วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

จากหลินปิงถึงพังกำไรไปยังพังนาตาลี

คลิกที่รูป เพื่อเอาโค้ดรูปนี้ไปแปะ



ชื่อหลินปิง แน่ๆ(ซึ่งผมไม่เชียร์ชื่อนี้)
.
กระแสลูกแพนด้าฟีเวอร์แรงไม่ตก ซึ่งตอนนี้ ชื่อที่กำลังโหวตในรอบสุดท้ายทั้ง4ชื่อ คือ หลินปิง,ไทจีน, ขวัญไทย และหญิงหญิง
.
ชื่อที่นำโด่งเป็นที่1คือ หลินปิง ตามมาห่างๆก็คือขวัญไทย ส่วนไทจีน มาที่3 หญิงหญิง มาบ๊วยสุด
.
สำหรับผมเชียร์ชื่อไทจีนครับ แต่ก็รู้ว่าคงไม่มีทางชนะชื่อหลินปิงแน่ๆ เพราะคาดว่าพี่น้องชาวเชียงใหม่ และชาวเหนือส่วนใหญ่น่าจะเลือกเชียร์ชื่อนี้กันสุดๆ
.
ทำไมผมถึงชอบชื่อไทจีนรู้มั้ยครับ ?
.
ก็เพราะ มีความหมายดี สื่อความสัมพันธ์ไทยจีนแบบตรงๆสุดๆ คนจีนหรือชาวโลกก็น่าจะจำชื่อนี่ได้ง่ายว่า ลูกแพนด้าเกิดที่ประเทศไทย
.
แล้วทำไมผมถึงไม่เชียร์ชื่อ หลินปิง?
.
ก็เพราะหลินปิงนั้น อาจไม่สามารถสื่ออย่างชัดเจนให้เห็นได้ว่า แพนด้าน้อยตัวนี้เกิดที่ประเทศไทย และชื่อ หลินปิงนั้น ก็จะเป็นแค่คนไทยเท่านั้นที่เข้าใจว่า คำว่า หลินปิง มีที่มาจากแม่น้ำปิง เพราะคนไทยรู้จักแม่น้ำปิง แต่ชาติอื่นเขาจะรู้จักหรือ? จะรู้จักสักกี่คน
.
ส่วนคนจีน ถ้าไม่บอกไปบอกเขาให้ครบทุกคน ก็จะไม่มีใครรู้ที่มาของคำว่า "ปิง" ตามความหมายที่คนไทยเข้าใจว่าคือ แม่น้ำปิง ที่อยู่ในจังหวัดเชียงใหม่
.
ยิ่งถ้าเป็นคนชาติอื่นๆยิ่งไปกันใหญ่ เขาคงไม่รู้สึกสะดุดใจกับคำว่า "ปิง" แน่นอน เขาคงเข้าใจกันไปเลยว่า แค่ชื่อในภาษาจีน เพราะในภาษาจีนหลินปิง แปลว่า ป่าหิมะ และคงมีแต่คนไทยเท่านั้น ที่คิดเองเออเองว่า ป่าแม่น้ำปิง
.
แต่ถ้าหากเป็นชื่อ ไทจีน (ที่ผมเชียร์) แล้ว แน่นอนจะทำให้คนจีนหรือจะเป็นคนชาติอื่น ถ้าได้ยินต้องสะดุดใจแน่ๆ ว่า ทำไมมีคำว่า ไท และ จีน อยู่ด้วยกัน และทำไมแพนด้าน้อยตัวนี้ทำไมถึงชื่อเหมือน2ประเทศมารวมกัน
.
ฉะนั้น ผมถึงเสียดายชื่อไทจีน ของแพนด้าน้อยตัวนี้มาก ที่คงไม่มีโอกาสได้ใช้ชื่อนี้
.
เสียดายครับ !!!

.

(ส่วนชื่อที่เหลือคือ ขวัญไทย กับหญิงหญิงนั้น ซึ่งไม่น่าจะเข้ามาแข่งในรอบสุดท้ายได้ เพราะผมคิดว่า ทั้งสองชื่อนี้ ไม่ได้ตรงกับวัตถุประสงค์ของการตั้งชื่อแพนด้า เพราะเคยได้ยินจากสัตว์แพทย์จีนพูดว่า ถ้าเป็นไปได้อยากได้ชื่อภาษาจีนและมีความหมายเกี่ยวกับสัมพันธ์ไทย-จีน เพราะเวลาแพนด้าน้อยกลับจีนจะได้ไม่ต้องไปตั้งชื่อจีนใหม่อีก

.

ยิ่งหากได้ชื่อขวัญไทย หากสมมุติได้ชื่อนี้ขึ้นมา ทางจีนก็ต้องตั้งชื่อใหม่ขึ้นในภาษาจีน และสมมุติว่าแพนด้าน้อยชื่อ ขวัญไทยจริงๆ พอเวลาแพนด้าน้อยกลับไปอยู่จีนแล้ว ทางจีนก็ไม่ใช่ชื่อนี้ สุดท้ายชื่อขวัญไทยก็จะไร้ค่าในที่สุด เพราะจะถูกลืมไปตามกาลเวลา

ส่วนชื่อหญิงหญิงนั้น ผมคงไม่จำเป็นต้องพูดถึง ผมไม่ชอบการเอาชื่อเพศมาตั้งเป็นชื่ออยู่แล้วครับ จึงไม่ขอวิจารณ์ต่อ)
.
***************************
.
พังกำไร ล้มไปไม่ไร้ค่า?
.
ช้างพังกำไร เพศเมียอายุ10ปี ประสบอุบัติเหตุที่จ.สระแก้ว ขณะกำลังเดินทางไปผสมพันธุ์ในจ.ชลบุรี เพราะรถบรรทุกที่บรรทุกพังกำไรเกิดไหลตกเขาขณะจอดซ่อมคว่ำมาทับพังกำไร ทำให้พังกำไรขาหักและบาดเจ็บหลายจุด อาการสาหัส
.
แต่ต่อมาพังกำไรก็ได้รับการรักษาพยาบาลเป็นอย่างดีจากทีมสัตวแพทย์พระราชทานจากพระราชินี และก็ได้อยู่ในของทีมสัตวแพทย์อย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
.
แต่ในที่สุดพังกำไรก็ล้มลง สิ้นใจในที่สุด
.
แน่อนเราคนไทยทุกคนเสียใจไปกับเหตุการณ์ครั้งนี้ด้วยกัน แต่ก็ยังมีคนไทยอีกหลายคนได้นำเรื่องแพนด้าน้อยมาเปรียบเทียบเชิงประชดประชันกัยกรณีช้างไทยว่า
.
สนใจแต่ลูกแพนด้า แต่ไม่ค่อยสนใจช้าง เอาแต่ซื้อโน่นซื้อนี่ไปให้แพนด้าน้อย เป็นเงินมากมาย
.
การที่พวกเขาคิดแบบนี้มันก็ไม่ผิดครับ เพราะเชื่อว่าทุกคนมีเจตนาดี แต่ผมว่าอย่าเอาความคิดในเชิงลบมาประชดประชันกันเลยครับ เปรียบเทียบแบบสร้างสรรค์ก็ได้ อย่าไปเปรียบเทียบเชิงลบเชิงอิจฉาริษยาแพนด้าน้อยกันเลยครับ
.
ในกรณีพังกำไร ทีมสัตวแพทย์ก็ได้ทำหน้าที่อย่างดีที่สุดแล้ว ส่วนช้างเชือกอื่นๆหรือตัวอื่นๆที่เหลือ ผมไม่ทราบว่า คนที่บ่นและประชดนั้น เขาต้องการประชดหรือจะสื่อถึงใครกันแน่ครับ?
.
ประชดรัฐบาลหรือเปล่า? หรือประชดสื่อไทย? หรือประชดคนไทยทุกคนที่ไม่สนใจช้าง? หรือจะประชดตัวเองด้วย?
.
ใครรักแพนด้าก็รักช้างได้ครับ รักสัตว์ทั้งสองอย่างพร้อมกันก็ได้ อย่าไปประชดกันเลย เดี๋ยวพลอยจะทำให้เสียบรรยากาศการท่องเที่ยวและบรรยากาศแห่งความน่ารักหมด แม้ไทยจะเสียเงินดูแลแพนด้าน้อยอย่างทุ่มทุน แต่ผลที่ได้กลับคืนมาก็น่าจะคุ้มพอสมควร
.
ยิ่งเรื่องความน่ารักของแพนด้า ก็ทำให้คนไทยมีความสุขได้ช่วงขณะที่ประเทศไทยมีแต่เรื่องเครียดๆ
.
ยิ่งถ้าจะพูดเรื่องชื่อเสียงที่ไทยเราได้รับจากแพนด้าน้อย ก็นับว่า แพนด้าน้อยก็มีผลดีกับไทยเราไม่น้อย วันก่อนก็มีนักข่าวจากเยอรมันมาทำข่าวแพนด้าน้อย เพราะข่าวแพนด้าน้อยไทยดังไกลไปถึงเยอรมัน ดังไม่แพ้ลูกหมีขาวคนุตเลย (คนุต ลูกหมีขั้วโลกกำพร้าที่ถูกแม่ทิ้ง-สวนสัตว์เบอร์ลิน)
.
ส่วนกรณีช้างไทยนั้น ช้างส่วนใหญ่ที่อยู่ในป่า หรือช้างป่า เราคนไทยทำได้ด้วยการ อย่าไปรุกรานกับถิ่นทำกินของเขา อย่าไปทำลายป่า อย่าไปยุ่งกับเขา ให้เขาอยู่สบายๆตามธรรมชาติ ก็นับว่าดีที่สุดแล้ว
.
แต่ความเป็นจริง คนไทยกลับทำลายป่า แหล่งที่อยู่สำคัญของช้าง จนช้างป่าต้องอดอยากออกมาหากินนอกเขตป่า แต่คนไทยก็ยังทำร้ายช้างป่าที่มาบุกรุกกินพืชผลของชาวบ้านที่เพาะปลูก
.
ลองคิดดีๆ นะครับว่า ใครกันแน่ที่เบียดเบียนก่อน คนหรือช้างกันแน่ๆ?
.
กรณีช้างบ้าน เขาก็มีเจ้าของ รัฐบาลก็เข้ามาสนับสนุนได้ไม่เต็มที่ เพราะช้างมีเจ้าของ
.
ส่วนกรณีแพนด้าของจีน ประเทศจีนเขาถือว่า แพนด้าทุกตัวเป็นของประเทศจีน เป็นของรัฐบาลจีน ไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง เหมือนอย่างที่ช้างบ้านไทยเป็นอยู่
.
จีนเขามีกฏหมายคุ้มครองที่อยู่แพนด้าอย่างเข้มงวด จีนออกกฏหมายคุ้มครองชีวิตแพนด้าทุกตัวอย่างเข้มงวด ผู้ใดลักลอบขโมยแพนด้าออกนอกประเทศ ผู้ใดทำร้ายแพนด้า โทษหนักอาจจนถึงโทษตาย!! กฏหมายจีนศักดิ์สิทธิกว่ากฏหมายไทยครับ
..
แน่นอนแม้ผมจะไม่ชอบให้ประชดประชันเรื่องแพนด้าน้อยผ่านไปยังพังกำไรก็ตาม แต่เราก็ต้องยอมรับว่า การประชดประชันก็ทำให้เกิดกระแสความสนใจช้างไทยขึ้นมามากเช่นกัน แม้ผู้ประชดประชันจะมีเจตนาดีแบบติเพื่อก่อก็ตาม แต่ถ้าฟังถ้าใครที่ได้ยินได้ฟังแล้วส่วนใหญ่ผมว่า มันทำให้เกิดความรู้สึกในทางลบมากกว่า (หรือว่าคนไทยต้องประชดถึงจะรู้สึก?)

.

พังกำไรแม้จะจากไปแล้วแต่ไม่ได้จากไปเปล่าๆ แต่ได้ทิ้งองค์ความรู้ในการรักษาช้างแก่ทีมสัตวแพทย์ไว้หลายอย่าง และการที่พังกำไรมาบาดเจ็บในช่วงแพนด้าน้อยลืมตาดูโลกนั้น ช่างเป็นเวลาที่ประจวบกันพอดีจนเกิดกระแสรักช้างไทยเกิดขึ้นตาม

.

แถมในช่วงเดียวกันช้างไทยที่ไปอยู่ออสเตรเลียก็ได้ตกลูกช้างที่เพิ่งได้ชื่อว่า "ลูกชาย"จากการประกวดการตั้งชื่อ ก็ประจวบเหมาะที่เกิดการเปรียบเทียบความสนใจช้างไทยของคนออสเตรเลียที่หลงใหลลูกช้างไม่แพ้กระแสเห่อแพนด้าน้อยของไทย

.

ตรงจุดนี้เองคือนิมิตหมายที่ดีที่ช้างไทยจะได้รับความสนใจเหลียวแลมากขึ้น และหวังว่าจะไม่ใช่แค่กระแสชั่วคราวแบบไฟไหม้ฟาง!!

.

เริ่มที่ตัวเราก่อนว่า เราเคยช่วยช้างไทยหรือบริจาคเงินช่วยโครงการช่วยเหลือช้างไยกันบ้างหรือยัง ที่โรงพยาบาลช้างที่สุรินทร์ที่เคยรักษาพังกำไรก็ได้ครับ


*********************
.
พังนาตาลี ช้างฆ่าคน?
.
พังนาตาลี เป็นช้างที่มีประวัติฆ่าคนตายมาถึง8ศพ จนไม่มีใครอยากเข้าใกล้ หรือเลี้ยงอีก จนอาจจะถูกชาวบ้านฆ่าก็ได้

แต่ตอนนี้พังนาตาลีได้รับการช่วยเหลือนำไปเลี้ยงดูในที่ใหม่ที่ดีแล้ว ขออนุโมทนาบุญกับผู้เกี่ยวข้องด้วยครับ

.

และพอพังนาตาลีไปถึงปางช้างซึ่งเป็นที่อยู่ใหม่ พังนาตาลีก็มีอาการเขินเล็กน้อย(ควาญเขาพูด) และแววตาก็ไม่มีความดุร้ายแฝงอยู่เลย ในตอนมาถึงใหม่ก็พาช้างตัวผู้อายุประมาณ50กว่ามาต้อนรับ ซึ่งดูเหมือนพังนาตาลีก็ปิ๊งๆกับช้างพลายกันอยู่เหมือนกัน

ตอนเข้าคอก(ไม่รู้เรียกอย่างนี้หรือเปล่า) ทางปางช้างก็นำแม่ช้างอีกตัวกับลูกช้างมาอยู่คอกติดกับคอกพังนาตาลี และพังนาตาลีก็แสดงออกว่าเอ็นดูลูกช้างด้วยครับ มีการส่งเสียงพูดคุยประสาช้างกันแทบตลอดวัน

-------
.
ข่าวพิธีรับขวัญพังนาตาลี (จากไทยรัฐ)
.
มูลนิธิพระคชบาลซื้อพังนาตาลี ประวัติทำร้ายชาวบ้านที่นครศรีธรรมราชและตรัง ด้วยราคา 6 แสนบาท เพื่อไปเลี้ยงปรับเปลี่ยนพฤติกรรม โดยจะออกเดินทางในช่วงเย็นนี้ ท่ามกลางความดีใจของชาวบ้าน.......
.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(29 ก.ค.) บริเวณลานหน้าวัดหน้าลา หมู่ 7 ต.แหลมสอม อ.ปะเหลียน จ.ตรัง นายอิทธิพันธ์ ขาวละมัย เลขาธิการมูลนิธิพระคชบาล จ.พระนครศรีอยุธยา พร้อมด้วยควาญช้าง รวม 4 คน ได้ร่วมกันนำเหล้าขาว ธูปเทียน ดอกไม้ ตะขอและผลไม้ มาประกอบพิธีกรรมเพื่อเซ่นไหว้ครู เทวดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ปกปักรักษาตัวช้างพังนาตาลี วัย 35 ปี ก่อนที่จะมีการเคลื่อนย้ายช้างไปยังปางช้าง จ.พระนครศรีอยุธยา ตามความเชื่อของผู้ที่เลี้ยงช้าง โดยชาวบ้านจากในพื้นที่ ต.แหลมสอม ต.ทุ่งยาว และใกล้เคียง ที่ทราบข่าวให้ความสนใจเดินทางมาดูการประกอบพิธีกรรมดังกล่าว ประมาณ 200 คน
.
ทั้งนี้ภายหลังจากประกอบพิธีกรรมดังกล่าวเสร็จ ก็ได้ให้นายพันธ์ ศาลางาม อายุ 49 ปี ซึ่งเป็นควาญช้างคนใหม่ประจำพังนาตาลี ขึ้นนั่งบนหลังช้าง โดยมีควาญช้างคนเก่าคอยควบคุมอย่างใกล้ชิด โดยพังนาตาลียอมให้นั่งบนหลังแต่โดยดี แต่ก็ยังมีอาการตื่นตกใจเล็กน้อยที่เห็นคนจำนวนมาก จึงไม่ยอมกินเงาะที่ควาญช้างโยนให้กินแต่อย่างใด
. ง
ด้านนายอิทธิพันธ์ ขาวละมัย เลขาธิการมูลนิธิพระคชบาล จ.พระนครศรีอยุธยา กล่าวว่า ที่ผ่านมา ทาง ม.จ.หญิงรังษี นภดล ยุคล หลังจากทราบข่าวเกี่ยวกับพังนาตาลี ก็มีพระบัญชาประสงค์จะขอซื้อพังนาตาลี จากนายสมโชคเจ้าของ ในราคา 6 แสนบาท เพื่อนำมาบำบัดที่ปางช้าง จ.พระนครศรีอยุธยา โดยทางมูลนิธิจะนำพังนาตาลีไปดูแลร่วมกับช้างเชือกอื่น เพื่อสร้างความคุ้นเคย ซึ่งเชื่อว่าสามารถจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเดิมได้
.
เลขาธิการมูลนิธิพระคชบาล กล่าวต่อไปว่า สำหรับพังนาตาลีนั้น เดิมเคยเป็นช้างป่าอยู่ร่วมกันเป็นโขลง เป็นช้างที่มีพลังลักษณะสวมงามมีสง่าราศรี งวงสั้น หูปรก ใครได้ครอบครองก็จะโชคดี แต่เมื่อออกมาอยู่ตัวเดียว ก็อาจจะมีพฤติกรรมของความเป็นส่วนตัวสูง และที่ผ่านมาเคยได้รับการฝึกอย่างดีมาจากควาญช้างแล้ว และมีนิสัยรักควาญช้างที่ดูแลเอาใจใส่อย่างดี มีอาหารให้กิน แต่มักจะไม่ชอบทำงานหนักชักลากไม้ แต่เมื่อแยกไปอยู่ตัวเดียวก็มีอาการเหงา ประกอบกับอยู่ในช่วงที่ติดสัดหาตัวผู้ผสมพันธุ์ไม่ได้ ก็เกิดอารมณ์หงุดหงิด หลุดออกมาจากที่ควบคุม จนมาเจอชาวบ้านที่เคราะห์ร้ายแต่ด้วยความตกใจ จึงทำให้ทำร้ายคนแบบไม่ตั้งใจจนเสียชีวิตดังกล่าว
.
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า พังนาตาลี วัย 35 ปี มีประวัติทำร้ายชาวบ้านที่ออกไปกรีดยางพาราในพื้นที่ อ.ปะเหลียน จ.ตรัง จนเสียชีวิตพร้อมกันทั้ง 3 ศพ เมื่อคืนวันที่ 1 ก.ค.และนอกจากนี้ยังทำร้ายชาวบ้านที่ จ.นครศรีธรรมราช, ชาวบ้าน ต.บางดี อ.ห้วยยอด จ.ตรัง และนายจำนรรจ์ ชูบาล ควาญช้างพี่ชายนายสมโชค ชูบาล อายุ 58 ปี เจ้าของจนเสียชีวิต เมื่อวันที่ 9 มิ.ย.ที่ผ่านมา รวมทั้งหมด 8 ศพ
.akecity
.

*****************************

.

วังช้าง จ.อยุธยาฯ ทำพิธีปัดรังควาญให้พังนาตาลี (ข่าวช่อง11)

"

วังช้าง จ.พระนครศรีอยุธยา ทำพิธีปัดรังควาญ และบังสุกุลให้กับพังนาตาลี ช้างป่าฆ่าคน 8 ศพ ก่อนจะนำไปฝึกเป็นช้างเลี้ยง ไว้ที่วังช้างอยุธยาแลเพนียด
.

วันนี้ (31 ก.ค.52) ที่เพนียดหลวง ต.สวนพริก อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา วังช้างอยุธยาแลเพนียด จ.พระนครศรีอยุธยา จัดให้มีพิธีปัดรังควาญและบังสุกุลให้กับพังนาตาลี ช้างป่าที่ฆ่าคนมาแล้ว 8 ศพ

.

โดยพิธีเริ่มขึ้นในเวลา 08.30 น. มีการประกอบพิธีสงฆ์สวดเจริญพระพุทธมนต์ และประกอบพิธีพราหมณ์ จากนั้นได้มีการเคลื่อนพังนาตาลี เข้าไปยังเพนียดคล้องช้าง โดยให้พังนาตาลีเดินเข้าโดยผ่านซุ้มประตูป่า ซึ่งหมายถึงช้างที่ออกจากป่า และเคลื่อนเข้าเพนียดคล้องช้าง โดยหันหน้าไปทางทิศตะวันตก ซึ่งขั้นตอนนี้ต้องใช้ช้างถึง 3 เชือก ทำการต้อน เนื่องจากช้างป่าจะไม่กล้าเข้าไปในเพนียด จากนั้นพระสงฆ์วัดป้อมรามัญ ได้มีการสวดบังสุกุลตายให้กับพังนาตาลี ซึ่งหมายความว่าช้างพังนาตาลี ได้ตายไปแล้ว และสวดบังสุกุลเป็น ให้กับพังนาตาลี ซึ่งหมายถึงช้างป่า พร้อมที่จะนำไปถูกฝึกเลี้ยง

.

โดยก่อนที่พังนาตาลีจะลอดผ่านเสาโตงเตงของเพนียดคล้องช้าง นายวิทยา ผิวผ่อง ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้ทำพิธีปัดรังควาญช้าง และรดน้ำมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคล

.

ต่อจากนั้น ม.จ.หญิงรังษีนภดล ยุคล ประธานมูลนิธิ ม.จ.หญิงรังษีนภดล ยุคล ได้ประทานระฆังทอง ซึ่งหมายถึงความเป็นสิริมงคล และประทานกระดิ่งใส่ที่ข้อเท้าพังนาตาลี จากนั้นควาญช้างนำพังนาตาลีเข้าสู่เพนียดคล้องช้าง และเดินวนรอบศาลประกำโดยใช้รอบทักษิณาวัตร ซึ่งตลอดขั้นตอนมีการนำช้างเดินประกบกับพังนาตาลีตลอดเวลา และพังนาตาลีก็ไม่รู้สึกตื่นกลัวแต่อย่างใด

.

(ท่านหญิงรังษี ได้กล่าวแก่นักข่าวด้วยว่า พังนาตาลีเป็นช้างลักษณดีเป็นมงคล เข้าลักษณะ"ราชินีช้าง")

.

นายลายทองเหรียญ มีพันธ์ ประธานมูลนิธิพระคชบาล เปิดเผยว่า ม.จ.หญิงรังสีนภดล ได้กราบบังคมทูลขอพระราชานุญาตสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เพื่อขอให้พระราชทานชื่อให้แก่พังนาตาลีใหม่ และต่อจากนี้ไปพังนาตาลี จะถูกฝึกเลี้ยงให้เป็นช้างบ้าน ตามพระประสงค์ของ ม.จ.หญิงรังสีนภดล ที่ทรงตั้งกองทุนเพื่อรวบรวมเงินไปซื้อช้างพังนาตาลีมาจาก จ.ตรัง โดยจะให้ควาญช้างของวังช้างอยุธยาแลเพนียด ทำการฝึกทั้งหมด
.

อ่านเรื่อง มองประชาธิปไตยจากหลายมุมโลก

.

วันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ชาวนาผู้ร่ำรวย,คนญี่ปุ่นอยากเป็นชาวนา





เมื่อไม่กี่อาทิตย์ที่แล้ว มีข่าวว่าเวียตนามส่งออกข้าวได้เพิ่มขึ้นกว่าปีที่แล้วร่วม20% แต่ในขณะที่ไทยขายข้าวได้น้อยลงกว่าปีที่แล้ว15%
.
หากยังจำกันได้ ปีที่แล้วข้าวราคาพุ่งขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จนชาวนาไทยขายข้าวได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ

แต่ผมก็เคยเจอข่าวอยู่ข่าวนึงเมื่อปีที่แล้ว ที่ทีวีไปสัมภาษณ์ชาวนาที่อยุธยารายหนึ่ง เขาดีใจมากที่ปีนี้ขายข้าวไม่ขาดทุน กำไรทั้งหมดที่ได้ปีที่แล้ว3แสน เขาเลยซื้อมอเตอร์ไซค์ให้ลูกชายวัยรุ่นตามที่ลูกเคยขอไว้ ส่วนเงินที่เหลือจากใช้หนี้ก็จะนำมาลงทุนปลูกข้าวต่อทันที

ที่จริงชาวนาไทยจำนวนมากอาจลืมไปอย่างนึงว่า ปีที่แล้วที่ไทยเราเนื้อหอมจากตลาดข้าวโลกก็เพราะ เวียตนามคู่แข่งรายสำคัญประสบกับภัยทางธรรมชาติน้ำท่วมเกือบทั้งประเทศ ทำให้เวียตนามต้องประกาศหยุดส่งออกข้าวเพราะกลัวจะเกิดภาวะอาหารขาดแคลนในประเทศ

แต่มาปีนี้เวียตนามยังไม่เจออุทกภัย ผลผลิตข้าวของเวียตนามเลยมีส่งออกกลับมาแข่งกับไทยได้อีกครั้ง ซึ่งทำให้ราคาข้าวในตลาดโลกเริ่มลดลง เป็นผลให้ราคาข้าวในประเทศไทยแพงกว่า จนชาวนาโวยเพื่อขอให้รัฐบาลใช้วิธีรับจำนำราคาข้าวอีกครั้ง ก่อนที่จะเปลี่ยนไปเป็นใช้วิธีการประกันราคาข้าวในอนาคต

สาเหตุสำคัญที่สุดที่ทำให้เวียตนามขายข้าวได้อัตราส่วนที่เพิ่มขึ้นมากกว่าไทยที่อัตราส่วนกลับลดลง ไม่ใช่เรื่องคุณภาพข้าว เพราะข้าวไทยยังมีคุณภาพเหนือกว่า (แต่อย่าประมาท)

แต่สาเหตุที่เวียตนามขายข้าวได้มากขึ้นก็เพราะปัจจัยด้านราคาที่ถูกกว่าไทยมากจนทำให้ลูกค้าหันกลับมาสนใจข้าวเวียตนามมากขึ้น(น่าจะมีปัจจัยเรื่องภาวะวิกฤติเศรษฐกิจเป็นปัจจัยช่วยส่งเสริมให้ข้าวเวียตนามน่าสนด้วย)
.
แล้วทำไมข้าวไทยราคาสูงกว่าคู่แข่ง?
.
คำตอบง่ายๆก็คือ ค่าครองชีพของไทยสูงกว่าเวียตนาม ต้นทุนการปลูกข้าวของชาวนาไทยก็สูงกว่าชาวนาเวียตนาม
.
เรื่องค่าครองชีพ ชาวนาคงไม่ได้มีอำนาจอะไรไปแก้ไขได้ แต่สิงที่ชาวนาไทยแก้ไขได้ก็คือการลดต้นทุนการผลิต

************************

ชาวนาผู้ร่ำรวย!!!
.
วันนี้เผอิญผมได้ดูข่าวทีวีไทย ไปสัมภาษณ์ชาวนาไทยคนหนึ่งที่ร่ำรวยจากการปลูกข้าวด้วยเกษตรอินทรีย์มากว่า20ปี แถมมีเงินเป็นล้านเขาชื่อนายชัยพร พรหมพันธุ์(นามสกุล พันธุ์ นี้มีสระอุ) เกษตรกรจากอำเภอบางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
.
ซึ่งคุณชัยพร บอกว่าได้เรียนรู้เรื่องเกษตรอินทรีย์จากท่านผู้รู้คนหนึ่งเมื่อ20ปีที่แล้ว และจากเมื่อ20ปีที่แล้ว คุณชัยพรซึ่งได้รับมรดกที่นาเกือบ40ไร่ จากบิดาที่ทิ้งไว้
.
ด้วยการใช้เกษตรอินทรีย์ ไม่พึ่งพาปุ๋ยเคมี ไม่พึ่งพายาฆ่าแมลงพวกสารเคมี ใช้แต่ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมักบำรุงต้นจากนมสดและรกหมู และใช้ยาฆ่าแมลงจากสมุนไพรที่เขาทดลองค้นคว้าใช้มาตลอด เพราะยาฆ่าแมลงสมุนไพรไม่ฆ่าตัวห้ำตัวเบียนที่เป็นศัตรูกับแมลงศัตรูข้าว
.
ทำให้ต้นทุนการปลูกข้าวของคุณชัยพร มีต้นทุนต่อไร่เพียง 1000-2000บาทเท่านั้น!!! และได้ผลผลิตมากถึง 1 เกวียนต่อไร่ ! (ข้าว 1 เกวียน = 1พันกิโลกรัมข้าวเปลือก)

(โอโห! ตอนดูข่าวผมถึงกับดีใจจนปรบมือให้เลยครับ) แต่ในขณะที่ต้นทุนของชาวนาไทยทั่วๆไปกลับสูงถึง6000-8000บาทต่อไร่ (สาเหตุหนึ่งที่ชาวนาไทยเจ๊งเพราะต้นทุนต่อไร่สูง มีหนี้เก่าสะสม จากปัญหาภัยธรรรมชาติทำนาล่ม เพราะชาวนาไทยยังไม่มีการประกันความเสี่ยงจากพืชผลเสียหาย)
.
วิธีการหนึ่งที่คุณชัยพร ค้นพบคือ การปลูกข้าวแบบกระจายซัง เพราะสามารถปลูกข้าวได้ทันทีหลังจากที่เกี่ยวข้าวรุ่นที่แล้ว โดยปล่อยทิ้งซังข้าวกลายเป็นปุ๋ย
.
จากเดิมที่คุณชัยพร ได้รับมรดกจากพ่อไม่ถึง40ไร่ ปัจจุบันคุณชัยพร ได้ซื้อเพิ่มเติมที่นามาจนถึงวันนี้100กว่าไร่แล้วครับ (สุดยอด!)
.
แต่ยังไม่หมดแค่นั้น คุณชัยพร ชาวนาผู้ร่ำรวยมีเงินเป็นล้าน ยังบอกต่ออีกว่า ตอนนี้มีรถปิคอัพ3คัน มีรถบรรทุก10ล้อ มีรถ6ล้อ มีเงินส่งลูกเรียนปริญญาโท2คนจะจบปีหน้า มีลูกเพิ่งจบปริญญาตรีที่เกษตรศาสตร์อีกคน (สุดยอดๆๆ)
.
คุณชัยพร เสริมอีกหน่อยว่า การเกษตรอินทรีย์แบบที่เขาทำมา20ปี ไม่ใช่วิธีการที่สมัยใหม่อะไรมาก แต่เป็นวิธีการที่บรรพบุรุษก็ทำมาแล้วทั้งสิ้น เพียงแต่เขาค้นคว้าซักถามผู้รู้ คิดค้นเพิ่มเติมและหาอ่านจากหนังสือเท่านั้น

(ผมมีคลิปรายการคนค้นคนที่ตามติดชาวนาชัยพร ชาวนาเงินล้าน ด้านล่างบทความครับ)
.
*****************************
.

คนญี่ปุ่นอยากเป็นชาวนาเพิ่มขึ้น

ชาวนาผู้ร่ำรวย จ.สุพรรณบุรี
.
ได้ดูสกู๊ปข่าวเศรษฐกิจช่อง3 ซึ่งมีข่าวนึงที่นำเสนอเรื่องของคนญี่ปุ่นได้ไปสมัครเป็นชาวนาในโครงการของรัฐบาลญี่ปุ่น
.
ก่อนหน้าที่จะมีวิกฤติเศรษฐกิจของโลกที่ญี่ปุ่นก็รับไปเต็มๆด้วยนั้น คนญี่ปุ่นรุ่นใหม่ไม่ค่อยมีใครสนใจการเป็นชาวนา ทำให้ปัจจุบันชาวนาญี่ปุ่นส่วนใหญ่ก็เหลือแต่คนรุ่นเก่าๆ(และแก่)ที่นับวันก็เริ่มเหลือน้อยลงทุกวัน
.
แต่พอเกิดวิกฤติเศรษฐกิจเกิดขึ้น มีผู้คนว่างงานเพิ่มขึ้น หรือมีผู้ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจมากขึ้น อย่างเช่น
.
หนุ่มคนหนึ่งที่เข้ามาสมัครเป็นชาวนาในโครงการของรัฐนี้ ซึ่งเดิมเขาก็เคยเป็นพนักงานบริษัทไปรษณีย์ญี่ปุ่น ซึ่งก็เป็นธนาคารอันดับหนึ่งของญี่ปุ่นด้วย (เป็นอดีตรัฐวิสาหกิจที่พึ่งแปรรูป และแปรรูปเพื่อประชาชนจริงๆ)
.
หนุ่มญี่ปุ่นคนนี้ได้ถูกลดชั่วโมงการทำงานลง ทำให้เขามีเวลาเหลือมาลองฝึกการเป็นชาวนา แต่ต่อมาก็ตัดสินใจลาออกมาเป็นชาวนาเต็มตัว และค้นพบว่า อาชีพชาวนาเหมาะกับเขามากที่สุด ไม่รีบร้อน ไม่ต้องเครียด และมั่นคง
.
ก่อนหน้านี้ ผมก็เคยได้ดูสกู๊ปข่าวหนึ่งที่ใกล้เคียงกับข่าวแรก คือวัยรุ่นญี่ปุ่นยอมเสียเงินมาเรียนการปลูกข้าว ซึ่งคอร์สละหมื่นกว่าบาทกันมากมาย (ที่ญี่ปุ่นแค่นักท่องเที่ยวมาชมการสาธิตปลูกข้าวยังต้องเสียเงินขอชมเลย)
.
จากข่าวที่ผมได้ดู ทำให้ผมได้คิดว่า ประเทศไทยก็ยังดูทุกข์เรื่องวิกฤติเศรษฐกิจน้อยกว่าอีกหลายๆประเทศ เช่นอเมริกาที่รัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งประสบภาวะจัดเก็บรายได้น้อยลง ถึงขนาดผู้ว่าฯคนเหล็ก อาโนล์ด ชวาชเนค.เกอร์ ต้องปลดข้าราชการของรัฐออก หรือลดเงินเดือนลดวันทำงานลงเพื่อความอยู่รอด และอเมริกาก็มีคนตกงานไร้ที่อยู่เพิ่มขึ้นๆ ..
..
แต่สำหรับประเทศไทยข้าราชการไม่ถูกตัดเงินเดือน ไม่ถูกไล่ออก เพียงแค่นี้ข้าราชการไทยก็ไม่พอใจแล้วครับ
.
หรือคิดกันแค่ว่า ปัญหาชาติเรื่องของชาติ แต่ปัญหาเงินเดือนเรื่องของกู!มิทราบ? (รัฐวิสาหกิจที่เรียกร้องเงินเพิ่มโปรดสำเหนียกไว้ด้วยนะครับ)
.
อ่านทุนนิยมบริโภคหลอกใช้ชาวนาไทย
.
อ่านความล้มเหลวของชาวนาไทยจากแผนพัฒนาเศรษฐกิจ

----------------------------------

เพิ่มเติม

บทความเรื่องชาวนาผู้ร่ำรวย ผมเขียนไว้เมื่อวันที่30ก.ค.2552

แต่พอดีเมื่อวันที่2มิ.ย.54 ผมได้เจอคลิปรายการคนค้นคนของวันที่24พ.ค.54 ได้ไปตามติดชาวนาผู้ร่ำรวย คือคุณชัยพร พรหมพันธุ์ ชาวนาเงินล้านผู้ที่มีเงินเดือนให้เมียได้เดือนละ5หมื่น ผมเลยถือโอกาสนำคลิปของคุณ ladyEdnaMode มาลงไว้ประกอบเพื่อความเข้าใจเพิ่มขึ้นครับ








แนะนำอ่าน ความล้มเหลวของชาวนาไทยจากแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับที่1


วันเสาร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

หลังการประชุมรมต.อาเซียน กับฮิลลารี




การประชุมรมต.อาเซียนที่ภูเก็ตเพิ่งจบลงไปอย่างสงบเรียบร้อยดี ต่างกับที่พัทยาที่ล้มลงแบบขายขี้หน้าไปทั่วโลกเพราะเสื้อแดงบุกถล่ม

แต่การประชุมที่ภูเก็ต เสื้อแดงบอกไม่ไปป่วนการประชุม เพราะเห็นแก่ประเทศชาติ (ฮาๆ) แต่จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ก็ต้องขอบอกขอบใจเหล่าเสื้อแดงที่ยอมสงบสติเพื่อชาติ (แม้จะชั่วคราว ฮาๆ)

บุคคลที่น่าสนใจกว่าใครเพื่อน จนถึงกับต้องมีการต้อนรับเสียใหญ่โตมากกว่ารมต.อาเซียนทุกคนที่มางาน นั่นก็คือนางฮิลลารี คลินตัน (เมียอดีตปธน.บิล คลินตัน) รมต.ต่างประเทศสหรัฐอเมริกา อดีตสุภาพสตรีหมายเลข1 (ที่สามีแอบมีกิ๊กที่2ในทำเนียบขาว)

นางฮิลลารี รมต.ต่างประเทศสหรัฐ มาเซ็นลงนามให้อเมริกาเป็นพันธมิตรร่วมมือกับอาเซียนเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ทั้งๆที่ผ่านมา ชวนอเมริกามากี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็ไม่เคยสนใจคิดจะเซ็นลงนาม

แต่มาคราวนี้สหรัฐอเมริกากลับยอมมาลงนามยอมเป็นพันธมิตรกับอาเซียนในสมัยที่ไทยเรามีรัฐบาลเทพอุ้มสม (เสื้อแดงชอบเรียก) (ฮาๆ) แถมอเมริกายังมาลงนามในสมัยที่ไทยมีรมต.ต่างประเทศที่กำลังโดนคดีผู้ก่อการร้าย!! (ฮาๆ)

หลังจบการประชุม นางฮิลลารี คลินตัน ก็เปิดโอกาสให้สัมภาษณ์กับสุทธิชัย หยุ่น ซึ่งตามสไตล์เฮียหยุ่น ก็ต้องมีคำถามชี้นำตามสไตล์ เช่นเรื่องพมา เฮียหยุ่นไปถามเธอว่า

"ถ้าพม่าไม่ปล่อยแม่นางอองซานซูจี ควรจะเอาพม่าออกจากอาเซียนมั้ย?"

ฮิลลารีก็เลยตอบอ้อมๆแต่ชี้นำกลับไปว่า "นั่นก็เป็นนโยบายที่อาเซียนควรจะต้องพิจารณา!!"

ฮิลลารีไม่ได้ตอบตรงๆ แต่สื่อไทยกลับตีข่าวไปซะตรงเผงเกิน! พาดหัวซะน่ากลัวว่า

ฮิลลารีหนุนอาเซียนขับพม่า! (ฮาๆ)

แล้วคำถามที่ดูผู้คนออกจะชื่นชมนางฮิลลารีเป็นการใหญ่ ก็คือคำถามที่คุณวีณารัตน์(พิธีกรร่วม) ถามว่า

"รู้สึกอย่างไรที่ต้องทำงานให้อดีตคู่แข่งที่ขับเคี่ยวกันในการหาเสียง ซึ่งปัจจุบันกลายมาเป็นประธานาธิบดี?"

นางฮิลลารีเลยได้โอกาสตอบเชิงแอบหลอกสอนพี่ไทยไปซะดอก เธอตอบว่า

"เป็นหนึ่งในคำถามที่คนถามกันมาก ลองคิดดูสิเราขับเคี่ยวกันอย่างหนัก แถมยังพูดสิ่งที่อาจไม่ค่อยดีถึงกัน แต่ในประเทศของเรา เมื่อการเลือกตั้งสิ้นสุดลง เราพยายามทำงานร่วมกันเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ
.
และในระบบของเรา เมื่อประธานาธิบดีขอให้คุณเข้ามาทำหน้าที่ คุณรู้สึกคุณควรทำเช่นนั้นเพื่อให้ประธานาธิบดีประสบความสำเร็จ และประธานาธิบดีก็ขอให้คนจากพรรครีพับลิกันมาทำงานให้ด้วย ไม่เฉพาะจากพรรคเดโมแครต รองประธานาธิบดีโจ ไบเดน ก็เคยขับเคี่ยวกับประธานาธิบดีโอบามาช่วงหนึ่ง

ตอนฉันอยู่ในอินโดนีเซีย ถูกถามคำถามนี้มาก ฉันจึงตอบไปว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่อเมริกาเรียนรู้ตลอดหลายปีแห่งการปกครองระบอบประชาธิปไตย นั่นคือประเทศชาติต้องมาก่อน
การเมืองมาแล้วก็ไป คนแพ้และชนะตัวหนาการเลือกตั้ง ทันทีที่การเลือกตั้งจบลง คุณอาจยังมีความเห็นด้านนโยบายไม่ตรงกัน แต่เราควรพยายามเดินหน้าไปด้วยกันเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ"

โอโห! ได้เสียงปรบมือจากผู้ฟังอย่างชื่นชม ไม่รู้คนไทยที่ไปปรบมือชื่นชมกับคำพูดของฮิลลารีนั้น ลืมไปหรือเปล่าว่า เขาแอบด่าเราอยู่นะ แม้จะอ้อมๆก็เถอะ

สำหรับผม ผมไม่ได้รู้สึกพิเศษกับคำตอบของคำถามนี้ของฮิลลารีเท่าไหร่นัก เพราะผมคิดว่าคนไทยเราเจ๋งกว่านางฮิลลารีหรืออเมริกันชนอย่างเธอเยอะ

เพราะนักการเมืองไทยของเรา ขนาดไปขุดกระดูกพ่อกระดูกแม่โคตรเง่าบรรพบุรุษมาด่ากันในสภาจนแทบจะฆ่ากันตาย แต่วันดีคืนดีกลับมาจูบปากกอดคอทำงานในรัฐบาลได้เหมือนเดิม (ฮาๆ)

ถ้าฮิลลารีเจอแบบหนักๆพี่ไทยเรา ฮิลลารีก็ไม่มีทางกับไปร่วมมือร่วมแรงกับศัตรูทางการเมืองได้แน่ๆ และที่ฮิลลารีร่วมมือกับโอบามาได้ ก็ไม่เห็นเรื่องแปลกหรือดีเด่นอะไรเกินไป เพราะเขาทั้งคู่ก็พรรคเดียวกันอยู่แล้ว

กลยุทธดึงศัตรูมาเป็นมิตร ธรรมดาๆมากๆสำหรับคนเอเซียอย่างเราๆ

***************
***************

ทีนี้ผมได้ฟังนักวิชาการท่านึงที่มาพูดคุยวิเคราะห์เรื่องการสัมภาษณ์ฮิลลารี ในช่องเนชั่น ผมติดใจเรื่องนึงที่นักวิชาการคนนี้เอ่ยถึง พร้อมยกตัวอย่างกรณีอดีตประธานาธิบดีจอห์ช w บุช ว่า

อดีตปธน.บุช ดำเนินนโยบายผิดพลาดล้มเหลว โดยเฉพาะเรื่องการบุกอิรักและการนำประเทศจนเกิดวิกฤติเศรษฐกิจสาหัส จนคนอเมริกันพากันเบื่อบุชกันแบบสุดๆ แต่คนอเมริกันก็ไม่ออกมาสนับสนุนให้ปฏิวัติบุช ไม่มีทหารออกมาปฏิวัติบุช คนอเมริกันเขาก็รอจนบุชอยู่ครบวาระ

ฟังเผินๆก็ดูดีนะครับ ท่านนักวิชาการ แต่คุณกำลังพูดกระทบคนกรุงฯใช่มั้ยครับ? (ที่เอาดอกไม้ไปมอบให้ทหารหลัง19ก.ย.)

แต่เราต้องไม่ลืมว่า อดีตผู้นำอเมริกาที่ผ่านๆมา เขามุ่งทำงานเพื่อชาติของเขาเป็นหลัก แม้มีความผิดพลาดเกิดขึ้น แต่มันเป็นความผิดพลาดที่ไม่มีใครเจตนาจะให้เกิด ผู้นำอเมริกาทุกคนล้วนทำเพื่อชาติท้งนั้น

แม้แต่บุชเอง เขาก็มีเจตนาเพื่อปกป้องชาติของเขา แม้ในที่สุดนโยบายของเขาจะออกมาล้มเหลวก็ตาม นโยบายบุกอิรักทำให้สหรัฐฯเสียเงิยหลายแสนล้านดอลล่าห์ ทำให้ทหารอเมริกันตายไปนับหมื่นคน

แต่คนอเมริกันเขาก็เข้าใจว่าที่บุชทำไป บุชก็ทำไปเพื่อชาติทั้งนั้น คนอเมริกันเขาไม่มาอาฆาตแค้นบุชจนแทบจะฆ่าบุชหรอกครับ เขาก็แค่เบื่อบุชมากๆก็เท่านั้น เพราะเขารู้ว่าความผิดของบุชมันเป็นความผิดพลาดบนเจตนาดีเพื่อชาติ (คนอเมริกันแค่อยากปารองเท้าใส่หน้าบุชในเกมส์ก็ยังดี555)

แต่สำหรับกรณีของไทย ไทยเราเกิดวิกฤติการเมืองคราวนี้ไม่ใช่เพราะความผิดพลาดของนโยบายของผู้นำ แต่มันเป็นเรื่องของการเห็นผลประโยชน์ส่วนตัวของนักการเมืองมากกว่าประโยชน์ของชาติ

มันเป็นเรื่องของคุณธรรมและจริยธรรมนักการเมือง มันไม่ใช่แค่ความเห็นทางการเมืองแตกต่างเท่านั้น

.
.
อ่าน ทำไมผมถึงต้านทักษิณ
.

วันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ติดสินบนประชาชน

คลิกที่รูป เพื่อเอาโค้ดรูปนี้ไปแปะ

จากความคิดที่เป็นมิจฉาทิฐิที่คนไทยจำนวนมากเริ่มมีมากขึ้นคือ "ถ้าคนโกงแล้วให้เรา เราก็ยอมรับได้นั้น" นี่คืออันตรายที่กำลังก่อขึ้นในประเทศไทยแล้ว

ผมเองก็เคยเขียนบทความเกี่ยวกับประเด็นนี้มาหลายครั้ง ซึ่งผมก็จำเป็นต้องย้ำบ่อยๆว่า การที่คนไทยยอมรับการโกงกินได้ เพียงเหตุผลว่า "นักการเมืองพรรคไหนๆก็โกงกินกันทั้งนั้น แต่พรรคไหนโกงแล้วทำให้เรารวยขึ้น เราก็ยอมรับได้ เราก็เลือกได้"

ก็ไม่ต่างกับการที่ประชาชนคนไทยชอบเลือกผู้สมัครส.ส.ที่ซื้อเสียงได้นั่นเอง
ผมอยากจะยกตัวอย่างให้เห็นสักนิด เช่น ถ้านักการเมืองเขาอยากจะอยู่ในอำนาจนานๆเขาก็ต้องทำเพื่อประชาชนเพื่อชาติเป็นหลักใช่มั้ยครับ อันนี้คือพื้นฐานของนักการเมืองโดยทัวๆไป


แต่เรื่องแบบนี้พวกนักการเมื่องชั่วๆก็รู้เช่นกัน นักการเมืองชั่วๆก็อยากอยู่ในอำนาจนานๆเช่นกัน เขาอาจจะให้ผลประโยชน์ที่มากกว่านักการเมืองที่ดีทั่วไป ก็หวังเพื่อจูงใจให้ประชาชนเห็นคุณค่าในตัวเขา และหลงใหลเขาให้มาก

ซึ่งวิธีการให้คืนแก่ประชาชนที่เลือกนักการเมืองชั่วเข้ามาก็จะดูดีในระยะแรกๆเท่านั้น เพราะในระยะยาวสิ่งที่เขาคืนให้แก่ประชาชนอาจคือยาพิษในภายหลังได้ แต่นักการเมืองชั่วๆเขาไม่แคร์ เพราะเขาคิดแค่ว่า ขอเวลาเขาสักระยะเพื่อกอบโกยก่อน ตอนนี้ก็ให้แบบลดแลกแจกแถมแก่ประชาชนตาดำๆที่จนๆที่รอหวังพึ่งนโยบายแบบป้อนถึงปากให้ไปก่อน

และกว่าที่ความจริงจะปรากฏว่านโยบายที่ทำให้ประชาชนอยู่ดีกินขึ้นทันตานั้นเป็นแค่สิ่งจอมปลอม นักการเมืองชั่วๆคนนั้นก็กอบโกยหนีไปไกลแล้ว ผมชอบประโยคนึงของอิสลามที่ว่า

.
"มายาแห่งซาตาน" หมายถึง ซาตานมักจะเอากิเลสที่ล้วนแต่เป็นไปด้วยความลุ่มหลงมาหลอกให้คนรักและศรัทธา แต่สุดท้ายคนที่ไปหลงใหลก็ตกเป็นเหยื่อของซาตานในที่สุด
.akecity
คุณเคยเกลียดการรับเงินใต้โต๊ะของข้าราชการที่คอรัปชั่นงบประมาณหรือรับสินบนจากนายทุนมั้ยครับ?
คุณรังเกียจขยะแขยงและกลัวตำรวจที่เรียกรับส่วยหรือผลประโยชน์จากประชาชนมั้ยครับ?


ถ้าคุณเกลียดและกลัว คุณก็อย่าทำตัวเป็นประชาชนที่ชอบเอาเงินไปยัดใต้โต๊ะให้ข้าราชการหรือตำรวจสิครับ เช่นเดียวกัน คุณเอง(ประชาชน)ก็เปรียบเสมือนตำรวจที่ต้องคอยตรวจสอบนักการเมืองที่เข้ามาบริหารประเทศ แต่เมื่อใดที่ตำรวจแบบคุณรับส่วยจากนักการเมือง เมื่อนั้นบ้านเมืองก็จะบรรลัยในไม่ช้าและไม่มีวันเจริญอย่างแท้จริงซะที

คุณคิดหรือครับว่า คนโกงจะรู้จักคำว่าพอ? คุณไว้ใจคนโกงได้เหรอครับ? คุณคิดว่าสักวันคนโกงจะหักหลังคุณได้มั้ยครับ?

วันนี้เขาอาจให้คุณ1000 แต่เขาอาจโกงเงินของคุณเป็นล้าน เงินของคุณก็คือเงินที่นำมาพัฒนาความเป็นอยู่ของคุณของลูกหลานคุณไงครับ

วันนี้คุณอาจมีกิน แต่วันหน้าคุณอาจอดตาย ลูกหลานคุณอาจไม่มีแผ่นดินอยู่เป็นของตัวเอง เพราะนักการเมืองชั่วๆ ให้ต่างชาติมาซื้อแผ่นดินไทยได้ แล้วนำเศษเงินมาโยนให้คุณหลงใหลอีกสักพักนึง

คุณอย่ามองแค่ผลประโยชน์แค่ตรงหน้าเท่านั้น เพราะกว่าคุณจะรู้ตัวว่าถูกหลอก นักการเมืองชั่วๆก็โกงเงินประเทศชาติไปซุกไว้เมืองนอกเป็นแสนๆล้านแล้วครับ(แค่5ปียังยักยอกเป็นแสนล้าน แล้วยิ่งอยู่นานจะอีกเท่าไหร่ไม่รู้) แล้วเมื่อนั้นคุณก็เรียกร้องอะไรกลับมาไม่ได้แล้ว

เหมือนกรณีทุกวันนี้ นักการเมืองชั่วยักยอกเงินไปไว้ต่างประเทศหลายแสนล้าน แต่ยังมีประชาชนที่ได้เพียงเศษเงินที่เขาออกมาให้กู้ยืมในวันนั้น ยังหลงรักเขาอยู่ ทั้งๆที่ทุกวันนี้ประชาชนอีกมากมายยังใช้หนี้เงินที่เขาตั้งกองทุนมาให้กู้ไม่หมดเลยครับ

แถมนักการเมืองขี้โกง พอรู้ว่าตนโดนจับความผิดได้ ก็หาข้ออ้างเรื่องประชาธิปไตยมาบังหน้าเพื่อปกปิดความชั่วตนเอง แถมยังคิดชั่วขนาดไปโทษคนอื่นที่เขาไม่เกี่ยวมาให้เกิดความขัดแย้งกับคนในประเทศก็เพื่อหาทางรอดแก่ตนเองอย่างหน้าด้านๆ โดยไม่สนว่าบ้านเมืองจะลุกเป็นไฟเพียงเพื่อเอาตัวรอด

นักการมืองคนนี้เห็นแก่ตัวสุดๆ กับลูกเมียเขาไม่ให้มายุ่ง ไม่ให้มาช่วยเขา เพราะเขากลัวลูกเมียเขาจะเดือดร้อน แต่กับประชาชนคนจนๆกลับไปหลอกมาให้มาช่วยตนเองให้รอดความผิด พร้อมสร้างวิมานในอากาศให้เห็นสวยหรู

ใครที่คิดว่าประชาธิปไตยคือสิ่งสำคัญที่สุด ระวังไว้คุณจะกลายเป็นเหยื่อแห่งประชาธิปไตยจอมปลอมครับ

เพราะแม้พระพุทธเจ้าเองแม้จะทรงสนับสนุนประชาธิปไตย แต่ต้องเป็นประชาธิปไตยที่มีคุณธรรมเท่านั้น ประชาธิปไตยที่ไม่มีคุณธรรม พระพุทธเจ้าเองก็ไม่ทรงสนับสนุน
พระพุทธเจ้าไม่เคยตัดสินความถูกต้องที่เสียงส่วนใหญ่ แต่ตัดสินความถูกต้องที่คุณธรรม

ฉะนั้นสิ่งสำคัญที่สุดจึงไม่ใช่ประชาธิปไตย แต่เป็นธรรมาธิปไตยครับ

สำหรับผม ผมคิดว่า คนที่โกงน้อยที่สุดเลวน้อยกว่าคนที่โกงมากที่สุดครับ แม้คนโกงน้อยจะทำประโยชน์ให้เราได้น้อย แต่ก็ยังดีกว่าคนโกงมากที่ให้มาก เพราะเมื่อเทียบสัดส่วนกันแล้ว แม้เขาจะให้มากกว่า แต่เขาก็โกงมากกว่าหลายเท่า

เช่นคนโกงน้อย แบ่งให้เรา100 แต่โกงไป100000 แต่คนโกงมากแบ่งให้เรา1000แต่โกงเราไปหลายล้าน เป็นต้น

และเมื่อเขาโกงมาก และนำเงินที่โกงมาซื้อข้าราชการเพื่อสร้างฐานอำนาจของตนเองมากขึ้นๆ สุดท้ายก็ยากที่จะล้มเขาลงได้ แล้วเมื่อนั้นเขาอาจโกงคุณโดยที่ไม่ให้อะไรเหลือให้คุณเลยครับ

เพราะขนาดภาษีแค่ไม่เท่าไหร่เขายังไม่ยอมจ่าย ต่อไปเมื่อเขาลุแก่อำนาจมากขึ้น เขาก็โลภพอที่จะเอามาให้หมดเลย สุดท้ายคนจนๆก็จนต่อไป อย่าไว้จะคนโกง เพราะคนโกงที่ไม่รู้จักพอไม่เคยเห็นแก่ใครนอกจากเห็นแก่ตัว

คนที่ยอมรับคนโกงแต่แบ่งให้เรานั้น ส่วนใหญ่ยังเป็นชาวบ้านที่ยากจนขาดโอกาส พอมีใครมาล่อหลอกด้วยผลประโยชน์เพียงเล็กน้อย เขาก็พร้อมที่จะเชื่อและหลงใหล ก็คล้ายๆประเภทคนที่หลงเชื่อแชร์ลูกโซ่นั่นแหล่ะครับ

แต่จะโทษชาวบ้านเสียไปทั้งหมดก็ไม่ได้ เพราะที่ผ่านมาหลายๆรัฐบาล ชาวบ้านได้แต่ฝันลมๆแล้งๆกับคำลวงของนักการเมืองมาตลอด พอมีวันนึงมีคนทำให้เขาเห็นประโยชน์เป็นรูปธรรมได้จริง ชาวบ้านเขาก็ประทับใจและหลงยึดนักการเมืองคนนั้นอย่างหลงใหล
.
นักการเมืองชั่วที่หลอกล่อเราด้วยผลประโยชน์ที่มาเร็วเคลมเร็ว ก็เหมือนๆเจ้าของบริษัทแชร์ลูกโซ่ ที่จ่ายเร็วจ่ายมาก สุดท้ายเจ๊ง! เจ้าของบริษัทก็เชิดเงินหนีไป

นโยบายที่ยั่งยืนแก่ประชาชน มักจะไม่ได้เห็นผลรวดเร็วทันใจเหมือนการลดแลกแจกแถม แต่สันดานคนไทยจำนวนมาก ชอบของแถม ชอบได้เงินเร็ว ชอบรวยเร็ว จริงมะ 555

จงอย่าลืมว่า ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆนะครับ เพราะความโลภของเราจึงอาจตกเป็นเหยื่อนักการเมืองฉลาดแกมโกงได้
.
หากเราไม่ยึดเรื่องจริยธรรมความถูกต้องเป็นหลัก ต่อไปใครมีลูกมีหลานก็คงสอนว่า "โกงไปเถอะลูก แต่อย่าลืมแบ่งเศษๆไว้ปิดปากพวกโง่ด้วยล่ะลูก"
.
ผมยอมรับว่า ผมชื่นชมคนเก่ง และเสียดายความเก่งของอดีตนายกฯผู้กำลังเดินทางไม่รู้จบ
.
แต่ถ้าต้องเลือระหว่างคนดีกับคนเก่ง.
ผมขอเลือกคนดีดีกว่าครับ เพราะยังไงๆคนดีก็ไม่คิดทำร้ายเราครับ
ผมอยากย้ำถามคำถามเดิมๆที่เคยถามว่า "ทำไมคนจีนที่อพยพมาแค่เสื้อผืนหมอนใบ เขาร่ำรวยเป็นเศรษฐีได้ล่ะครับ?"
คนจีนเขาต้องรอให้ระบอบการเมืองสมบูรณ์แบบเสียก่อนหรือไม่? เขาถึงจะรวยได้?คำตอบของผมอยู่ตรงนี้แหล่ะครับ
.
ขอสรุปด้วยคำขวัญเก่าๆที่ว่า

"ช่วยกำจัดคอรัปชั่นให้สิ้นเพื่อแผ่นดินไทยอยู่รอด"

*************************
.

.
.

วันพฤหัสบดีที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

เสื้อแดงถวายฎีกาแค่เพียงเป้าหลอก

คลิกที่รูป เพื่อเอาโค้ดรูปนี้ไปแปะ

"หากผมได้รับการอภัยโทษ ผมรู้ว่าผู้สนับสนุนผมจะมีความสุข และเราก็ไม่จำเป็นต้องต่อสู้ เพื่อพิสูจน์อะไรอีกต่อไป มันขึ้นอยู่กับพระองค์ และพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์"

.

"ผมขอเรียกร้องให้พระองค์ท่านได้โปรดลงมาคลี่คลายสถานการณ์ เพราะว่าไม่เช่นนั้นแล้วกองทัพและรัฐบาลจะเข่นฆ่าประชาชนเพิ่มขึ้น ถึงตอนนี้พวกเขาปกปิดทุกอย่าง หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นล้วนรายงานแต่เรื่องโกหกทั้งสิ้น หนทางเดียวที่ความรุนแรงครั้งนี้จะยุติได้คือการให้ในหลวงทรงเรียกร้องให้เกิดความสงบ หากพระองค์ยังไม่ทรงใช้พระราชอำนาจเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ในคืนนี้ คุณจะเห็นประชาชนเสียชีวิตเพิ่มขึ้นอีก!!!"

.akecity

(นี่คือตัวอย่างคำให้สัมภาษณ์ของทักษิณกับสื่อต่างประเทศเมื่อช่วงหลังเหตุการณ์แดงจราจลที่ผ่านมา)
.

**********************************

.

.
หลายๆท่านคงได้อ่านคำวิพากษ์วิจารณ์จากหลายๆที่มาบ้างแล้ว กับกรณีเสื้อแดงล่ารายชื่อประชาชน1ล้านคน เพื่อลงชื่อถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษฯให้ทักษิณ ซึ่งก่อนหน้านี้ทักษิณก็ทั้งเคยโฟนอินหรือทั้งเคยให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศทำนองนี้มาแล้วหลายครั้ง

ซึ่งที่จริงแล้ว ไม่ใช่เรื่องที่บังควรจะกระทำเลย เพราะกฏหมายไม่ได้ให้พระราชอำนาจแก่พระมหากษัตริย์ตรงจุดนี้

ผู้ที่จะถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษได้ ต้องเป็นนักโทษที่กำลังรับโทษอยู่ และคดีก็ถึงที่สุดแล้วเท่านั้น
และที่ผ่านมาผู้ที่จะขอพระราชทานอภัยโทษต้องเป็นตัวนักโทษเอง หรือพ่อ แม่ ลูกเมีย ของนักโทษ เท่านั้น

หากเสื้อแดงถวายฎีกาขึ้นไป พระมหากษัตริย์ก็คงไม่ได้รับเรื่อง เพราะสำนักราชเลขาฯก็คงไม่สามารถถวายเรื่องขึ้นไปได้ เพราะมันขัดกฏหมายและนอกเหนืออำนาจ เพราะกฏหมายไม่ได้ให้อำนาจตรงนี้แก่พระมหากษัตริย์

ซึ่งผมเชื่อว่า ความเป็นไปไม่ได้ในกฏหมายเรื่องการขอพระราชทานอภัยโทษในเรื่องนี้ แกนนำเสื้อแดงที่รู้กฏหมายตั้งหลายคนก็น่าจะรู้ แต่ก็ยังคิดจะทำให้เกิดขึ้นให้ได้ โดยนำเอาข้อมูลที่ผิดๆไปหว่านล้อมประชาชนที่รักทักษิณแต่ไม่รู้กฏหมาย หวังพึ่งในหลวงให้ทรงช่วยเหลือทักษิณ

ผมไม่โทษประชาชนที่รักทักษิณ เพราะประชาชนก็หวังพึ่งพระบารมีเพื่อช่วยเหลือคนที่เขารัก ที่พวกเขาคิดว่าทักษิณไม่ได้รับความยุติธรรมจากคำตัดสินของศาล แต่ผมโทษพวกแกนนำเสื้อแดง และพวกที่ไม่จงรักภักดีฯที่อยู่ในกลุ่มคนเสื้อแดงหลายๆคน

แกนนำเสื้อแดงก็รู้ว่า ทักษิณไม่มีทางได้รับพระราชทานอภัยโทษแน่นอน แต่ทำไมพวกแกนนำเสื้อแดงยังจะทำ ? คำตอบง่ายๆก็คือ

แกนนำพวกนี้หวังสร้างวิกฤติศรัทธาให้เกิดขึ้นในหมู่ประชาชนที่รักทักษิณแต่ยังจงรักภักดีสถาบันฯอยู่ (ผมคงไม่ต้องอธิบายรายละเอียดตรงจุดนี้นะครับ คิดว่าผู้อ่านทุกท่านคงมองออกว่า ถ้ารายชื่อประชาชน1ล้านคนหรือมากกว่านั้น ไม่ได้รับการตอบสนองจากสถาบันฯ อะไรจะเกิดขึ้น!?)

*****************************************

แกนนำเสื้อแดงตอแหลเรื่องประชาธิปไตย

ตลอดเวลาที่ผ่านมา แกนนำเสื้อแดงมักอ้างเรื่องต่อต้านเผด็จการ อ้างว่าเผด็จการมีคนสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง (ทั้งๆที่ผบ.เหล่าทัพที่มาเป็นคมช.ทุกคนทักษิณเป็นคนตั้งขึ้นมาให้มีอำนาจทั้งนั้น)

เสื้อแดงอ้างไปถึงว่าพลเอกเปรมคือผู้อยู่เบื้องหลังคมช.คนนั้น ถึงขั้นพยายามกดดันให้พลเอกเปรมลาออกจากประธานองคมนตรี ไปชุมนุมด่าป๋าเปรมหน้าบ้านหลายครั้งหลายหน จนถึงล่าสุดก็ด่าพลเอกเปรมทั้งวันทั้งคืน ก่อนที่จะมีจราจลในกรุงเทพฯช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา

แกนนำเสื้อแดงก็รู้ว่า องคมนตรีตั้งขึ้นด้วยพระราชอัธยาศัยของในหลวงโดยตรง แต่เสื้อแดงก็ไม่มีความเกรงใจในพระราชอำนาจในส่วนนี้ที่มีอยู่ในรัฐธรรมนูญ

ทักษิณเคยพูดถึง ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ? ซึ่งทักษิณมาเฉลยภายหลังว่าคือพลเอกเปรม แต่ที่จริงแล้ว หากใครที่มีใจเป็นกลาง ลองพิจารณาดูเถอะครับว่า พลเอกเปรมจะอยู่นอกรัฐธรรมนูญได้ยังไง?

พลเอกเปรม แม้จะเป็นองคมนตรีก็ตาม แต่พลเอกเปรมก็ยังมีสิทธิเหมือนประชาชนทั่วไปตรงที่ ยังมีสิทธิเลือกตั้งได้เหมือนสิทธิของประชาชนไทยทั่วไป

ฉะนั้น หากใครไม่หลงทักษิณจนเกินเหตุ ย่อมรู้ว่า บุคคลนอกรัฐธรรมนูญที่ทักษิณเอ่ย ต้องไม่ใช่พลเอกเปรมแน่นอน แล้วใครล่ะครับที่ไม่มีสิทธิเลือกตั้งแบบประชาชนไทยทั่วไปล่ะครับ? ลองคิดดูว่าใคร?

ตอนเสื้อแดงด่าป๋าเปรม ก็อ้างว่า ประชาธิปไตยถูกแทรกแซงโดยอำมาตย์ เป็นอำมาตยาธิปไตย ไม่ใช่ประชาธิปไตยแท้จริง เป็นอำนาจนอกรัฐธรรมนูญเข้ามาแทรกและทำลายประชาธิปไตย(แบบแม้วๆ) ซึ่งเสื้อแดงไม่ต้องการ!

ขนาดถึงกับประกาศไล่พลเอกเปรมจนถึงขั้นก่อจราจลกลางเมือง โดยไม่สนใจเรื่องพระราชอำนาจที่ทรงแต่งตั้งองคมนตรีตามพระราชอัธยาศัย

แต่มาถึงคราวนี้ แกนนำเสื้อแดงกลับนำมาอ้างว่า หวังพึ่งพ่อหลวง หวังพึ่งเหมือนที่พ่อขุนรามคำแหงเคยให้ประชาชนหรือลูกเมืองที่เดือดร้อนออกมาสั่นกระดิ่งร้องทุกข์ได้ จึงต้องการถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษฯ ทั้งๆที่ไม่มีกฏหมายให้พระราชอำนาจไว้ตรงจุดนี้ จึงเป็นอำนาจนอกรัฐธรรมนูญแต่เสื้อแดงกลับจะมาต้องการ!

อ้างไปถึงสมัยสุโขทัยในระบอบพ่อปกครองลูก แกนนำเสื้อแดงสมุนทักษิณอ้างได้ทุกอย่าง ทั้งๆที่ ที่ผ่านมาเสื้อแดงทั้งหลายอ้างประชาธิปไตยมาตลอด อ้างว่าประชาธิปไตยคือระบอบที่พวกเขาต้องการ

เสื้อแดงอ้างถึงขั้น จะเรียกร้องให้วันชาติกลับมาใช้วันที่24มิถุนายานเหมือนในอดีตอีกครับ (ปัจจุบันวันชาตืคือ5ธันวาคม) เพราะเสื้อแดงเห็นว่า วันที่24มิถุนายน2475คือวันเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นวันสำคัญกว่าวันเฉลิมฯหรือวันพ่อแห่งชาติ(ที่กลายมาเป็นวันชาติไทยในภายหลัง)

พูดง่ายๆว่า เสื้อแดงให้ความสำคัญวันเปลี่ยนแปลงการปกครองมากกว่าวันเฉลิมฯ ซึ่งหากพวกเขารู้สึกอย่างนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องผิด ย่ำ!นะครับ ผมเห็นว่าที่เสื้อแดงอยากคิดแบบนั้นไม่ใช่เรื่องผิด

แต่ในเมื่อเสื้อแดงรู้สึกว่า วันเปลี่ยนแปลงระบอบเป็นประชาธิปไตยสำคัญยิ่ง ก็น่าหมายถึงประชาธิปไตยสำคัญก่ว่าทุกระบอบในโลก(หรือสำคัญกว่าระบอบพ่อปกครองลูก) แต่ไฉน! ตอนนี้กลับจะมาอ้างเรื่องพ่อปกครองลูกเพื่อหวังให้พระมหากษัตริย์พระราชทานอภัยโทษแก่ทักษิณ

ที่สำคัญที่สุด ในอดีตก็ยังไม่เคยมีการพระราชทานอภัยโทษในคดีทุจริตเลย

(คดีที่ดินรัชดาคือคดีที่ทักษิณทุจริตในหน้าที่ ไม่ใช่แค่เซ็นชื่อให้เมียซื้อที่แล้วผิดกม. ตามที่เสื้อแดงหรือทักษิณชอบอ้าง แต่เป็นคดีที่นายกฯไม่ควรให้เมียมาประมูลที่ดินจากหน่วยงานรัฐที่อยู่ในอำนาจที่สามารถให้คุณให้โทษแก่เจ้าหน้าที่โดยอำนาจนายกฯได้ ตามกฏหมายประกอบรัฐธรรมนูญปี40)

และการที่ประชาชนทั่วไปจะถวายฎีกาก็มีแต่ขอพระราชทานความช่วยเหลือในเรื่องของตัวเองโดยตรงเท่านั้น ไม่เคยมีกรณีการไปถวายฎีกาแทนผู้อื่น โดยเฉพาะการไปขอแทนให้กับผู้ที่หนีคดี หนีการลงโทษ ลบหลู่ศาล ทำลายความน่าเชื่อถือของกระบวนการศาลของชาติ และไม่เคยยอมรับผิดมาก่อน

.

และหากทักษิณได้รับพระราชทาน ก็เท่ากับในหลวงจะทรงทำเกินขอบเขตกฏหมาย(ซึ่งพระองค์ก็ไม่ทรงเคยทำมาก่อน เพราะจะเป็นการก้าวล่วงคำสั่งศาล) แต่ถ้าในหลวงไม่พระราชทานก็เท่ากับในหลวงไม่มีพระเมตตาต่อประชาชนที่ร่วมลงชื่อขอความเป็นธรรมให้ทักษิณ

.

สรุปก็คือ ทำให้พวกไม่จงรักภักดีจะได้ทั้งขึ้นทั้งร่อง!!? (เสื้อแดงที่ยังจงรักภักดีโปรดตระหนักด้วยครับ)

และสมมุติได้รับพระราชทางอภัยโทษให้พ้นผิดคดีที่ดินรัชดาได้จริง ทักษิณก็ยังเหลือคดีที่รอการไต่สวนอีกหลายคดี แล้วเกิดทักษิณต้องโทษอีก จะมิต้องมาถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษซ้ำซากอีกเหรอ

ฉะนั้น การที่แกนนำเสื้อแดงจุดประเด็นเรื่องนี้ขึ้นมาหวังช่วยทักษิณ จึงเป็นแค่ข้ออ้างหลอกประชาชนที่รักทักษิณเท่านั้น แต่พวกนี้หวังผลสูงกว่านั้น ตามที่จักรภพเคยพูดไว้ว่า

"เราไม่ได้สู้กับพลเอกเปรม แต่เราสู้สูงกว่านั้น!! "

.

**************************

.

ทำไม! ทำไม! ต้องล่ารายชื่อฯ ต้องใช้คำว่า "ล่า" เลยหรือ ?

.

แปลว่า ต้องถึงขั้นล่า ถ้าไม่ถึงขั้นล่ากลัวจะไม่ได้รายชื่อมาหรือไงครับ ? !?!.

.
.

อ่านเสื้อแดงมาจากคนกี่พวกกันแน่?

.

****************************

.

แนะนำอ่านเพิ่มเติม-บทความในมติชนเรื่อง เปิด พระราชกฤษฎีกาวางระเบียบทูลเกล้าฯ "ถวายฎีกา" สมัย ร.6 ยังมีผลบังคับใช้ถึงปัจจุบัน

.

พระราชกฤษฎีกาวางระเบียบทูลเกล้าฯ ถวายฎีกา ซึ่งตราขึ้นโดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และประกาศใช้บังคับเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2457 และยังมีผลใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน มีสาระสำคัญคือ การยื่นฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ ต้องมิใช่การโต้แย้งคำพิพากษาของศาลฎีกา ในขณะที่กลุ่มเสื้อแดงเตรียมจะยื่นทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ทั้งๆ ที่ พ.ต.ท.ทักษิณไม่ยอมรับความผิด หรือกลับมารับโทษตามคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองให้จำคุก 2 ปีเสียก่อน (อ่านต่อคลิก)

.

.

วันอาทิตย์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

พันธมิตรกับข้อหาผู้ก่อการร้าย

.
.
ก่อนอื่นเราต้องทำใจมองเรื่องโดยปราศจากอคติและอารมณ์ส่วนตัวก่อน ถึงจะพิจารณาได้เหตุการณ์ได้อย่างเป็นธรรม ทั้งกรณีเสื้อแดงจราจลหรือจะเป็นพันธมิตรบุกสนามบิน

กับข้อหาผู้ก่อการร้ายของกลุ่มพันธมิตรนั้น ฝ่ายเสื้อแดงหรือคนรักทักษิณต่างก็เชื่อไปอย่างสุดตัวว่า พันธมิตรเป็นผู้ก่อการร้ายแน่นอน ก็เหมือนกับตอนบุกยึดทำเนียบรัฐบาลฝ่ายเสื้อแดงก็มั่นใจว่า พันธมิตรเป็นกบฏแน่นอน..

จากกรณีพันธมิตรบุกสนามบินทั้งสองแห่ง โดยเฉพาะสนามบินสุวรรณภูมินั้น จนผอ.การท่าอากาศยานต้องออกมาประกาศปิดสนามบินนั้น ได้ทำให้กลุ่มพันธมิตรเป็นผู้ก่อการร้ายจริงหรือ?

มาตรา135/1 ระบุว่า การก่อการร้ายต้องเป็นการกระทำที่มีลักษณะดังต่อไปนี้จึงจะเข้าองค์ประกอบความผิด
(1) ใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการใดอันก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต หรืออันตรายอย่างร้ายแรงต่อร่างกาย หรือเสรีภาพของบุคคลใดๆ
(2) กระทำการใดอันก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ระบบการขนส่งสาธารณะ ระบบโทรคมนาคม หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะ
(3) กระทำการใดอันก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของรัฐหรือของบุคคลใดหรือต่อสิ่งแวดล้อม อันก่อให้เกิด หรือน่าจะก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างสำคัญ

ถ้าการกระทำนั้นได้กระทำโดยมีความมุ่งหมายเพื่อขู่เข็ญหรือบังคับรัฐบาลไทย รัฐบาลต่างประเทศ หรือองค์การระหว่างประเทศ ให้กระทำหรือไม่กระทำการใดอันจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง หรือเพื่อสร้างความปั่นป่วนเพื่อให้เกิดความหวาดกลัวในหมู่ประชาชน ผู้นั้นกระทำความผิดฐานก่อการร้าย ต้องระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลาดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่สามปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่หกหมื่นบาทถึงหนึ่งล้านบาท

*หากเป็นการกระทำในการเดินขบวน ชุมนุม ประท้วง โต้แย้ง หรือเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องให้รัฐช่วยเหลือ หรือให้ได้รับความเป็นธรรมอันเป็นการใช้เสรีภาพตาม รัฐธรรมนูญ ไม่เป็นการกระทำความผิดฐานก่อการร้าย*

-----------------

จากทั้งในข้อ(1)ถึงข้อ(3) อาจไม่สำคัญเท่ากับประโยคสุดท้ายตรงดอกจันทน์

เพราะเจตนาของกฏหมายไม่ต้องการให้ประชาชนที่ใช้ความรุนแรงตอบโต้รัฐ อาจต้องกลายเป็นต้องคดีผู้ก่อการร้ายเสมอไป เพราะคดีผู้ก่อการร้ายนั้นหนักมาถึงประหารชีวิต เพื่อป้องกันที่รัฐใช้อำนาจทางกฏหมายเกินไปกับประชาชนที่ต้องการเรียกร้องอะไรบางอย่าง

ถ้าความผิดฐานก่อการร้ายมีแค่ข้อ(1)ถึง(3)เท่านั้น ไม่มีประโยคตรงดอกจันทน์ต่อท้ายด้วยเลย ก็คงไม่ยากที่จะตัดสินว่าใครเป็นผู้ก่อการร้ายหรือไม่
แต่ทำไมกฏหมายถึงต้องมีประโยคตรงดอกจันทน์ด้วย อันนี้คือประเด็นสำคัญ ผมอยากให้คุณผู้อ่านต้องพิจารณาว่า ทำไมต้องมีระบุยกเว้นต่อท้ายด้วย ฝากไว้ให้คิดนะครับ

***************************

ตรวจสอบความผิดของพันธมิตรตามกฏหมายข้อต่างๆ

ทีนี้เรามาดูกันว่า ถ้ากลุ่มพันธมิตรไม่ได้โดนข้อหาผู้ก่อการร้ายเพราะมีประโยคตรงดอกจันทน์ช่วยไว้ แล้วข้อเท็จจริงพันธมิตรได้มีการกระทำการรุนแรงในกฏหมายมาตรา135/1ตามข้อ(1)-(3)บ้างหรือไม่? (ถ้ามีก็ดำเนินทางคดีอาญาหรือทางคดีแพ่ง)

ในกฏหมายมาตรา135/1 ข้อ(1) ใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการใดอันก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต หรืออันตรายอย่างร้ายแรงต่อร่างกาย หรือเสรีภาพของบุคคลใดๆ

ต้องพิสูจน์ว่าพันธมิตรได้เข้าไปทำร้ายใครในสนามบินอย่างร้ายแรงต่อร่างกายหรือสิทธิเสรีภาพของใครหรือไม่?

ส่วนในกฏหมายมาตรา135/1ข้อ(2) กระทำการใดอันก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ระบบการขนส่งสาธารณะ ระบบโทรคมนาคม หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะ

ถามว่า กลุ่มพันธมิตรได้ทำความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่สนามบินหรือไม่? เช่นเผาทำลายเครื่องมือเครื่องใช้ หรือทุบลายเครื่องมือเครื่องใช้เพื่อการจัดการระบบของสนามบินหรือไม่? อันนี้ต้องมาพิสูจน์กันในศาล โดยที่ผู้กล่าวหาก็ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่ามีความเสียหายร้ายแรงเกิดขึ้นจริงๆ

ส่วนในกฏหมายมาตราข้อ(3) กระทำการใดอันก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของรัฐหรือของบุคคลใดหรือต่อสิ่งแวดล้อม อันก่อให้เกิด หรือน่าจะก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างสำคัญ

จากข้อ3นี้ดูจะมีเหตุให้ดำเนินคดีกับพันธมิตรได้ แต่จะได้มากแค่ไหน ต้องพิสูจน์กันในศาลครับ แต่เท่าที่ผมเห็นความเสียหายในทรัพย์สินของรัฐ เช่นที่ทำเนียบ หรือที่สนามบินตรงที่พักผู้โดยสารและร้านค้าที่อยู่รายรอบ
ตรงจุดนี้ น่าจะเอาผิดทางแพ่งกับกลุ่มพันธมิตรได้

ส่วนความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างสำคัญนั้น ผมไม่ขอก้าวล่วงครับ เพราะบทความตอนนี้ของผมเน้นเฉพาะคดีผู้ก่อการร้ายเท่านั้น

*************************

ว่าด้วยพ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดบางประการต่อการเดินอากาศ (คลิกอ่านกฏหมาย)

ส่วนความผิดเรื่องการเดินอากาศนั้น ส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับคำว่า "อากาศยาน" ซึ่งหมายถึง เครื่องบิน เป็นหลักใหญ่

แต่ในส่วนคดีของกลุ่มพันธมิตรนั้น เท่าที่ผมดูแล้ว เห็นจะตรงกับมาตรา6ทวิ ที่ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับ "ท่าอากาศยาน" เป็นสำคัญ

มาตรา 6ทวิ ผู้ใด
(1) กระทำการประทุษร้ายผู้อื่นในท่าอากาศยานที่ให้บริการการบิน พลเรือนจนเป็นเหตุให้หรือน่าจะเป็นเหตุให้ผู้อื่นนั้นรับอันตรายสาหัสหรือถึงแก่ ความตายหรือ
(2) ทำลาย หรือทำให้เสียหายอย่างร้ายแรงต่อสิ่งอำนวยความสะดวกของท่าอากาศยานที่ให้บริการการบินพลเรือน หรือต่ออากาศยานที่ไม่อยู่ในระหว่าง บริการและอยู่ในท่าอากาศยานนั้น หรือทำให้การให้บริการของท่าอากาศยานหยุดชะงักลง
ทั้งนี้ โดยใช้กลอุปกรณ์ วัตถุ หรืออาวุธใด ๆ และการกระทำนั้น เป็นอันตรายหรือน่าจะเป็นอันตรายต่อความปลอดภัยของท่าอากาศยานนั้น ต้อง ระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี
[ มาตรา 6ทวิ เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติฯ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2538]

---

มาตรา6ทวิใน(1)นั้นก็คล้ายๆกับกฏหมายเกี่ยวกับผู้ก่อการร้ายในข้อ(1)ที่ผมได้ลองวิเคราะห์คร่าวๆไปแล้ว

แต่ประเด็นสำคัญที่กรณีกลุ่มพันธมิตรน่าจะเข้าข่ายตามที่ผู้กล่าวหาต้องการจะเอาผิดได้ ก็น่าจะเป็นมาตรา6ทวิ(2)ซึ่งก็คล้ายกฏหมายเกี่ยวกับผู้ก่อการร้ายในข้อ(2)เช่นกัน แต่ก็ต้องมาพิสูจน์กันว่า พันธมิตรได้สร้างความเสียหายแก่สนามบินจริงหรือไม่

มาตรา6ทวิ(2) ในวรรคแรกคือ ผู้ใดทำลาย หรือทำให้เสียหายอย่างร้ายแรงต่อสิ่งอำนวยความสะดวกของท่าอากาศยานที่ให้บริการการบินพลเรือน

ถามว่า พันธมิตรได้ไปทำลายอย่างเสียหายร้ายแรงต่อสิ่งอำนวยความสะดวกของท่าอากาศยานจริงหรือไม่?

เช่นทำลายเครื่องมือหรืออุปกรณ์เกี่ยวกับการบิน หรือทำลายเครื่องการอำนวยความสะดวกแก่ผู้โดยสาร อย่างร้ายแรง ต้องไปพิสูจน์กันในศาลครับ

มาตรา6ทวิ(2) ในวรรคถัดมาคือ - หรือต่ออากาศยานที่ไม่อยู่ในระหว่าง บริการและอยู่ในท่าอากาศยานนั้น

ความผิดตรงจุดนี้กลุ่มพันธมิตรคงรอดแน่ๆ เพราะพันธมิตรไม่ได้ไปทำความเสียหายแก่อากาศยาน(เครื่องบิน)แน่ๆครับ

มาตรา6ทวิ(2) ในวรรคสุดท้ายคือ - หรือทำให้การให้บริการของท่าอากาศยานหยุด ชะงักลง

ตรงวรรคสุดท้ายนี้กำกวมครับ ว่าผิดหรือไม่ และถ้าผิดจะมากน้อยแค่ไหน ต้องไปว่ากันในศาล โดยเฉพาะรักษาการผอ.การท่าอากาศยานนายเสรีรัตน์ ประสุตานนท์ ที่มีอำนาจและได้สั่งการปิดสนามบินอย่างเป็นทางการ ท่านต้องไปให้การในศาลแล้วพิสูจน์ให้ศาลเห็นด้วยว่า สนามบินไม่สามารถทำการบริการแก่ผู้โดยสารได้จริงหรือก่อให้เกิดความไม่ปลอดภัยแก่ผู้โดยสารได้ เนื่องมาจากการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตร

ซึ่งก็น่าจะเอาผิดในการเรียกร้องค่าความเสียหายได้ ส่วนความผิดคดีผู้ก่อการร้ายที่ตำรวจตั้งข้อหาให้ นั้น ตำรวจก็ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่า พันธมิตรไม่อยู่ในข่ายข้อยกเว้นตามประโยคตรงดอกจันทน์ที่ยกเว้นให้ในกฏหมายว่าด้วยเรื่องผู้ก่อการร้ายมาตรา135/1

ส่วนความผิดโทษทางอาญาสถานอื่นๆ พันธมิตรจะโดนหรือไม่นั้น ก็ต้องพิสูจน์กันในศาลอีกทีเช่นกันครับ แต่ไม่ใช่ความผิดฐานการก่อการร้ายแน่นอน

******************

แปลก?

หากมีการก่อการร้ายเกิดขึ้นจริง สนามบินก็ควรจะปิดไปโดยปริยายและไม่ต้องรอให้ใครมาสั่งปิด จริงหรือไม่? (ข้อเท็จจริงผอ.การท่าฯได้มีการประกาศสั่งปิดสนามบิน) แล้วตอนที่การก่อการร้ายยุติลง ก็ไม่น่าจะมีการมาทำพิธีรับมอบสนามบินคืนให้ซึ่งกันและกัน

Photobucket
พลตรีจำลองส่งคืนพื้นที่สนามบินให้นายเสรีรัตน์ รักษาการผอ.การท่า



ในกรณีกลุ่มพันธมิตรเลิกชุมนุมในสนามบิน ได้มีการส่งมอบพื้นที่คืนแก่การท่าอากาศยานอย่างเป็นทางการแก่การท่าอากาศยาน ทำเหมือนกลุ่มพันธมิตรไปขอยืมใช้พื้นที่จากการท่าฯ และเมื่อกลุ่มพันธมิตรใช้เสร็จแล้ว ก็มีการส่งมอบคืนและรับมอบคืนอย่างเป็นทางการ

ถามหน่อยว่า มีผู้ก่อการร้ายที่ไหนเขาทำกันอย่างนี้บ้างครับ

แปลกแต่จริง !!
.
สุดท้ายนี้ขอฝากไว้วา ไม่ว่าคำตัดสินของศาลจะออกมาเป้นเช่นไร ถูกใจหรือไม่ถูกใจใครก็ตาม ก็ขอให้ยอมรับคำตัดสินโดยดีทุกฝ่ายแล้วกัน
.
ย้อนกลับไปอ่าน เรื่องพันธมิตรยึดสนามบินยิ่งนานยิ่งพลาด
.
ใakecity

วันอาทิตย์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

จับผิด! คำพูดนพดล นพเหล่




.
(ย้อน อ่านเขมรขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารสำเร็จเพราะนายนพดล )
.
ตอนนี้แม้แต่คนไทยก็ยังมีความเห็นที่ขัดแย้งกันเองในเรื่องเขาพระวิหาร ฝ่ายเสื้อแดงเชื่อว่า นายนพดล หรือนพเหล่ ได้พยายามปกป้องไทยไม่ให้เสียดินแดน เพราะนายนพดลอ้างว่า ได้พยายามให้เขมรขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาทจนสำเร็จ โดยไม่เกี่ยวข้องกับพื้นที่4.6ตร.กม.รอบปราสาท
.
อยากให้ทุกท่าน ดูคลิปนี้ก่อนนะครับ ว่านายนพดลพูดขัดแย้งในตัวเองหรือไม่?
(คลิปเต็มยูทูปอยู่ล่างบทความ)



(ขอบคุณคลิปจากบล้อคok เนชั่น) ต้องตั้งใจจับประเด็นคำพูดของนายนพดล หลายๆรอบนะครับ เพราะถ้าฟังผ่านๆ เราจะไม่สามารถรู้ว่า นพดลตอแหลแค่ไหน
.
พิรุธแรกคือ
.
นายนพดลพูดว่า เขมรพยายามขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารทั้งพวงใหญ่ ซึ่งพวงใหญ่หมายถึงรวมพื้นที่ทับซ้อนไปด้วยว่า เขมรไม่สามารถขึ้นได้สำเร็จถ้ายังจะขึ้นทั้งพวงใหญ่ไปด้วย เพราะยูเนสโกไม่ยอม
.
พิรุธสองคือ
.
นายนพดลพูดว่า เขมรลดลงเหลือแค่พวงเล็กเฉพาะตัวปราสาท และนายนพดลได้ไปเซ็นเอกสารเพื่อให้เขมรขึ้นเฉพาะตัวปราสาทเท่านั้น โดยไม่มีพื้นที่ทับซ้อน นายนพดลอ้างว่า หากเขาไม่ตรวจดูเอกสารของเขมร เขมรจะแทรกแผนที่ทับซ้อนเข้าไปด้วย ซึ่งยูเนสโกก็จะอนุมัติ!?!

ตนเองได้ไปยับยั้งไม่ให่เขมรแทรกแผนที่!? (ไอ้โกหก!!)
.
หากเราฟังเผินๆก็จะฟังดูดีนะครับว่า นายนพดลได้ช่วยให้เขมรยอมรับแค่ตัวปราสาท และยอมรับว่าพื้นที่ทับซ้อนเป็นของไทย แต่ที่จริงไม่ใช่ตามที่นายนพดลอ้าง
.
เพราะที่จริงนายนพดลก็พูดเองแล้วในข้อพิรุธแรกที่ว่า หากเขมรขึ้นทะเบียนโดยรวมเอาพื้นที่ทับซ้อนไปด้วย ยูเนสโกจะไม่ยอมให้ขึ้น!!? (ซึ่งเขมรก็พยายามทำมาเป็นสิบปีแต่ไม่สำเร็จ)
.
แต่ถ้าเขมรขึ้นเฉพาะตัวปราสาท แต่จะแทรกแผนที่ที่รวมพื้นที่พิพาทไปด้วย ยูเนสโกจะยอม!?! (งง!ดีมั้ยครับ)
.
ถ้าคำพูดของนพดลเป็นจริงที่ว่า เขมรจะแทรกแผนที่ได้แม้ไทยไม่ไปเซ็น ถ้าเป็นเช่นนั้นได้จริงก็แสดงว่า ทางยูเนสโกไม่ได้ตรวจสอบแผนที่เลยหรือว่า หากเขมรขอขึ้นแค่ตัวปราสาทเท่านั้น แต่ทำไมมีแผนที่ ที่มีพื้นที่ใหญ่มากกว่าตัวปราสาทหลายเท่า? และแผนที่ที่รวมพื้นที่พิพาทนั้นเขมรก็ยื่นหลายครั้งแล้ว แต่ไทยไม่ยอม เขมรเลยขึ้นไม่สำเร็จสักที!! และยูเนสโกจะจำแผนที่ฉบับเดิมๆนั้นไม่ได้เชียวหรือ?
.
คุณผู้อ่าน อ่านแล้วพอเข้าใจที่ผมอธิบายไหมครับ ผมยอมรับว่า ยากที่จะเข้าใจง่ายๆ แต่อยากให้คุณผู้อ่านทบทวนคำพูดของนพดลดูดีๆนะครับ ว่ามันมีความขัดแย้งเหตุผลในตัวเอง
.
คือนพดลพูดว่า ถ้าเขมรขอขึ้นพวงใหญ่พ่วงพื้นที่พิพาท เขมรจะขึ้นไม่ได้ แต่ถ้าเขมรขึ้นแค่พวงเล็กแต่แทรกแผนที่กินพื้นที่ทับซ้อนจะขึ้นทะเบียนได้!?!
.
ที่จริงแล้ว ในที่ผ่านมา ทางไทยเราไม่เคยยอมเซ็นเอกสารยินยอมอะไรทั้งนั้นที่เขมรต้องการขึ้นฝ่ายเดียวมาตลอดร่วมสิบปี และเขมรก็ไม่สามารถขึ้นทะเบียนได้สำเร็จเลยครับ (เพราะนายนพดลก็พูดเอง)
.
แต่!!พอนายนพดลเซ็นปุ๊บ!! เขมรขึ้นทะเบียนได้ทันที!! เพราะอะไร? ตรงนี้แหล่ะครับคือพิรุธ!
.
เพราะที่จริงแล้ว ตอนนพดลเซ็นเอกสารที่เขมรให้ดูหลักฐานการยื่นขอ กับเอกสารจริงที่เขมรยื่นขอ อาจจะไม่ใช่ฉบับเดียวกันก็ได้ เพราะที่นายนพดลเซ็นยินยอมและเขมรก็ใช้แค่เอกสารยินยอมแค่นั้น และน่าจะแทรกแผนที่ที่พ่วงพื้นที่พิพาทไปตามเดิม แล้วแผนที่ที่นพดลอ้างก็ไม่ได้ส่งไป
"
เพราะที่ผ่านมาแผนที่ที่นายนพดลเอามาออกทีวีชี้แจงหลายครั้ง ก็เป็นเพียงคำกล่าวอ้างของนพดลฝ่ายเดียวว่าเขมรจะยื่นตามที่ตกลงกับนพดล
.
ส่วนแผนที่ๆเขมรใช้ยื่นจริง ทั้งสื่อไทยหรือนักวิชาการไทยรวมทั้งนักการเมืองฝ่ายค้านตอนนั้นทุกคน ไม่เคยเห็นแผนที่ฉบับนั้นจริงๆเลย เพราะเขมรไม่เคยเปิดเผยให้เราดู มีแต่นายนพดลคนเดียวที่อ้างว่าเคยเห็น!?!
.
หรืออาจะเป็นอีกกรณีนึงก็คือ นพดลอ้างว่าเขมรขึ้นเฉพาะตัวปราสาทโดยไม่รวมพื้นที่ทับซ้อนเป็นเรื่องโกหก เพราะหลังจากการอนุมัติของยูเนสโกแล้ว ทางฝ่ายไทยขอดูเอกสารการยื่นอีกครั้งโดยเฉพาะแผนที่ที่เขมรใช้ยื่นจริงนั้น ทางยูเนสโกกลับไม่ยอมให้ดูแผนที่ของเขมร ทั้งๆที่โดยทั่วไป ไม่จำเป็นต้องเป็นความลับครับ
.
นี่แหล่ะคือ ลับลมคมใน ที่ยังอำพรางอยู่ เพราะตามหลักการการขึ้นมรดกโลกจริงๆแล้ว หากเป็นโบราณสถานที่ต้องมีพื้นที่ในองค์ประกอบเพื่อความสมบูรณ์ จะไม่สามารถขึ้นเฉพาะตัวปราสาทได้
.
หากขึ้นเฉพาะตัวปราสาทเดี่ยวๆ ได้จริง เท่ากับว่า ยูเนสโกผิดหลักการของตัวเอง!!!
.
และหากยูเนสโกไม่ยึดตามหลักการจริง ก็ไม่จำเป็นที่ไทยเราต้องเป็นสมาชิกของมรดกโลกต่อไป แค่ไม่ได้เป็นมรดกโลก ไม่ได้ทำให้ไทยเราต้องเสียหายอะไรเท่าไหร่ เพราะของดีแม้ไม่ต้องมีฝรั่งมาออกใบรับรองเพราะเหตุผลทางธุรกิจ ของดีของเราก็ยังมีคุณค่าอยู่ดี
.
ยิ่งหากเราถอนการเป็นมรดกโลกออกด้วยเหตุผลของเราเอง ไม่ได้โดนปลดออก แบบนี้ยิ่งทำให้มรดกโลกของเราที่เคยขึ้นทะเบียนไปแล้ว ยิ่งดังใหญ่ และอาจจะยิ่งทำให้นักท่องเที่ยวอยากมาดูมากกว่าเดิมก็ได้ การถอนตัวออกจามรดกโลกไม่ได้ทำให้โบราณสถานหรือป่าเขาของเราที่ขึ้นทะเบียนแล้วด้อยคุณค่าลงแต่ประการใด
.
ในเมื่อยูเนสโกโหลยโท่ย จำเป็นด้วยเหรอที่เราจะต้องยอมทนกับความโหลยโท่ย และความอยุติธรรม ที่พวกฝรั่งร่วมมือกับเขมรจะฮุบแผ่นดินไทย
.
ปี ๆ นึงเราต้องเสียค่าสมาชิกมรดกโลกปีละ50ล้านบาทนะครับ ไม่ใช่ของฟรี หรือได้ประโยชน์อะไรจากเขาสักหน่อยครับ อาจจะได้หน้าว่า เรามีมรดกโลก แต่มรดกโลกกลับจะมาสร้างความแตกแยกให้กับเราและเพื่อนบ้าน
.
ดีที่สุดตอนนั้นคือ นพดลไม่ต้องไปเซ็นอะไรทั้งนั้น ก็ให้มันรู้ไปว่า เขมรจะมาอ้างเพื่อโกงดินแดนเราได้ . แต่นพเหล่มันกระเหี้ยนกระหือรืออยากไปเซ็นกับเขมรจนมีพิรุธ!
.
****************************
.
แล้วจริงๆแล้ว เขมรขึ้นทะเบียนยังไงกันแน่
.
ถ้าเขมรขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาทจริงตามที่นพดลอ้าง แต่นายนพดลไปเซ็นยินยอมที่จะให้คณะกรรมการมรดกโลกจาก7ประเทศอันมีไทยเป็นหนึ่งในคณะกรรมการร่วม ได้เข้ามาร่วมจัดการในพื้นที่องค์ประกอบของเขาพระวิหารซึ่งอยู่ในดินแดนของไทย
.
โดยที่การตัดสินใจทุกอย่างต้องเกิดจากมติคณะกรรมร่วมทั้ง7ประเทศ ไทยจึงเป็นได้แค่หนึ่งในคณะกรรมการตัดสินใจเท่านั้น และเป็นแค่เสียงส่วนน้อย เพราะคณะกรรมการส่วนใหญ่มีผลประโยชน์จากการลงทุนจัดการกับเขมร (เข้าข้างกัมพูชา)
.
ซึ่งไทยเราก็เปรียบเสมือนว่า เป็นแค่หนึ่งในคณะกรรมร่วมเท่านั้น ไม่ได้มีสิทธิเต็มที่ในการจัดการพื้นที่ในอธิปไตยของเราได้เหมือน100%อย่างเดิม และที่สำคัญการขึ้นทะเบียนก็แค่ในนามของกัมพูชาชาติเดียวเท่านั้น โดยที่เอาพื้นที่ไทยไปด้วย
.
ก็เปรียบเสมือนว่า ไทยเรายกสิทธิการดูแลจัดการพื้นที่ของเราแท้ๆไปเป็นในนามกัมพูชาเป็นเจ้าของทะเบียนมรดกโลกทั้งหมด และการจัดการก็ต้องขึ้นตรงกับคณะกรรมการจาก7ชาติ ซึ่งทั้ง6ชาติล้วนแต่เป็นพวกเดียวกับกัมพูชาทั้งสิ้น ทำให้ในทางปฏิบัติแล้ว ไทยสูญเสียอธิปไตยอย่างไม่เป็นทางการในดินแดนตัวเองไปโดยปริยายครับ
.
ซึ่งต่อไป เมื่อเขมรเข้ามาจัดการในพื้นที่ได้ ก็อาจจะเลยเถิดนำแผนที่ฉบับที่ใช้ในการขอขึ้นทะเบียนมรดกโลกของเขาพระวิหาร มาอ้างภายหลังได้ว่า เรายอมรับแผนที่ของเขาแล้ว และเขาก็อาจจะรุกคืบต่อไปเพื่อใช้แผนที่ฉบับเดียวกันในการอ้างพื้นที่ครองครองเพิ่มขึ้น เพราะขนาดตอนยังไม่ได้ขึ้นทะเบียน เขมรก็ยังพยายามรุกเข้ามาในแผ่นดินไทยเสมอ แถมอ้างว่าเป็นของมัน
.
ที่สำคัญ แม้นายนพดลจะอ้างว่าไปคัดค้านตามติศาลรัฐธรรมนูญสั่งแล้ว แต่มันไม่ทันการไปแล้วครับ และที่สำคัญยูเนสโกเขาเชื่อในเอกสารที่รัฐต่อรัฐทำกัน โดยไมให้น้ำหนักไปที่คำสั่งศาลครับ และจนถึงทุกวันนี้ ไทยยังไม่มีคำสั่งออกจากรัฐบาลไทยโดยตรงว่า การเซ็นร่วมครั้งนั้นเป็นโมฆะ
.


คลิปฉบับเต็มสัมภาษณ์นพดล ที่เกี่ยวข้องกับบทความนี้ อยู่นาทีที่5.20เป็นต้นไป



************************



-----------------------------------------


ปัญหาการตีความของนักวิชาการของไทย

ความเห็นนักวิชาการไทยฝ่ายหนึ่ง เชื่อว่า ปราสาทเขาพระวิหารได้ขึ้นทะเบียนมรดกโลกไปแล้ว

แต่มีนักวิชาการอีกฝ่ายเช่นอาจารย์เทพพนม ลิมปพยอม ตีความว่า ยังอยู่แค่ขั้นตอนการขึ้นทะเบียน ยังไม่เป็นมรดกโลกโดยสมบูรณ์

เพราะอาจารย์เทพพนมตีความว่า ปราสาทเขาพระวิหารแค่ได้รับการอนุมัติให้ขึ้นทะเบียนมรดกโลกแล้ว แต่ยังอยู่ในขั้นตอนการขึ้นทะเบียนโดยสมบูรณ์ จะสมบูรณ์ได้เมื่อได้ส่งแผนจัดการพื้นที่โดยรอบแล้วเสร็จ

และไทยสามารถขวางการยื่นแผนบริหารจัดการได้ ทำให้ปราสาทเขาพระวิหารยังขึ้นทะเบียนไม่สมบูรณ์ เพราะมรดกโลกต้องมีแผนการบริหารจัดการพื้นที่ยื่นต่อคณะกรรมการมรดกโลกแล้ว จึงจะได้รับการเซ็นอนุมัติจากผอ.ยูเนสโกให้ได้เป็นมรดกโลกโดยสมบูรณ์

แต่ไทยยังคัดค้านการจัดการที่มีพื้นที่พิพาทรวมโดยยังไม่เซ้นยินยอมแปลว่า ปราสาทเขาพระวิหารยังไม่ได้เป็นมรดกโลกโดยสมบูรณ์ ตราบใดเราไม่อนุมัติการใช้พื้นที่ในส่วนของไทย ปราสาทเขาพระวิหารก็ยังได้แค่อยู่ในขั้นตอนการขึ้นทะเบียน จึงยังไม่ได้เป็นมรดกโลกโดยสมบูรณ์

อาจารย์ปณิธาน วัฒนายากร เพิ่งให้สัมภาษณ์ทางเนชัั่่นว่า ยังขึ้นทะเบียนไม่เสร็จสมบูรณ์ เพราะเขมรยังไม่ส่งมอบแผนจัดการ

อาจารย์เทพมนตรี ลิมปพยอม แนะนำว่า ถ้าไทยไม่ยินยอมให้เขมรจัดการในพื้นที่พิพาทอย่างเดิม เขมรก็จะยังไม่ได้เขาพระวิหารเป็นมรดกโลกโดยสมบูรณ์ และตราบใดยังมีการส่งกองทหารอยู่โดยรอบของทั้งสองฝ่าย ก็จะขัดกับระเบียบการเป็นมรดกโลก ที่ดีที่สุดไทยควรอยู่เฉยๆ ไม่ต้องไปเซ็นอะไรกับเขมรเพิ่มขึ้นอีก แล้วดูซิว่า เขมรจะได้มรดกโลกสำเร็จโดยสมบูรณ์ได้หรือไม่ และเราก็ตั้งกองทหารไว้ ไม่ต้องย้ายออกไป

(อาจารย์เทพพนม ยังบอกอีกว่า หากสุวิทย์ไม่ไปคัดค้าน การส่งมอบแผนพัฒนาพื้นที่ของเขมรยังไงก็ต้องเลื่อนอยู่แล้ว เพราะไทยเรายังไม่ได้เซ็นยินยอมตามแผนการพัฒนาที่เขมรจะต้องการจะทำ จึงแปลว่า สุวิทย์อาจจะโม้ไปหน่อยว่าเป็นผลงานตนเองคัดค้านได้สำเร็จ)


"
"

ผู้ติดตาม