื่อว่า ประเทศที่ว่านี้ไม่มีชาติไหนเขาปล่อยให้ต่างชาติรุกรานเข้ามาในประเทศตนเอง จนตั้งกองกำลังทหารและถิ่นฐานบ้านเรือนได้แบบไทย
พื้นที่เชิงเขาพระวิหารคนไทยเคยเข้าไปอยู่และสร้างบ้านเรือนได้ แต่ตอนนี้คนไทยเข้าไปไม่ได้ แต่คนเขมรอยู่ได้ อย่างนี้ไม่เรียกว่าเสียอธิปไตยบนดินแดนไทยให้เขมรไปแล้ว จะเรียกว่าอะไรล่ะครับ
แผนที่ที่เขมรใช้อ้างคือแผนที่ที่ฝรั่งเศสทำไว้ ซึ่งหากเราแพ้เรื่องพื้นที่4.6ตร.กม.นี้แก่เขมร เขมรก็จะใช้แผนที่เดียวกันนั้น ลากยาวอ้างพื้นที่ตามแนวแผนที่ฉบับนั้นต่อไปอีก และไทยก็จะไม่ได้เสียแค่4.6ตร.กม.อย่างที่คนไทยหลายคนคิดเท่านั้น
แต่ไทยเราอาจจะเสียพื้นที่เพิ่มอีกในหลายๆจังหวัดเพราะแผนที่ฝรั่งเศสฉบับนั้น อีกทั้งเขมรก็สามารถอ้างแผนที่ฝรั่งเศสฉบับเดียวกันนี้ลากลงไปในทะเลได้อีก ซึ่งตอนนี้มีหลายชาติเริ่มเข้ามาเจรจาสำรวจพื้นที่แหล่งทรัพยากรพลังงานในทะเลแล้ว ทั้งๆที่ไทยก็อ้างสิทธิในพื้นที่ดังกล่าวเช่นกัน แต่ต่างชาติไม่สนใจมาเจรจากับเรา เพราะตอนนี้ในทางปฏิบัติไทยเสียเปรียบเขมรไปแล้วในกรณีพื้นที่4.6ตร.กม.
ถ้าไทยเราแพ้เขมรเรื่อง4.6ตร.กม.เพราะแผนที่ฝรั่งเศสที่เขมรอ้างอีก เราก็จะเสียเปรียบแบบเดียวกันในเรื่องสิทธิครอบครองทางทะเลเช่นกันครับ
.
(เพิ่มเติม ชาวเขมรที่อยู่ในชุมชนเชิงเขาพระวิหาร ไม่ใช่เขมรดั้งเดิมในพื้นที่ แต่เป็นเขมรที่มาจากถิ่นอื่น ส่วนมากเป็นครอบครัวทหารเขมรที่ประจำการอยู่ที่นั่น ชาวเขมรพวกนี้ไม่รู้จักคนไทยในพื้นที่ ไม่ใช่ญาติคนไทยเชื่อสายเขมรในพื้นที่ คนเขมรในชุมชนพวกนี้รัฐบาลเขมรนำมาเพื่อเป็นกำแพงประชาชน!! หรือโล่ห์มนุษย์นั่นเอง)
.
********************
แนะนำบทความดีๆ
.
ผมได้อ่านบทความจากโอเคเนชั่นอยู่บทความนึงของคุณปรัตยา ซึ่งได้อธิบายเรื่องเขาพระวิหารเกี่ยวกับผลประโยชน์จากเขาพระวิหารที่ไปถึงทรัพยากรทางทะเล อีกทั้งยังอธิบายเกมการเมืองและที่มาที่ไปของนักการเมืองเขมรได้อย่างเข้าใจและฮาๆ เข้าใจง่าย
.
อีกทั้งบทความยังพูดถึงว่า เขมรไม่กล้ารบกับไทยจริงหรอก สาเหตุเพราะอะไรเขมรถึงกล้ากร่าง แล้วไทยควรทำอย่างไร
.
คุณปรัตยาเขียนได้น่าอ่าน อธิบายเข้าใจง่าย จนอยากให้คุณผู้อ่านได้ไปอ่านกันครับ
คลิกอ่านที่นี่
.
อนุสัญญาออตตาวาที่ว่าด้วยการห้ามใช้ทุ่นระเบิดทำร้ายมนุษย์อีก
ตอบลบแต่เขมรก็ยังมีการฝังกับระเบิดใหม่ๆเรื่อยๆ เขมรมันละเมิดสัญญานานาชาติที่ห้ามทุกชาติใช้กับระเบิดอีก
ทหารไทยเคยลาดตระเวนแล้วเหยียบกับระเบิดในบริเวญที่ทหารไทยเคยสำรวจกู้ไปหมดแล้ว แสดงว่าเขมรมันชั่วไม่เคยนึกถึงหลักมนุษยธรรมใดๆเลย
แล้วเรายังจะให้เกียรติเขมรอยู่ได้ เศร้าจริงๆกับประเทศไทย
http://akelovekae.blogspot.com/2008/10/2_16.html
ข่าวล่าสุด 28ก.ย.52 ฮุนเซ็นประกาศกร้าวว่าจะยิงไทยทันทีหากบุกรุกพื้นที่4.6ตร.กม.
ตอบลบและฮุนเซ็นก็ประกาศด้วยว่า จะไม่เจรจากับอภิสิทธิ์ในเรื่องพื้นที่4.6ตร.กม.แน่นอน และยังบอกอีกว่า เขมรมีสิทธิโดยชอบธรรมที่จะยิงผู้บุกรุกพื้นที่เขมร(ไม่ใช่พื้นที่ทับซ้อน)
---------
เห็นมั้ยครับว่า ฮุนเซ็นยืนยันว่าพื้นที่4.6 เป็นดินแดนเขมรเท่านั้น แต่ขณะที่รัฐบาลไทยและคนไทยเลวๆบางคน กลับพยายามพูดอยู่ได้ว่าเป็นพื้นที่ทับซ้อน
เขมรมันบุกมา เราเกรงใจ เรากลัวเสียหน้าเรื่องใช้กำลัง ปล่อยเขมรบุกรุกมาปักหลักเย้ยหยันได้หลายปี
สุดท้ายมันก็กล้าประกาศว่าเป็นดินแดนเขมรแล้ว ก็เพราะคนไทยกันเองขัดกันเอง แตกแยกกันเอง ไม่มีจิตวิญญาณร่วมกันในการปกป้องแผ่นดืนเสียแต่แรก
ใครรักแผ่นดินก็ถูกต่อว่า ว่าคลั่งชาติ นี่แหล่ะครับ คือความคิดที่จะทำให้ไทยเราต้องพ่ายแพ้แก่ข้าศึกศัตรู เพราะคนไทยกันเองยังไม่รักกัน โทษกันเอง เพราะกลัวแค่จะเกิดสงคราม กลัวลำบาก กลัวขาดรายได้
ก็เพราะคนไทยบางคนคิดว่า ใครจะเอาดินแดนไปก็ช่างมัน ขอข้าไม่เดือดร้อนก็พอ
เกิดจังหวัดใดก็ไทยทั้งนั้น คนไทยทุกคนมีหน้าที่ต้องปกป้องแผ่นดิน อย่ามามัวอ้างว่า คนที่อื่นไม่ต้องมายุ่ง เพราะคนที่อื่นไม่ได้เดือดร้อนเพราะสงคราม
หากอ้างแบบนี้ก็เศร้าที่มีคนไทยคิดแบบนี้ เป็นความคิดที่เกี่ยงกันโดยแท้
ถ้าคนไทยไม่ปกป้องจังหวัดที่ตนเองเกิด จนคนจากจังหวัดอื่นเขาทนไม่ได้ต้องเข้ามาบอกมาเตือน แต่ผู้หวังดีต่อชาติกลับกลายเป็นผู้ร้ายในสายตาของคนที่อยู่ตรงนั้น
น่าเศร้าจริงๆ
ผมขอฟันธงว่า เราจะไม่มีทางได้พื้นที่ของเราคืนแน่ๆ จากการเจรจาดีๆกับเขมร ไม่เชื่อก็คอยดูไป!!
ฝ่ายไทยไม่เคยยอมรับแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ตลอดระยะเวลา 38 ปี!
ตอบลบแต่ 10 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลและรัฐสภากลับมายอมรับแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลายครั้ง
2543 สมัยรัฐบาลนายชวน 2 มีการลงนาม MOU 2543 ระหว่างไทย-กัมพูชายอมรับแผนที่ 1 ต่อ 200,000 โดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา ซึ่งอาจขัดต่อรัฐธรรมนูญปี 2540 มาตรา 224
2544 รัฐบาลทักษิณ 1 ไปลงนามแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชา กรณีการพัฒนาเศรษฐกิจพื้นที่ทางทะเล พร้อมแนบแผนที่ทับซ้อนทางทะเล โดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา (ซึ่งอาจขัดต่อรัฐธรรมนูญปี 2540 มาตรา 224) พร้อมๆกับการแปรรูป ปตท.หลังจากนั้น 2 เดือนครึ่ง
2546 รัฐบาลทักษิณ 1 ลงนามใน TOR 2546 ระหว่างไทย-กัมพูชา ชัดเจนว่าให้จัดทำการสำรวจและปักปันเขตแดนตามแผนที่ 1 ต่อ 200,000 โดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา ซึ่งก็อาจขัดต่อรัฐธรรมนูญปี 2540 มาตรา 224 อีกเช่นกัน
2551 รัฐบาลสมัคร ต้องการเอาใจฮุนเซนให้ชนะเลือกตั้งที่กัมพูชา ให้นายนพดล ปัทมะ ลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ยกปราสาทพระวิหารและพื้นที่โดยรอบให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนมรดกโลกแต่เพียงฝ่ายเดียว พร้อมแนบท้ายแผนที่ของฝ่ายกัมพูชา โดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา อันเป็นการขัดต่อบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 190
2551 รัฐบาลนายสมชาย สมาชิกรัฐสภา ซึ่งรวมถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะได้ผ่านความเห็นชอบกรอบการเจรจาระหว่างไทย-กัมพูชา และเห็นชอบตามบัญชีเอกสาร TOR 2546 และ MOU 2543 อันเป็นการยอมรับ แผนที่ 1 ต่อ 200,000 ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาครั้งแรก
2552 รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เตรียมร่างข้อตกลงชั่วคราวให้ผ่านที่ประชุมรัฐสภาซึ่งระบุการยืนยันอีกครั้งถึงสิทธิและพันธะตาม MOU 2543 และ TOR 2546 ซึ่งหมายถึงให้ยืนยันแผนที่ 1 ต่อ 200,000 อีกครั้งหนึ่งด้วย พร้อมเดินหน้าในการให้ทหารทั้งสองฝ่ายออกจากพื้นที่โดยยังคงให้ชนชาวกัมพูชายึดครองที่ดินต่อไปในระหว่างการเจรจา