วันอังคารที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

กรณีประทัวงเปิดประตูน้ำพระยาสุเรนทร์






เมื่อเช้าวันจันทร์ที่29 พ.ย. 54 ผมก็ดูเรื่องเล่าเช้านี้เหมือนทุกวัน แต่เช้านี้คุณสรยุทธนำเสนอ ความเป็นอยู่ของชาวรามอินทราฝั่งเลขคี่ เช่นรามอินทราซอย5 ที่ออกมาประท้วงเขตบางเขนเมื่อหลายวันก่อนว่า อย่าเอาพวกเขาเป็นแก้มลิงรับน้ำจากทางเหนือบิ๊กแบค ทำไมเขตไม่ระดมเครื่องสูบมาสูบช่วยเหลือเขาเยอะๆ เขาทนน้ำเน่ามานานแล้วเหมือนกัน

พวกเขาอยู่ใต้บิ๊กแบคแท้ๆ แต่กลับท่วมหนักไม่ต่างจากคนเหนือบิ๊กแบค?

เรื่องเล่าเช้านี้ของคุณสรยุทธ จึงพาไปตระเวนย่านรามอินทราหลายต่อหลายซอย น้ำเน่ามากๆ ยุงก็เยอะ แถมหารถเข้าออกก็ยาก และถึงจะมีแต่ก็แพงมากๆ รถทหารที่เข้ามาช่วย รถการไฟฟ้าที่เข้ามาช่วยขนส่งคน ก็โดนวางเรือใบตลอด

-----------------------

ชมคุณสรยุทธตะลุยดูความทุกข์ยากของชาวบ้านย่านรามอินทรา เมื่อคืนวันที่27พ.ย.54

คลิปแรก ให้ดูตั้งแต่นาทีที่6.40 เป็นต้นไป




------------------------

กรณีชาวลำลูกกาประท้วงขอเปิดประตูน้ำพระยาสุเรนทร์

ทีแรกชาวลำลูกกาและชาวสายไหมที่อยู่เหนือประตูน้ำได้ประท้วงขอให้กทม. เปิดประตูระบายน้ำเพิ่มจาก80ซม.เพิ่มเป็น1เมตร ซึ่งกทม.ก็ตกลงยอมทำตามข้อเรียกร้องเมื่อหลายวันก่อนแล้ว

แล้วก็ทำให้สถานการณ์บนถนนลำลูกกาน้ำลดลงอย่างมาก แต่แล้วคืนวันที่27พ.ย.54 เวลา22.00น. ได้มีชาวลำลูกกาบางส่วนนำโดยนายตำรวจคนหนึ่งได้คืบจะเอาศอก แอบไปเปิดประตูเพิ่มจาก1เมตร เป็น1.50เมตร โดยอ้างว่า ศปภ.ได้สั่งให้กทม.เปิดแล้ว

แต่หลังจากเปิดประตูน้ำไม่กี่ชั่วโมง ย่านสายไหมใต้บิ๊กแบคและบางเขนแถวย่านรามอินทราก็กลับมีน้ำเพิ่มสูงขึ้นเฉลี่ย3ซม. ทำให้ผู้ว่าฯกทม.ต้องไปสั่งปิดประตูให้เหลือ1เมตรเท่าเดิม ตามข่าวนี้

ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์กล่าวว่า เสียใจที่เมื่อเวลา 22.00 น.ของคืนที่ผ่านมา ประชาชนได้เปิดประตูระบายน้ำพระยาสุเรนทร์โดยพลการเป็น 1.50 เมตร ซึ่งผ่านมา 6 ชั่วโมงระดับน้ำหลังประตูเพิ่มขึ้น 3 ซม. ซึ่งปกติพื้นที่บริเวณนี้น้ำยังท่วมสูง รถเล็กยังไม่สามารถสัญจรได้ ซึ่งมีชุมชนและหมู่บ้านอยู่ประมาณ 4,500 ครัวเรือน ประชาชนอาศัย 37,000 คน ดังนั้น การเปิดประตูระบายน้ำคลองพระยาสุเรนทร์แบบก้าวกระโดดจะทำให้เขตสายไหมและบางเขนได้รับผลกระทบ จึงได้สั่งการให้หรี่ประตูลงมาที่ 1 เมตรเช่นเดิม และได้สั่งการให้เปิดประตูระบายน้ำที่ประตูระบายน้ำคลองสองเพิ่มอีก 30 ซม. จาก 1.20 เมตร เป็น 1.50 เมตร และเปิดประตูระบายน้ำมีนบุรีเพิ่มอีก 30 ซม. จาก 1 เมตร เป็น 1.30 เมตรทดแทน ซึ่งจะสามารถช่วยระบายน้ำจากพื้นที่ด้านเหนือได้เป็นอย่างดีขึ้น

"อยากขอร้องให้ประชาชนอย่าเปิดประตูระบายน้ำโดยพลการ เพราะจะทำให้เกิดความเสียหาย ต้องมีการหารือกันด้วยเหตุด้วยผล ทั้งนี้ การเปิดประตูระบายน้ำยังคงเป็นอำนาจของ กทม. จึงขอความร่วมมือประชาชนให้ กทม.ได้ประเมินสถานการณ์ และ กทม.ไม่ใช่จะไม่ฟังใคร ยืนยันการเปิด-ปิดประตูได้ดำเนินการตามสถานการณ์มาโดยตลอด และที่ผ่านมา กทม.ได้ทำหนังสือถึง พลต.อ.ประชา พรหมนอก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) ว่ายังไม่พร้อมเปิดประตูระบายน้ำคลองพระยาสุเรนทร์ ขอดูสถานการณ์ 1-2 วัน และขอประเมินสถานการณ์ตามเหตุผลทางเทคนิค"


-----------------------------

รายงานข่าว3มิติเมื่อคืนวันที่ 28พ.ย.54 ที่ผ่านมา

ข่าว3มิติได้สัมภาษณ์คนลำลูกกาบางส่วนก็พอใจแล้วที่กทม.ได้เปิดประตูน้ำพระยาสุเรนทร์เพิ่มเป็น 1เมตรแล้วเมื่อหลายวันก่อน เพราะทำให้ถนนลำลูกกาลดลงเรื่อยๆอย่างมาก ทำให้รถเล็กวิ่งได้แล้ว จะมีขังบ้างบางช่วงเท่านั้น แต่ก็ไม่เกิน15-20ซม.

แต่กลุ่มชาวบ้านลำลูกกาที่นำมาโดยพ.ต.ต.เสงี่ยมเท่านั้นที่ไม่พอใจ ต้องการให้เปิดประตูน้ำเพิ่มขึ้นอัก50ซม. เมื่อกทม.ไม่ได้เปิดให้ก็แอบมาเปิดเอง โดยอ้างว่าศปภ.ได้มีคำสั่งแล้ว

จากรายงานข่าว3มิติ รายงานว่า ผู้ว่าฯกทม.ยืนยันว่า ศปภ.ยังไม่เคยมีคำสั่งให้เปิดประตูเพิ่มเป็น1.50เมตร

ซึ่งผู้ว่ากทม. ยืนยันจะเอาผิดทางกฏหมายกลุ่มคนที่มาบุกรุกมาเปิดประตูเพิ่ม

คลิป สัมภาษณ์ผู้นำชาวบ้านทีมาปิดประตูน้ำครับ และสัมภาษณ์ชาวลำลูกกาที่พอใจแล้วที่กทม.เปิด1เมตร


พอกทม.ปิดประตูน้ำแล้ว ก็ยังมีชาวบ้านสายไหมช่วงใต้ประตูน้ำ ก็มาคอยเฝ้าระวังประตู เพราะกลัวชาวบ้านอีกฝั่งจะมาแอบเปิดประตูน้ำอีก


------------------------

ชาวบ้านเปิดประตูน้ำโดยพลการ ผิดกฏหมายนะครับ

ถ้าสิ่งที่ผู้ว่ากทม.ยืนยันว่า ศปภ.ไม่เคยมีคำสั่งอย่างเป็นทางการให้กทม.เปิดประตูน้ำพระยาสุเรนทร์เพิ่มขึ้นจริงๆ ฉะนั้นชาวบ้านที่นำโดยนายตำรวจคนนี้ที่บุกรุกมาเปิดประตูน้ำเพิ่มเป็น1.50เมตรโดยพลการ จะถือว่าทำผิดกฏหมายครับ

เพราะกรณีประตูน้ำต่างจากการรื้อบิ๊กแบค หรือรื้อกระสอบทราย เพราะประตูน้ำเป็นทรัพย์สินของทางราชการภายใต้การดูแลของกทม. ใครมาเปิดโดยพลการเข้าข่ายบุกรุกแน่นอนครับ

และการเปิดประตูระบายน้ำพระยาสเรนทร์ หรือการรื้อบิ๊กแบคที่ผ่านๆมา ผลกระทบจะไปหนักที่ย่านรามอินทราที่คุณสรยุทธไปตระเวนนี่แหล่ะครับ

ผมอยากบอกชาวลำลูกกาบางส่วนที่ยังไม่พอใจว่า พวกคุณควรใจเย็นลงบ้าง น้ำกำลังค่อย ๆลดอยู่แล้ว ถ้าคุณดูเรื่องเล่าเช้านี้ ที่คุณสรยุทธไปเยี่ยมชาวรามอินทรา คุณจะเห็นว่า ยังมีชาวรามอินทราเดือดร้อนหนักหนาสาหัสอยู่เลย เพราะรามอินทราเป็นย่านที่ต่ำกว่าถนนพหลโยธินมาก

ขอให้ชาวลำลูกกาจงรับรู้ไว้ว่า การที่คุณอยากจะเปิดประตูระบายน้ำมากขึ้นมากเท่าไหร่ คนรามอินทราก็เดือดร้อนหนักขึ้นเท่านั้น ใจเย็น ๆครับ สถานการณ์กำลังค่อย ๆดีขึ้น

กทม.ก็เปิดให้1เมตรแล้วแถมเปิดประตูอื่นเพื่มช่วยแล้ว ถ้าเปิดมากกว่านี้คนรามอินทราก็โดนหนักอีก พวกคุณควรเห็นใจคนรามอินทราบ้างนะครับ ยังไงก็หัวอกเดือดร้อนเดียวกัน

แนะนำให้คนลำลูกกา ลองไปดูภาพความยากลำบากของชาวรามอินทราซอย39 จากข่าวของวันที่29พ.ย.54 ดูสิครับ ว่าพวกเขาลำบากสุดๆขนาดไหน? แล้วพวกคุณยังจะอยากไปเพิ่มทุกข์ให้พวกเขาเพิ่มอีกเหรอครับ

ดูรูป คลิกที่นี่!!


หมายเหตุ นายตำรวจที่เป็นแกนนำชาวบ้านมาเปิดประตูน้ำโดยพลการ ทำงานอยู่ที่สำนักนายกฯ และศปภ.ก็ยังไม่มีคำสั่งให้ กทม.เปิดประตู ศปภ.เพียงแต่ขอความอนุเคราะห์จากกทม.เท่านั้น ไม่ได้บังคับ ซึ่งผู้ว่ากทม.ได้ทำหนังสือชี้แจงไปแล้วว่า ยังเปิดเพิ่มทันทีไม่ได้ ขอดูสถานการณ์อีก2-3วันก่อนตามความเหมาะสม

v

v
รายงานข่าวล่าสุด เมื่อคืนวันที่28พ.ย.54 ชาวบ้านลำลูกกาได้นำมวลชนไปกดดันเจ้าหน้าที่เปิดประตูน้ำเพิ่มเป็น1.50เมตรอีกแล้ว


คลิกอ่าน ประตูน้ำพระยาสุเรนทร์แผนชั่วของเสื้อแดง!!

วันเสาร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

กรณีชาวนนทบุรีฟ้องผู้ว่าฯกทม.(ฟ้องผิดคนแล้ว)





วันนี้ผมเข้ามาดึกมาก ทีแรกตั้งใจจะทิ้งช่วงไม่เขียนบทความสักหลายวัน แต่ผมเช็คข่าวว่า คนเมืองนนท์จะฟ้องกทม. ข้อหาบริหารน้ำไม่มีประสิทธิภาพ?

แม้ผมเองจะไม่ใช่คนเชี่ยวชาญเรื่องการระบายน้ำ แต่อาศัยติดตามข่าวและหาข้อมูลในเว็บเท่าที่จะหาได้ ผมมองว่า เรื่องนี้คนเมืองนนท์คงฟ้องผิดหน่วยงานแล้วมังครับ?

ถ้าผู้ว่าฯกทม.บริหารน้ำไม่มีประสิทธิภาพจริงๆ คนที่จะฟ้องผู้ว่ากทม. ก็น่าจะเป็นคนกรุงเทพฯจริงมั้ย? คนเมืองนนท์เกี่ยวอะไร?

ผมว่า คนนนทบุรีควรต้องทราบเรื่องบทบาทหน้าที่ของแต่ละหน่วยงานก่อนนะครับว่า ใครมีหน้าที่อย่างไร?

ที่น้ำท่วมปทุมธานีหนักแล้วทะลักมาท่วมนนทบุรีหนัก นั่นเกิดจากกรมชลประทานบริหารผิดพลาดมากกว่านะครับ ไม่ใช่กทม. น้ำที่ท่วมนนทบุรี ไม่ใช่น้ำที่มาจากทม. แต่เป็นน้ำเหนือที่มาจากปทุมธานี

และถ้าจะบอกว่า หน่วยงานที่คุมการระบายน้ำทั้งประเทศ ก็คือศปภ. ครับ แถมนายกยิ่งลักษณ์ก็ประกาศใช้มาตรา31คุมอำนาจเบ็ดเสร็จแล้ว การระบายน้ำในภาพรวมเป็นหน้าที่ของรัฐบาลโดยศปภ.ครับ

เพราะผู้ว่าฯกทม. มีหน้าที่ปกป้องกทม.เท่านั้น ซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่ที่ระบุในกฏหมาย มีเท่านั้นจริงๆ ท่านผู้ว่าฯถึงได้บอกแล้วไงครับว่า

ท่านนายกหญิงจะมาพูดลอยหน้าลอยตาบอกให้กทม.ดูภาพรวมแค่นั้นไม่ได้ ถ้านายกหญิงอยากให้ผู้ว่าฯกทม.ดูภาพรวมการระบายน้ำนอกเหนือพื้นที่กทม. ท่านนายกก็ทำหนังสือมอบอำนาจมาให้สิครับ?!

---------------------------------


หน้าที่ผู้ว่ากทม.

ผู้ว่ากทม. มีหน้าที่ปกป้องกรุงเทพฯ จากน้ำเหนือที่ไหลมาจากนนทบุรี โดยทำคันกั้นน้ำบนคลองทวีวัฒนา และคลองมหาสวัสดิ์ เป็นคลองที่ตัดขวางจากตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาไปทางตะวันตกลงแม่น้ำท่าจีน

ดูแนวคลองต่างๆที่ลงแม่น้ำท่าจีน เช่นคลองมหาสวัสดิ์ คลองทวีวัฒนา คลองภาษีเจริญ

คลิกที่รูปเพื่อขยาย!!


หรือคลิกที่นี่เพื่อดูรูปที่ใหญ่กว่า

ต่อมาน้ำเหนือจากนนทบุรีสูงเลยคันกั้นน้ำของคลองทวีวัฒนาจนทะลักเข้าท่วมฝั่งธน แถมน้ำจากนนทบุรียังตีโอบอ้อมหลังเข้าท่วมกทม.อีกด้วย

ทีนี้เมื่อน้ำเหนือเริ่มลดลง ก็ข้ามคันกั้นน้ำคลองมหาสวัสดิ์และคลองทวีวัฒนาไม่ได้อีก นี่คือระบบการป้องกันตนเองของกรุงเทพฯ ซึ่งก่อนหน้านี้นนทบุรีและปทุมธานีก็กั้นแบบนี้เช่นกัน แต่เอาไม่อยู่ จนท่วมหนัก!!

ทีนี้พอน้ำเหนือข้ามคันกั้นน้ำทวีวัฒนาและคลองมหาสวัสดิ์ไม่ได้แล้ว ทำไมคนนนทบุรีต้องมากดดันให้รื้อคันคลองทวีวัฒนาของกทม.ออกล่ะครับ มันไม่สมเหตุสมผลเลย

เมื่อน้ำไม่สามารถไหลข้ามคันได้อีก ก็จะไหลไปตามแนวคลองทวีวัฒนาและคลองมหาสวัสดิ์เพื่อลงแม่น้ำท่าจีนทางฝั่งตะวันตก ส่วนด้านตะวันออกก็ลงคลองต่างๆที่ต่อเชื่อมกันเพื่อลงแม่น้ำเจ้าพระยา นี่คือระบบระบายน้ำที่ถูกต้อง นี่แหล่ะที่เขาเรียกว่าการบริหารจัดการน้ำให้อยู่ในระบบ

ถ้าเอาคันกั้นน้ำคลองทวีวัฒนาและคลองมหาสวัสดิ์ออก มันก็จะท่วมกรุงเทพฯอีก นี่เขาเรียกว่า ปล่อยน้ำไหลแบบไม่เป็นระบบ

เมื่อชาวเมืองนนท์เรียกร้องให้เปิดประตูน้ำในคลองมหาสวัสดิ์หลายคลอง ผู้ว่าฯกทม.ก็ยอมเปิดให้แล้ว แต่ชาวนนท์ซึ่งไม่รู้เป็นใครเพราะข่าวไม่ได้แจ้ง กลับไม่พอใจจนคิดจะฟ้องผู้ว่าฯ กทม.อีก ผมว่าระบบความคิดของคนที่คิดจะฟ้องผู้ว่าฯ กทม.คงเพี้ยนแล้วครับ

ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ พอผู้ว่าฯกทม.ยอมเปิดประตูน้ำเพิ่ม ก็เห็นมีข่าวเครือข่ายเฟซบุ๊คคนเมืองนนท์ขอบคุณผุ้ว่าฯกทม.แล้วนี่ ตามข่าวนี้ http://astv.mobi/AV77Uie

-----------------------------

ปัญหาของเมืองนนท์คืออะไร?

สิ่งหนึ่งที่ทำให้เมืองนนท์ท่วมมาก นอกจากน้ำท่วมทุ่งแล้ว อีกสาเหตุนึงคือ จังหวัดนนทบุรีไม่มีคันกั้นน้ำตามแนวพระราชดำริ ทำให้น้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาข้ามไปท่วมเมืองนนท์ได้ ซึ่งวิธีที่คนเมืองนนท์ควรคิดแก้ปัญหาตัวเองคือ

ต้องเรียกร้องให้ทำคันกั้นแม่น้ำเจ้าพระยาชั่วคราว เช่นขอให้ศปภ.มาวางบิ๊กแบคตามแนวแม่น้ำเจ้าพระยา แล้วเร่งสูบน้ำจากนนทบุรีออกทางแม่น้ำเจ้าพระยาให้มากขึ้น ไม่ใช่คิดปล่อยให้น้ำไหลเข้ากรุงเทพฯมหานครอย่างเดียว เพราะยังมีคลองในเขตนนทบุรีอีกหลายคลองที่ผันลงแม่น้ำท่าจีนได้

ผมเคยบอกแล้วว่า การปล่อยให้น้ำไหลเข้ากรุงเทพฯไม่ใช่การแก้ปัญหาที่รวดเร็ว ใครไม่เข้าใจกลับไปอ่านบทความเก่า เรื่อง ถ้าฉลาด!! ต้องไม่ให้น้ำเหนือเข้ากรุง

ทีนี้คนนทบุรีอาจมองเห็นว่า ย่านบางพลัดน้ำแห้งแล้ว แต่ทำไมนนทบุรีน้ำยังไม่แห้ง

คำตอบก็คือ ย่านบางพลัดเขาไม่ได้ท่วมจากน้ำท่วมทุ่ง แต่เขาท่วมจากคันกั้นน้ำของเอกชนที่เป็นแนวฟันหลอ ที่ไม่ยอมให้กทม.เข้ามาสร้างคันกั้นน้ำตามแนวพระราชดำริเกิดพังหลายจุด

ทีนี้พอย่านบางพลัดเขาซ่อมคันกั้นน้ำที่แตกเสร็จ เขาก็เร่งสูบน้ำลงเจ้าพระยา บางพลัดจึงแห้ง แต่คนเมืองนนท์เห็นบางพลัดแห้งก็คิดว่า ทำไมบางพลัดที่อยู่ต่ำกว่านนท์ทำไมแห้ง แล้วก็โทษว่ากทม.กั้นไม่ให้น้ำจากนนทบุรีไหลเข้ากรุงเทพฯ

-------------------------

ทุกคนมีสิทธิป้องกัน แต่ทุกคนไม่มีสิทธิทำลาย

ตอนน้ำเหนือไหลมาปทุมธานี ปทุมธานีก็กักน้ำไม่ให้เข้า นนทบุรีก็กักน้ำไม่ให้เข้า นั่นเพราะทุกจังหวัดมีสิทธิปกป้องพื้นที่ตัวเอง

ทีนี้เมือปทุมเอาไม่อยู่ นนท์เอาไม่อยู่ จนท่วมหนัก แล้วฝ่าด่านมาเรื่อยๆจนเข้าถึงกรุงเทพฯ

กรุงเทพฯเขาก็ป้องกันพื้นที่เขาแบบที่ปทุมธานี และนนทบุรีเคยทำนั่นแหล่ะ ซึ่งเขาก็เอาไม่อยู่ น้ำข้ามคันกั้นน้ำได้

แต่ตอนนี้น้ำเหนือลดลง ไม่สามารถข้ามคันกั้นน้ำของกรุงเทพฯได้ อยู่ๆชาวนนท์จะมาบอกให้กทม.รื้อออก ผมว่านี่คือความคิดผิดแล้วครับ

เพราะถ้ารื้อออก ก็ท่วมคนทวีวัฒนาหนักอีก ซึ่งตอนนี้ก็ยังท่วมแต่เบาลงแล้ว และเมื่อกทม.เปิดประตูน้ำทวีวัฒนาเพื่ม เพื่อช่วยระบายน้ำให้นนทบุรี นี่คือน้ำใจของผู้ว่าฯกทม.แล้วครับ

แต่การปล่อยให้น้ำเข้ากทม. ก็ต้องให้กทม.ควบคุมจัดการได้ด้วย แบบนี้แหล่ะครับ ที่เรียกว่า บริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ

ถ้าผู้ว่ากทม.เชื่อคนนทบุรีทุกอย่าง กทม.ก็จะไม่สามารถควบคุมปริมาณน้ำที่ไหลบ่าเข้ามาได้ คนกทม.ในฝั่งธนก็จะท่วมหนักอีกครั้ง

แบบนี้แหล่ะครับ ที่คนฝั่งธนจะฟ้องผู้ว่าฯกทม. ว่าบริหารน้ำไม่มีประสิทธิภาพ เพราะเอาแต่กลัวคนนทบุรี จนทำให้คนฝั่งธนท่วมหนักอีก!!

คนนนทบุรีมีสิทธิสร้างคันกั้นน้ำปกป้องนนทบุรีฉันใด กทม.ก็มีสิทธิสร้างคันกั้นน้ำปกป้องกทม.เช่นกันฉันนั้น

คนนนทบุรีไม่มีสิทธิบุกเข้ามารื้อทรัพย์สินของกทม. ไม่มีสิทธิเข้ามาทำลายคันกั้นน้ำในฝั่งกทม.

เฉกเช่น ทุกคนมีสิทธิปกป้องบ้านของตัวเองด้วยกำแพงบ้าน คนข้างนอกไม่มีสิทธิมาทำลายกำแพงบ้านของคนอื่นครับ

ถ้าคนนนทบุรีอยากฟ้อง โน่นครับไปฟ้องศปภ.โน่นครับ ที่กักน้ำ เอาอยู่ๆ มาตลอดทาง จนสุดท้ายท่วมหนักนั่นแหล่ะครับ

ผมมั่นใจว่า คดีนี้ชาวนนทบุรีคนนั้นไม่น่าจะชนะผู้ว่าฯกทม.ครับ!!

-----------------------

ก่อนจบ ผมอยากเล่าเล็กน้อย

น้าสาวผม คนนึงอยู่บางใหญ่ นนทบุรี หนีน้ำจากบางใหญ่ไปที่บ้านน้าสาวอีกคนที่พระราม2

ส่วนอาผม อยู่ริมคลองภาษีเจริญ กระทุ่มแบน ท่วมไปแล้ว หนีไปราชบุรีแล้วเช่นกัน

ผมจึงอยากบอกว่า ท่วมที่ไหนก็กระทบญาติพี่น้องของผมทุกที่ ฉะนั้นที่ผมเขียนบทความผมไม่เข้าข้างใครครับ

ถามว่าทำไมเมืองนนท์ และแถบรังสิตถึงท่วมเป็นเดือน? คำตอบก็คือ ตอนนี้พื้นที่ส่วนใหญ่ในอยุธยาก็ท่วมเกิน1เมตรครับ ในมื่ออยุธยายังไม่แห้ง นนทบุรีและรังสิตก็จะไม่แห้งง่ายๆเช่นกัน

คนที่นนทบุรี และปทุมธานี ต้องใจเย็นๆ พวกคุณท่วม1เดือนและก็ลดลงเรื่อยๆ แต่อยุธยาเขาท่วมกว่า2เดือนแล้วครับ

นักวิชาการอิสราเอลที่มากับอาจารย์เสรี ยังพูดเลยว่า วิธีเดียวที่จะทำให้แห้งได้อย่างเร็วคือ ต้องล้อมพื้นที่แล้วสูบออก โดยที่ต้องเลือกว่า พื้นที่ไหนสำคัญกว่า ก็ให้ล้อมพื้นที่นั้นแล้วสูบออกก่อน ซึ่งต้องสื่อสารให้มวลชนในพื้นที่เข้าใจ

แต่ถ้าทุกคนเห็นแต่พื้นที่ตัวเองสำคัญที่สุด ก็จะไม่มีพื้นที่ไหนรอดง่ายๆครับ เพราะจะท่วมเท่าเทียมกัน

อย่างเช่น ปทุมธานีคิดจะกู้ตลาดรังสิตก่อน ด้วยการล้อมพื้นที่แล้วสูบออกไปที่พื้นที่อื่นๆ เพราะตลาดรังสิตเป็นพื้นที่ค้าขายธุรกิจ ทำให้คนปทุมมีที่จับจ่ายซื้อของ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อคนรังสิตส่วนรวม  แต่คนหมู่บ้านรัตนโกสินทร์200ปีกลับไม่ยอม แบบนี้แหล่ะครับ ที่เขาเรียกว่า ท่วมเท่าเทียมกัน ก็จมไปด้วยกันทั้งหมด!!



กทม.เฝ้าระวังระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นจากการเปิดปตร.คลองมหาสวัสดิ์
คลิกอ่าน หัวอกคนดอนเมือง กรณีบิ๊กแบค ใครผิด?

วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

หัวอกคนดอนเมืองกับกรณีบิ๊กแบคใครผิด?






มตั้งใจว่าจะเขียนบทความเรื่องนี้มาหลายวัน แต่อย่างที่เคยบอก หลังๆบล็อคนี้เน้นสาระมากขึ้น ผู้เขียนก็เลยชักเหนื่อย!! ^^

ก่อนอื่นผมต้องเท้าความประวัติส่วนตัวเท่าที่พอจะเปิดเผยได้สักเล็กน้อย เพื่อให้ผู้อ่านได้รู้ว่า ผมจะเขียนบทความอย่างไม่เอนเอียงให้คนเหนือบิ๊กแบค และใต้บิ๊กแบค

-------------------

ผมผูกพันธ์กับย่านดอนเมืองที่สุด

ตอนเด็กๆบ้านผมอยู่ปากทางลาดพร้าว อยู่ลาดพร้าวซอย1 หรือซอยสังขะวัฒนะ ผมอยู่ปากทางลาดพร้าวมา21ปี ตั้งแต่เกิดจนอายุ21 ฉะนั้นเมื่อปากทางลาดพร้าวน้ำท่วม ผมย่อมเสียใจ คนที่ผมรู้จัก เพื่อนฝูงของผมที่คุ้นเคย เพื่อนบ้านของผม ก็คงได้รับความเดือดร้อน

ซึ่งถ้าผมยังอยู่ที่ปากทางลาดพร้าวจนถึงปัจจุบัน ผมก็คงเป็นผู้ประสบภัยเช่นกัน

พ่อผมเป็นทหารอากาศ ผมไปเล่นที่กองทัพอากาศดอนเมือง ในกรม ในกองร้อย ที่พ่อทำงานอยู่มาตั้งแต่เด็กๆ ผมขี่จักรยานไปทั่วกองทัพอากาศตั้งแต่9ขวบ บ่อยครั้งผมนอนค้างในกองทัพอากาศในยามที่พ่อผมต้องเข้าเวร ผมแก้ผ้าอาบน้ำกับทหารเกณฑ์มาตั้งแต่เด็ก

ผมเติบโตมาทันเห็นถนนพหลโยธินหน้ากองทัพอากาศ ยังมีแค่2เลน มีร่มไม้จากต้นก้ามปูทั้ง2ฝั่ง เป็นถนนที่ร่มรื่น แต่โดนตัดทิ้งเพื่อขยายถนน

ผมได้ทันขูดสลากคุ้มเกล้า ได้เห็นอาคารคุ้มเกล้าของโรงพยาบาลภูมิพลตั้งแต่เริ่มสร้างจนสร้างเสร็จ กลายเป็นตึกโรงพยาบาลที่ทันสมัยมากๆในสมัยนั้น บรรยากาศตึกคุ้มเกล้าหลังสร้างเสร็จใหม่ๆ นึกว่าโรงแรม5ดาวเสียอีก

เมื่อปี2540 ผมได้ไปซื้อบ้าน เพื่อทำธุรกิจในย่านดอนเมืองร่วมๆ5ปี ตอนนั้นผมอยู่ที่ซอยพหลโยธิน64 หรือที่เขาเรียกกันว่า ซอยกม.27 ซึ่งอยู่เหนือคันบิ๊กแบค ซึ่งทราบว่าน้ำท่วมมิดหัว ซอยนี้มีบ้านอดีต ผบ.ทอ.อยู่หลายคน

ผมคุ้นเคยกับซอย39 หรือซ.พหลโยธิน62 (อดีตซอยอู่รถเมล์สาย39) เพราะผมไปเหมาเบียร์ เหมาเหล้ายามต้นเดือนจากยี่ปั๊วในซอยนั้นเป็นประจำ และปากซอย39มีหาบเร่ข้าวเหนียวหมูปิ้ง เจ้าอร่อยที่สุดในปฐพีอยู่2เจ้า

ผมคุ้ยเคยกับซอยจามร เพราะพ่อผมได้ซื้อที่ดินทิ้งไว้ เพื่อนพ่อผมหลายคนอยู่ในซอยจามร หรือซ.พหลโยธิน66

ผมคุ้ยเคยกับซอยหมู่บ้านการ์เด้นโฮม หรือซ.พหลโยธิน60 เพราะผมไปฝาก-ถอนเงินที่ธนาคารเอเซียตรงการ์เด้นโฮมทุกเดือน 10กว่าปีที่แล้วผมแวะกินก๋วยเตี๋ยวหน้าปากซอยการ์เด้นโฮม และข้าวขาหมูในซอยนั้นบ่อยมาก ๆ  หมู่บ้านการ์เด้นโฮม เป็นหมู่บ้านคนรวย เพราะจะมีหมอและพยาบาลจากร.พ.ภูมิพลฯ มีนักบิน สจ๊วตและแอร์โฮสเตส ไปซื้อบ้านที่หมู่บ้านนี้กันมาก

ผมคุ้ยเคยกับร้านแหนมฉายรังสีกม.26 เพราะซื้อประจำ (แกล้มเบียร์)

ซอยแอนเน็กซ์ ผมไม่ค่อยคุ้นเท่าไหร่ แต่เด็กผู้หญิงแสนน่ารักข้างบ้านผมเรียนชั้นประถมในโรงเรียนที่อยู่ในซอยนี้

เพื่อนสนิทแม่ผม อยู่หมู่บ่านวังทองติดกับเซียร์รังสิต ซึ่งท่วมหนักมากๆ ผมคุ้ยเคยเพราะผมไปส่งแม่ที่นี่เป็นประจำ

ที่่เล่ามาคร่าวๆ พอจะเห็นภาพแล้วใช่มั้ยครับ ว่าผมผูกพันธ์กับย่านดอนเมืองมากแค่ไหน?

ซึ่งจนทุกวันนี้ก่อนน้ำท่วม ผมก็ยังไปย่านดอนเมืองอยู่เป็นประจำ แต่ปัจจุบันบ้านผมอยู่โชคชัย4ครับ

-----------------------

ศปภ.วางบิ๊กแบคผิดจุด

ผมเคยอธิบายหน้าที่ศปภ. กับหน้าที่กทม.ในบล็อคเซียนแซวการเมืองไปหลายครั้ง และผมเคยเขียนเรื่องทำไมจำเป็นต้องอุดคันเมืองเอก(คลิก!!) ด้วยการวางบิ๊กแบค เพราะก่อนหน้านั้นผมเข้าใจว่า ศปภ.จะไปวางบิ๊กแบคตรงหลักหกและเมืองเอกเรื่อยไปตามแนวคลองรังสิต เช่นตรงใต้สะพานกลับรถข้ามคลองรังสิต (สะพานแก้ว)

แต่กลายเป็นว่า ศปภ.ดันมาวางกั๊กตัดตอนเหนือกทม. เช่นตรงแยกคปอ. , หัวถนนวิภาวดี ทำให้คนกรุงเทพฯถูกแบ่งเป็นคนเหนือคันบิ๊กแบค และคนใต้คันบิ๊กแบค

ทั้งๆที่จริงควรวางตามแนวคลองรังสิต แม้จะมีปัญหากับคนย่านฝั่งรังสิต แต่มันจะทำให้อธิบายความให้ชาวบ้านได้ง่ายกว่า และเป็นระบบที่ถูกต้อง ในการระบายน้ำตามแนวคลองรังสิตไปซ้ายและขวา โดยไม่ให้น้ำพุ่งเข้ากลางกรุงมากเกินไป และควรทำฝายน้ำล้นเสียตั้งแต่แรก ไม่ใช่อุดจนหมด!!

ถามว่า ถ้าไปกั้นน้ำตามแนวคลองรังสิต ผมเดือดร้อนมั้ย? 

ผมเดือดร้อนเช่นกันครับ เพราะน้องชายผมไปซื้อบ้านที่ถนนรังสิต-นครนายก ตรงช่วงคลอง3 ในบ้านน้องชายผม ท่วมถึงเข่า หน้าบ้านน้องชายก็ถึงอก แต่ดีที่น้องชายผมยังไม่ได้ย้ายเข้าไป และบ้านก็เสียหายพอควร ซึ่งคงไม่ได้เงินช่วยเหลือจากรัฐบาล เพราะยังไม่ได้ย้ายทะเบียนบ้านเข้าไป แต่ทราบมาว่าน้ำเริ่มลงมากพอควรแล้ว

ถ้าศปภ.วางแนวบิ๊กแบคที่เมืองเอก และเรื่อยไปตามแนวคลองรังสิต ศปภ.ก็ต้องบริหารจัดการน้ำด้วยการสูบน้ำออกไปทางตะวันตกลงเจ้าพระยา เร่งสูบไปทางตะวันออก ผ่านทางคลอง13อย่างเต็มที่

แต่ศปภ.ก็ไม่ได้วางตามแนวนี้ ดันไปวางแบ่งแยกคนกรุงให้ออกจากกัน ซึ่งอย่างซอยพหลโยธิน64 ที่ผมเคยอยู่ หน้าปากซอยเป็นเขตสายไหม แต่พอเข้าไปในซอยสัก150เมตร กลับกลายเป็นเขตลำลูกกาไปแล้ว

นั่นจึงทำให้ คนสายไหมนอกบิ๊กแบค และคนลำลูกกา ต.คูคต คือหัวอกของคนจมน้ำเน่านานเหมือนกัน จากการที่ถูกบิ๊กแบคขวางทางน้ำไหลลงใต้เอาไว้

--------------------------

ความผิดอยู่ที่ศปภ.เจ้าเดียว

เพราะศปภ.มีหน้าที่ป้องกันน้ำไหลเข้ากรุงเทพ มีหน้าที่ระบายน้ำทั่วประเทศ ยกเว้นกรุงเทพฯที่เดียว

เมื่อศปภ.วางบิ๊กแบคแล้ว ก็ต้องรีบระบายน้ำที่คลองรังสิตอย่างเต็มที่ แต่พอชาวบ้านเหนือคันบิ๊กแบคไปสำรวจที่ประตูน้ำจุฬาลงกรณ์ กลับพบว่า เครื่องสูบมีน้อย แถมมีเสียอีกด้วย ทำให้น้ำในพื้นที่เหนือบิ๊กแบคเลยไม่มีทางไป น้ำแทบไม่ลดลง เพราะ ศปภ.กักน้ำไว้ในพื้นที่ของเขา

นี่จึงเป็นความผิดของศปภ.ที่ชัดเจน เพราะในเมื่อคุณไม่ให้น้ำไหลลงใต้เข้ากรุงเทพฯชั้นในเพิ่ม ศปภ.ก็ต้องไประบายน้ำให้คนที่อยู่เหนือคันบิ๊กแบค ผ่านคลองรังสิตอย่างเต็มที่ให้มากที่สุด

แต่ในความเป็นจริง ศปภ.กลับระบายน้ำได้น้อยมาก ทำงานแบบเช้าชามเย็นชาม จนชาวบ้านเหนือคันบิ๊กแบคเขาทนไม่ไหว เพราะเขาไม่เคยได้รับความช่วยเหลือเรื่องถุงยังชีพจากศปภ. ทั้งๆทีศปภ.เคยอยู่ที่ดอนเมืองแท้ๆ อยู่ใกล้พวกเขา แต่กลับไม่เคยเหลียวแลพวกเขา

ถ้าชาวดอนเมืองไม่ประท้วง ไม่ไปกระทุ้ง ศปภ.มันก็คงไม่ซ่อมเครื่องสูบน้ำอย่างรวดเร็ว!!

-----------------------------

ศปภ. เท้าไม่เคยเปียก

ปัญหาคลอง8 9 10ลำลูกกาก็เช่นกัน ศปภ.ไม่เคยไปเหลียวแล ไม่เคยไปอธิบายให้เขารู้ ไม่เคยไปช่วยเหลือพวกเขา

ชาวคลอง8 9 10 เขาบอกว่า มีคนด่าเขาว่าทำไมไม่เสียสละเพื่อส่วนรวม ทำไมต้องทำให้คนไทยแตกแยกเพราะเรื่องประตูน้ำ

ชาวคลอง8 9 10 เขาตอบให้คุณสรยุทธฟังว่า พวกเขาน่ะเสียสละท่วมมาตั้งนานแล้ว แต่ไม่เคยมีใครมาช่วยเขาบ้าง ที่อยุธยาแตกเพราะเมืองหลวงไม่ส่งกำลังไม่ส่งปืนใหญ่ไปช่วยชาวบางระจัน พวกเขาก็เหมือนชาวบางระจันนี่แหล่ะ ที่เสียสละจมน้ำมาร่วมเดือนแล้ว อยู่ๆจะมาปิดประตูน้ำลงไปอีก ซึ่งจะทำให้เขาท่วมจนมิดหลังคา จะไม่มีที่อยู่

ไม่ช่วยเขาเขาไม่ว่า แต่อย่ามาทำลายจนเขาจะไม่มีที่ซุกหัวนอน นี่คือหัวอกคนคลอง8 9 10

แล้วทำไมรัฐบาลไม่ไปเยียวยาพวกเขาบ้าง ทั้งชุมชนมีส้วมใช้ได้แค่ห้องเดียว ไม่เคยมีหน่วยงานไหนมาแจกส้วมลอยน้ำให้พวกเขาเลย

สุดท้ายช่อง3 โดยคุณสรยุทธที่ไปช่วยไกล่เกลี่ย ก็ได้ส่งถุงยังชีพ เอาส้วมลอยน้ำไปให้ชาวคลอง8 9 10 ก่อนศปภ.เสียอีก ทำให้ต่อมาชาวบ้านก็ยอมเจรจาเรื่องประตูระบายน้ำอย่างสันติมากขึ้น

ศปภ. มันหายหัวไปไหน?

คลิปคนลำลูกกาคลอง8 อธิบายให้สรยุทธฟัง




----------------------------------

คนดอนเมืองอยากฟ้องศปภ. ต้องอดทน

ผมเห็นคนดอนเมืองไปรื้อบิ๊กแบคกันหลายครั้ง ผมอยากบอกว่า ถ้าพวกคุณคิดจะฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากรัฐบาลและศปภ.อย่างเต็มที่

แต่คุณไปรื้อบิ๊กแบค จะทำให้รูปคดีของคุณอ่อนลง อาจชนะแต่จะได้เงินน้อยลง เพราะพวกคุณได้รื้อบิ๊กแบคแล้ว ซึ่งถือว่าพวกคุณได้ทำความเสียหายให้กับคนใต้บิ๊กแบคมากขึ้น

ผู้ว่าฯกทม. มีหน้าที่ปกป้องกทม. ผู้ว่าฯกทม.มีหน้าที่ระบายน้ำแค่ในกทม. เท่านั้น

แต่เมื่อศปภ.วางบิ๊กแบคห้ามน้ำไหลลงใต้ ฉะนั้น ศปภ.ก็ต้องไประบายน้ำที่คลองรังสิตอย่างเต็มที่ และต้องเยียวยาช่วยเหลือคนเหนือคันบิ๊กแบคอย่างเต็มที่เช่นกัน

เพราะศปภ.มีงบประมาณ มีการรับของบริจาคทั่วประเทศ โดยมีนายกยิ่งลักษณ์ยืนยิ้มรับมอบของบริจาค

แต่เรากลับไม่เคยเห็นผู้ว่าสุขุมพันธุ์ยืนยิ้มรับของบริจาค จริงมั้ย?

ซึ่งถ้าศปภ.ไม่ทำ นั่นคือความผิดของศปภ.

คนดอนเมืองต้องอย่าลืมว่า ดอนเมืองคือที่สูง แต่วันนี้ที่ดอนเมืองกลับจม แต่พื้นที่ฟลัดเวย์ด้านตะวันออกส่วนใหญ่กลับรอด!? นี่คือความไม่ชอบมาพากลของรัฐบาลนี้

ผมแนะนำให้คนดอนเมืองไปหาข้อมูลเรื่องการระบายน้ำทางตะวันออกทำไมถึงล่าช้า? ใช้ฟ้องศปภ.ครับ

ประเด็นนี้แหล่ะที่คุณจะชนะคดีต่อศปภ. เพราะที่ดอนอย่างดอนเมืองกลับจม แต่ที่หนองอย่างหนองงูเห่ากลับรอด!!

หมายเหตุ เมื่อคนเหนือบิ๊กแบครื้อบิ๊กแบค ผลกระทบก็จะไปหนักที่ย่านรามอินทรามากกว่าที่อื่น จึงทำให้คนรามอินทราเลยออกมาประท้วงกล่าวหาว่า กทม.จะให้รามอินทราเป็นแก้มลิงรับน้ำจากคนเหนือบิ๊กแบค?? 

---------------------------------

ทำไมรื้อคันบิ๊กแบคแล้วน้ำเหนือคันก็ยังลดลงไม่มาก

ก็เพราะตอนวางบิ๊กแบค น้ำจะเกิดอั้นบ้าง แต่จะไม่ท่วมเท่าจุดที่เคยสูงสุด เพียงแต่น้ำจะลดลงช้ากว่าเดิม

เมื่อคนดอนเมืองเหนือคันบิ๊กแบคไปรื้อคันบิ๊กแบค ก็ทำให้น้ำเหนือที่เคยหาทางไหลไปตะวันตกและตะวันออกมากขึ้น ก็กลับกลายจะพุ่งทะลุเข้ากลางมากขึ้น น้ำเหนือจึงมาเติมในพื้นที่พวกคุณอยู่เรื่อยๆ ทำให้น้ำในพื้นที่คุณก็ลดลงเร็วแค่วันแรกที่รื้อบิ๊กแบคเท่านั้น วันต่อมาก็ลงช้าเหมือนเดิม

แต่กรุงเทพฯชั้นใน กลับต้องแบกภาระในการระบายน้ำมากขึ้น คนใต้บิ๊กแบคบริเวณที่ติดบิ๊กแบคก็ท่วมนานต่อไป ไม่มีทางลดลงเร็ว เพราะมีน้ำมาเติมตลอด กำลังสูบกรุงเทพฯให้แห้ง ก็จะช้าลงเพราะต้องสู้กับน้ำที่ไหลบ่าเข้าจากตรงแยกคปอ.มากขึ้น

และอยากบอกคนหนือบิ๊กแบคว่า นอกจากพวกคุณจะใช้แรงไปรื้อบิ๊กแบคแล้ว พวกคุณน่าจะใช้แรงไปโกยขยะที่ขวางคลองเปรมประชากรออกด้วยจะมีประโยชน์มาก

ดูนาที่ที่3.50เป็นต้นไป ขยะในคลองเปรม เยอะและหนามากๆ



---------------------------

ถ้าผมยังอยู่เหนือคันบิ๊กแบค

ผมจะไม่มีทางรื้อบิ๊กแบค ผมจะไม่เอาความเดือดร้อนของคนอีกฟากเป็นตัวประกัน ถ้าผมจะประท้วงรัฐบาล ผมจะไปปิดถนนที่หน้าศปภ. ดีกว่ามารื้อบิ๊กแบค เพราะผมไม่ต้องการซ้ำเติมให้กรุงเทพฯชั้นใน ต้องท่วมเหมือนผมอีก

เพราะผมคือคนไทย ซึ่งมีหน้าที่ต้องปกป้องเมืองหลวงของชาติครับ เพราะผมคิดเหมือนชาวบ้านบางระจันที่ต้องปกป้องไม่ให้ข้าศึกเข้าเมืองหลวงได้โดยง่าย แม้เมืองหลวงจะไม่ช่วยเหลือผมก็ตาม

ถ้าใครไม่เข้าใจที่ผมบอก ให้ไปอ่านได้ที่ ทางเลือกบุญกับบาป ในภาวะน้ำท่วม คลิก!!

ผมกลับคิดว่า ถ้ากรุงเทพฯชั้นในค่อยๆแห้งขึ้นมาเรื่อยๆ แห้งไล่จากจตุจักร ขึ้นมาห้าแยกลาดพร้าว ขึ้นมาแยกเกษตร ขึ้นมาแยกวงเวียนบางเขน ขึ้นมาที่สะพานใหม่ ขึ้นมาที่กองทัพอากาศ และโรงพยาบาลภูมิพล

ก็จะแห้งขึ้นมาเรื่อยๆจนถึงแยกคปอ. ถ้าถึงตรงนี้ กทม.ชั้นในก็รอด ทุกอย่างจะเริ่มเข้าภาวะปกติ ผู้ว่าฯ กทม.จะได้ส่งกำลังมาช่วยเร่งสูบน้ำพื้นที่เหนือบิ๊กแบคได้มากขึ้น ก็จะแห้งในที่สุด

แต่ถ้าคนที่อยู่เหนือบิ๊คแบค เอาแต่รื้อบิ๊กแบคอยู่เรื่อยๆ กทม.ชั้นในก็ไม่รอดซักที ในเมื่อกทม.ยังเอาตัวไม่รอด แล้วเขาจะมาช่วยคุณให้รอดก่อนได้ยังไง?

ผมเองมีเพื่อน มีคนรู้จัก มีผู้มีพระคุณ อยู่ในพื้นที่เหนือบิ๊กแบค ผมได้ติดตามข่าวสารแทบทุกช่อง เห็นความยากลำบากอย่างสาหัสของชาวเหนือคันบิ๊กแบค

ถ้าผมยังอยู่ที่ซอยกม.27 ผมก็จะเป็นผู้ประสบอุทกภัยเช่นกัน ผมใช้หลักใจเขาใจเรา ถ้าบ้านผมน้ำท่วมแบบพวกเขา ผมคงทุกข์มากๆเช่นกัน แต่ผมจะอดทน จะไม่ทำให้ใครท่วมแบบผม

----------------------------

ข้าศึกบุกกรุงศรีอยุธยา

เมื่อข้าศึกบุกกรุงศรีอยุธยา ก็ต้องผ่านเมืองหน้าด่านมาก่อน กว่าจะถึงกรุงศรี

ถ้าเมืองหน้าด่านที่พ่ายแพ้ กลับมาบอกว่า กรุงศรีอยุธยาต้องเจอข้าศึกยึดอย่างเท่าเทียมกัน มันก็จะไม่มีทางรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทยจนเป็นประเทศไทยได้ในวันนี้หรอกครับ

ทำไมพระเจ้าตากต้องไปตีเมืองจันทบูร? ก็เพราะเจ้าเมืองจันทบูรคิดแตกแยกกับอยุธยา ไม่คิดช่วยเหลือเมืองหลวง กระด้างกระเดื่อง!!

แล้วพระเจ้าตากก็ทรงกอบกู้เอกราชได้ที่กรุงศรีอยุธยา เพราะชาติจะเป็นเอกราชได้ เมืองหลวงต้องเป็นเอกราชก่อน

เช่นเดียวกัน จะกอบกู้บ้านเมืองได้ เมืองหลวงต้องปลอดภัยก่อน เพราะจุดยุทธศาสตร์ในการทำสงครามตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันอยู่ที่เมืองหลวง

เราคนไทยอยากเห็นกรุงเทพฯเป็นดั่งกรุงศรีอยุธยาเหรอครับ ที่แม้จะกอบกู้บ้านเมืองคืนมาได้ แต่ก็เสียหายจนยากเกินจะเยียวยา จนต้องย้ายเมืองหลวง

ผมคนนึงล่ะ ไม่ต้องการเห็นเช่นนั้น เพราะในหลวงของผมอยู่ที่นี่ พระบรมมหาราชวังของผม บรรพบุรุษผู้จงรักภักดีของผมสร้างกรุงเทพฯขึ้นมา ผมต้องปกป้องให้ถึงที่สุดครับ

จงอย่ามองที่คน เช่นคนกรุงเทพท่วมไม่ได้เหรอ? (คนดอนเมือง คนสายไหมนอกคันก็คนกรุงเทพ แต่ก็ท่วมไปแล้ว)

แต่ให้มองที่กรุงเทพฯ ว่าเป็นเมืองหลวงของเราครับ เมืองหลวงย่อมสำคัญที่สุดครับ จำไว้นะครับ

แนะนำให้ใครที่ไม่เข้าใจว่า ทำไมต้องปกป้องกรุงเทพฯ ผมขอแนะนำให้ไปอ่านอีก2บทความ คือ

ทำไมต้องรักษากรุงเทพฯให้รอดจากน้ำท่วม? (คลิก!!)

ถ้าฉลาด!!ต้องไม่ให้น้ำเหนือเข้ากรุง? (คลิก!!) (บทความนี้จะชี้ความเชื่อผิดๆของคนจำนวนมากที่คิดว่า ปล่อยน้ำไหลตามธรรมชาติผ่านกรุงเทพจะแก้ปัญหาได้เร็วขึ้น)



สรุปสุดท้าย นายกยิ่งลักษณ์เป็นผู้นำชาติไม่ได้ ไม่กล้าตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ในเมื่อวางบิ๊กแบกแล้ว ก็ต้องเด็ดขาด ต้องเยียวยาผู้เดือดร้อนจากการวางบิ๊กแบค และต้องป้องกันไม่ให้คนทำลายบิ๊กแบค (อันนี้ถ้าไม่ใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินก็เอาผิดคนรื้อไม่ได้เพราะเขาปกป้องบ้านเขา) เพราะคนในกรุงเทพฯชั้นในมีหลายล้านคน แต่คนเหนือคันบิ๊กแบคมีไม่กี่แสนคน

ต้องเลือกว่าจะรักษาอะไร ถ้ามัวแต่ยึกยัก ไอ้โน่นก็ไม่ได้ ไอ้นี่ก็กลัว เยียวยาก็ไม่ทำ เด็ดขาดก็ไม่กล้า สุดท้ายก็แย่ทั้งสองฟาก

 นี่แหล่ะคือความผิดพลาดของการไร้ภาวะผู้นำ!!

v

v

ผมขอแนะนำให้ค่อยๆรื้อบิ๊กแบคแนวเดิมออกให้หมด แล้วไปวางบิ๊กแบคใหม่ตามแนวคลองรังสิตจะดีกว่าครับ

(ทราบข่าวมาว่าได้เริ่มวางบิ๊กแบคตามแนวใหม่แล้ว ซึ่งน้ำบริเวณนั้นก็ลดลงมากแล้ว จากเดิมถ้าคิดจะวางต้องใช้บิ๊กแบคเกิน2ชั้น แต่ตอนนี้ใช้แค่ชั้นเดียวก็พอ)


คลิกอ่าน กรณีชาวนนทบุรีฟ้องผู้ว่าฯ กทม.



วันพุธที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เรืองไกรไม่มีทางชนะ กรณีฟ้องมาร์คกักน้ำ




คุณผู้อ่านครับ ผมได้เขียนอธิบายเรื่องการบริหารจัดการน้ำในเขื่อนมาตลอดเดือนตุลาคม จนถึงพฤศจิกายน ในหลายบทความมากๆ ผมอธิบายไปแล้วว่า ทำไมน้ำในเขื่อนในแต่ละช่วงถึงได้มากกว่าทุกปีที่ผ่านมาอย่างไร และผมไม่เชื่อเรื่องการกักน้ำเพื่อแกล้งรัฐบาลนี้ และไม่อยากให้ใครเอาประเด็นนี้มาใส่ร้ายกัน

นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ แต่ก่อนก็ดูดีนะครับ แต่พักหลังๆดูท่านเรืองไกรจะเข้าข้างแม้วมากขึ้น หรือเพราะแอบไปรับใต้โต๊ะที่ดูไบแอนด์มอนเตรเนโกรรึเปล่า? ใครจะไปรู้?

ในเมื่อยังจะมีคนอยากเล่นประเด็นกักน้ำแกล้งยิ่งลักษณ์นี้ต่ออีก ผมจึงขอมาสรุปคร่าวๆให้คุณเรืองไกรหายโง่!! 

การที่คุณเรืองไกร บอกว่าการบริหารน้ำในเขื่อนสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ผิดพลาดนั้น ไม่น่าจะจริงครับ เพราะรัฐมนตรีที่คุมกรมชลประทานก็คือรมว.เกษตรและสหกรณ์ในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ และรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ก็คือคนๆเดียวกัน คือนายธีระ วงศ์สมุทร จากพรรคชาติไทยพัฒนา

ฉะนั้น ตัวเลขน้ำในเขื่อนตั้งแต่รัฐบาลอภิสิทธิ์จนถึงรัฐบาลยิ่งลักษณ์นั้น คนที่รู้เรื่องดีที่สุดก็คือ นายธีระ วงศสมุทร

ซึ่งต่อมานายธีระ ได้ออกมายอมรับในสภาเองว่า ได้เคยสั่งชะลอน้ำเพื่อไม่ต้องการซ้ำเติมพื้นที่อุทกภัยใต้เขื่อน และต้องการช่วยเหลือชาวนาให้ได้เก็บเกี่ยวข้าวก่อน คลิกอ่านข่าวนี้

จึงสรุปว่า ในเมื่อรมว.เกษตรและสหกรณ์เป็นคนๆเดียวกัน ทำให้ย่อมรู้สภาพน้ำในเขื่อนมาก่อนดีอยู่แล้ว แล้วที่เสื้อแดงจะมากล่าวหาว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์วางยารัฐบาลยิ่งลักษณ์จึงเป็นข้อกล่าวหาของพวกแถ!!

-------------------------

รัฐบาลอภิสิทธิ์ไม่ได้บกพร่องในการจัดการน้ำ

เพราะเขื่อนมีหน้าที่หลักคือ กักเก็บน้ำในหน้าฝน เพื่อเอาน้ำไว้ใช้ยามแล้ง ซึ่งตามปกติฤดูฝนก็เริ่มจากกลางเดือนพฤษภาคม มิถุนายน กรกฎาคม นี่คือช่วงต้นฤดูฝน ซึ่งรัฐบาลอภิสิทธิ์ก็มีอำนาจอยู่แค่ในช่วงต้นฤดูฝนเท่านั้น การกักเก็บน้ำในหน้าฝนของเขื่อนใน3เดือนนี้จึงถือว่าเป็นเรื่องปกติ

เพราะหลักการบริหารเขื่อนคือ กักน้ำในหน้าฝน เพื่อใช้ยามแล้ง

แต่ที่มันผิดปกติคือ ปี54นี้หน้าฝนมาเร็วและชุกมาก แค่เดือนพฤษภาคมก็เริ่มมีอุทกภัยในหลายพื้นที่แล้ว แถมปี54มีพายุเข้าไทยตั้งแต่ปลายเดือนมิถุนายน ต่อต้นเดือนกรกฎาคมติดกัน2ลูก ตามที่ผมเคยอธิบายรายละเอียดในบทความ การบริหารน้ำในเขื่อนภูมิพลไม่ผิดพลาด

เขื่อนใหญ่ทั้งเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ก็ได้พยายามชะลอน้ำเพื่อไม่ไปซ้ำเติมพื้นที่ใต้เขื่อนที่กำลังประสบอุทกภัยอย่างดีที่สุดแล้ว โดยเฉพาะเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม เขื่อนจึงได้พยายามรับน้ำไว้เพื่อไม่ปล่อยน้ำไปท่วมพื้นที่ใต้เขื่อน

รัฐบาลอภิสิทธิ์ได้ประชุมครม.นัดสุดท้ายในวันที่1ส.ค.2554 นั้น ปริมาณน้ำในเขื่อนภูมิพลในวันที่1ส.ค.54 มีปริมาณ 8,531.04 ล้านลบ.ม. หรือ 63.37%ของความจุเท่านั้น ซึ่งถือว่ายังเป็นภาวะปกติ!!

เพราะขนาดมีพายุเข้ามาหลายลูก น้ำก็ยังมีเกินครึ่งเขื่อนมานิดหน่อย แถมเข้าฤดูฝนมาแล้วร่วมๆ 3 เดือน

และเมื่อรัฐบาลยิ่งลักษณ์เข้ามาในเดือนสิงหาคม เป็นช่วงกลางฤดูฝน ซึ่งมีภาวะน้ำท่วมหนักในหลายจังหวัดอยู่แล้ว ยิ่งลักษณ์ได้รับโปรดเกล้าในวันที่8สิงหาคม แม้จะยังไม่ตั้งรัฐบาล แต่นายกฯสามารถใช้อำนาจฉุกเฉินเพื่อเข้าแก้ปัญหาน้ำท่วมได้ทันที ถ้าคิดจะทำ!!


ในวันที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ประชุมครม.ยิ่งลักษณ์ นัดแรกคือวันที่ 11สิงหาคม2554 นั้น

น้ำในเขื่อนภูมิพล มีปริมาณน้ำ 70.50%ของเขื่อน หรือ 9,490ล้านลบ.ม.
น้ำในเขื่อนสิริกิติ์ มีปริมาณน้ำ 86.38% ของเขื่อน หรือ8,214ล้านลบ.ม

มีการรายงานปริมาณน้ำในเขื่อนให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ทุกครั้งในการประชุมครม. เมื่อรัฐบาลยิ่งลักษณ์เห็นปริมาณน้ำในเขื่อนทั้งสองแห่งมีปริมาณเริ่มสูงขึ้น เพราะรับพายุมาแล้วถึง2ลูก ถ้าหากรัฐบาลยิ่งลักษณ์ฉลาดจริงๆ ก็ควรจะเริ่มพร่องน้ำได้แล้วใช่มั้ย?

แล้วทำไมรัฐบาลยิ่งลักษณ์ถึงไม่เคยพร่องน้ำในเดือนสิงหาคมเลยล่ะ? อ๋อ!! มัวแต่ยุ่งเรื่องช่วยพี่ชายเข้าญี่ปุ่นอยู่ มัวแต่ยุ่งเรื่องนโยบายประชานิยมอยู่

-------------------------

ขอยกตัวอย่างปริมาณการรับน้ำและการปล่อยน้ำของเขื่อนภูมิพล ในช่วงรัฐบาลยิ่งลักษณ์

(ข้อมูลจาก ศูนย์ข้อมูลโรงไฟฟ้าพลังน้ำ (กฟผ.) รายงานสภาพน้ำและการระบายน้ำ)

ผมคงไม่ยกมาทุกวันเพราะจะยาวมาก แต่ขอยกมาเฉพาะหลังวันประชุมครม. ก็แล้วกัน

หลังประชุมครม.วันที่11สิงหาคม2554

สถานการณ์เขื่อนภูมิพลวันที่12สิงหาคม /2554
น้ำเข้าเขื่อนภูมิพล 67.61ล้านลบ.ม. น้ำไหลออก 18.74 ล้านลบ.ม.
น้ำในเขื่อนภูมิพลมีปริมาณรวม 9,539.53ลบ.ม. หรือ70.86%ของความจุ


หลังการประชุมครม.วันที่16สิงหาคม2554

สถานการณ์เขื่อนภูมิพลวันที่17สิงหาคม2554
น้ำเข้าเขื่อนภูมิพล 54.40 ล้านลบ.ม  น้ำไหลออก 33.00ล้านลบ.ม.
น้ำในเขื่อนภูมิพลมีปริมาณรวม 9,730.04ล้านลบ.ม. หรือ72.28%ของความจุ


หลังการประชุมครม.วันที่25สิงหาคม2554

สถานการณ์เขื่อนภูมิพบวันที่26สิงหาคม2554
น้ำเข้าเขื่อนภูมิพล 75.44 ล้านลบ.ม. น้ำไหลออก 28.97 ล้านลบ.ม.
น้ำในเขื่อนภูมิพลมีปริมาณ 10,116.74ล้านลบ.ม. หรือ 75.15%ของความจุ


หลังการประชุมครม.วันที่30สิงหาคม2554

สถานการณ์เขื่อนภูมิพลวันที่31สิงหาคม2554
น้ำเข้าเขื่อนภูมิพล 81.06 ล้านลบ.ม. น้ำไหลออก 33.32 ล้านลบ.ม.
น้ำในเขื่อนภูมิพลมีปริมาณรวม 10,483.38 ล้านลบ.ม. หรือ 77.87%ของความจุ

คำถาม ทำไมในเดือนสิงหาคม รัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็ยังให้เขื่อนรับน้ำเข้ามากกว่าน้ำไหลออกต่อไป?

--------------------

ทีนี้มาดูในเดือนกันยายน54กันต่อครับ ซึ่งเดือนนี้กลับปล่อยน้ำออก น้อยกว่า น้ำเข้ามาก

หลังการประชุมครม.วันที่6ก.ย.2554

สถานการณ์เขื่อนภูมิพลวันที่7ก.ย.2554
น้ำเข้าเขื่อนภูมิพล 84.19 ล้านลบ.ม. น้ำไหลออกแค่ 10.06 ล้านลบ.ม.
น้ำในเขื่อนภูมิพลมีปริมาณรวม 10,864.00 ล้านลบ.ม. หรือ 80.70%ของความจุ


หลังการประชุมครม.วันที่13ก.ย.2554

สถานการณ์เขื่อนภูมิพลวันที่14ก.ย.2554
น้ำเข้าเขื่อนภูมิพล 138.35 ล้านลบ.ม. น้ำไหลออกแค่ 20.00 ล้านลบ.ม.
น้ำในเขื่อนภูมิพลมีปริมาณรวม 11,557.69 ล้านลบ.ม. หรือ 85.85%ของความจุ


หลังการประชุมครม.วันที่20ก.ย.2554

สถานการณ์เขื่อนภูมิพลวันที่21ก.ย.2554
น้ำเข้าเขื่อนภูมิพล 73.44 ล้านลบ.ม. น้ำไหลออกแค่ 28.24 ล้านลบ.ม.
น้ำในเขื่อนภูมิพลมีปริมาณรวม 11,994.65 ล้านลบ.ม. หรือ 89.10%ของความจุ


หลังการประชุมครม.วันที่27ก.ย.2554

สถานการณ์เขื่อนภูมิพลวันที่28ก.ย.2554
น้ำเข้าเขื่อนภูมิพล 117.99ล้านลบ.ม. น้ำไหลออกแค่ 20.00 ล้านลบ.ม.
น้ำในเขื่อนภูมิพลมีปริมาณรวม 12,381.60 ล้านลบ.ม. หรือ 91.97%ของความจุ

-------------------------

ทำไมเดือนกันยายนน้ำเข้ามาก แต่กลับปล่อยน้ำน้อย

คุณผู้อ่านสังเกตมั้ยครับว่า ทำไมในเดือนกันยายนน้ำในเขื่อนไหลเข้ามาก แต่น้ำไหลออกกลับน้อยผิดปกติไปหน่อย?

ผมจะเฉลยให้  ก็เพราะ ชาวนาเริ่มปลูกข้าวนาปีในเดือนพฤษภาคม และจะไปเก็บเกี่ยวในเดือนกันยายน ไงครับ

เมื่อเดือนกันยายนคือฤดูเก็บเกี่ยว ถ้าปล่อยน้ำออกจากเขื่อนมาก ชาวนาจะอดเก็บเกี่ยวข้าวไงครับ ซึ่งเดือนตุลาคมรัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็ได้เปิดโครงการรับจำนำข้าวราคาสูงกว่าตลาดโลกไงครับ

ถึงบางอ้อมั้ยครับ?

นี่ถ้าผมเอาตัวเลขตั้งแต่เดือนสิงหาคมจนถึงกันยายนมาให้ดูทุกวัน ก็จะยิ่งเห็นการปล่อยน้ำออกน้อยกว่าน้ำไหลเข้าทุกวัน!!

----------------------

ทีนี้มาดูในเดือนตุลาคม54กันต่ออีกสักวันครับ

หลังการประชุมครม.วันที่4ต.ค.2554

สถานการณ์เขื่อนภูมิพลวันที่5ต.ค.2554
น้ำเข้าเขื่อนภูมิพล 248.85 ล้านลบ.ม. น้ำไหลออกรวม 98.59 ล้านลบ.ม.(และมีการปล่อยน้ำผ่านสปิลเวย์เป็นวันแรก 39.14ล้านลบ.ม.)

น้ำในเขื่อนภูมิพลมีปริมาณรวม 13,229.12 ล้านลบ.ม. หรือ 98.27%ของความจุ

คุณผู้อ่านครับ ในวันที่5ต.ค.2554 เป็นวันแรกที่เขื่อนภูมิพลต้องปล่อยน้ำผ่านสปิลเวย์ เพื่อป้องกันเขื่อนเต็มครับ

(หมายเหตุ เขื่อนภูมิพลสามารถระบายน้ำในช่องทางปกติได้สูงสุดวันละ60ล้านลบ.ม.เท่านั้น ถ้าปล่อยเพิ่มทางสปิลเวย์ จะปล่อยน้ำได้เพิ่มอีก40ล้านลบ.ม. ทำให้การปล่อยน้ำออกจากเขื่อนทำได้มากที่สุด อยู่ที่วันละ100ล้านลบ.ม.เท่านั้น)


ถ้าเราดูจากกราฟย้อนหลัง10ปีจากเว็บรายงานระดับน้ำในเขื่อนภูมิพลย้อนหลังของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตและในปี2554 ตั้งแต่เดือนมกราคมจนถึงต้นเดือนสิงหาคม ซึ่งยังเป็นช่วงรัฐบาลอภิสิทธิ์ จะเห็นได้ว่า ยังอยู่ในช่วงปกติ



แต่กราฟได้เริ่มผิดปกติตั้งแต่เดือนสิงหาคม จนถึง ตุลาคม ซึ่งเป็นช่วงรัฐบาลยิ่งลักษณ์แล้ว ซึ่งสาเหตุที่ทำไมเดือนสิงหาคม ถึง ตุลาคม ผิดปกตินั้น

ขอเชิญคุณผู้อ่าน ย้อนกลับไปฟังคลิป โพยที่ดีที่สุดนายกยิ่งลักษณ์ คลิกที่นี่!!

-----------------------

ไม่ควรกล่าวหาเรื่องกักน้ำ!!

จากข้อมูลตัวเลขที่ผมนำมาให้ดู จะเห็นได้ว่า การปล่อยน้ำจากเขื่อนภูมิพลในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ก็ไม่ได้มีการพร่องน้ำแต่ประการใด จนในที่สุดเขื่อนภูมิพลก็เต็มในที่สุด

ผมถึงว่า อย่าเอาประเด็นนี้มาโจมตีกัน เพราะสุดท้ายมันก็เข้าตัวรัฐบาลยิ่งลักษณ์เอง เพราะรัฐบาลอภิสิทธิ์ มีอำนาจในช่วงต้นฤดูฝน การกักน้ำในช่วงต้นฤดูฝนไม่ใช่เรื่องผิดปกติแต่อย่างใด

แต่ในเมื่อรัฐบาลยิ่งลักษณ์เข้ามารับงานต่อในช่วงกลางฤดูฝน น้ำในเขื่อนเริ่มสูงแล้วก็จริงจากอิทธิพลพายุในเดือนมิถุนายนและกรกฎาคม ทำไมรัฐบาลยิ่งลักษณ์ไม่เริ่มคิดพร่องน้ำล่ะครับ จากตัวเลขที่นำมาให้ดู ผมก็ยังเห็นกักน้ำต่อไปเหมือนเดิม

นั่นเพราะประเด็นน้ำท่วมหนักไม่ได้อยู่ที่เขื่อนกักน้ำ เพราะทางเหนือมีแม่น้ำ4สาย แต่มีเขื่อนใหญ่รองรับแม่น้ำ2สาย เขื่อนทดน้ำรองรับแม่น้ำอีก1สาย  และแม่น้ำยมไม่มีเขื่อนเลย!!

แต่ประเด็นอุทกภัยหนักมันอยู่ที่ การบริหารน้ำในบริเวณที่เกิดอุทกภัยให้ไหลลงทะเลโดยเร็วมากกว่า

รัฐบาลยิ่งลักษณ์ควรหาช่องทางระบายน้ำไหลไปในทางอื่นๆมากขึ้นเพื่อแบ่งเบาภาระจากแม่น้ำเจ้าพระยา แต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์กลับไม่คิดทำเลย จนสถานการณ์วิกฤติแล้วในเดือนตุลาคม

ผมจึงขอย้ำ!! อีกครั้งว่า ถ้ายิ่งลักษณ์มีการบริหารจัดการการไหลของน้ำลงทะเลอย่างเต็มที่ตั้งแต่เริ่มเข้ามาเป็นรัฐบาล ผมมั่นใจว่า ปัญหาอุทกภัยจะไม่รุนแรงมากเท่านี้แน่นอน

(และแนะนำให้ใครที่ยังไม่ได้อ่านบทความในเดือนตุลาคมของผม ควรไปอ่านนะครับ แล้วคุณจะรู้จักเขื่อนในมุมที่ถูกต้อง!!)


คลิกอ่าน หัวอกคนดอนเมืองกับกรณีบิ๊กแบคใครผิด?



วันเสาร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

โพยที่ดีที่สุดของนายกฯยิ่งลักษณ์






มเขียนอธิบายเหตุผลของความยากลำบากของการบริหารงานน้ำในเขื่อนในปีนี้ไปแล้ว ว่ายากลำบากเพียงใด

ถ้าคุณผู้อ่านได้ย้อนกลับไปอ่านบทความในเดือนตุลาคมทั้งหมดของผม คุณผู้อ่านจะเข้าใจว่า น้ำเหนือปีนี้มีปริมาณมากผิดปกติแบบไม่เคยมีมาก่อนจริงๆ

ที่จริงปัญหาที่ทำให้ปี54 อุทกภัยวิกฤติมากเหลือเกินนั้น มีปัจจัยหลายอย่างมาก มากเกินกว่าที่รัฐบาลฝึกหัดจะรับมือไหว

เพียงแต่ปัญหามันกลายเป็นเกมการเมืองขึ้นมา ก็เพราะมีเสื้อแดงเลวๆออกมาโทษว่าเขื่อนกักน้ำในปริมาณผิดปกติ เพื่อทำลายรัฐบาล หรือที่เสื้อแดงใช้คำพูดที่ว่า อำมาตย์กักน้ำทำลายยิ่งลักษณ์

ในการอภิปราย3วันที่ผ่านมา แม้แต่แกนนำแดงอย่างสส.จตุพร พรหมพันธฺุ์ ก็ยังอภิปรายในแนวที่ใส่ร้ายการกักน้ำในเขื่อนเพื่อทำลายรัฐบาลยิ่งลักษณ์อยู่เหมือนเดิม

แต่นายจตุพรมันปั้นน้ำเป็นตัวเก่ง คำพูดของนายจตุพรก็คงหลอกได้แต่คนที่ชอบฟังความข้างเดียวได้เท่านั้น

ทีนี้ผมอยากชวนให้ลองฟัง นายกฯหญิงคนแรกอ่านโพยถึงสาเหตุของวิกฤติอุทกภัยวันนี้สิครับ ซึ่งต่างจากเหตุผลของจตุพรโดยสิ้นเชิง!!

และเหตุผลตามโพยของนายกฯก็ตรงกับที่ผมอธิบายไว้ในบทความก่อนๆ หลายต่อหลายเหตุผลแทบทั้งหมด ถึงสาเหตุน้ำท่วมใหญ่ในปีนี้

อยากให้ทุกท่านดูคลิปให้จบ ผมถือว่า นี่คือคลิปที่อธิบายเหตุผลน้ำท่วมได้ดีมาก รวมทั้งการบริหารน้ำในอนาคตที่ต้องเปลียนแนวคิดไปจากเดิม แต่ไม่รู้ใครเขียนให้ท่านนายกอ่าน ผมต้องขอชื่นชมคนเขียนโพยจริงๆ  หากนายกจะอ่านผิดๆถูกๆบ้าง ขอคุณผู้อ่านจงชินไปเอง



นี่นับว่าเป็นเหตุผลที่น่าฟังของนายกฯหญิง ซึ่งต่างจากเหตุผลของพวกเสื้อแดงเลวๆอย่างนายจตุพรโดยสิ้นเชิง

 ซึ่งแม้ว่าท่านนายกฯจะอ่านโพยถึงสาเหตุอุทกภัยได้อย่างมีเหตุผล

แต่นี่ก็ไม่อาจทำให้ท่านนายกฯปฏิเสธความบกพร่องและล่าช้าในการแก้ปัญหาอุทกภัยครั้งนี้ได้

ผมยังยืนยันเหมือนทุกบทความที่ผ่านมาว่า ถ้านายกฯและรัฐบาลเอาจริงเรื่องปัญหาอุทกภัยอย่างเต็มกำลัง และบูรณาการจริงๆ ให้ความสำคัญมากกว่านโยบายประชานิยม ซึ่งไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนเท่าปัญหาอุทกภัย

 ถ้าเริ่มตั้งแต่การประชุม ครม.นัดแรกเมื่อวันที่11สิงหาคม2554 ซึ่งผลการประชุมตั้งแต่เดือนสิงหาคมจนถึงกันยายน รัฐบาลท่านนายกยิ่งลักษณ์กลับไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เกี่ยวกับการบริหารจัดการการไหลของน้ำ หรือหาทางเร่งระบายน้ำเลย เพราะผมตามอ่านผลการประชุม ครม.ของท่านมาตลอด 

------------------------------

ที่ผมบอกไว้เมื่อบทความที่แล้ว ว่าจะเอาตัวเลขการระบายน้ำของเขื่อนภูมิพล กับเขื่อนสิริกิติ์ ในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์มาให้ดูนั้น ตอนนี้อาจจะไม่จำเป็นแล้ว ถ้าตราบใดนายกฯยังยืนยันเหตุผลตามโพยนี้

ซึ่งผมถือว่าสมเหตุสมผลและสร้างสรรค์ดี เว้นแต่ว่า พวกเสื้อแดงถ่อย จะเอาเรื่องการกักน้ำมาโจมตีกันอีก วันนั้นแหล่ะ ผมจะเอามาให้ดูครับ

-------------------------

  น้ำเหนือพึ่งจะถึงสมุทรปราการ? นี่คือตัวอย่างชัดเจนว่า การบริหารจัดการให้น้ำไหลไปทางตะวันออกของรัฐบาลยิ่งลักษณ์เป็นไปด้วยความล่าช้า เหมือนรัฐบาลยิ่งลักษณ์มีเจตนาหน่วงเวลาไม่ให้น้ำไปทางตะวันออกโดยเร็ว จนกว่ากำลังน้ำเหนือจะเบาลง 

ผมตั้งข้อสังเกตว่า ถ้ารีบผันน้ำไปทางตะวันออก ในช่วงน้ำเหนือมีกำลังและปริมาณยังสูงมาก รัฐบาลยิ่งลักษณ์อาจกลัวกระทบนิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง และสนามบินสุวรรณภูมิ จึงปล่อยให้น้ำเหนือทะลุกลางกรุงไปพลาง ๆ ก่อน

แล้วรัฐบาลยิ่งลักษณ์จึงเพิ่งจะมาระบายน้ำไปทางตะวันออกจริงๆจังๆเมื่อไม่กี่วันมานี่เอง ทั้ง ๆ ที่ในหลวงทรงแนะนำยิ่งลักษณ์ให้เร่งผันน้ำไปทางตะวันออก ตั้งแต่นายกฯ เข้าเฝ้าฯ ตั้งแต่เมื่อต้นเดือนตุลาคมแล้ว

เพราะผันน้ำช้า จึงเกิดการอั้น เมื่ออั้นมาก จนเอาไม่อยู่ น้ำจึงยิ่งท่วมมาก 

เชิญอ่านคำชี้แจงของกรมชลประทาน ซึ่งเป็นหลักฐานชี้ชัดว่า นี่คือความล่าช้าในการผันน้ำไปทางตะวันออกในยุครัฐบาลนี้ คลิกที่รูปเพื่อขยาย!!

http://www.facebook.com/note.php?note_id=215156615224053

คลิกอ่าน ถ้าฉลาด!!ต้องไม่ให้น้ำเหนือเข้ากรุง!!



วันพฤหัสบดีที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ถ้าฉลาด!!ต้องไม่ให้น้ำเหนือเข้ากรุง?






หลายวันแล้วที่ผมไม่ได้เขียนที่บล็อคนี้ เพราะเดี๋ยวนี้บล็อคนี้จะเน้นสาระมากกว่าไร้สาระ ส่วนบล็อคเซียนแซวการเมือง จะไร้สาระมากกว่ามีสาระ ^^

--------------

ในหลวงทรงตรัสว่า น้ำเหนือไม่ควรผ่านเข้ามาในกรุงเทพเพราะ

ผมขออธิบายรายละเอียด เพราะว่ากทม.มีสิ่งกีดขวางน้ำมากมาย มีระบบท่อระบายน้ำที่โยงใยไปทั่วกรุงเทพฯ น้ำเหนือมุดลงใต้ดินควบคุมยาก อยู่ๆอาจไปโผล่ที่สีลมเลยก็ได้ ที่สำคัญเพราะกรุงเทพฯต่ำกว่าแม่น้ำเจ้าพระยา

ถ้าน้ำเข้ามาในกรุงเทพฯแล้ว จะไม่ออกทะเลง่ายๆครับ เข้าง่ายออกยาก โดยเฉพาะกรุงเทพฯฝั่งตะวันออกที่ไม่ติดทะเล น้ำจะเดินทางช้าและขังอย่างยาวนาน แถมเน่าสนิทด้วย เพราะน้ำจะดันสิ่งสกปรกขึ้นมาตามท่อ

น้ำที่เข้ามาในกรุงเทพฯแล้ว จะออกยาก เพราะการนำน้ำออกจากกรุงเทพฯมีหนทางเดียวที่ทำได้เร็วที่สุด คือการสูบน้ำออกไปเท่านั้น เพราะกรุงเทพส่วนใหญ่ต่ำกว่าแม่น้ำเจ้าพระยา แต่กรณีน้ำเหนือที่มากมหาศาล สูบเท่าไหร่ก็ไม่ทัน

คลิกรูปเพื่อขยาย!!


นักวิชาการท่านนึง ที่มาออกรายการช่วยคิดช่วยทำ เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา บอกว่า ถ้าวันนี้ไม่มีคลองลัดโพธิ์ของในหลวง ป่านนี้ท่วมหนักทั้งกรุงแล้วครับ เพราะคลองลัดโพธิ์คลองเดียวสามารถผลักดันน้ำลงทะเลได้มากถึงวันละ150ล้านลบ.ม.ต่อวัน ระบายน้ำได้มากกว่าระบบระบายน้ำของกรุงเทพมหานคร ถึง50ล้านลบ.ม.ต่อวัน ซึ่งในอนาคตต้องมีการขุดและปรับปรุงคลองลัดแม่น้ำต่างๆให้มากขึ้น

-----------------

คนกรุงเทพฯน้ำท่วมไม่ได้เหรอไง

คนต่างจังหวัดบางคนอาจบอกว่า ทำไมคนกรุงเทพฯน้ำท่วมไม่ได้ ทำไมให้แต่คนต่างจังหวัดท่วม?

เรื่องนี้ ผมเคยอธิบายในบทความ "ทำไมต้องปกป้องไม่ให้กรุงเทพน้ำท่วม" แล้ว บทความนี้ไม่อยากเอ่ยซ้ำอีก

แต่ความคิดแบบนี้ขอเถอะครับ อย่าคิดแบบนี้เลย คนกรุงเทพฯน่ะน้ำท่วมได้ครับ ท่วมประจำ ฝนตกติดต่อกันสักครึ่งชั่วโมงก็ท่วมแล้วครับ

แต่น้ำเหนือที่มานั้นมากมายมหาศาล ถ้าเข้ากรุงเทพฯ เขาจะเรียกว่า ท่วมกรุงเทพที่เดียวจะกระเทือนไปทั้งประเทศ

ผมลองสมมุติตัวอย่างให้คนต่างจังหวัดคิดง่ายๆนะครับ

ถ้าสมมุติ คุณมีแม่ที่ป่วย และต้องเข้ามารักษาที่กรุงเทพฯ แต่แล้วน้ำก็ท่วมกรุงเทพฯ ท่วมโรงพยาบาลที่แม่คุณพักอยู่ คุณยังอยากให้กรุงเทพฯน้ำท่วมอีกมั้ยครับ?

ยกอีกสักตัวอย่างก็ได้ เช่น คุณอยู่ต่างจังหวัด แต่ลูกคุณ หลานคุณทำงานและซื้อบ้านอยู่ในกรุงเทพฯ ย่านสายไหม คุณยังอยากให้น้ำท่วมกรุงเทพฯมั้ยครับ?

นี่คือวิธีคิดที่เรียกว่า เอาใจเขามาใส่ใจเรา

ไม่มีใครอยากให้ทุกที่น้ำท่วม ผมเห็นคนต่างจังหวัดน้ำท่วม ผมก็สงสาร และคิดในมุมเดียวกันว่า ถ้าผมเป็นคนต่างจังหวัดเช่นอยุธยา อ่างทอง ผมก็คงทุกข์มากเช่นกัน

คนกรุงเทพฯ ไม่ได้เติบโตกับแม่น้ำลำคลองมากเท่าคนต่างจังหวัด หมู่บ้านนึงไม่มีเรือเลยสักลำ แถมท่วมแล้ว น้ำก็เน่าสุดๆ

ที่สำคัญ ถ้ากรุงเทพฯท่วม คือวิกฤติในสายตาคนต่างชาติ กรุงเทพฯท่วมที่เดียว ชาวต่างชาติขาดความมั่นใจ ไม่กล้ามาเที่ยวเมืองไทยกันเยอะแยะเลยครับ

แบบนี้กระทบต่างจังหวัดมั้ยครับ? กระทบแน่นอน!!

------------------


คำถาม กรุงเทพอย่ากั้นน้ำสิ ?

ปล่อยให้น้ำไหลไปอย่างธรรมชาติสิ อย่าไปกั้นขวาง ปล่อยให้น้ำไหลไปตามธรรมชาติ จะได้รีบๆจบเสียทีจริงมั้ย?


คำตอบคือ คนที่พูดแบบนี้ เพราะเขาไม่เข้าใจถึงปัญหาของกรุงเทพฯ การที่ปล่อยให้น้ำไหลเข้ากรุงเทพฯ ได้นั่นแหล่ะ คือการยิ่งขวางน้ำอย่างมาก เพราะกรุงเทพฯไม่ใช่ทุ่งนาแบบต่างจังหวัด แต่มีสิ่งปลูกสร้างเต็มพื้นที่ ขวางทางน้ำทั้งนั้น ถ้าเข้ากรุงเทพ ยิ่งจบช้า!!

การปล่อยน้ำเข้ากรุงเทพมาได้ ก็คือการยิ่งไปขวางทางไหลของน้ำ น้ำเข้ามาแล้วไม่ยอมออก เพราะกรุงเทพฯต่ำกว่าแม่น้ำเจ้าพระยา ถ้าปล่อยเข้ามา คือท่วมขังอย่างเดียว

วิธีที่นำน้ำออกจากกรุงเทพฯได้ คือต้องสูบออกเท่านั้น ไม่ใช่ไหลผ่านกรุงเทพฯแล้วจะไหลลงทะเลไปเองง่ายๆ

คนกรุงเทพฯบางคนมีน้ำใจ!!

คนกรุงเทพฯหลายคนก็บอกว่า อยากให้ปล่อยน้ำไหลเข้ามา อย่าไปกั้นมัน มันจะได้จบๆ แต่นั่นหารู้ไม่ว่า

ถ้าปล่อยน้ำเข้ากรุงเทพฯโดยไม่มีการจัดการแล้ว นี่แหล่ะคือการทำลายกรุงเทพฯให้ย่อยยับ ซึ่งในหลวงยังทรงห้าม!!

เพราะถ้าปล่อยน้ำเข้ากรุงเทพฯ กรุงเทพฯจะท่วมหนักกว่าทุกจังหวัด พังเสียหายยิ่งกว่าทุกจังหวัด และเดือดร้อนยิ่งกว่าทุกจังหวัด และน้ำจะขังในกรุงเทพฯนานที่สุดกว่าทุกจังหวัด!!

ใครไม่เข้าใจคุณต้องกลับไปอ่านพระราชดำรัสเมื่อปี38หลายๆรอบ!!

----------------

ระบบการระบายน้ำที่ในหลวงทรงวางไว้

ทั้งรัชกาลที่5 ที่6 ที่9 ได้ทรงวางระบบระบายน้ำไว้ ว่าด้านตะวันออกของกรุงเทพฯ คือแนวรับน้ำหลากทุ่ง ถ้าตรงนี้ได้พัฒนาเป็นแนวฟลัดเวย์อย่างสมบูรณ์ กรุงเทพฯชั้นในก็จะปลอดภัย ไม่จำเป็นต้องมีระบบสูบน้ำเหนือ

และณ.ปัจจุบันนี้ ระบบการระบายน้ำของกทม. ถูกออกแบบเพื่อระบายน้ำฝนเท่านั้น ซึ่งยังต้องมีการก่อสร้างเพิ่มเติมอีกหลายจุด แต่วันนี้มีน้ำเหนือทะลุเข้ามา เกินกำลังที่กทม.จะระบายน้ำได้ทันครับ

คลิกรูปเพื่อขยาย


ให้สังเกตที่ด้านล่างขวาของจังหวัดสมุทรปราการ มีตัวpในวงสีแดง นั่นคือสถานีสูบน้ำของกรมชลประทาน มีมากมายหลายสถานีที่จะสูบน้ำลงทะเล แถมมีกำลังสูบสูงมากๆด้วย(ส่วนตัวp ในวงสีน้ำเงิน คือสถานีสูบน้ำของกทม.)

ปีนี้น้ำยังไปไม่ค่อยถึงสมุทรปราการเท่าไหร่ครับ  เสียดายน้ำยังไปไม่ถึง เพราะน้ำมัวแต่เที่ยวกรุงอยู่ และมีสิ่งก่อสร้างมากมายบนพื้นที่ฟลัดเวย์ ทำให้น้ำไหลไปช้ามาก เมื่อน้ำไหลช้า ลงทะเลไม่ทัน ก็เอ่อท่วมพื้นที่ด้านข้างที่น้ำไหลผ่่านทั้งหมด

ซึ่งณ.วันนี้น้ำเริ่มเดินทางไปทางด้านตะวันออกแล้ว แต่ที่ไปทางตะวันออกได้ก็เมื่อน้ำล้นจากกรุงเทพฯชั้นในแล้วนั่นเอง ซึ่งที่ผ่านๆมาไม่น่าจะช้าแบบนี้

ถ้าเราสังเกตตั้งแต่ด้านขวาของปทุมธานี เราจะเห็นแนวคลองมากมายของคลองตั้งแต่คลอง1ถึงคลอง13 โดยเฉพาะคลอง13 จะมีสถานีสูบน้ำขนาดใหญ่เพื่อดึงน้ำออกไปทางตะวันออก ผันไปลงทางน้ำแม่น้ำบางปะกง

(ซึ่งปัญหาที่คลอง13ในปี54นี้คือ มีเครื่องสูบน้ำน้อยไป มีปัญหาเครื่องสูบน้ำเสีย ทำให้การดึงน้ำมวลมหาศาลไปทางตะวันออกได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ล่าช้า)

ส่วนคลองตั้งแต่คลอง6 - คลอง12 ก็ให้เปิดประตูระบายน้ำเพื่อให้น้ำไหลลงที่เขตนอกคันกั้นน้ำ ที่ถูกกันไว้เป็นฟลัดเวย์(เดิม) แต่ต้องควบคุมการไหลของปริมาณน้ำได้ ไม่งั้นอาจล้นเข้าเขตในคันกั้นน้ำได้ น้ำจะไหลลงมาตามแนวคลองที่มีลงสู่สมุทรปราการเพื่อสูบน้ำออกทะเล

แต่วันนี้ ไม่สามารถบริหารจัดการเปิดประตูระบายน้ำได้ตามที่ควรเป็น เพราะปัญหามวลชนต่อต้าน สาเหตุก็เพราะคลอง13ดึงน้ำน้อยไปช้าไป ทำให้มวลชนคลอง8 9 10 เดือดร้อนนานเกินควร

ในช่วงที่น้ำหลากมาก ตามคลองก็จะล้นเอ่อท่วมพื้นที่แถบฟลัดเวย์ได้ เพราะพื้นที่นี้ถูกกันไว้เป็นทางน้ำหลากอยู่แล้ว แต่ปัจจุบันถูกสิ่งก่อสร้างบุกรุกยึดคลองพื้นที่ไปเสียแล้ว

คันกั้นน้ำตามแนวพระราชดำริฝั่งตะวันออก ก็คือถนนหลายสายเชื่อมต่อกัน เริ่มต้นที่ถนนพหลโยธินทางตอนเหนือกรุงเทพ ไล่ไปทางตะวันออกได้แก่ ถนนสายไหม ถนนหทัยราษฎร์ ถนนร่มเกล้า ถนนกิ่งแก้ว ลงสู่จังหวัดสมุทรปราการ ระยะทาง72กิโลเมตร สังเกตแนวเส้นสีแดง

บางคนถามว่า ทำไมกรุงเทพมหานครไม่ค่อยขุดลอกคูคลองเลย กรุงเทพฯจึงได้ตอบมาว่า คลองควรขุดลอกทุกปี ถ้าจะให้ขุดลอกอย่างดีทุกปี ต้องใช้งบประมาณทั้งสิ้นประมาณ650ล้านบาท แต่ทุกวันนี้กรุงเทพฯมีงบประมาณขุดลอกคูคลองเพียงปีละ30ล้านบาทเท่านั้น

---------------

ผมว่าถึงเวลาที่เราต้องเข้มงวดกับกฏระเบียบ กฏหมายบ้านเมืองอย่างจริงจังเสียที

เช่น บ้านที่ปลูกรุกล้ำแม่น้ำคลอง  ต้องรื้อให้หมด เพราะนี่คือที่ทางสาธารณะ อาจยอมจ่ายค่ารื้อถอนให้ชาวบ้านพวกนี้ไป ชาวบ้านอาจจะอ้างว่า ทำไมต้องรังแกคนจน?  ผมว่าเขาไม่เอาติดคุกก็ดีถมแล้ว

และผมว่ามันไม่เกี่ยวกับคำว่า คนจนหรือคนรวย ถ้าใครละเมิดกฏหมายก็ต้องได้รับบทลงโทษทางกฏหมายเหมือนกัน

ส่วนตึกแถวห้างร้านที่วางของรุกล้ำฟุตบาท ก็ต้องเล่นงานเช่นเดียวกัน กทม.ปล่อยปละละเลยมามากแล้ว ต้องถึงเวลาโหดเพื่อบ้านเมืองอยู่รอด

การที่รุกล้ำคูคลอง ก็คือสาเหตุนึงที่ทำให้ส่วนรวมต้องเดือดร้อน เพราะคำว่า ผมคนจน ฉันคนจน ฉันไม่มีที่อยู้่ ขอฉันละเมิดกฏหมายเถอะนะ สงสารฉันเถอะ

อย่างคนรวยหลายราย ไม่ยอมให้กทม.ไปสร้างคันกั้นแม่น้ำเจ้าพระยาตามแนวพระราชดำริ ซึ่งเกิดเหตุคันพังหลายจุดเช่นในเขตบางพลัด

มันก็ถึงเวลาที่ต้องเห็นแก่ส่วนรวมมากกว่าส่วนตนแล้วครับ


ข้อมูลบางอย่างจาก http://dds.bangkok.go.th/News_dds/magazine/plan50/plan03.pdf


ปล.บทความต่อไป จะนำตัวเลขการระบายน้ำจากเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ ในสมัยรัฐบาลยิ่งเละมานำเสนอครับ^^





วันเสาร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ทางเลือกบุญกับบาปในภาวะน้ำท่วม






วันนี้ผมเข้ามาดึก มีประเด็นอยากเขียนเยอะมาก แต่ไม่ไหว เพลียจริงๆ เลยขอยกส่วนหนึ่งของบทความ ไอ้พวกรื้อคันกั้นคลองประปา จงรู้ไว้!! จากบล็อคเซียนแซวการเมือง มาเตือนสติเตือนใจคนไทยด้วยกันว่า

ในสภาวะน้ำท่วมหนัก คุณจะเลือกเป็นผู้ประสบภัยแบบไหน?


ทางเลือกของคุณในสถานการณ์น้ำท่วม

ถ้าเราต้องเจอน้ำท่วม จงรู้ไว้ว่า นี่ก็เป็นกรรมเก่าที่เราเคยกระทำ

ถ้าเราเจอน้ำท่วม ก็จงคิดว่าเรากำลังใช้กรรมเก่าแล้วกัน

แต่ถ้าเราเจอน้ำท่วม แล้วยังไม่สำนึกว่าตัวเองได้เคยก่อกรรมเรื่องน้ำเอาไว้ แต่กลับคิดอิจฉาคนอื่นที่เขายังไม่ท่วม และคิดไปทำลายสิ่งต่างๆเพื่อให้คนอื่นท่วมหนักเหมือนเราไปด้วย จำไว้เราน่ะกำลังทำบาปหนัก เราจะไม่สามารถพ้นเวรพ้นกรรมเรื่องน้ำไปได้

เราจะต้องวนเวียนเจอปัญหาภัยพิบัติเกี่ยวกับน้ำไปอีกหลายภพหลายชาติ

แต่ถ้าเราเจอภัยน้ำท่วมเราทำใจยอมรับมัน และไม่คิดไปทำให้ใครเดือดร้อนเหมือนเรา แถมยังช่วยให้คนอื่นอย่ามาเจอทุกข์จากน้ำเหมือนเราได้

หรือเรายอมเสียสละเพื่อให้สังคมส่วนรวมรอดได้

นั่นจะทำให้น้ำท่วมที่เกิดกับเรา กลับกลายเป็นการทำบุญไปในตัว

กุศลจากการเสียสละเพื่อให้ส่วนรวมรอด จะได้กุศลมากๆ เปรียบเสมือนทหารที่เสียสละชีวิตเพื่อปกป้องบ้านเมืองเลยทีเดียว

ฉะนั้น จงเลือกเอาว่าจะโดนน้ำท่วมแบบได้บาปหนัก หรือได้บุญมาก จงใช้ปัญญาของตนเลือกเอาแล้วกัน

-----------------------

ความต่างของคนญี่ปุ่นกับคนไทย ในสภาวะวิกฤติ

1. คนญี่ปุ่น เข้าแถวรับสิ่งของช่วยเหลืออย่างมีระเบียบ ไม่แก่งแย่งกัน แต่คนไทยกลับตรงกันข้าม

2. คนญี่ปุ่นมีตระหนกแต่ไม่แตกตื่น จากกรณีสารกัมตภาพรังสีอาจปนเปื้อนในน้ำดื่ม ทำให้น้ำดื่มสะอาดในประเทศเริ่มขาดแคลน คนญี่ปุ่นจึงรีบซื้อน้ำดื่มมากักตุนอย่างพอเพียงและเป็นระเบียบ ไม่กักตุนจนทำให้คนที่มาทีหลังไม่มีของให้ซื้อ

3. คนญี่ปุ่น อาสาไปตายเพื่อกู้โรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์มากมาย แต่คนไทยในหลายท้องที่ คิดให้คนอื่นต้องท่วมเท่าเทียมกัน!!

4. คนญี่ปุ่นเจอของมีค่าในซากบ้านเรือนที่พังจากสึนามิ แต่เมื่อไม่ใช่ของตัวเอง ก็นำไปส่งคืนให้เจ้าหน้าที่ตำรวจหาเจ้าของต่อไป จากรายงานข่าว ทรัพย์สินมีค่าที่คนญี่ปุ่นนำมาส่งคืนให้เจ้าหน้าที่เพื่อหาเจ้าของ มีมูลค่ารวมมากถึง2,300ล้านบาท

แต่คนไทย ยังมีพวกโจรขโมยทรัพย์สินบ้านที่จมน้ำ ซ้ำเติมความเดือดร้อน ยังมีการขูดรีดราคาสินค้า

ที่คนไทยเป็นแบบนี้ ทั้งหลายทั้งปวง ล้วนเกิดจาก ระบบความคิดของรัฐบาลไทยทุกรัฐบาลที่ผ่านๆมา มุ่งพัฒนาแต่ปลายทางความเจริญทางวัตถุ เน้นบริโภคตัวเลขจีดีพีอันฟุ้งเฟ้อ โดยไม่เน้นพัฒนาที่พื้นฐานจิตใจของคนในชาติเท่าที่ควร


ปล. ขยะที่เราคนไทยทิ้งไม่เป็นที่เป็นทาง ได้สร้างปัญหาอุดตันให้กับการระบายน้ำอย่างมาก

คลิกที่รูปเพื่อขยาย


---------------------

ข่าว3มิติ ผู้เสียสละเพื่อให้ส่วนรวมรอด

คุณนวพร เอี่ยมแทน ผู้ประสบภัยน้ำท่วม ชาวบางพุด นนทบุรี

คุณนวพร หัวใจคุณน่ากราบจริงๆ

คลิกดู การเสียสละ และป้องกันน้ำท่วม ของชาว ต.บางพูด อ.ปากเกร็ด นนทบุรี ที่นี่



ผู้ติดตาม