วันพุธที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2554

จำไว้นะ หน้าที่ต้องมาก่อนสิทธิ เสมอ!!






(บทความนี้ ขอแนะนำให้พ่อแม่ทุกคนจำไว้เพื่อสอนลูกหลานนะครับ)

มเขียนเสมอในบทความหลายบทความของผมว่า คนไทยชอบเรียกร้องแต่สิทธิ แต่คนไทยกลับละเลยการทำหน้าที่พลเมืองที่ดี

เพราะถ้าคุณยังไม่ทำหน้าที่ในฐานะประชาชนที่ดีของประเทศ คุณก็ไม่มีความชอบธรรมที่จะเรียกร้องสิทธิ!!


หน้าที่ หมายถึง สิ่งที่บังคับให้มนุษย์ในสังคมต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ทางสังคมหรือกฎหมาย บัญญัติไว้ จะไม่ปฏิบัติตามไม่ได้ ส่วนสิทธิและเสรีภาพเป็นสิ่งที่มนุษย์มีอยู่แต่จะใช้หรือไม่ก็ได้

แปลความง่ายๆว่า หน้าที่คือสิ่งทุกคนต้องทำ แต่สิทธิและเสรีภาพจะใช้หรือไม่ใช้ก็ได้


ทีนี้จงดูและจำไว้ ว่าหน้าที่ของประชาชนที่ดี คืออะไรบ้าง

หน้าที่ของประชาชนชาวไทยตามรัฐธรรมนูญ

1. บุคคลมีหน้าที่รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

2. บุคคลมีหน้าที่ปฏิบัติตามกฎหมาย

3. บุคคลมีหน้าที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง บุคคลซึ่งไม่ไปเลือกตั้ง โดยไม่แจ้งเหตุผลอันสมควร ย่อมเสียสิทธิตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ การเลือกตั้งเป็นเรื่องเดียวที่หน้าที่และสิทธิต้องอยู่ควบคู่กัน

4. บุคคลมีหน้าที่ป้องกันประเทศ รับราชการทหาร

5. บุคคลมีหน้าที่เสียภาษีให้รัฐ!!

6. บุคคลมีหน้าที่ช่วยเหลือราชการ รับการศึกษาอบรม ปกป้องและสืบสานวัฒนธรรมของชาติ ภูมิปัญญาท้องถิ่น รวมถึงการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

7. บุคคลผู้เป็นข้าราชการ พนักงาน หรือลูกจ้างหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ ราชการส่วนท้องถิ่น มีหน้าที่ดำเนินการให้เป็นไปตามกฏหมายเพื่อรักษาประโยชน์ส่วนรวมอำนวยความ สะดวกและให้บริการแก่ประชาชน

ส่วนรายละเอียดเรื่องสิทธิ หน้าที่ และเสรีภาพของคนไทย ไปอ่านได้ที่ 
http://www.trueplookpanya.com/true/knowledge_detail.php?mul_content_id=2147

------------------------

ขอยกตัวอย่าง เสรีภาพในการแสดงออกของคนไทย ในข้อ3

3. เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นผ่านการพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณาและการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น จะจำกัดแก่บุคคลชาวไทยมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายเฉพาะเพื่อความมั่นคงของรัฐ เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน

ส่วนรายละเอียดเรื่องสิทธิ หน้าที่ และเสรีภาพของคนไทย ไปอ่านได้ที่ 
http://www.trueplookpanya.com/true/knowledge_detail.php?mul_content_id=2147

---------------------

ฉะนั้นหน้าที่ของประชาชนที่สำคัญที่สุด อันดับแรกก็คือ


คนไทยต้องปกป้องสถาบันหลักของชาติ!!

(มาตรา112 มีไว้ปกป้องสถาบันกษัตริย์ ใครคิดล้มล้าง มันไม่ใช่พลเมืองที่ดี ถ้าไม่เข้าใจ แนะนำอ่าน มาตรา112 ที่รัก!!)

หน้าที่ลำดับต่อมาก็คือ ต้องปฏิบัติตามกฎหมายบ้านเมือง  

เคยมีคนถามผมว่า เอาจากไหนมาอ้างว่า หน้าที่ต้องมาก่อนสิทธิ?

ผมจึงตอบไปว่า กฎหมายกำหนดให้คุณมีหน้าที่ต้องไปทำบัตรประชาชนตอนอายุ 15 ปี 

แต่ถ้าคุณไม่ทำบัตรประชาชน คุณไม่มีบัตรประชาชน คุณก็ย่อมขาดสิทธิขั้นพื้นฐานต่าง ๆ ในฐานะการเป็นคนไทย ถูกต้องไหม ?

ถ้าไม่มีบัตรประชาชน ไม่เคยทำบัตรประชาชนตามหน้าที่ของพลเมือง คุณจะมีสิทธิเลือกตั้งตอนอายุ 18 ปีมั้ย?

ถ้าคุณไม่ทำหน้าที่ประชาชนที่ดี ด้วยการไม่เคารพรักษากฏหมาย คุณละเมิดกฎหมาย จนคุณต้องติดคุก คุณก็ขาดสิทธิและเสรีภาพจริงไหม?


ฉะนั้น จงจำไว้นะครับ

หน้าที่ ต้องมาก่อน สิทธิ เสมอ

เพราะ หน้าที่ ก่อกำเนิดระเบียบวินัยของคนในชาติ

หากประเทศชาติมีพลเมืองที่ดีมีระเบียบวินัย ชาติย่อมเจริญ

ส่วนสิทธิเสรีภาพใด ๆ หากขัดต่อการทำหน้าที่พลเมืองไทยที่ดี

สิทธินั้น เป็นสิทธิที่เกินขอบเขต และไม่เป็นประชาธิปไตยแห่งผู้เจริญ

แต่เป็นประชาธิปไตยของผู้เสื่อม ที่เรียกง่าย ๆ ว่า กฏหมู่อยู่เหนือกฏหมาย ครับ

การที่ประชาธิปไตยไทยล้มเหลว เพราะคนไทยส่วนใหญ่ไม่รู้จักหน้าที่!!

ฉะนั้นกระทรวงศึกษาควรทบทวนการสอน คือต้องสอนให้นักเรียนรู้จักและเข้าใจในหน้าที่พลเมืองเสียก่อน แล้วค่อยสอนเรื่องสิทธิในระบอบประชาธิปไตย


-----------------

หัวใจของความเจริญของญี่ปุ่น

อย่างเช่น การที่ประเทศญี่ปุ่นเจริญและบ้านเมืองเป็นระเบียบเรียบร้อยนั้น เพราะวัฒนธรรมของคนญี่ปุ่นเขาจะสอนให้คนรู้จักการทำหน้าที่เป็นเรื่องสำคัญที่สุด




"สวรรค์จึงบัญชาให้ทุกคนเกิดมาพร้อมกับหน้าที่ ที่ต้องทำให้สำเร็จเพื่อให้โลกดีขึ้น" ท่านเท็นโชอิน ภริยาท่านโชกุนคนที่ 13 แห่งตระกูลโทกุกาวะ เคยกล่าวไว้


ที่ประเทศไทยไม่เจริญเพราะคนไทยสนใจแต่สิทธิของตัวเอง โดยไม่สนใจทำหน้าที่ให้ดีพอ

ส่วนประเทศญี่ปุ่นเจริญเพราะคนญี่ปุ่นสนใจทำหน้าที่มากกว่าสนใจเรื่องสิทธิ

---------------------

ส่วน พวกคิดล้มเจ้า คือพวกที่ไม่ทำหน้าที่พลเมืองที่ดีตามข้อ 1

เมื่อพวกคุณไม่ทำหน้าที่พลเมืองที่ดี พวกคุณก็ไม่มีสิทธิอันชอบธรรมที่จะมาอ้างคำว่า ประชาธิปไตยและสิทธิเสรีภาพบนแผ่นดินผืนนี้ที่บรรพบุรุษผู้จงรักภักดีสร้างไว้!!

คลิกอ่าน ประธานาธบดีสหรัฐฯ ฐานันดรเท่านายกฯ


วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ประธานาธิบดีสหรัฐฐานันดรเท่านายกฯ





คือถ้าเราไปถามคนอเมริกัน คนอเมริกันก็ย่อมเชื่อว่า ประธานาธิบดีของคนอเมริกัน ย่อมสูงสุดเทียบเท่าผู้นำประเทศและประมุขทั่วโลก แต่นั่นคือความคิดของคนอเมริกัน

แต่ถ้าไปถามคนอังกฤษ ถ้าตอบแบบไม่เกรงใจใคร คนอังกฤษส่วนใหญ่ให้เกียรติและศักดิศรีของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเทียบเท่าแค่ผู้นำฝ่ายบริหารของอังกฤษเท่านั้น นั่นคือ นายกรัฐมนตรี

ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?

ก็เพราะสหรัฐอเมริกา เคยเป็นอาณานิคมของอังกฤษ ยังใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักอย่างเป็นทางการ

ฉะนั้น ชาติที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการ เป็นภาษาหลักของชาติ นั่นแปลว่า ชาตินั้นเคยเป็นเมืองขึ้นของสหราชอาณาจักรมาก่อน

4 กรกฎาคม ค.ศ.1776 คึอวันชาติสหรัฐ เป็นวันที่สหรัฐอเมริกาประกาศเอกราช เป็นอิสรภาพจากอังกฤษได้

ฉะนั้น ประมุขของชาติอดีตอาณานิคมอังกฤษ จะมาเทียบเท่ากษัตริย์อังกฤษได้ไง?

ประเทศอย่างออสเตรเลีย แคนาดา นิวซีแลนด์ มีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้บริหารประเทศ ก็ยังต้องก้มหัวให้ควีนอังกฤษ เพราะเป็นประเทศในเครือจักรภพ

ซึ่งแต่ละประเทศในเครือจักรภพมีราชินีองค์เดียวกัน แต่เรียกต่างกัน ตามประเทศนั้นเช่น ควีนอลิซาเบธที่2 ที่ออสเตรเลียก็จะเรียกว่า ควีนแห่งออสเตรเลีย เป็นต้น

ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาจึงมีฐานันดรเท่าระดับนายกรัฐมนตรีในเครือจักรภพอังกฤษเท่านั้น

แม้แต่สมเด็จพระรามาธิบดีแห่งมาเลเซีย ถึงมาเลเซียจะเคยเป็นอาณานิคมอังกฤษก็ตาม แต่พระรามาธิบดีแห่งมาเลเซียก็ยังมีฐานันดรศักดิ์สูงกว่าประธานาธิบดีสหรัฐด้วยซ้ำ เพราะราชวงศ์อังกฤษให้เกียรติพระรามาธิบดีแห่งมาเลเซียเทียบเท่าเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงสุดของอังกฤษ


ตัวอย่างเช่น ถ้าเจ้าหญิงแห่งเวลล์หรือเจ้าหญิงไดอาน่าเข้าเฝ้ากษัตริย์และราชินีของชาติใดๆ ก็จะต้องทรงถอนสายบัวให้กษัตริย์และราชินี อย่างเช่นรูปนี้

เจ้าหญิงไดอาน่าถอนสายบัวให้พระจักรพรรดิ์และพระจักรพรรดินีแห่งญี่ปุ่น



แต่ถ้าเจ้าหญิงไดอาน่าพบกับประธานาธิบดีสหรัฐ เจ้าหญิงไดอาน่าจะไม่ทรงถอนสายบัวให้ประธานาธิบดีสหรัฐอย่างแน่นอน


------------------------

ตัวอย่างที่คนอังกฤษไม่ค่อยพอใจนางมิเชลโอบามา

นั่นคือ ในการประชุทG20 ปธน.โอบามาและนางมิเชลภรรยา ได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระราชินีอลิซาเบธที่ 2 ซึ่งในขณะทักทายกัน นางมิเชลได้เอามือโอบไปที่พระวรกายของควีน

Whatever you do, don't touch the Queen.


ผู้คนในสถานที่นั้นต่างตกตะลึง เพราะค่อนข้างผิดมารยาทที่ใคร(สามัญชน) จะมาแตะพระวรกายของสมเด็จพระราชินี โดยเฉพาะในสายตาของคนอังกฤษที่ยังเทิดทูนราชวงศ์ เห็นว่าไม่สมควรอย่างยิ่ง โดยเฉพาะโอบพระราชินีสูงเกือบถึงไหล่

ส่วนคนที่แอนตี้ราชวงศ์อังกฤษและคนอเมริกัน ก็ย่อมเห็นว่า นางมิเชลก็สามารถโอบพระราชินีได้ ไม่เห็นแปลก


------------------------

ทีนี้มาดูคนอเมริกันไม่พอใจโอบามา บ้าง

อเมริกัน เขาแซวว่า โอบามาไม่ได้ก้มหัวสักหน่อย แค่มีเหรียญเพนนีตกที่พื้น ซึ่งมุขนี้ของฝรั่งเขาลึกครับ อาจแปลได้2ทางคือ โอบามากระจอกขนาดเห็นเหรียญเล็กๆบนพื้นต่อหน้า ก็รีบก้มเก็บทันที หรืออาจแปลว่า โอบามาให้ความสำคัญกับเหรียญที่ตกก่อนจะไปจับพระหัตถ์กษัตริย์(เหรียญสำคัญกว่าk.ซาอุ) ประมาณว่ากระทบคนทั้งคู่ ใครเข้าใจสำนวน there is penny on the floor ช่วยชี้แนะด้วย

เมื่อโอบามา ก้มหัวขณะสัมผัสพระหัตถ์กษัตริย์ซาอุ

คนอเมริกันไม่ค่อยพอใจท่าทีของปธน.โอบามา ที่ก้มหัวให้กษัตริย์ซาอุฯ เพราะคนอเมริกันเห็นว่า ปธน.สหรัฐมีศักดิ์ศรีสูงเท่ากับกษัตริย์ซาอุ การที่โอบามาก้มหัวขนาดนั้น จึงเหมือนเป็นการลดเกียรติและศักดิ์ศรีของปธน.สหรัฐที่ยิ่งใหญ่ลงไป เพราะธรรมเนียมปฏิบัติของประธานาธิบดีสหรัฐ จะต้องไม่ยอมก้มหัวให้ใครครับ



เมื่อโอบามาไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระจักรพรรดิญี่ปุ่น โอบามาก็ยังแสดงความเคารพด้วยการก้มหัวอย่างนอบน้อมให้สมเด็จพระจักรพรรดิอีก



ทำให้ชาวอเมริกันจำนวนมากไม่ค่อยพอใจท่าทีการแสดงออกด้วยการก้มหัวของประธานาธิบดีสหรัฐต่อประมุขของชาติอื่นๆ

แต่ถ้าเรามองด้วยสายตาของคนเอเซีย เราจะมองว่าโอบามามีมารยาทที่ดี ให้เกียรติแก่ผู้หลักผู้ใหญ่ อาจเพราะโอบามาเคยใช้ชีวิตอยู่ในอินโดนีเซียหลายปีในสมัยเด็ก จึงได้รับการอบรมวัฒนธรรมเคารพผู้ใหญ่มาอย่างดี

แต่คนอเมริกันเขาไม่เข้าใจวัฒนธรรมเอเซียครับ ได้มีการถกเถียงกันระหว่างคนอเมริกันกับคนญี่ปุ่นในเรื่องนี้ในหลายเว็บ เช่นคนญี่ปุ่นเขาก็ยกย่องสถาบันกษัตริย์ของเขาว่า มีมาไม่ต่ำกว่า600ปีก่อนคริสตกาล เป็นสถาบันที่ยิ่งใหญ่มีประวัติศาสตร์ กว่าสถาบันประธานาธิบดีของคนอเมริกัน

ส่วนคนอเมริกัน ก็มองว่า ปธน.สหรัฐคือชาติที่ยิ่งใหญ่ ชนะสงครามโลก เหนือญี่ปุ่น อะไรไปนั่น

------------------------------

สรุปว่า เพราะอเมริกันชนรับไม่ค่อยได้ ที่เห็นปธน.สหรัฐของพวกเขา ไปก้มหัวเคารพใคร ทั้งๆที่เป็นการก้มหัวในเชิงวัฒนธรรมการเคารพนบนอบต่อผู้อาวุโสกว่า  ไม่ใช่ก้มหัวสิโรราบแบบนั้นสักหน่อย

หรือในทัศนะของชาติที่ยังมี king ก็จะมองว่าตำแหน่งประธานาธิบดีอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าตำแหน่งking การแสดงความเคารพต่อkingเช่นนี้คือสิ่งที่ถูกต้อง

โดยเฉพาะชาวเอเซีย จะยิ่งมองว่า โอบามานอบน้อม และน่ายกย่องด้วยซ้ำ เปรียบประดุจเล่าปี่ ผู้ยอมก้มหัวให้คนได้ทั้งโลกเลย

ซึ่งเท่าที่ผมเช็คกระแสความเห็น คนที่ไม่ใช่อเมริกาก็จะโจมตีคนอเมริกันว่า หลงตัวเอง และนึกว่าตัวเองดีเลิศกว่าคนอื่น การก้มหัวเป็นวัฒนธรรมที่ดีของคนเอเซียมีต่อผู้อาวุโสกว่า

เพียงแต่คนอเมริกันดิบๆแท้ๆ จำนวนมากที่ไม่เคยเรียนรู้วัฒนธรรมชาติอื่น ก็ย่อมไม่เข้าใจ

ส่วนชาติที่มีวัฒนธรรมเก่าแก่ทั้งในเอเซียและยุโรป ที่มีธรรมเนียมการเคารพผู้อาวุโสกว่าหรือสูงศักดิ์กว่า จะเข้าใจวัฒนธรรมที่โอบามาแสดงออก แต่ชนชาติอเมริกันเขาไม่เคยมีวัฒนธรรมแบบนี้

ตัวอย่างชาติหนึ่งที่ในเอเซียที่รับวัฒนธรรมของอเมริกันมามาก ก็คือฟิลิปปินส์

อย่างช่วงภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นในชนบทของฟิลิปปินส์ จากข่าว เมื่อมีคนนำถุงยังชีพไปแจก ชาวฟิลิปปินส์ก็เดินเข้ามารับของไปดื้อๆ ไม่เห็นมีใครขอบคุณเวลาที่ได้รับของเลย

การรับของบริจาคแบบนี้ บก.ลายจุด เขาชอบครับ เพราะมันดิบดี ช่างงดงามในความคิดของบก.ลายจุด เพราะเขาบอกแบบนี้ไม่ถูกกดให้ต่ำต้อย

ผมเลยถือโอกาสขออวยพรให้ ชาติหน้าบก.ลายจุด รีบๆได้ไปเกิดที่ฟิลิปปินส์เร็วๆนะครับ จะได้สมใจความเท่าเทียมกัน!!


-------------------------





วันอังคารที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2554

มาตรา112 ที่รัก !!






มั้ยครับ กับชื่อบทความของผมในตอนนี้?

ผมแนะนำคุณผู้อ่านว่า ยังไม่ต้องไปยึดติดกับความหมายชื่อบทความตอนนี้มากนัก

แต่ก่อนจะเข้าเรื่องมาตรา112 ผมมีเรื่องนึงอยากจะเขียนอยากจะเล่านานแล้ว

นั่นคือเรื่อง หญิงสาวมาเลเซีย ดื่มเบียร์ในที่สาธารณะ โดนศาลสั่งเฆี่ยน!!

ผมขออนุญาตเล่าคร่าวๆเท่าที่พอจะจำได้นะครับ

เมื่อ2-3ปีก่อนที่มาเลเซีย นางการ์ติก้า ซารี เดวี ซูการ์โน ถ้าจำไม่ผิดเธอได้ไปแต่งงานกับคนสิงคโปร์และใช้ชีวิตทำมาหากินที่สิงคโปร์อยู่หลายปี

พอผ่านไป5ปี เธอกลับมาเลเซีย ทีนี้เธอเกิดลืมตัว ลืมกฎหมายบ้านเกิดคือมาเลเซียไปชั่วคราว เธอดันเผลอตัวดื่มเบียร์ในที่สาธารณะคือที่โรงแรมแห่งหนึง ซึ่งกฎหมายมาเลเซียอิงจากกฎหมายอิสลาม มีกฎหมายห้ามผู้หญิงดื่มแอลกอฮอล์ในที่สาธารณะ เธอเลยโดนศาลตัดสินให้ถูกเฆี่ยน6ที แถมโดนปรับอีก5พันริงกิต

ทีนี้ปัญหาก็คือ เธอเคยเป็นนางแบบมีชื่อเสียงในสิงคโปร์ ข่าวมันเลยดังไปทั่วโลก

ทำให้พวกองค์กรสิทธิเสรีภาพสากล องค์กรนิรโทษกรรมสากล หรือพวกปกป้องสิทธิมนุษยชนอะไรพวกนี้ทั้งหลาย พอได้ข่าวเรื่องที่เธอจะโดยเฆี่ยนเพราะเหตุจากดื่มเบียร์ พวกสิทธิมนุษยชนทั้งหลาย ก็ไม่พอใจ หาว่าางการมาเลเซียละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน

แต่เรื่องนี้ที่ไม่ธรรมดา และเจ๋งมากๆ!! ทำให้ผมอยากเล่าให้คุณผู้อ่านของผมฟังก็คือ

นางการ์ติก้า เธอออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อเผยแพร่ไปทั่วโลกว่า องค์กรสิทธิมนุษยชนทั้งหลาย พวกคุณกรุณาอย่าเสือกเรื่องกฎหมายอิสลามของมาเลเซีย เพราะเธอเคารพกฎหมายของประเทศเธอ

นางการ์ติก้า เธอยอมรับผิดและพร้อมรับการลงโทษด้วยการเฆี่ยนจากทางการมาเลเซียด้วยความเต็มใจ เพื่อรักษากฎหมายอิงหลักอิสลามที่เธอเองก็เคารพให้ศักดิ์สิทธิ์ต่อไป

แม้แต่พ่อของเธอ ก็ออกมาปกป้องกฎหมายของประเทศเช่นเดียวกัน โดยพ่อของเธอบอกว่า เขาเลี้ยงลูกมาให้เป็นคนที่เคารพกฎหมาย เคารพหลักศาสนา เมื่อลูกของเขาทำผิด ลูกเขาควรได้รับการลงโทษ

ฉะนั้นพวกองค์กรสิทธิมนุษยชนต่างๆที่พยายามจะช่วยลูกของเธอ กรุณาอย่าเสือก!!

ทีนี้ทางการมาเลเซีย ปกติก็ลงโทษประชาชนตามกฎหมายอิสลามมาหลายคดีจวบจนบัดนี้ แต่พอคดีของนางการ์ติก้า เกิดดังไปทั่วโลก มาเลเซียก็เกิดอาการหน้าบางจากเหตุผลอะไรไม่แน่ใจ เกิดกลัวเสียงวิจารณ์จากนานาชาติขึ้นมา เลยตัดสินใจยกเลิกการเฆี่ยนนางการ์ติก้าไปแบบกะทันหัน!!

ตามข่าวนี้ครับ ลองอ่านดู

มติชนออนไลน์

มาเลย์ปล่อยตัวหญิงดื่มเบียร์ดื้อๆไม่ยอมเฆี่ยน-เจ้าตัวไม่ยอม

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 24 ส.ค.ว่า รัฐปาหังของมาเลย์ได้ปล่อยตัวนางการ์ติก้า ซารี เดวี ซูการ์โน วัย 32 ปี ซึ่งถูกตัดสินโทษจากศาลศาสนาให้ถูกเฆี่ยน 6 ที จากกรณีดื่มเบียร์ โดยรถที่นำเธอไปเรือนจำนอกกรุงกัวลาลัมเปอร์เมืองหลวง เพื่อส่งตัวให้เธอรับโทษโบย ได้หยุดนิ่งเป็นเวลานับชม.ก่อนจะเปลี่ยนเส้นทางส่งเธอกลับบ้าน ขณะที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐปาหังเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า ทางการไม่สามารถทำตามหมายจับและคำสั่งศาลได้ในขณะนี้ และว่าทางการได้ปล่อยตัวเธออย่างเป็นทางการแล้ว

อย่างไรก็ตาม นางการ์ติก้ายังไม่ยอมลงจากรถ โดยเจ้าตัวบอกว่า เธอต้องการให้ทางการตัดสินออกมาว่า เธอผิดหรือถูกแน่ ซึ่งก่อนหน้านี้ เธอได้ปฎิเสธที่จะอุทธรณ์คดี และท้าให้ทางการรัฐปาหังลงโทษโบยเธอต่อหน้าสาธารณชน

ด้านนายชูการ์โน มูตาลิบ บิดานางการ์ติก้า วัย 60ปี แสดงปฎิกิริยาไม่พอใจต่อการปล่อยตัวลูกสาวของเขาโดยไม่ให้รับโทษ บอกว่า ลูกสาวของเขาต้องการรับโทษตามคำตัดสิน และเขาคิดว่าหากรัฐปาหังไม่ยอมทำ เรื่องนี้จะกระทบต่อศาสนา พร้อมทั้งเตือนว่าอย่าเอาลูกสาวของเขามาเป็นเครื่องเล่นทางศาสนา

รายงานระบุว่า ก่อนหน้านี้ ทางการรัฐปาหังได้ควบคุมตัวนางการ์ติก้าที่บ้านพัก ท่ามกลางปฎิกิริยาประท้วงของผู้เห็นใจนางการ์ติก้ากว่า 50 คน ที่ชุมนุมหน้าบ้านเธอ

---------------------------

จากข่าวหญิงมาเลย์คนนี้ เราได้ข้อคิดอะไรครับ?

สำหรับผมได้ข้อคิดมากๆ และเอามาเปรียบเทียบกับกรณีมาตรา112 ได้พอควร

คือบ้านเมืองแต่ละประเทศ เขาก็มีกฎหมาย มีจารีตประเพณีที่แตกต่างกันไป หากเราไปบ้านเมืองใด เราก็ควรให้ความเคารพกฎหมายของบ้านเขา จริงมั้ยครับ?

แบบนี้ถึงจะเรียกได้ว่า เราเป็นผู้มีวัฒนธรรมที่ดี เคารพในความเชื่อ เคารพศรัทธาในศาสนาวัฒนธรรมประเพณีของคนอื่น

อย่างบ้านเราเองก็มีจารีตประเพณีเช่นกัน เราเองก็อยากให้ใครที่มาเที่ยวบ้านเรา ให้ความเคารพประเพณีและวัฒนธรรมของเราจริงมั้ยครับ

อย่างในมาเลเซียยังมีกฎหมายแปลกๆที่เราคาดไม่ถึงอีกหลายอย่าง อย่างเช่น ห้ามเด็ดทำลายดอกชบา ในที่สาธารณะ ห้ามเหยียบดอกชบาที่ตกลงบนพื้น เพราะดอกชบา (บุหงารายา) เป็นดอกไม้ประจำชาติของมาเลเซีย ถ้าใครฝ่าฝืนอาจโดนจำคุกได้เลยนะครับ

------------------------

ห้ามขายหมากฝรั่งในสิงคโปร์

กรณีห้ามขายหมากฝรั่งในสิงคโปร์ คือตัวอย่างที่ยกแล้วจะเห็นภาพมากที่สุด

ถ้าคุณชอบเคี้ยวหมากฝรั่ง เป็นชีวิตจิตใจ ก็ไม่ควรไปสิงคโปร์นะครับ เพราะหมากฝรั่งเป็นสินค้าต้องห้ามในสิงคโปร์

แบบนี้เราจะไปบอกว่า สิงคโปร์ละเมิดสิทธิเสรีภาพก็ไม่ได้ เพราะนี่คือกฎหมายบ้านเขา ซึ่งเราต้องเคารพ ถ้าคุณไม่ชอบกฎหมายของเขา ก็อย่ามาบ้านเขา ก็อย่ามาเที่ยวบ้านเขา อย่ามาอยู่บ้านเขาสิครับ จริงมั้ย?

(สิงคโปร์ กับมาเลเซีย มีกฎหมายห้ามคนในประเทศ แต่งตัวเป็นกระเทย หรือรักร่วมเพศด้วยครับ มีโทษรุนแรงมากด้วย)

---------------------------



กฎหมายหมิ่นประมาท เมื่อเทียบกับ กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

ประชาชนทุกคนยังมีกฎหมายหมิ่นประมาท เพื่อปกป้องชื่อเสียงและสิทธิเสรีภาพของตัวเอง ใครมาด่าเรา ทำให้เราเสียหาย เราก็ฟ้องร้องดำเนินคดีคนๆนั้นไป

ก่อนอื่นเราต้องดูกฎหมายหมิ่นพระบรมเดาชานุภาพกันก่อน

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒ บัญญัติว่า ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี

องค์ประกอบความผิด
หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์โดยเจตนา

ที่สำคัญที่อยากจะให้ทุกคนรู้ก็คือ ยังมี มาตรา 133 ใช้คุ้มครองพระมหากษัตริย์ พระราชินี และรัชทายาทต่างประเทศ ที่เสด็จฯ มาเยือนประเทศไทยด้วยนะครับ  ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงเจ็ดปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงหนึ่งหมื่นสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา 134 ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายผู้แทนรัฐต่างประเทศซึ่งได้รับแต่งตั้งให้มาสู่พระราชสำนัก ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงห้าปี หรือปรับตั้งแต่หนึ่งพันบาท ถึงหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

เช่น ถ้าจักรพรรดิญี่ปุ่น หรือมกุฏราชกุมารของญี่ปุ่น มาเยือนไทย แล้วใครก็ตามมาดูหมิ่น แสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระองค์ ก็จะโดนมาตรา 133 เอาผิดเช่นกันครับ

ดังนั้น กฎหมายไทยไม่ได้คุ้มครองเฉพาะองค์พระประมุขของไทยเท่านั้น แต่ยังคุ้มครองประมุขและผู้แทนรัฐจากต่างประเทศด้วย แต่พวกล้มเจ้าก็จะเลี่ยงไม่ยอมพูดถึงมาตรา 133 และ 134 นี้


ทีนี้มาดูกฎหมายหมิ่นประมาทของประชาชนบ้าง

1.การหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดา แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ

1.1หมิ่นประมาท มาตรา 326 โทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
1.2.หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา มาตรา 328 ระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปีและปรับไม่เกินสองแสนบาท
1.3. หมิ่นประมาทซึ่งหน้า มาตรา 393 ซึ่งอยู่ในหมวดลหุโทษ เป็น "การดูหมิ่นผู้อื่นซึ่งหน้าหรือด้วยการโฆษณา" มีโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

2. การหมิ่นประมาทเจ้าพนักงาน มาตรา 136 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

3.การหมิ่นประมาทศาล มาตรา 198 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงเจ็ดปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงหนึ่งหมื่นสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

------------------

แค่หมื่นประมาทบุคคลธรรมดาทั่วไป ยังมีโทษถึงขั้นติดคุกได้

แล้วถ้าหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ พระราชินี องค์รัชทายาท หรือหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามมาตรา112 จะไม่ให้มีติดคุกหรืออย่างไร?

ถ้าเราคนไทยยังปล่อยให้ไอ้พวกชั่วและพวกโง่ มายกเลิกมาตรา112 ไปแล้ว พระมหากษัตริย์ก็จะไม่มีอะไรคุ้มครองพระองค์

หรือถ้าจะให้พระมหากษัตริย์ มาใช้กฎหมายหมิ่นประมาทแบบเดียวกับประชาชน คุณผู้อ่านว่า มันถูกต้องสมควรแล้วเหรอ?

ถ้าใครด่า อาฆาต มาดร้าย ใส่ความ ป้ายสี พระมหากษัตริย์ จะต้องให้พระองค์ต้องทรงมาลงสู้คดีเองหรือครับ?

ยิ่งพวกล้มเจ้ามันมีมากมายในยุคนี้ เพราะสัตว์นรกมันกลับชาติมาเกิดกันเยอะ มันจะหมิ่นพระบรมเดชานุภาพกันเป็นพันเป็นหมื่นคดี แล้วเราจะให้ในหลวงต้องทรงลงมาปกป้องพระองค์ ด้วยการสู้คดีทุกคดีเหรอครับ?

และถึงแม้จะเปิดโอกาสให้ สำนักพระราชวังส่งตัวแทนมาสู้คดีแทนพระองค์ก็ตาม แต่คุณผู้อ่านคิดว่า มันสมควรให้มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นหรือครับ?

-----------------------

สถาบันพระมหากษัตริย์ คือสถาบันหลักของชาติ แม้แต่ธงชาติไทย เรายังไม่ยอมให้ใครมาลบหลู่เลยครับ

ฉะนั้น ก็มีแต่พวกเลวอ้างสิทธิเสรีภาพบ้าบอคอแตกเท่านั้น เอามาใช้หลอกคนไทยโง่ๆ เพื่อให้เรียกร้องสิทธิชั่ว ๆ แต่พวกเลวมันไม่เคยบอกเรื่องหน้าที่พลเมืองให้คนไทยโง่ ๆ ได้รู้เลยว่า

หน้าที่พลเมืองที่ดี ต้องปกป้องสถาบันหลักของชาติ คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

ถ้าการเรียกร้องสิทธิเสรีภาพใดๆ หากเป็นการละเมิดหน้าที่พลเมืองที่ดี สิทธิเสรีภาพนั่นคือสิ่งที่ผิด เป็นสิทธิเสรีภาพที่เกินขอบเขตครับ

คนไทยส่วนใหญ่มักไม่รู่ว่า หน้าที่ต้องมาก่อนสิทธิเสมอ หากยังไม่ทำหน้าที่พลเมืองที่ดี ก็ย่อมไม่มีความชอบธรรมที่จะมาเรียกร้องขอสิทธิ

พวกบัฟฟาโร่แดง ส่วนใหญ่มันไม่รู้ว่าพวกมันกำลังเป็นเหยื่อของไอ้พวกล้มเจ้า พวกคอมมิวนิสต์หลงยุค พวกสังคมนิยม ที่แอบอ้างประชาธิปไตยมาบังหน้าหากินเท่านั้น

ถ้าการวิจารณ์ในหลวงอย่างสร้างสรรค์ มีเหตุผล ในหลวงท่านทรงเคยตรัสว่า สมควรทำด้วยซ้ำ

ปัญหาก็คือ พวกเลวสันดานชั่ว มันใส่ร้ายป้ายสี หยาบคาย เหยียบย่ำสถาบันนี่แหล่ะครับ พวกมันถึงคิดจะล้มมาตรา112

แต่เป้าหมายของพวกมันจริงๆแล้ว สูงกว่ามาตรา112 เพราะพวกมันต้องการเปลี่ยนระบอบเลยครับ

------------------------

มาตรา112 ปกป้องสถาบันที่เราเคารพรักและเทิดทูน

ขนาดคนธรรมดายังมีกฎหมายหมิ่นประมาทคุ้มครอง

แล้วพ่อเจ้าอยู่หัวอันเป็นที่รักของข้าแผ่นดินลูกแผ่นดินอย่างพวกเรา จะมีกฎหมายปกป้องคุ้มครองพระองค์ท่านไม้ได้เชียวรึ ?

สถาบันกษัตริย์ คือสถาบันหลักสูงสุด 1 ใน 3 ของชาติ การมีกฎหมายทีมีบทลงโทษแรงกว่าสามัญชน ก็เป็นเรื่องธรรมดา

หากใครไม่ชอบกฎหมายมาตรา112 นี้ ไม่ชอบสถาบันกษํตริย์ วิธีง่าย ๆ คุณก็แค่ออกไปจากแผ่นดินนี้สิครับ จะหน้าด้านทนอยู่ในประเทศนี้ ทำไม เพราะ...

-------------------------

โปรดทราบ!!

คลิกที่รูปเพื่อขยาย!!

http://imgur.com/KE5pbCm

คลิกอ่าน ประธานาธิบดีสหรัฐฐานันดรเทียบเท่านายกรัฐมนตรีอังกฤษ!!


วันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2554

คนไทยชอบเป็นลูกที่ดื้อของในหลวง







คนไทยต่างบอกว่า รักในหลวง แต่รักในหลวงแล้ว คุณทำตามคำสอนที่ในหลวงทรงชี้แนะหรือไม่?

ประเทศไทยที่ประสบมหาอุทกภัยหนักในปี54นี้ ประเด็นสำคัญที่สุดก็คือ พวกคุณ พวกเรา รวมทั้งผมด้วย ต่างละเลยคำสอนของพระองค์ท่านมานาน



ถ้าคุณลองค้นหาพระราชดำรัสเนื่องในวันเฉลิมฯ ทุกวันที่4ธันวาคมของทุกๆปีที่ผ่านมาๆ ในหลวงทรงตรัสถึงแนวคิดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง มานานกว่า30ปีมาแล้ว แต่คนไทยก็ฟังแบบได้ยินผ่านๆไป

ก่อนวิกฤติต้มยำกุ้งเมื่อปี 2540 คนส่วนใหญ่ไม่มีใครสนใจคำสอน เรื่องเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงเท่าที่ควร แค่ได้ฟัง แต่ไม่ได้เข้าใจ

เช่นเดียวกันพวกฝรั่งต่างชาติเอง แต่ก่อนก็ไม่ค่อยสนใจแนวคิดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง จนกระทั่งเกิดวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ พวกฝรั่งถึงได้ถึงบางอ้อว่า แนวคิดทุนนิยมแบบบริโภคนิยมสไตล์อเมริกันหรือทุนนิยมแบบตะวันตกนั้น คือหายนะของโลก

ทุกวันนี้ชาวอเมริกันก็เพิ่งจะตาสว่างถึงความน่ากลัว ความเอารัดเอาเปรียบของระบบทุนนิยมแบบบริโภคนิยม ที่ธุรกิจมุ่งแต่แสวงหากำไรสูงสุดมาก่อน นึกถึงสังคม

การประท้วงต่อต้านความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยกับคนจน ที่หน้าวอลสตรีท "Occupy Wall Street"


--------------------------

ในหลวงทรงเน้นเรื่องน้ำ

เพราะน้ำคือชีวิต ถ้าประเทศไทยมีน้ำกินน้ำใช้ตลอดปี ในทุกพื้นที่ คนไทยจะไม่ยากจน

ในหลวงจึงทรงงานอย่างหนักตลอดเวลาที่ทรงครองราชย์ ในหลวงจะทรงเน้นเรื่องระบบชลประทาน

เพราะทรงเน้นว่าประเทศไทยจะไปรอด คนไทยจะไม่อดอยาก ถ้าไทยเราเน้นทำเกษตรแบบพอเพียง เกษตรแบบผสมผสาน หรือที่เรียกว่า เกษตรทฤษฎีใหม่ ที่แบ่งพื้นที่ทำเกษตรแบบผสม มีพื้นที่สำหรับกักเก็บน้ำไว้ใช้ยามแล้ว ไม่ใช่เอาแต่ทำเกษตรพืชเชิงเดี่ยวแบบที่รัฐบาลในทุกยุคทุกสมัยส่งเสริม

โดยเฉพาะเกษตรกรยุคนี้ ต่างละทิ้งบ่อเก็บน้ำ คูน้ำประจำบ้าน หรือร่องน้ำในสวน เพราะมัวแต่หวังพึ่งแต่ระบบชลประทานอย่างเดียว แล้วพอเกิดปัญหาภัยแล้ง เมื่อเขื่อนมีน้ำน้อยจนไม่พอมาหล่อเลี้ยงระบบชลประทาน สุดท้ายความยากจนและภาวะขาดทุนก็มาซ้ำเติมเกษตรกรพวกนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล้า

เกษตรกรไทยอย่าทำตัวเหมือนนายแดง ในคลิปนี้



ในหลวงทรงเน้นให้ประชาชนทำให้พอกินก่อน เหลือกินจึงเก็บขาย พึ่งพาตนเองได้ แต่รัฐบาลไทยที่ผ่านๆมาพยายามส่งเสริมให้เกษตรกรทำเพื่อส่งออก ทำเพื่อขาย 

จนวันนี้ชาวนาขายข้าวเปลือกแล้วไปซื้อข้าวสารกิน นี่แหละความโง่ที่ละทิ้งภูมิปัญญาชาวนาไทยในอดีต

แล้วสุดท้ายทุกรัฐบาลก็ต้องเข้าไปอุ้มราคาพืชผลเชิงเดี่ยวให้เกษตรกร ทำให้เกษตรกรไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน แต่พ่อค้าคนกลางรวย!!

นหลวงทรงให้ความสำคัญเรื่องระบบชลประทาน ส่วนนักการเมืองมุ่งแต่สร้างถนนหรือสร้างอะไรก็ได้ที่ได้ค่าคอมมิสชั่นสูง



เมื่อคนไทยก็รักความสบายเกินไป พอพวกนักการเมืองเอาถนนมาล่อเข้าหน่อย ก็เฮ เลือกนักการเมืองพวกนี้เข้ามาโกงกินในโครงการถนน!!

ดูตัวอย่างง่าย ๆ คนไทยขี่มอเตอร์ไชค์มากกว่าขี่จักรยาน ทั้ง ๆ ที่ขี่จักรยานอาจช้าหน่อย แต่ประหยัดปลอดภัย ไม่เป็นหนี้!!

สมัยก่อนเราใช้แม่น้ำคลองในการคมนาคมเป็นหลัก แต่พวกเราละทิ้งแม่น้ำลำคลอง จนกระทั่งต้องมาหัดพายเรือกันบนถนน !! (น้ำท่วม)

-----------------------


ในหลวงทรงเน้นความพอเพียง

เพราะความพอเพียง คือความพอดี เป็นทางสายกลาง เช่น ถ้าเป็นพ่อค้าก็เอากำไรแต่พอควร ไม่ขูดรีดกำไรเกินควร ถ้าเป็นประชาชนก็อยู่อย่างสมดุลระหว่างรายได้กับรายจ่าย

พอเพียงไม่ใช่ตระหนี่ พอเพียงของคนรวยย่อมไม่เท่ากับคนจน

คนรวย 100 ล้านบาท จะมีรถคันละ 10 ล้าน ก็เรียกพอเพียงได้

คนจนมี 1 แสนบาท อยากมีมอไซค์สักคัน ก็เรียกพอเพียงได้

พอเพียงไม่ใช่ห้ามกู้เงิน แต่ต้องกู้เงินอย่างฉลาด กู้โดยที่ไม่ทำให้ตัวเองและครอบครัวเดือดร้อนเกินไป ต้องกู้ให้พอเหมาะกับฐานะตัวเอง ไม่เกินฐานะ

การกู้ ต้องกู้มาเพื่อสร้างงานสร้างเงินจะดีที่สุด ไม่ใช่กู้เพื่อความอยากมีอยากได้ เช่นกู้เงินมาซื้อทีวี LCD ทั้ง ๆ ที่ทีวี21นิ้วธรรมดาที่บ้านก็ยังดีอยู่ เป็นต้น

ระบบเศรษฐกิจแบบพอเพียง ก็คือทุนนิยมพอเพียง ไม่ใช่มุ่งแต่แสวงหากำไรเพื่อความร่ำรวยของตัวเองเป็นหลัก จนลืมนึกถึงสังคมและผู้อื่น

------------------------------------

แนวทางของในหลวงคือทางรอดของชาติ

อุทกภัยปี 2554 คราวนี้ ทำให้พวกเราได้รู้แล้วว่า พวกเราละเลยคำสั่งสอนของในหลวงมากเพียงใด ไม่ต้องไปถามหาฝรั่งผู้เชี่ยวชาญที่ไหน แค่หันกลับมาศึกษาสิ่งที่ในหลวงเคยบอก เคยแนะ แล้วทำตาม เราก็จะรอดได้ด้วยทุนที่ไม่มากเกินไป

ที่ผ่านมา นายทุนมุ่งแต่กำไร นักการเมืองมุ่งแต่หาผลประโยชน์จากชาติ ประชาชนก็หวังแต่อยากจะรวยทางลัดมากกว่าตั้งใจทำมาหากิน หวังพึ่งนักการเมืองเกินไป แทนที่จะพึ่งตัวเองให้มากที่สุด

ในหลวงทรงมองการณ์ไกลว่า ประเทศไทยจะอยู่รอดได้ด้วยการเกษตร แต่นักการเมืองเอาแต่มุ่งเน้นแต่อุตสาหกรรม เพราะนักการเมืองได้ผลตอบแทนทางอ้อมสูง!!

เศรษฐกิจพอเพียงไม่ได้ปฏิเสธอุตสาหกรรม ไม่ได้ปฏิเสธเทคโนโลยี แต่ให้เราเน้นว่า ประเทศไทยเรามีชัยภูมิที่เหมาะกับการทำเกษตรมากกว่า ต้องพัฒนาเกษตรกรรมให้พึ่งพาตนเองได้ ทำการเกษตรแบบชาญฉลาดบนเทคโนโลยีที่เหมาะสมและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

เกษตรกรสมัยใหม่ เอาแต่พึ่งยา พึ่งเคมี พึ่งเครื่องทุนแรงเกินไปโดยละเลยแรงงานของตัวเอง เน้นแต่ปริมาณโดยละเลยความปลอดภัย

ถ้าเกษตรกรทำปุ๋ยใช้เอง แม้จะเหนื่อยหน่อย แต่ประหยัด แต่เกษตรกรส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยทำกัน

ทุกวันนี้ เกษตรกรที่หลุดวงจรอุบาทว์จากหนี้ได้ ก็เพราะพึ่งพาตัวเองให้มากกว่าพึ่งสิ่งอำนวยความสะดวกในการทำการเกษตรที่ต้องซื้อหามาด้วยเงิน

วันนี้ยังไม่สายเกินไป หันกลับมาดูคำสอนของในหลวง แล้วนำมาปฏิบัติ แล้วพวกเราคนไทยจะรอดจากภัยพิบัติอย่างยั่งยืน

------------------------

ในหลวงทรงงานอย่างยาวนาน มีข้าราชการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมารับใช้เบื้องพระยุคลบาทมากมาย แต่ข้าราชการมาทำแป๊บๆเดี๋ยวก็ย้าย เดี๋ยวก็เกษียณไป แต่ในหลวงไม่เคยเกษียณ

ในหลวงทรงเสด็จไปในถิ่นธุรกันดาร ถิ่นที่ๆข้าราชการท้องที่ไม่เคยไปถึงเลยด้วยซ้ำ ทรงไปพบราษฎรที่ห่างไกล ถนนหนทางเมื่อหลายสิบปีก่อนก็ไม่มี ถึงมีก็หนทางลำบากมากกว่าจะไปถึง แต่ในหลวงก็ทรงเสด็จไปทุกที่

พระราชภารกิจที่ทรงทำนั้น ทรงมีเจตนาก็เพื่อให้รัฐบาลรับแนวทางของพระองค์นำไปสานต่อ แต่ที่แล้ว ๆ มารัฐบาลทุกรัฐบาลต่างไม่สนใจแนวทางของพระองค์เท่าที่ควร

ถ้ารัฐบาลเข้าใจเจตนาในสิ่งที่ทรงทำให้เห็น ในหลวงก็จะไม่ทรงเหนื่อยมากขนาดนี้

ที่พระองค์ทรงพระประชวร อาจเพราะในหลวงทรงงานหนักอย่างยาวนานเกินไป

ที่พระองค์ต้องทรงงานหนัก ก็เพราประชาชนของพระองค์ ดื้อ ไม่สนใจทำตามที่พระองค์ทรงชี้แนะนั่นเอง

ถ้าคนไทยฉลาดและรู้เจตนาของพระองค์ให้เร็วมากกว่านี้ พระองค์ก็คงจะพระเกษมสำราญ อาจไม่ประชวรเหมือนทุกวันนี้ก็ได้ (ผมว่านะ)



-->

วันเสาร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2554

เฟซบุ๊กยิ่งลักษณ์ทำมิบังควรแบบไม่น่าให้อภัย





คุณผู้อ่านครับ ท่านนายกหญิงคนแรกได้ผิดพลาดแบบไม่ควรจะพลาด อีกแล้ว

เพราะเฟซบุ๊กของนายกยิ่งลักษณ์ Yingluck Shinawatra facebook ได้โพสพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผิดรูป ผิดพระองค์!!

เพราะเฟซบุ๊กท่านนายกยิ่งลักษณ์ โพสไว้ว่า 

"5 ธันวารวมพลังคนไทย รวมหัวใจถวายพระพรชัยมงคล"

แต่เฟซบุ๊ก ของท่านนายก กลับโพสพระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่8 แทน

ตามลิงค์นี้ (แต่ที่หน้าเพจแรกกลับถูกลบออกไปแล้ว)
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=286716118039517&set=a.106877456023385.4057.105044319540032&type=1&theater


คลิกที่รูปเพื่อขยาย!! รูปจากหน้าเพจแรกก่อนโดนลบไป


เมื่อขยายรูปนี้ดูที่เฟซบุ๊กท่านนายก จะเห็นได้ว่ารูปนี้เป็นรูปของรัชกาลที่8




ซึ่งรัชกาลที่8 พระองค์จะไม่ทรงฉลองแว่นตลอด แต่รัชกาลที่9 พระองค์ทรงฉลองแว่นตลอด

และส่วนรูปของรัชกาลที่9 น่าจะเป็นรูปนี้ครับ

คลิกที่รูปเพื่อขยาย!!


ความผิดพลาดหลายครั้งที่ผ่านๆมาของนายกยิ่งลักษณ์ยังพอให้อภัยได้ แต่คราวนี้ ถือว่า ไม่เหมาะไม่ควร มิบังควรอย่างยิ่ง!!

เพราะเรื่องนี้เป็นประเด็นอ่อนไหวมาก ต้องรอบคอบให้มากสำหรับคนเป็นผู้นำประเทศ เป็นถึงนายกรัฐมนตรี เรื่องนี้ไม่ควรผิดพลาดเลย เพราะในกลุ่มเสื้อแดงล้มเจ้า มักนำเรื่องรัชกาลที่8 มาบิดเบือนเสมอ

ฉะนั้นความผิดพลาดของนายกหญิง ครั้งนี้ถือว่า ผิดอย่างใหญ่หลวงครับ


ล่าสุด หน้าเพจเฟซบุ๊กนายกยิ่งลักษณ์ ได้ลบรูปและโพสดังกล่าวออกไปแล้วเมื่อกี้นี่เอง


ก่อนจบ ผู้เริ่มต้นพบข้อมูลรูปที่ผิดพลาดนี้ คือน้องเด็กปากดี แห่งเสรีไทย และหลังจากเฟซบุ๊กนายกฯลบรูปดังกล่าวออกไปแล้ว น้องภักดี หรือเด็กปากดี ก็ได้โพส กระทู้ชี้แจงถึงที่มาที่ไป ว่าทำไมเฟซบุ้คนายกถึงได้ลบออกไปแล้ว และใครเป็นคนลบ?

ไปอ่านตามนี้ http://bit.ly/uiHlFD

------------------------

อัพเดท ล่าสุดหลังจากลบโพสที่ผิดพลาดออกไป 

ทางเฟซบุ๊กนายกยิ่งลักษณ์ ก็โพสข้อความ ตามนี้

คลิกที่รูปเพื่อขยาย!!


----------------------

ล่าสุด ณ.เวลา18.00น. (4 ธ.ค.54)

ผมได้พบว่า เฟซบุ้คเครือข่ายยิ่งลักษณ์ หรือเฟซบุ๊กแฟนๆยิ่งลักษณ์ ที่ใช้ชื่อ Yingluck (ไม่มีนามสกุล) ก็ได้โพสรูปร.8 เช่นกัน และยังไม่ยอมลบออก ตามลิงค์นี้ https://www.facebook.com/photo.php?fbid=299067623460059

คลิกอ่าน จำคุกอากง20ปี แผนชั่วของพวกล้มเจ้า!!



ผู้ติดตาม