วันอังคารที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2551

เบื่อพวกไร้เหตุผล



เมื่อก่อนผมก็ไม่ชอบทักษิณเพราะผมรู้สึกว่า ทักษิณถึงเก่ง แต่ก็รวยจากธุรกิจสัมปทาน ใช้เวลาไม่กี่ปีขึ้นระดับเป็นมหาเศรษฐี

ผมรู้สึกว่าการที่คนเราจะรวยเร็วได้นั้นมีเหตุผลหลัก ๆ 2 อย่างคือ กิจการขายดีมาก ๆ จนรวยแต่ก็จะไม่รวยแบบปุบปับ เช่นธุรกิจของเครือซีพี ก็รวยมาจากขายสินค้าที่เกี่ยวกับการเกษตร กว่าจะก้าวมาเป็นยักษ์ใหญ่ได้นั้นต้องใช้เวลาสร้างสมหลายสิบปี ต้องขายในตลาดใหญ่ที่คนส่วนใหญ่เข้าถึง


แต่ธุรกิจมือถือของทักษิณ ช่วงที่ทักษิณก้าวเข้ามาเล่นการเมืองใหม่ๆ โดยเข้าพรรคพลังธรรมนั้น ตอนนั้นคนที่ใช้โทรศัพท์มือถือจริงในไทยตอนนั้นมีไม่กี่แสนคน

ฉะนั้นการที่ทักษิณรวยได้อย่างรวดเร็วก็น่าจะมาจากการที่ขายทำกำไรแบบขูดรีดประชาชนถึงได้รวยเร็วขนาดนี้ แต่นั่นก็เป็นความคิดสมัยเด็กๆของผม ที่ค่อนข้างอคติกับการค้ากำไรเกินควร

ก่อนทักษิณเล่นการเมืองไม่นาน ทักษิณคือคนที่ให้กำเนิดดาวเทียมดวงแรกของไทย แม้จะไม่ใช่ดาวเทียมของรัฐโดยตรง แต่ทักษิณก็เป็นคนไทย ผมก็ร่วมภูมิใจกับเขาไปด้วย

กิจการดาวเทียมเป็นกิจการที่ต้องใช้โควต้าช่องสัญญาณร่วมกันในโลก แต่ละประเทศก็จะมีช่องสัญญาณได้จำนวนจำกัด ฉะนั้นถึงแม้ดาวเทียมจะเป็นของเอกชนอย่างทักษิณ แต่ก็ต้องขอสัมปทานช่องสัญาณในสิทธิของประเทศไทย


แต่เมื่อทักษิณขายกิจการดาวเทียมให้กลุ่มเทมาของเส็กสิงคโปร์ไป ก็เท่ากับขายช่องสัญญาณในส่วนของประเทศไทยไปด้วย เท่ากับว่า ตอนนี้ไทยเราไม่มีสิทธิในดาวเทียมในช่องสัญญาณของเราเองแล้วในขณะนี้

แม้ฝ่ายรักทักษิณจะอ้างว่าเมื่อหมดอายุสัญาญาณดาวเทียมก็ต้องกลับมาเป็นของไทยอยู่ดี แต่โปรดทราบด้วยว่า กว่าจะถึงวันนั้นดาวเทียมดวงเดิมก็จะหมดอายุหรือใกล้หมดสภาพการใช้งานไปแล้ว
.
ที่สำคัญ หากทักษิณอยากขายกิจการจริง ก็ควรขายในสัดส่วนที่กฏหมายกำหนด ไม่ใช่อาศัยเสียงข้างมากแก้กฎหมายเพื่อเอื้อการขายธุรกิจตัวเอง ซึ่งเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศ ในประเทศที่เจริญแล้วเขาจะไม่ยอมให้ต่างชาติเข้ามาถือหุ้นกิจการที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง

เดิมกฎหมายอนุญาตให้ต่างชาติถือหุ้นได้ไม่เกิน 25% แต่ทักษิณแก้ไขจนต่างชาติสามารถถือหุ้นได้ 49 %

การที่ทักษิณทำแบบนี้ จึงอดสงสัยไม่ได้ว่า ทำอย่างนี้เพื่ออะไร เงินสำคัญกว่าความมั่นคงชาติหรือไม่


ผมเองเคยไม่ชอบทักษิณสมัยตอนที่ไปคบกับจำลอง  ทักษิณไปศรัทธาสันติอโศก แต่เมื่อทักษิณมาตั้งพรรคการเมืองใหม่ พรรคไทยรักไทยนั้น ผมเริ่มทำใจยอมรับทักษิณขึ้นมาบ้าง

อีกทั้งไทยเราก็เกิดวิกฤติเศรษฐกิจปี40 ผมก็หวังให้ทักษิณใช้ความเก่งเข้ามาช่วยชาติ ผมก็เลือกทักษิณมาถึงสองสมัย เพราะผมเกลียดพรรคประชาธิปปัตย์ พรรคที่ดีแต่เอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่น ออกกฏหมายขายชาติ ไม่เคยช่วยเหลือคนจน เกื้อหนุนแต่คนรวย

ทักษิณ สร้างแนวทางการพัฒนาประเทศแบบประชานิยม ซึ่งผมก็เห็นด้วยเพราะไม่เคยมีรัฐบาลไหนช่วยคนจนมากเท่านี้มาก่อน ผมสมน้ำหน้า! พรรคประชาธิปัตย์ที่แพ้การเลือกตั้งใหญ่ปี 48 อย่างราบคาบ

ทักษิณสามารถตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ผมหวังว่าทักษิณจะเป็นนายกที่มาจากการเลือกตั้งที่อยู่ยาวนานที่สุด ไทยเราจะเป็นหนึ่งในภูมิภาคนี้ จะแซงหน้าสิงคโปร์ได้แน่ หากทักษิณเป็นนายกฯ

แต่หลายเหตุการณ์ที่ดูเหมือนจะมีการทุจริตในรัฐบาลทักษิณ ผมเองก็ยังเข้าข้างทักษิณว่าไม่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้อง คงเป็นฝีมือของคนในรัฐบาลคนอื่นมากกว่า


เมื่อครั้งที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล พูดที่สวนลุมพินีในรายการ เมืองไทยรายวันสัญจร ประมาณปลายปี48 ผมได้ฟังสนธิกล่าวหาทักษิณว่า เรื่องที่ทักษิณพาลูกสาวคนโตไปพักผ่อนที่สิงคโปร์ หลังลูกสาวสอบเสร็จ แต่ทักษิณก็ไปกับลูกสาวเพียงสองคนนั้น

สนธิกล่าวหาทักษิณว่าบินไปตกลงราคาซื้อขายหุ้นชินคอร์ปกับกลุ่มธุรกิจสิงคโปร์ ซึ่งผมบอกตรงๆว่า ผมไม่เชื่อสนธิแน่นอน!! ทักษิณจะขายทำไม!? กิจการเขาออกดีมีกำไรมากมาย แถมตัวเองก็เป็นถึงนายกฯ ต้องไม่ทำเรื่องแบบนี้แน่ๆ
.
แต่เมื่อทักษิณขายหุ้นให้เทมาเส็กจริงๆ ผมก็ยอมรับว่า หมดศรัทธาทักษิณขึ้นทันที และยิ่งเมื่อศึกษาการขายหุ้นของทักษิณ ยิ่งเสื่อมศรัทธามากขึ้น เพราะมันผิดหลักการซื้อขายในตลาดหุ้น และต่อมา ผมก็เริ่มตามติดทุกคดีของทักษิณ ก็ยิ่งมั่นใจว่า ทักษิณผิดจริงๆ


นักวิชาการ นักธุริกจ นักกฏหมายของไทย ไม่มีใครเลยที่บอกว่าทักษิณไม่ผิด มันน่าสงสัยมั้ยว่าคนมีความรู้ทำไมเขาถึงไม่เข้าฝ่ายทักษิณเท่าใดนัก ไม่ใช่ผมจะเชื่อนักวิชาการเหล่านี้ทันที ผมหวังว่า ฝ่ายทักษิณ จะออกมาแก้ต่างในเรื่องนี้ได้ แต่แล้วกลับมีแต่เหตุผลข้างๆคูๆว่า ซื้อขายในตลาดหุ้นไม่ต้องเสียภาษีแค่นั้นเอง

ซึ่งถ้าเป็นตาสีตาสา ที่ไม่รู้ขั้นตอนระเบียบการซื้อขายหุ้นก็คงต้องเชื่อฝ่ายทักษิณโดยง่าย เพราะใจรักทักษิณเป็นทุนเดิม แต่ถ้าคนรู้จริงและศึกษาข้อมูลจะรู้ว่าทักษิณผิดแน่ๆ ผมก็อยากให้ทักษิณเป็นฝ่ายถูก แต่ก็ไม่รู้จะหาเหตุผลอะไรมาช่วยทักษิณได้เลย

และเมื่อยกเอาความชอบทักษิณเดิมของผมออกไป ผมลองศึกษาคดีซุกหุ้นของทักษิณที่ผ่านมา ก็ยิ่งรู้ว่า ทักษิณเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าประเทศชาติ หากทักษิณเป็นแค่นักธุรกิจทำแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่การที่เป็นถึงนายกฯ การใช้วิธีการหลบเลี่ยงภาษีด้วยวิธีต่างๆ นับว่าขาดจริยธรรมอย่างมาก


พวกรักทักษิณในเว็บบอร์ดต่างๆ ที่เขียนเชียร์ทักษิณ หรือแม้แต่สามเกลอหัวเกรียนที่จัดรายการความจริงวันนี้ ทาง NBT ผมก็เห็นแต่ทำได้แค่ดิสเครดิตฝ่ายตรงข้ามทักษิณ แต่ไม่เคยนำเสนอว่าทักษิณไม่ผิดยังไงในเรื่องหุ้นชินฯ

การทำเช่นนี้แม้จะทำลายฝ่ายตรงข้ามได้ แต่ไม่ได้ช่วยให้ทักษิณพ้นผิดได้หรอก ที่สามเกลอไม่กล้าอธิบายเรื่องหุ้นทักษิณ ก็เพราะคงรู้อยู่แก่ใจว่า พูดไปก็ตายเปล่า


ศ่าลตัดสินโดยใช้พยานหลักฐาน และอธิบายหลักเหตุผล ส่วนพวกรักทักษิณก็กล่าวหาง่าย ๆ ว่า ศาลถูกตั้งโดยระบบอำมาตย์ ผมว่ามันเป็นข้ออ้างของพวกขี้แพ้ชวนตีมากกว่า มันเป็นการอ้างแบบชุ่ยๆ การอ้างแบบนี้ใครๆก็อ้างได้

บ้านเมืองถ้าไม่มีศาลตุลาการเป็นหลักแล้ว จะให้เชื่อพวกนักการเมืองรัฐบาลเท่านั้นเหรอ ผมว่าในทุกกลุ่มชนย่อมมีคนดีและไม่ดีทั้งนั้น

แต่โดยส่วนตัวผมเชื่อว่า ยังไงศาลก็ยังน่าเชื่อถือมากกว่าพวกนักการเมืองแน่นอน เพราะคนที่จะมาเป็นศาลไม่ใช่อยู่ดีก็จะมาเป็นกันง่าย และศาลที่ตัดสินคดีทักษิณก็ไม่ใช่ว่าเพิ่งจะมาเป็นศาล แต่ละคนต่างทำหน้าที่ศาลมาไม่ต่ำกว่า 20-30ปี ถ้าศาลจะเอียง ทำไมไม่เอียงมาทางฝ่ายรัฐบาลหรือทำไมไม่เอียงมาทางฝ่ายคนมีเงินอย่างทักษิณ มันน่าคิดมั้ยครับ

พวกรักทักษิณไม่ค่อยยอมรับเสียงส่วนน้อยที่เห็นแย้งกับตนเอง เพียงแค่นี้ก็เท่ากับว่าไม่เป็นประชาธิปไตยแล้ว ยิ่งชอบไปบุกตีฝ่ายตรงข้ามก่อน ก็เท่ากับว่าไม่เป็นประชาธิปไตยแล้ว

ผมไม่ได้บอกว่าฝ่ายตรงข้ามทักษิณจะถูกต้องเสมอไป มีหลายเรื่องก็ผิดเช่นกัน และผมก็เกลียดจำลองด้วยซ้ำ แต่ในเรื่องความรุนแรงของการมุ่งทำร้ายร้างกายกันนั้น ผมว่าฝ่ายรักทักษิณไม่เป็นประชาธิปไตยมากกว่าแน่นอน เพราะบุกไปตีเขาก่อนทุกครั้ง


หากเราไม่เชื่อในข้อมูลฝ่ายตรงข้าม ผมว่าเราควรฟังจากผู้มีความรู้ที่เป็นกลางน่าจะดีกว่า ฟังและวิเคราะห์โดยปราศจากอคติ แล้วเราก็จะรู้ว่า ทำไมนักวิชาการ นักศึกษา หมอ หรืออาจารย์มหาวิทยาลัย ทำไมไม่มีใครชี้ว่าทักษิณไม่ผิดสักคน

หากคิดว่าความคิด กู ถูกต้อง ไม่ต้องใช้หลักวิชาการรองรับ ไม่ใช้หลักเหตุผลรองรับ เอาแต่ว่ากูรักคนนี้ คนนี้ทำให้กูกินดีอยู่ดี ถ้าคิดแค่นี้ ก็เท่ากับรักตัวเองมากกว่าประเทศชาติแล้ว

ทหารที่ชายแดนบางครั้งต้องอดอยากเสี่ยงตาย จากบ้านช่องลูกเมีย เพื่อรับใช้ชาติ พวกเขาเคยไม่คิดถึงแค่ปากท้องสำคัญกว่าชาติบ้านเมืองหรอก ละอายใจกันซะบ้าง

แม้ทักษิณจะทำให้ชีวิตคุณดีขึ้น แต่ถ้าไร้คุณธรรมโกงกระทั่งภาษีของชาติ หากพวกคุณยอมรับได้ ก็เท่ากับว่าตอนนี้ โลกก็เข้าสู่ ยุคมิคสัญญีแล้ว เพราะเงินทองสำคัญกว่าคุณธรรม

----------------------

ขอยกตัวอย่างเรื่องคิมซูซอน มหาขันที แถมท้ายหน่อยครับ

โชชิกคยอน พ่อของคิมซูซอน ก็เคยสอนว่า ขันที แม้ต้องถูกมองว่าเป็นคนผิดไปตลอดชีวิต ก็จะไม่ให้ใครลบหลู่พระเกียรติ์ฮ่องเต้ แม้ต้องตายเพื่อรักษาพระเกียรติ์ฮ่องเต้ก็ต้องยอม ซึ่งคิมซูซอนก็ถือปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด

หากเปรียบในยุคปัจจุบัน หากต้องตายเพื่อชาติ หรือโดนกล่าวหาว่าเลวในสายตาผู้คน ก็จะไม่ยอมให้ชื่อเสียงของชาติต้องเสื่อมเสีย

ไม่ใช่อ้างว่าตนเองโดนใส่ร้าย ก็หนีไปต่างประเทศ แล้วโยนบาปไว้ให้ชาติเสียหายแทน

วันอาทิตย์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2551

กรณี นมปนเปื้อนในจีน , ดื่มนมถั่วเหลืองดีกว่านมวัว

.
.

ตั้งแต่เด็กๆจนถึงเดี๋ยวนี้ เราได้รับการสั่งสอนว่าถ้าอยากแข็งแรงให้ดื่มนมเยอะๆ ดื่มนมแล้วจะตัวสูง ซึ่งก็เป็นความจริงอยู่พอควร แต่องค์ความรู้ตั้งแต่อดีตยังไม่รู้เรื่องอะไรต่างๆอีกมาก เนื่องด้วยการค้นพบใหม่ภายหลังได้มีการเปลี่ยนแปลงความจริงบางอย่างไปเหมือนกัน โดยเฉพาะเรื่องนมวัว



จากคดีพบสารเมลามีน(ที่ใช้มากในอุตสาหกรรมผลิตพลาสติก)ในนมผงสำหรับเด็กในจีน ที่ทำให้มีเด็กจีนป่วยเป็นไตวายหลายคนและเจ็บป่วยอีกนับหมื่นคนนั้น จนกระทั่งเป็นข่าวดังทั่วโลก ทำให้คนทั่วโลกตื่นกลัวและหยุดดื่มนมกันเป็นจำนวนมากมาย



และต่อมาก็พบสินค้าตามมาอีกหลายชนิดที่มีสารเมลามีนปนเปื้อน ทั้งขนม ช้อคโกแลต ลูกอมต่างๆ ในหลายๆประเทศที่นำเข้าสินค้ามาจากจีน ที่จริงคนไทยเราก็ต้องกลัวสินค้าที่ไม่ค่อยมีชื่อเสียงจำพวกนมหรือขนม หรืออาหารสำเร็จรูปต่างๆด้วย เนื่องจากในอเมริกา ยุโรป หรือญี่ปุ่น เริ่มมีการงดนำเข้าหรือต่อต้านสินค้าจีนหลายอย่าง ไม่เฉพาะสินค้าประเภทอาหารเท่านั้น สินค้าประเภทของใช้ หรือของเล่นเด็ก ก็มีข่าวว่าปนเปื้อนสารอันตรายต่างๆมากมาย



ทำให้นักธุรกิจจีนบ่ายหน้ามาหาแหล่งผลิตสินค้านอกประเทศ โดยเฉพาะในประเทศแถบบ้านเรา ไทยเราเองก็มีนักลงทุนจากจีนมาอาศัยเป็นแหล่งผลิตสินค้ามากมาย ฉะนั้นทางที่ดี สินค้าโนเนมในไทยเราก็ควรต้องเลือกดูอย่างระมัดระวัง หรือเลือกไม่ถูกก็หันไปใช้สินค้าที่มีชื่อเสียงยาวนานน่าจะดีกว่า โดยเฉพาะบริษัทผู้ผลิตที่เจ้าของเป็นคนไทยแท้ๆ



ในตลาดนัดหลายๆแห่งหรือตามห้างต่างๆมักมีของเล่นเด็กราคาถูกๆจากจีนมาขายมากมาย พ่อแม่เด็กไทยก็นิยมซื้อหาให้ลูกๆเล่น แต่หากลูกนำของเล่นเหล่านั้นเข้าปาก ก็จะได้รับสารปนเปื้อนเข้าไปด้วย โดยเฉพาะสารตะกั่ว ที่มักจะพบเสมอ ซึ่งสารตะกั่วมีพิษมากต่อสมองและการเติบโตของเด็ก



แม้แต่อาหารแห้งจากจีน เช่นกาแฟ เห็ดหูหนูขาว หรือสาหร่ายทะเล ที่มาจากจีน ก็เคยมีข่าวว่ามีสารปนเปื้อนหลายๆชนิด เช่นสารกันบูด สารฟอกขาวในเห็ดหูหนู เป็นต้น ผักผลไม้จากจีนก็มีสารเคมีพวกยาฆ่าแมลงตกค้างมากมาย



ฉะนั้นทางที่ดี เราควรงดกินอาหารจากจีนกันดีกว่า เพราะเราก็ไม่สามารถรู้ได้จนกว่าทางหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องจะตรวจสอบและประกาศออกมาว่าปลอดภัย เราถึงจะสามารถกลับมาซื้อสินค้านั้นๆใหม่ได้


อ่านบทความทีเกี่ยวข้องของ สุทธิชัยหยุ่น.คอมคลิกที่นี่

ดื่มนมถั่วเหลืองดีกว่าดื่มนมวัว


จากการศึกษาทางการแพทย์สมัยใหม่ ได้ค้นพบแล้ว่า นมวัวอาจก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้ในคนได้ ผมเคยฟังหมอโรคภูมิแพ้จากรพ.เด็กคนนึงในรายการวิทยุ ท่านบอกว่าเวลามีเด็กป่วยด้วยอาการภูมิแพ้มารักษาที่โรงพยาบาล หมอก็จะแนะนำสิ่งแรกให้พ่อแม่เด็กงดให้เด็กดื่มนมวัว เพราะหากดื่มนมวัวการรักษาภูมิแพ้ก็จะยากต่อการรักษาและจะทำให้โอกาสหายขาดจากโรคนั้นน้อยลง หรืออาจไม่มีทางรักษาหายเลยก็ได้


ส่วนในนมถั่วเหลืองนั้นมีประโยชน์มากมาย โดยเฉพาะจะย่อยง่ายกว่านมวัวและมีสารอาหารอื่นๆมากกว่านมวัว



แต่อาจจะมีแคลเซียมน้อยกว่านมวัวเท่านั้นเอง แต่ในอเมริกาพบว่าผู้หญิงอเมริกามีอัตราการเกิดโรคมะเร็งในอายุน้อยลงทุกที และพบสาเหตุว่าน่าจะเกิดจาก เด็กผู้หญิงอเมริกาดื่มนมวัวกันมากตั้งแต่เด็กทำให้เด็กโตเป็นสาวไวขึ้น มีประจำเดือนเร็วขึ้น และการที่ผู้หญิงมีประจำเดือนเร็วก็จะทำให้หยุดสูงเร็วขึ้น และมีโอกาสเป็นมะเร็งมากขึ้นด้วย



พิธีกรชื่อดังที่ชื่อหนูแหวน ปวริศา ก็เป็นมะเร็งทรวงอกตั้งแต่ยังสาว พอเธอทบทวนหาสาเหตุการเกิดมะเร็ง เธอคิดว่าน่าจะเกิดจากการที่เธอกินนมกินเนยมากมาตั้งแต่เด็กก็เป็นได้


นมวัวมีโปรตีนที่ย่อยยาก และทำให้ไตต้องทำงานหนักกว่าโปรตีนจากถั่วเหลือง



ผมเคยพบเด็กคนนึงที่แม่ให้ดื่มนมถั่วเหลืองทุกวันแทนนมวัวตั้งแต่ยังแบเบาะ เพราะแม่ไม่มีน้ำนมแม่ให้ดื่มเนื่องจากครอบครัวเธอมีรายได้น้อย ผมเคยกลัวว่าเด็กคนนี้จะแข็งแรงมั้ย แต่แล้วผมกลับพบว่าเด็กคนนี้กลับแข็งแรงไม่เจ็บป่วยดีกว่าเด็กที่ดื่มนมวัวเป็นประจำด้วยซ้ำ





ข้อมูลเพิ่มเติมจากแหล่งอื่น


ด้านมืดของนมวัว ปัจจุบันหลายประเทศ เช่น สหรัฐฯ มาเลเซีย สิงคโปร์ รณรงค์ให้คนเลิกดื่มนม อย่างจริงจัง การวิจัยพบว่านมทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ โรคเบาหวาน กระดูกผุ สมาธิสั้น เด็กปวดท้อง เด็กหูอักเสบ หอบหืด ฉี่รดที่นอน เลือดกำเดา ปวดหัว ไซนัสอักเสบ ฯลฯ



นม ทำให้ร่างกายสูงใหญ่จริง แต่ไม่ได้เป็นเพราะ แคลเซียม สิ่งที่ทำให้ร่างกายสูงใหญ่คือ Growth Hormone ของสัตว์หรือฮอร์โมนที่เกิดจากการกระตุ้นการเจริญเติบโตของวัว คนจะมี น้ำหนักเพิ่ม 3 กิโลกรัมโดยเฉลี่ย ในเวลา 3 เดือนหลังคลอด แต่ลูกวัว นั้น น้ำหนักจะเพิ่ม 30 กิโลกรัม ในเวลาเท่ากัน เพราะฉะนั้นสรีระโครงสร้าง ทั้งหมด และความต้องการอาหารนั้นไม่เหมือนกันโดยสิ้นเชิง



วัวเมื่อโตเต็มที่จะมีน้ำหนักรวม 500 กิโลกรัมขึ้นไป ในขณะที่คนจะมีน้ำหนัก ประมาณ 50-60 กิโลกรัม การให้เด็กดื่มนมวัว ก็คือการให้สารอาหารที่มีไว้ กระตุ้นสัตว์ที่มีการเจริญเติบโตมากมายแกเด็ก ผลคือเด็กมีโครงสร้างที่ผิด ปกติไปจากที่เด็กควรจะเป็น และโดยปกติแล้ว ลูกวัวรับประทานนมแค่ 1 ปี แต่ ลูกคนรับประทานนมวัวต่อเนื่องเป็นสิบปี




ฉะนั้น Growth Hormone จะกระตุ้นการเจริญเติบโตของเด็กอย่างต่อเนือง ทำให้ ร่างกายสูงใหญ่ผิดไปจากเผ่าพันธุ์เดิมของตน และในที่สุด โรคต่างๆที่กล่าว ข้างต้นก็จะเกิดขึ้น แต่อันตรายนี้จะเห็นได้ช้า ฉะนั้นคนส่วนใหญ่จะไม่ ตระหนักและคิดว่าเป็นเรื่องที่ดี




อันตรายจากนมที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ ออทิสติก หรือโรคสมาธิสั้น เด็กจะ ไม่อยู่เฉย เพราะถูกกระตุ้นในตื่นตัวเสมอจากสารกระตุ้น เพราะลูกวัวนั้นโดยธรรมชาติแล้ว คลอดออกมามันจะต้องวิ่งได้ เพื่อที่จะวิ่ง หนีศัตรู เช่น หมาป่า เสือ สิงโต ฉะนั้นในนมวัวจึงมีสารที่จะทำให้ลูกวัวตื่นกลัว เด็กที่ดื่มนมวัว จึงมีอาการตื่นตัว อยู่เฉยไม่ได้ เหมือนอยู่ในป่า การถูกกระตุ้นเกินกว่า เหตุเป็นอันตรายต่อสมองและพัฒนาการของเด็กได้




ประโยชน์ที่คนส่วนใหญ่คาดว่าจะได้จากนมวัว คือโปรตีนและแคลเซียม ความจริง ที่ควรทราบก็คือโปรตีนจากสัตว์เป็นอันตรายกว่าและแคลเซียมในนมก็ไม่ได้มีมากอย่างที่หลายคนเชื่อ นมวัว 3 แก้วให้ปริมาณแคลเซียมเท่ากับหัว ปลาทูเพียง 1 หัวเท่านั้น นมวัวมีไว้ให้วัวกิน นมคนมีไว้ให้คนกิน คนเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวที่กินนม ข้ามสายพันธุ์ และกินอย่างต่อเนื่อง จึงก่อให้เกิดโรคต่างๆ มากมาย



ปัจจุบันพบว่าสาเหตุของโรคภูมิแพ้ในคน คือนมวัว สาเหตุ ของโรคกระดูกผุ เวียนศีรษะในผู้สูงอายุ คือนมวัว แพทย์พบว่าคนไข้ที่มีอาการ ดังกล่าว ถ้ามีประวัติดื่มนมอย่างต่อเนื่อง หลังจากให้หยุดดื่มนมแล้ว อาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด


สำหรับผู้หญิงนั้น นมถั่วเหลือง เหมาะที่สุด เพราะในนมถั่วเหลืองนอกจากจะ ได้โปรตีนจากพืชซึ่งเป็นโปรตีนที่ถูกต้องและ ในนมถั่วเหลืองก็มีแคลเซียม และที่สำคัญมีฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศหญิง จะทำให้ผู้หญิงมี ผิวพรรณดี โดยเฉพาะผู้หญิงวัยใกล้หมดประจำเดือน

.

ซึ่งปริมาณเอสโตรเจนในร่าง กายจะลดลงนั้น การดื่มนมถั่วเหลืองจะช่วยเพิ่มระดับฮอร์โมน ทำให้ โอกาสที่จะเกิดอาการผิดปกติต่างๆ ในวัยใกล้หมดประจำเดือนลดน้อยลง ปริมาณที่ เหมาะสมสำหรับการดื่มนมถั่วเหลืองคือ วันละหนึ่งแก้ว

.

และหากจะให้ได้ ประโยชน์สูงสุดควรดื่มในเวลาที่ท้องว่าง คือก่อนหรือหลังอาหาร 2 ชั่วโมง เพราะจะดูดซึมได้ดี และไม่ขัดขวางการดูดซึมสารอาหารจากสารอาหารชนิดอื่นเนื่องจากมีสารเคลือบกระเพาะที่สามารถบรรเทาอาการโรคกระเพาะได้

.

อย่างไรก็ตามนมถั่วเหลืองอาจไม่เหมาะที่จะดื่มทุกวันในผู้ชาย เนื่องจากจะเป็นการเพิ่มฮอร์โมนเอสโตรเจนซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศหญิงมากเกินไป จะส่งผลต่อการทำงานของฮอร์โมนเพศชายทำให้ผลให้ สเปิร์มน้อยลงและมีลูก ยาก
.

ข้อมูลจากwww.thaimission.com

.

.

วันศุกร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2551

เส้นทางการเมืองของ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์




จากคดีที่มีชายฉกรรจ์รื้อบาร์เบียร์ที่บริเวณสุขุมวิท สแควร์ซอยสุขุมวิท10 เมื่อหลายปีก่อน ซึ่งมีเสี่ยชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เจ้าของอาบอบนวดชื่อดังเป็นเจ้าของพื้นที่ แต่ให้บริษัทอื่นเช่าจัดการพื้นที่แทน ทำให้เสี่ยชูวิทย์ซึ่งตกเป็นจำเลยที่เกี่ยวข้องกับคดี แจ้งเกิดขึ้นมาให้เป็นที่รู้จักครั้งแรกต่อสังคมไทย (ซึงต่อมาศาลก็ได้ยกฟ้องชูวิทย์)

ชูวิทย์ ออกมาแฉวงการสีกากีที่มีการรีดไถสินบนจากสถานบริการ ด้วยคารมและความฉลาดในการตอบคำถามจากพิธีกรชื่อดังอย่างสรยุทธ สุทัศนะจินดา ในรายการถึงลูกถึงคนในอดีต

ชูวิทย์ ตอบได้อย่างฉะฉานมีไหวพริบ รับมือกับลูกล่อลูกชนของพิธีกรชื่อดังอย่างสรยุทธได้สมน้ำสมเนื้อ จนเรียกเสียงฮาให้คนดูได้หลายต่อหลายหน


ต่อมาชูวิทย์โดดลงสนามเลือกตั้งครั้งแรกในเวทีผู้ว่ากทม. ชูวิทย์ก็กลายเป็นม้ามืดที่เข้าวินมาเป็นอันดับ3 แพ้อภิรักษ์(ปชป.) กับปวีณา(ไทยรักไทย) ชูวิทย์สร้างความฮือฮาแก่ผู้คน และเพราะผลงานครั้งนี้เองทำให้ชูวิทย์ กล้าที่จะตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาเพื่อลงศึกสนามใหญ่ คือเลือกตั้งสส.ทั่วประเทศ

แต่ไม่ทันได้ลงในฐานะหัวหน้าพรรคต้นตระกูลไทยของตัวเอง ก็มีอันถูกพรรคเก่าแก่อย่างพรรคชาติไทยโดยท่านบรรหารดึงตัวเข้าร่วมพรรค โดยชูวิทย์ได้ตำแหน่งรองหัวหน้าพรรคชาติไทยพ่วงด้วย


หลังเลือกตั้งชูวิทย์ได้เป็นสส.แบบสัดส่วนชองชาติไทย เป็นสส.ได้ไม่ครบวาระ ก็มีอันต้องถูกออกจากสส.เพราะศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่าชูวิทย์ย้ายพรรคจากพรรคต้นตระกูลไทยของตัวเองมาอยู่พรรคชาติไทยไม่ครบ90วันตามรัฐธรรมนูญกำหนด



ชูวิทย์เมื่อโดนใบแดง ต้องออกจากตำแหน่งสส. ชูวิทย์ก็คืนทรัพย์สินต่างๆที่ได้มาจากการเป็นสส.คืนแก่สภาไป นับเป็นสส.คนแรกที่คืนสินทรัพย์ให้แก่สำนักงานทรัพย์สินและสำนักเลขาธิการสภา ต่อมาชูวิทย์ก็นำที่ดินที่เคยเป็นคดีรื้อบาร์เบียร์ ชูวิทย์ก็ได้สร้างเป็นสวนสาธารณะให้คนกทม.โดยใช้เงินตัวเองสร้าง ชูวิทย์พูดว่าถึงแม้จะไม่ได้เป็นผู้ว่าฯ แต่เขาก็ทำประโยชน์ให้คนกทม.ได้


ต่อมาเลือกตั้งใหญ่ปี2551 ชูวิทย์ประกาศไม่ลงเลือกตั้งเพราะไม่เห็นด้วยกับการส่งตัวเองไปในพื้นที่ที่ตัวเขาไม่ยอมรับ และต่อมาก็แตกหักกับหัวหน้าพรรคชาติไทย นายบรรหาร ศิลปอาชา เพราะบรรหารตัดสินใจเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชน ทั้งๆที่ตอนแรกบรรหารยืนยันว่าจะไม่เข้าร่วม


และปีนี้มีการเลือกตั้งผู้ว่ากทม.อีกครั้ง ชูวิทย์จึงกลับมาอีกครั้ง เพื่ออาสาเป็นผู้ว่ากทม.ได้หมายเลข 8 ในฐานะคนกรุงเทพฯ ผม ใหม่ เมืองเอก ตัดสินใจเลือกชูวิทย์อีกครั้งแน่นอนครับ


------------------------------

** ชูวิทย์เคยออกมาแฉเรื่อง อาบอบนวด ที่มาตั้งอยู่ตรงกันข้ามโรงเรียนดังย่านรัชดา

--------------------------

เมื่อวันที่25ก.ย.51


วันนี้โพลเอแบค ชี้ว่า เฮียชูวิย์ มาแรงขึ้นเรื่อยๆ ใกล้อภิรักษ์ทุกที

ชูวิทย์ ยังมาเป็นที่2 ค่อนข้างนำผู้สมัครอันดับต่อมามากขึ้น

วันนี้ชูวิทย์ ไปคลองหลอด เพื่อดูปัญหาน้ำเน่า ดังสโลแกนที่อภิรักษ์เคยวาดไว้สวยหรูว่า

คลองสวยน้ำใส 90 คลองทั่วกทม. ที่ไม่สำเร็จของอภิรักษ์

ชูวิทย์ เสนอแก้ปัญหาโดย จะทำบ่อบำบัดน้ำเสียขนาดเล็กให้ทั่วกรุง เพื่อจัดการน้ำเสียก่อนลงคลอง ติดตั้งเร็ว ง่าย เหมาะกับกทม.

ชูวิทย์ ไม่ติงต๊อง แต่แค่ลูกบ้าเยอะ กล้าชน กล้ายอมรับว่าเคยเลว คดีต่างๆศาลก็ยกฟ้องแล้ว ไม่กลัวอิทธิพลใดๆ
นโยบายไม่ฝันเฟื่อง ขอโอกาสชูวิทย์ทำงาน พิสูจน์ความจริง


ขออภัย! คุณอาจหมั่นไส้ผมที่เชียร์ชูวิทย์ แต่ผมชอบคนตรงจริงใจแบบนี้แหล่ะถึงแพ้ก็จะเชียร์ ชูวิทย์ ชัวร์


อ่าน สาเหตุที่ชูวิทย์ต่อยวิศาล






วันพฤหัสบดีที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2551

เก็บตกลึกไม่ลับรัฐบาลสมชาย


หลังจากนายสมัคร สุนทรเวชโดนคดีชิมไปบ่นไปเล่นงานจนหลุดจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ น้องเขยทักษิณผัวนางเยาวภา น้องสาวทักษิณ ฉายาเจ้าแม่วังบัวบาน อดีตรองนายกฯและรมต.ศึกษาธิการสมัยรัฐบาลสมัครได้ถูกเลือกเป็นนายกฯคนที่26 แห่งชาติไทยยุคแตกแยก ซึ่งกว่าจะได้ดำรงตำแหน่งสำคัญนี้ ก็ต้องเจรจากับกลุ่มเพื่อนเนวิน (ยี้ห้อยแห่งบุรีรัมย์)

ใหม่เมืองเอก


เพราะกลุ่มเพื่อนเนวิน ตั้งแง่จะไม่สนับสนุน โดยอ้างว่า สมชายใกล้ชิดทักษิณ อาจทำให้บ้านเมืองจะหาความสงบสุขยาก ซึ่งมันก็เป็นเพียงข้ออ้างห่วยๆของกลุ่มเนวิน เพราะใครๆก็รู้ว่า กลุ่มเพื่อนเนวินหรืออีกชื่อก็คือกลุ่มอีสานพัฒนา ที่ไม่สนับสนุนนายสมัคร สุนทรเวช กลับมาเป็นายกฯอีกครั้งก็เพราะในครั้งรัฐบาลสมัครปรับครม.ครั้งสุดท้าย กลุ่มเพื่อนเนวินไม่ได้ตำแหน่งรัฐมนตรีตามต้องการ จึงเริ่มมีปฏิกิริยาต่อต้านสมัครเกิดขึ้น จนต้องให้ทักษิณเป็นตัวประสานใจทั้งสองฝ่าย



แต่แล้วเมื่อเจ้าแม่วังบัวบาน เข้าเจราจาแบ่งเค้กลงตัวได้สำเร็จกับกลุ่มเพื่อนเนวินสำเร็จ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ จึงได้ขึ้นเป็นายกฯสมใจเมียในที่สุด



นายสมชาย วงศสวัสดิ์ คนจังหวัดนครศรีธรรมราช ที่ได้เมียเป็นคนเหนือ เติบโตมาจากข้าราชการตำแหน่งผู้พิพากษามาหลายสิบปี และได้เป็นถึงปลัดกระทรวงยุติธรรม ซึ่งขณะเป็นปลัดกระทรวงนี้นั้นก็เคยมีปัญหาขัดแย้งกับ ดร.ปุระชัย เอี่ยมสมบูรณ์ ผู้ก่อตั้งพรรคไทยรักไทย ซึ่งได้มาเป็นรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมสมัยรัฐบาลทักษิณ จนเป็นเหตุให้ต่อมาไม่นาน ดร.ปุระชัย ก็ได้ลาออกจาพรรคไทยรักไทย และเลิกเล่นการเมืองในที่สุด

newakecity อัปเดทผลบอลล่าสุดคลิกที่นี่




ทีนี้เรามาดูเรื่องของนายโอฬาร ไชยประวัติ รองนายกฯฝ่ายเศรษฐกิจของรัฐบาลสมชายกันบ้าง



เมื่อครั้งทักษิณจะแปรรูป การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ เป็นบริษัท กฟผ.โทรคมนาคมและการสื่อสาร นายโอฬาร ไชยประวัติ ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งบริษัท พบว่านายโอฬารมีคุณสมบัติต้องห้ามพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.2542 ที่ห้ามผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับกิจการของ กฟผ.เข้ามาเป็นกรรมการ โดยนายโอฬารเป็นกรรมการในบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นหลักในบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส ที่ประกอบกิจการเกี่ยวกับการสื่อสารและโทรคมนาคม



ขณะที่ กฟผ.เองมีระบบรับส่งข้อมูลด้วยใยแก้วนำแสง และมีการจัดตั้งบริษัท กฟผ.โทรคมนาคม เพื่อประกอบกิจการโทรคมนาคมและการสื่อสารทุกชนิด จึงถือว่าบริษัทชินคอร์ปจึงมีประโยชน์ได้เสียกับ กฟผ. นอกจากนั้นนายโอฬารยังเป็นกรรมการในบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ถือว่านายโอฬารเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการปฏิบัติหน้าที่ในคณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งบริษัท อันเป็นการขัดต่อหลักความเป็นกลาง คำสั่งแต่งตั้งนายโอฬารเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งบริษัทจึงขัดต่อกฎหมายศาลจึงตัดสินเพิกถอนการแปรรูป กฟผ.ในที่สุด


ผู้บริหารใหญ่ๆและกรรมการปตท.หลายคนนอกจากนายโอฬารล้วนมีสายสัมพันธ์กับพณ.ทั่นแม้วทั้งนั้น ลึกกว่านี้บอกไม่ได้ เพราะมันยากเกินคำบรรยาย รู้แต่ว่า ปตท.รวยเอาๆ แต่ประชาชน... ?
newakecityใหม่เมืองเอก



นายโอฬาร ไชยประวัติหรือดร.โอฬาร นั้นนอกจากเป็นกรรมการในชินคอร์ป กับ ปตท. แล้ว ก็ยังดำรงตำแหน่งนายกสภามหาวิทยาลัยชินวัตร (ของทักษิณอีกด้วย) นายโอฬาร ได้ชื่อว่าคือผู้เชียวชาญทางเศรษฐกิจคนนึง ได้รับยกย่องว่า เป็นนักพยากรณ์เศรษฐกิจผู้เก่งฉกาจคนนึง ผลงานล่าสุดที่เคยทำนายจนทำให้ต้องมีอันต้องเลิกทำนายก็คือ เคยทำนายว่ารัฐบาลชวลิตจะไม่มีทางประกาศลอยตัวค่าเงินบาทแน่นอน จนนักธุรกิจต่างเชื่อถือโดยไม่ทันระวังตัวจนต้องมีอันเจ็บหนักและถึงตายจากภาวะวิกฤติเศรษฐกิจปี40



ทีนี้มาดู ร้อยตำรวจเอกDogter.เฉลิม อยู่บำรุง นักการเมืองดังสีสันแห่งการเมืองไทย ฉายาเป็ดเหลิม


เทพเทือก พูดในสภาว่า "เฉลิม เก่งทุกเรื่องทำได้ทุกอย่าง ยกเว้นเรื่องเดียวคือ ไม่รู้ว่าไอ้ปื๊ดมันอยู่ที่ไหน" ตอนกำลังหานายกฯคนใหม่มาแทนอดีตนายกฯสมัคร เหลิมวิ่งเข้ามุ้งนั้นออกมุ้งนี้ เพื่อขัดขวางการเป็นนายกอีกครั้งของหมัก เพราะเจ็บใจที่โดนปลดจากมหาดไทย


พอตั้งรัฐบาลใหม่ เหลิมบอกขอรมต.ได้ทุกกระทรวง ยกเว้นกระทรวงเศรษฐกิจ สุดท้าย ได้สาธารณสุข เพราะลูกวัน ได้ปูทางไว้แล้ว เพราะลูกวัน เป็นเลขารมต.สาธารณสุขเก่า และได้แต่งตั้งเป็น มิสเตอร์ส้วม คนแรกและคนสุดท้าย (ฮา)โดยส่วนตัวให้โอกาส เหลิมทำงาน กระทรวงพ่อลูก ลูกส้วม พ่อสูบ(ส้วม)
newakecity


ทีนี้มาดูพ่อใหญ่ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ กลับมาเป็นรองนายกฯฝ่ายความมั่นคงอีกครั้ง

พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เคยประกาศเลิกเล่นการเมืองไปแล้วเมื่อครั้งร่วมรัฐบาลทักษิณ แต่คราวนี้กลับมาใหม่ ด้วยเหตุผลว่าจะเป็นโซ่คล้องใจประสานความแตกแยกของสังคม และอาสาเข้ามาแก้ปัญหา3จังหวัดภาคใต้อีกครั้งหลังจากเคยล้มเหลวมาแล้ว

พลเอกชวลิต ได้เคยพูดขอกลุ่มพันธมิตรในเรื่องระบบเลือกตั้งที่พธม.เสนอแบบ70/30 ให้มาเป็นแบบ50/50ได้มั้ย พบกันครึ่งทาง


พลเอกสุจินดา คราประยูร อดีตนายกรัฐมนตรีสมัยหลังรสช. เคยได้แถลงต่อสภาในขณะนั้นว่า เข้ามาเพื่อปกป้องระบอบประชาธิปไตยที่อาจถูกความคิดสภาเปรซิเดียมที่สุจินดาอ้างว่าเป็นความคิดของพลเอกชวลิต สภาเปรซิเดียมก็คล้ายสภาในระบอบคอมมิวนิสต์ของโซเวียตรัสเซีย ซึ่งก็คล้ายสภาแห่งชาติที่พลเอกชวลิตชอบพูดถึงเสมอ



(วันนี้ศาลอุธรณ์พิพาษายืนตามศาลชั้นต้นให้จำคุก2ปีโดยไม่รอลงอาญาอดีตนายกรัฐมนตรีคนที่25ของไทย นายสมัคร สุนทรเวชในคดีหมิ่นประมาทนายสามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีตรองผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ)





วันอังคารที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2551

บทพิสูจน์รักแท้






หลายคนโชคดีมีคนรักมากมาย หลายคนก็ตามหาความรักอยู่ หลายคนไม่ต้องตามหา รักก็วิ่งมาชน หลายคนโชคดีพบรักครั้งแรกก็สมหวังและเป็นรักแท้ และหลายคนแม้พบรักแท้ของตัวเองแล้วแต่กลับต้องผิดหวังและพลัดพราก และก็อีกหลายๆคนไม่เคยรู้จัก รักแท้ เป็นเช่นไร


คนที่สมหวังคงไม่มีอะไรต้องพูดถึงมาก แต่คนที่ผิดหวังนี่สิ จะทำเยียวยากันอย่างไรดี

คงเคยได้ยินว่า เวลาจะรักษาแผลใจ ประโยคนี้เป็นความจริง ขอให้ทุกคนที่ผิดหวังจากความรัก ขอจงเชื่อเถอะว่าเวลาจะเยียวยารักษาหัวใจที่เจ็บปวดได้ แต่จะใช้เวลามากน้อยแค่ไหนมันไม่ตายตัวหรอกขึ้นอยู่กับว่า เรารักเขามากแค่ไหน และรักนั้นเป็นรักแท้หรือเปล่า

(จงอย่าได้คิดสั้นทำร้ายตัวเองเมื่อผิดหวังจากความรัก เพราะถ้าคุณทำอย่างนั้น คุณไม่ได้มีรักแท้แน่นอน และคุณก็คือคนที่โง่ที่สุดในโลกนี้คนนึงด้วย)


หากเป็นแค่ความหลง หัวใจของเราจะถูกรักษาหายได้ด้วยเวลาอันรวดเร็ว แต่ทุกคนมักจะเข้าใจไปเองว่า รักที่ผิดหวังนั้นคือรักแท้ มันไม่ยากหรอกถ้าเราจะรู้ว่า รักที่เรากำลังมีนั้นหรือผิดหวังไปแล้วเป็นรักแท้หรือเปล่า

ที่แน่ๆ รักแท้ไม่ได้มีกันทุกคน และรักแท้ก็ไม่ใช่ว่าจะสมหวังเสมอไปไม่ และคนที่อยู่กันแต่งงานกันชั่วชีวิตอาจไม่ใช่รักแท้เสมอไป หรือบางคนแม้เลิกราหย่าร้างกันไปแล้วก็อาจเป็นรักแท้ก็ได้

ไม่มีอะไรตายตัว ไม่มีอะไรแน่นอน นี่แหล่ะความรัก

รักแท้คืออะไร?

ตามความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ

บทพิสูจน์ใจว่ามีรักแท้หรือไม่? ลองตอบคำถามในใจของคุณดู


คุณจะยินดีเสมอทุกกรณี หากคนที่คุณรักมีความสุข แม้จะต้องเป็นความทุกข์ของเราก็ตาม นี่แหล่ะรักแท้

คุณสามารถ ตายแทนคนที่คุณรักได้มั้ย? หากคุณทำได้ คุณน่าจะมีรักแท้แล้ว

หากคนที่คุณรักทำผิดในสิ่งที่คุณไม่ชอบ คุณพร้อมให้อภัยกับคนที่คุณรักได้ง่ายหรือไม่? หากใช่! คุณก็อาจมีรักแท้แล้ว

คุณเป็นห่วงเธอตลอดเวลาหรือไม่ คิดถึงเธอตลอดเวลาหรือไม่? หากใช่คุณก็อาจมีรักแท้


แล้วคุณหึงและโกรธแค่ไหน?

หากคนที่คุณรักไปหัวร่อต่อกระซิกกับเพศตรงข้าม หากมีมากจนคุณอยากแย่งหรือแยกเขาสองคนออกจากกัน รักนี้ของคุณอาจไม่ใช่รักแท้ เพราะรักแท้ไม่จำเป็นต้องครอบครอง

เวลาคนที่คุณรักจากไปไหนนาน ๆ คุณกลัวว่าคนที่คุณรักจะเปลี่ยนใจไปรักคนอื่นหรือไม่?

หากกลัวไม่มาก คุณก็อาจมีรักแท้แล้ว เพราะรักแท้หากคนที่คุณรักจะเปลี่ยนใจ คุณก็พร้อมจะเข้าใจและยอมรับความจริงได้เสมอ แม้คุณจะเสียใจบ้างในช่วงแรกก็ตาม


สมมุติว่า คนที่คุณรักหน้าตาเสียโฉม คุณจะยังรักเธอเหมือนเดิมหรือไม่?

หากการเสียโฉมของคนที่คุณรัก ไม่ได้ทำให้ความรักของคุณลดลง คุณกำลังพบรักแท้แล้วครับ

หากคนที่คุณรัก เธอไปรักคนอื่นหรือไปแต่งงานกับคนอื่น คุณจะดีใจบ้างมั้ย?

หากคุณตอบว่า บ้าเหรอใครมันจะไปดีใจได้ มันต้องเสียใจสิ แต่ถ้าคุณมีรักแท้จริง ๆ แม้คุณจะเสียใจในช่วงแรก แต่คุณก็จะยอมรับได้ แล้วคุณจะยินดีกับคนที่คุณรักที่ได้เจอคนที่เธอรักแล้ว (หรือได้เจอคนที่อาจดีกว่าหรือเหมาะสมกับคนที่คุณรักมากกว่าคุณ)

(เราไม่ควรตัดสินว่าเราดีกว่าใคร เพราะหากเราคิดว่าเราดีกว่าคนรักใหม่ของคนที่เรารักแล้ว นั่นก็เท่ากับว่า คุณกำลังมองข้ามข้อเสียในตัวคุณ แล้วคุณก็จะตัดพ้อคนที่คุณรักและมีความรู้สึกอยากแย่งคืนและโกรธ)


รักแท้ จะไม่แก่งแย่ง หรือแย่งชิง แต่คือความพยามยามครอบครองหัวใจคนที่เรารักให้ได้ ส่วนจะได้ครอบครองหรือไม่ ก็สุดแต่วาสนา

เพราะ รักแท้ คือความปราถนาดีต่อคนที่เรารัก ไม่อยากให้คนที่เรารักมีทุกข์

สรุปความรักแท้จริงในความคิดของผม ก็คือ เราจะรู้สึกเป็นสุขหากคนที่เรารักมีความสุข แม้เราอาจเป็นฝ่ายเสียใจก็ตาม

เราจะอภัยในความผิดพลาดของคนที่เรารักได้เสมอ

เราจะเป็นห่วงคนที่เรารักตลอดเวลา

และเราก็จะรักคนที่เรารักไปตลอดชีวิต แม้สุดท้ายรักเราจะไม่สมหวังก็ตาม คนที่เรารักจะยังอยู่ในใจเรา และจะมีความปราถนาดีต่อคนที่เรารัดเสมอไม่เปลี่ยนแปลง (แม้เราจะไปมีรักใหม่แล้วก็ตาม)



หากคุณมีครบทุกข้อ ยินดีด้วยครับ คุณน่าจะพบรักแท้แล้ว

แล้วรักแท้จะสอนให้เรารู้จักเสียสละและเห็นใจผู้อื่นเป็น และรักแท้จะช่วยทำให้คุณเป็นคนดีคนนึงของสังคมอย่างแน่นอนครับ

แม้บางครั้งคนเราที่มีรักแท้ต่อกัน แต่อาจไม่ได้ครองคู่กันก็มีมากมาย ขอเพียงทั้งสองคนแค่ห่วงใยกัน เป็นกำลังใจให้กัน และมีใจให้กันก็พอ

และบางครั้งมีความรักแท้แต่ต้องคบกันแบบเพื่อน บางครั้งความเป็นเพื่อนมันมีค่าและยิ่งใหญ่กว่าการเป็นคู่ครองกันด้วยซ้ำ

และขออวยพรให้ใครที่ยังไม่พบรักแท้ ก็ขอให้ประสบความสำเร็จได้พบรักแท้สักครั้งในชีวิตนะครับ และคุณก็จะมีความสุขใน รักแท้ แม้จะไม่สมหวังก็ตาม

อย่าเชื่อในสิ่งที่ผมเขียน แต่ให้ถือเป็นตัวช่วยในการคิดพิจารณาของคุณก็แล้วกันครับ


คลิกอ่าน นิยามรักของakecity


วันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2551

ข้อเสียของการซื้อทองเพื่อเก็งกำไร









ประเทศไทยตอนนี้ประสบกับภาวะขาดดุลการค้าอย่างหนัก โดยเฉพาะจากการนำเข้าน้ำมันเพื่อใช้ในประเทศปีละหลายแสนล้านบาท


(โดยมีมูลค่าการนำเข้าพลังงานปี2551 ทั้งสิ้น 613,116 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการนำ เข้าน้ำมันดิบ 535,342 ล้านบาท มีมูลค่าเพิ่มขึ้น 66.5% ส่วนการส่งออกพลังงาน 6 เดือนแรก เพิ่มขึ้น 79.8% มีมูลค่า 162,791 ล้านบาท เป็นการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปมากที่สุด 129,035 ล้านบาท รองลงมาเป็นการส่งออกน้ำมันดิบ 32,542 ล้านบาท และที่เหลือเป็น การส่งออกไฟฟ้า 1,214 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม คาดว่าปริมาณการนำเข้าน้ำมันดิบตลอดทั้งปีนี้ จะมีมูลค่าประมาณ 1 ล้านล้านบาท หรือประมาณเกือบ 20% ของจีดีพี สูงขึ้นจากปีที่ผ่านมา ที่มีมูลค่า 879,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นเกือบ 15% โดยราคาใน ช่วงนี้แม้จะอยู่ในขาลง แต่ก็คาดว่าจะไม่ลดลง ต่ำกว่า 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และในช่วงปลายปีคาดว่าจะปรับสูงขึ้นอีกครั้ง เพราะเข้าสู่ฤดูหนาวที่จะมีปริมาณการใช้ดีเซลเพิ่มสูงขึ้น)



แน่นอนน้ำมันเป็นสิ่งจำเป็น ยากนักที่จะควบคุม แต่มีอยู่สิ่งนึงที่คนไทยก็ซื้อหามาจากต่างประเทศ แต่ไม่ค่อยมีประโยชน์ทางรูปธรรมนัก นอกจากการซื้อเพื่อการเก็งกำไร ก็คือ ทองคำ

เดิมคนไทยนิยมซื้อทองคำไว้เป็นเครื่องประดับเพื่อความสวยงาม แต่ปัจจุบันการซื้อทองเพื่อประดับนั้นกลับลดน้อยลงอย่างมาก


โดยจำนวนทองคำที่มีการซื้อขายในประเทศ 95% เป็นการซื้อทองแท่ง ที่เหลืออีก5% เป็นการซื้อทองรูปพรรณ หลายคนซื้อทองคำแท่งในรูปของการออม แต่มีอีกจำนวนไม่น้อยถึงมาก กลับซื้อทองเพื่อการเก็งกำไร


คนที่ซื้อทองคำแท่งทุกคนก็อยากให้ราคาที่ตนเองซื้อมาสูงขึ้นๆ จากต้นทุนของตัวเอง แต่คนเหล่านี้กลับลืมนึกไปว่า ยิ่งให้ราคาทองสูงขึ้นมากเท่าไหร่ ราคาน้ำมันก็จะผันแปรขึ้นตามไปด้วย จนลืมนึกไปว่า


หากได้กำไรจากราคาทองคำที่สูงขึ้น ก็ต้องแลกมาด้วยการจ่ายค่าน้ำมันที่แพงขึ้น ซึ่งน้ำมันแพงมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและคนส่วนใหญ่มากกว่า เพราะต้นทุนการผลิตของสินค้าทุกชนิดก็จะสูงขึ้นตาม


กำไรที่ได้จากการขายทองที่ราคาขึ้นก็จะหมดไปกับการที่ต้องใช้จ่ายในการอุปโภคบริโภคที่แพงขึ้นเป็นเงาตามตัว


มีอีกสิ่งนึงที่นักลงทุนเก็งกำไรทองยังลืมนึกไปอีกอย่างก็คือ ทองคำนั้นเราก็ต้องนำเข้าจากต่างประเทศเหมือนกัน ยิ่งเรานำเข้ามากเท่าไหร่ ประเทศก็ยิ่งต้องขาดดุลการค้ามากขึ้นเท่านั้น

แต่หลายคนคงเถียงว่า ทองมันไม่สูญหายหรอก วันไหนราคาขึ้นเราก็ขายคืนไปเอากำไรกลับมาเข้าประเทศได้


แต่ที่จริงมันมีแง่ให้คิดอยู่อีกแง่นึงก็คือ ฝรั่งที่ผลิตทองมาขายเราเขาก็ไม่โง่ยอมขาดทุนง่ายๆหรอก เพราะตรงการผลิตเขาก็จะขายต่อทำกำไรมาชั้นนึ้งแล้ว(และกำไรมากๆด้วยเพื่อป้องกันการขาดทุนหากทองเกิดราคาดีดขึ้นอีกจนต้องรับซื้อคืนกลับมา)

และกว่าจะมาถึงผู้ซื้อรายย่อยในแต่ละประเทศมีการทำกำไรในแต่ละขั้นไม่ใช่น้อยๆ สังเกตได้ว่าคนขายทองแม้ต้องซื้อทองกลับมากกว่าขายออกในช่วงทองราคาแพงขึ้นก็ไม่เห็นมีใครจนหรือขาดทุนให้เห็น


การนำเข้าทองนั้น ฝรั่งจะคิอค่าธรรมเนียมต่อออนซ์ต่างหากจากราคาทอง เช่น2เหรียญต่ออนซ์ กับผู้นำเข้าประเทศ และเมื่อใดที่ทองในประเทศมีการขายคืนจากผู้ซื่อในประเทศมาก ผู้นำเข้าทองก็จะนำทองกลับไปขายคืนให้ฝรั่ง ซึ่งฝรั่งก็จะคิดค่าธรรมเนียมรับซื้อคืน 8เหรียญต่ออนซ์ ก็เท่ากับว่า ทั้งซื้อทั้งขายทองคืนแก่ฝรั่ง ฝรั่งก็จะได้กำไรตรงค่าธรรมเนียมไปแล้ว 10เหรียญต่อออนซ์


นี่ก็คือสาเหตุที่ไทยต้องเสียดุลการค้าเป็นจำนวนมาก เราอาจได้กำไรนิดหน่อยจาการขายทองคืน แต่จงรู้ไว้เถอะราคาทองที่เราขายคืน ยังเทียบกับราคาต้นทุนที่ถูกกว่าของผู้ผลิตทองอย่างพวกฝรั่งไมได้หรอก ไม่ว่าเขาจะขายให้เราหรือซื้อกลับจากเรา เขาก็ยังกำไรมหาศาลอยู๋ดี


ผมไม่ได้ห้ามการซื้อขายทอง แค่อยากเตือนให้ฉุกคิดไว้หน่อยเท่านั้นเอง
ไม่อยากให้เรากลายเป็นเหยื่อของฝรั่งนักปั่นราคา เพราะยิ่งเราตื่นทอง เราก็ยิ่งเสียเงินให้ฝรั่ง ราคามันก็จะแพงเกินความเป็นจริง


เราคนไทยนอกจากเสียเงินค่าทองให้ฝรั่งแล้วก็ยังต้องเสียค่าธรรมเนียมให้ฝรั่งอีก ฝรั่งผลิตทองขายทองจึงมีแต่รวยแต่รวยเท่านั้น

ฝรั่งปั่นราคาทองในกระดาษ ส่วนคนไทยเก็งกำไรราคาทองจากทองคำแท้  ใครโง่ใครฉลาด ก็ดูไป


วันเสาร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2551

ประวัติเขาพระวิหารและมุมมองผู้เชี่ยวชาญ


ปราสาทเขาพระวิหาร เป็นส่วนหนึ่งของอารยะธรรมขอมโบราณ หรือขะแมร์โบราณ(ประมาณพุทธศตวรรษที่15ถึง18 หรือก่อนอาณาจักรสุโขทัยประมาณ300ปี) ขอมใช้เวลาก่อสร้างยาวนานถึง300ปี ตั้งแต่กษัตริย์ "ยโสวรมันที่1" ถึง "ชัยวรมันที่7"




“ปราสาทเขาพระวิหาร” เป็นเสมือนเทพสถิตย์บนขุนเขา หรือ “ศิขเรศร” เป็น “เพชรยอดมงกุฎ” ขององค์ศิวะเทพ (พระอิศวร) ตั้งโดดเด่นอยู่บนยอดเทือกเขาพนมดงรัก (“พนมดงแร็ก” ในภาษาขะแมร์ แปลว่าภูเขาไม้คาน ซึ่งสูงจากพื้นดินกว่า 500 เมตร และเหนือระดับน้ำทะเลกว่า 600 เมตร ปัจจุบันตั้งอยู่ใน (เขต) จังหวัด “เปรียะวิเฮียร” (Preah Vihear) ของกัมพูชา



“ปราสาทเขาพระวิหาร” น่าจะถูกทิ้งปล่อยให้ร้างไปเมื่อหลังปี พ.ศ. 1974 (ค.ศ. 1431) คือภายหลังที่กรุงศรียโสธรปุระ (นครวัดนครธม) ของกัมพูชา “เสียกรุง” ให้แก่กองทัพของกรุงศรีอยุธยา (ในสมัยของพระเจ้าสามพระยา) ขะแมร์กัมพูชาต้องหนีย้ายเมืองหลวงไปอยู่ละแวก อุดงมีชัย และพนมเปญ ตามลำดับ และ “หนีเสือไปปะจระเข้” คือเวียดนามที่ขยายรุกเข้ามาทางใต้ปากแม่น้ำโขงแต่ประวัติศาสตร์โบราณเรื่องนี้ ไม่ปรากฏมีในตำราประวัติศาสตร์ของกระทรวงศึกษาฯ ของไทย (หรือของเวียดนาม) ดังนั้นคนในสยามประเทศ(ไทย) ส่วนใหญ่จึงรับรู้แต่เพียงเรื่องการ “เสียกรุงศรีอยุธยา” (พ.ศ. 2112 และ 2310) แต่ไม่รู้เรื่องของ “เสียกรุงศรียโสธรปุระ” (พ.ศ. 1974)




ทั้งกัมพูชาและสยามประเทศ(ไทย) คงลืมและทิ้งร้าง “ปราสาทเขาพระวิหาร” ไปประมาณเกือบ 500ปี จนกระทั่งฝรั่งเศสเข้ามาล่าเมืองขึ้นในอุษาคเนย์ ได้ทั้งเวียดนาม ทั้งลาว และกัมพูชา ไปเป็น“อาณานิคม” ของตน และก็พยามยามเขมือบดินแดนของ “สยาม” สมัย ร.ศ. 112 (พ.ศ. 2436) ถึงขนาดใข้กำลังทหารเข้ายึดเมืองจันทบุรี และเมืองด่านซ้าย (ในจังหวัดเลย) ไว้เป็นเครื่องต่อรองอยู่ 10กว่าปี



จนกระทั่งเมื่อปี พ.ศ. 2450 (ค.ศ. 1907) ที่พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เสด็จยุโรปเป็นครั้งที่ 2 (ครั้งที่ทรงแต่งเรื่อง “ไกลบ้าน”) จึงได้ทรงลงนามสัตยาบันในสัญญากับประธานาธิบดีฝรั่งเศส แลกเปลี่ยนยกดินแดนเสียมเรียบ (อันเป็นที่ตั้งของนครวัดนครธมหรือกรุงศรียโสธรปุระ) กับพระตะบอง และศรีโสภณให้กับฝรั่งเศส ทั้งนี้โดยการแลก “ตราด และด่านซ้าย (เลย)” กลับคืนมา (ครบรอบ 101 ปีในปี 2551 นี้) จันทบุรีนั้นฝรั่งเศสคืนมาให้ก่อนเมื่อ พ.ศ. 2447
กล่าวโดยย่อในสมัยของรัชกาลที่ 5 ที่มีสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ เป็นเสนาบดีมหาดไทยนั้น ฝ่าย“รัฐบาลราชาธิปไตยสยาม” ได้ยอมรับเส้นเขตแดนที่ถือว่าปราสาทเขาพระวิหาร ขึ้นอยู่กับฝรั่งเศสไปเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ทั้งนั้นเพื่อจะได้อยู่ร่วมกันโดยสันติ และที่สำคัญอย่างยิ่งเพื่อเป็นหลักประกันในการรักษา “เอกราชและอธิปไตย” ส่วนใหญ่ของสยามประเทศเอาไว้



เมื่อสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ในปี พ.ศ. 2472 (ค.ศ. 1929) เมื่อทรงดำรงตำแหน่ง “อภิรัฐมนตรี” ในสมัยรัฐบาลของรัชกาลที่ 7 เมื่อ ครั้งเสด็จไปทอดพระเนตรทั้งปราสาทเขาพนมรุ้ง และปราสาทเขาพระวิหาร จึงทรงขออนุญาตฝรั่งเศสอย่างเป็นทางการ ที่จะขึ้นไปทอดพระเนตร “ปราสาทเขาพระวิหาร” ที่อยู่ภายใต้ธงไตรรงค์ของฝรั่งเศส (และนี่ ก็คือหลักฐานอย่างดีที่ทำให้ ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช และ ม.จ. วงษ์มหิป ชยางกูร ทนายและผู้แทนของฝ่ายรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่อ่อนข้อมูลและหลักฐานจดหมายเหตุ ต้องแพ้คดีปราสาทเขาพระวิหารเมื่อ 15 มิถุนายน 2505)




หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 แล้ว ในยุคจอมพล ป. พิบูลย์สงคราม เป็นนายกฯ รัฐบาลได้ปลุกกระแสชาตินิยมขึ้น ในเดือนตุลาคม 2483 ผลักดันให้นิสิตนักศึกษาทั้งจุฬาฯ และ มธก. เดินขบวนเรียกร้องดินแดน “มณฑลบูรพา” และ “ฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง”
จนในที่สุดก็เกิดสงครามชายแดน รัฐบาลส่ง “กองกำลังบูรพา” ไปรบกับฝรั่งเศส ซึ่งก็เปิดโอกาสให้ญี่ปุ่น “มหามิตรใหม่” เข้ามาไกล่เกลี่ยบีบให้ฝรั่งเศส (ซึ่งตอนนั้นเมืองแม่หรือปารีสในยุโรปอ่อนเปลี้ยถูกเยอรมนียึดครองไปเรียบ ร้อยแล้ว) จำต้องยอมยกดินแดนให้ “ไทย” สมัยพิบูลสงคราม (ทำให้นายพลตรีหลวงพิบูลสงคราม กระโดดข้ามยศพลโท-พลเอก กลายเป็นจอมพลคนแรกในยุคหลัง 2475)





และนี่ก็เป็นที่มาที่รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ดินแดนทั้งเสียมเรียบ (ที่ถูกจับเปลี่ยนชื่อเป็นไทยๆว่า จังหวัดพิบูลสงคราม) พระตะบอง ศรีโสภณ จำปาศักดิ์ (ซึ่งรวมทั้งที่อยู่ในลาว และอยู่ในบริเวณพนมดงรัก เช่น ปราสาทเขาพระวิหาร และเมืองจอมกระสาน) ตลอดจนถึงไซยะบูลี (จังหวัดนี้อยู่ตรงข้ามหลวงพระบาง และถูกจับเปลี่ยนชื่อเป็นไทยๆ คือ จังหวัดลานช้าง คำว่า “ลาน” ในสมัยนั้นยังไม่มีไม้โท)





และก็ในตอนนี้นั่นแหละที่ทั้งปราสาทและเขาพระวิหาร กลับมาสู่ความสนใจและความรับรู้ของคนไทย รัฐบาลพิบูลสงคราม ดำเนินการให้กรมศิลปากร (ซึ่งในสมัยหลังการปฏิวัติ 2475 ได้ หลวงวิจิตรวาทการ มือขวาของจอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นอธิบดี หลวงวิจิตรวาทการ (กิมเหลียง วัฒนปฤดา) ทั้งพูด ทั้งเขียน ทั้งแต่งเพลงแต่งละคร ปลุกใจให้รักชาติ) ได้จัดการขึ้นทะเบียนให้ปราสาทเขาพระวิหารเป็นโบราณสถานของไทย โดยประกาศไว้ในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 11ตุลาคม พ.ศ.2483 (เราไม่ทราบได้ว่าในตอนนั้น ฝรั่งเศสในอินโดจีนจะทราบเรื่องนี้ หรือประท้วงเรื่องนี้หรือไม่)





ในสมัยดังกล่าวนี้แหละ ที่รัฐบาลพิบูลสงคราม ชี้แจงต่อประชาชนว่า “ได้ปราสาทเขาพระวิหาร” มา ดังหลักฐานในหนังสือ “ประเทศไทยเรื่องการได้ดินแดนคืน” ของกองโฆษณาการงานฉลองรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2484 สมัยนั้น มีรูปปราสาทเขาพระวิหารพิมพ์อยู่ด้วย พร้อมด้วยคำอธิบายภาพว่า“ปราสาท หินเขาพระวิหาร ซึ่งไทยได้คืนมาคราวปรับปรุงเส้นเขตแดนด้านอินโดจีนฝรั่งเศส และทางการกำลังจัดการบูรณะให้สง่างามสมกับที่เป็นโบราณสถานสำคัญ”





แต่พอหลังสงครามโลกครั้งที่2 สิ้นสุด ญี่ปุ่นเป็นฝ่ายแพ้สงคราม ทางฝ่ายพันธมิตรจะปรับไทยเป็นฝ่ายแพ้สงครามด้วย แต่โชคดีที่มีขบวนการเสรีไทยช่วยไว้ ไทยจึงรอดจากสถานะภาพแพ้สงครามอย่างหวุดหวิด
แต่มีข้อแม้ว่า
รัฐบาลใหม่ของไทยที่เป็นฝ่ายเสรีประชาธิปไตย (ค่ายปรีดี พนมยงค์) ก็ต้องคืนดินแดนที่ไปยึดครองมาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นดินแดนในอินโดจีนของฝรั่งเศสที่กล่าวข้างต้น แต่ยังรวมถึงเมืองขึ้นของอังกฤษที่รัฐบาลพิบูลสงครามยึดครองและรับมอบมา เช่น เมืองเชียงตุง เมืองพานในพม่า หรือ 4 รัฐมลายู (ที่เคยถูกจับเปลี่ยนชื่อเป็นไทยๆ อย่างสวยหรูชั่วคราวว่า “สี่รัฐมาลัย” คือ กลันตัน ตรังกานู ปะลิส และเคดะห์)แต่ก็ในตอนนี้อีกนั่นแหละที่ระเบิดเวลา “ปราสาทเขาพระวิหาร” ถูกวางไว้อย่างเงียบๆ กล่าวคือ ตัวปราสาทหาได้ถูกคืนไปไม่ และต่อมารัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงคราม (ซึ่งคืนชีพมาด้วยการรัฐประหาร พ.ศ. 2490 ภายใต้การนำของพลโทผิน ชุณหะวัณ ร่วมด้วยช่วยกันจากหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ คือ นายควง อภัยวงศ์) ได้ส่งกองทหารไทยให้กลับขึ้นไปตั้งมั่นและชักธงไตรรงค์อยู่บนนั้นอีกครั้งในปี พ.ศ. 2497 (1954)






และเพราะการที่เจ้าอาณานิคมฝรั่งเศส ต้องพะวงกับสู้รบปราบปรามขบวนการกู้ชาติของเวียดนาม กัมพูชา และลาว ก็ไม่ทำให้เรื่องของปราสาทเขาพระวิหารเป็นข่าว หรืออยู่ในความรับรู้ของผู้คนโดยทั่วๆ ไป
เมื่อกัมพูชาได้เอกราชในปี พ.ศ. 2496 (1953) อีก 6 ปีต่อมา พระเจ้านโรดมสีหนุซึ่งทรงเป็นทั้ง “กษัตริย์และพระบิดาแห่งเอกราช” และ “นักราชาชาตินิยม” ของกัมพูชา ก็ยื่นเรื่องฟ้องต่อศาลโลก (International Court of Justice) เมื่อ 6 ตุลาคม 2502 (1959)




รัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ (ที่ทำปฏิวัติรัฐประหารยึดอำนาจจากจอมพล ป. พิบูลสงคราม) แต่งตั้ง ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช (อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์) เป็นทนายสู้ความ รัฐบาลสฤษดิ์ ปลุกระดมให้ประชาชน “รักชาติ” บริจาคเงินคนละ 1 บาทเพื่อสู้คดี (เข้าใจว่าเมื่อจบคดีอาจจะมีเงินหลงเหลืออยู่ ณ ที่หนึ่งที่ใดประมาณ 3 ล้านบาท ค่าของเงินในสมัยนั้น เทียบได้กับก๋วยเตี๋ยวเนื้อที่ท่าพระจันทร์ตอนนั้น ชามละ 3 บาท (ตอนนี้ 30 บาท) ตอนนั้นทองคำหนัก 1 บาทราคาเท่ากับ 500 บาท (ตอนนี้ 1.4 หมื่นบาท)
ศาลโลกที่กรุงเฮก เนเธอร์แลนด์ ใช้เวลา 3 ปี และลงมติเมื่อ 15 มิถุนายน 2505 (1962) ตัดสินด้วยคะแนน 9 ต่อ 3 ให้ “ปราสาทเขาพระวิหาร” ตกเป็นของกัมพูชา และให้รัฐบาลไทยถอนทหาร ตำรวจ ยามและเจ้าหน้าที่ออกนอกบริเวณ



<ข้อสังเกตส่วนตัว> - หากเขาพระวิหารอยู่ในพื้นที่เขมรทั้งหมด ทั้งตัวปราสาท สระลาว หรือสถูปคู่จริง เขมรก็ไม่จำเป็นต้องมาขอให้นายนพดลลงนามยินยอมหรอก เขาไปขึ้นทะเบียนได้เลย ไม่ต้องเจรจากับไทยมาถึง16ปีหรอก (แต่ถึงแม้จะเป็นของใครก็ตาม การที่นพดลไปรีบเซ็นแบบไม่ค่อยโปร่งใสหรือชี้แจงให้คนไทยรู้ตั้งแต่แรก ทั้งที่ยังมีเรื่องเกียวกับการบุกรุกและกล่าวหาซึ่งกันและกันทั้ง2 ฝ่าย และยังไม่มีการปักปันเขตชายแดนที่ชัดเจน มันก็มีความสุ่มเสี่ยงที่จะเสียเปรียบเขา อาจเสียค่าโง่ซ้ำปี2505 อีกครั้ง) ส่วนคำแปลคำตัดสินของศาลโลก ถ้าเป็นคนขายชาติ ก็จะแปลว่า ศาลตัดสินให้ปราสาทเขาพระวิหารและบริเวณใกล้เคียงเป็นขอกัมพูชา แต่ถ้าหัวใจไทยแท้ก็จะแปลว่า ตัวปราสาทและบริเวณรอบปราสาทเป็นของกัมพูชา (หมายถึงเฉพาะบริเวณรอบๆของตัวปราสาทเฉพาะที่อยู่บนเขา) เนื่องจากศาลโลกตัดสินไม่ชัดแจ้งในรายละเอียดของพื้นที่ไม่ได้ระบุพิกัดหรือจุดแน่นอนและเป็นภาษาอังกฤษ จึงสามารถแปลได้2อย่าง แล้วแต่ว่าใครจะเข้าข้างใคร
แต่ในทางปฏิบัติจริง หลังมติคณะรมต.2505 เราได้สร้างบันไดขึ้นไปอยู่บนบันไดนาค (ขั้นที่เท่าไหร่ ขออภัยที่จำรายละเอียดไม่ได้)ซึ่งเขมรก็ไม่ได้คัดค้านอะไร และในบริเวณเชิงเขา ในสมัยก่อนปี2540 เคยมีคนไทยขายของอยู่ตีนบันไดมาตลอด แต่ปัจจุบันโดนเขมรไล่ออกไปหมดแล้ว ไปถามคนในพื้นที่ได้

ว่าไปแล้วรัฐบาลไทยแพ้คดีนี้อย่างค่อนข้างราบคาบ และคำพิพากษาของศาล ก็ยึดจากสนธิสัญญาและแผนที่ที่ทำขึ้นหลายครั้งในสมัยปลายรัชกาลที่ 5 นั่น เอง แผนที่และสัญญาเหล่านั้นขีดเส้นให้ตัวปราสาทเขาพระวิหารอยู่ในอินโดจีนของ ฝรั่งเศส หาได้ใช้หลักทางภูมิศาสตร์หรือสันปันน้ำ หรือทางขึ้นไม่ การกำหนดพรมแดนดังกล่าว รัฐบาลสยามในสมัยนั้นของรัชกาลที่ 5 และ สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ได้ยอมรับไปโดยปริยายโดยมิได้มีการท้วงติงแต่อย่างใด ดังนั้นผู้พิพากษาศาลโลก ก็ถือว่าการนิ่งเฉยเท่ากับเป็นการยอมรับหรือ “กฎหมายปิดปาก” ซึ่งไทยก็ต้องแพ้คดี นั่นเอง
(แหล่งข้อมูลจาก ok.nation)




<ข้อสังเกตส่วนตัว>- ความจริงต้องโทษ จอมพลสฤษดิ์ ที่ตัดสินใจไปขึ้นศาลเพื่อต่อสู้คดีกับเขมรแล้ว เพราะที่จริงไทยไม่จำเป็นต้องขึ้นศาลก็ได้ เราสามารถฉีกสนธิสัญญาที่ไทยทำกับฝรั่งเศสในสมัย ร. 5 ทิ้งก็ได้ โดยอ้างว่า ไทยเราได้เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นประชาธิปไตยแล้ว ไม่ใช่ระบอบราชาธิปไตยอีกและเราก็ถูกบีบให้ทำสนธิสัญญากับมหาอำนาจนักล่าอาณานิคม ซึ่งมันเป็นสนธิสัญญาอัปยศ เราจึงไม่อาจยอมรับได้อีกต่อไป ซึ่งที่จริงแล้วศาลโลกก็ไม่มีอำนาจบังคับเราให้ต้องขึ้นศาล แต่เราดันไปขึ้นเอง ด้วยความโง่เขลาเบาปัญญาของเราเอง




กรณีความขัดแย้งเขาพระวิหาร อาจจะกลายเป็นความขัดแย้งที่ลุกลามบานปลาย เมื่อ ดร.อดุลย์ วิเชียรเจริญ อดีตประธานคณะกรรมการมรดกโลกอายุ 82 ปี ซึ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานคณะกรรมการมาตั้งแต่ปี 2532 ออกมาเปิดเผยครั้งแรกว่าไม่เห็นด้วยกับการลงนามสนับสนุนให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนโลกเขาพระวิหาร ของนายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เพราะนั่นเท่ากับการยกดินแดนและอธิปไตยไทยให้กับกัมพูชา และอาจจะถือเป็นครั้งแรกหลังศาลโลกตัดสิน "ไทยเสียดินแดนให้กัมพูชา"
ดร.อดุลย์ วิเชียรเจริญ"เผยรับรองมรดกโลกเขาพระวิหารไทยเสียประโยชน์เสียอธิปไตย เท่ากับยกแผ่นดินให้กัมพูชาครั้งแรก เชื่อมีผลประโยชน์แลกเปลี่ยน ระบุถูกปลดก่อน 'นพดล' ลงนามรับรอง





ดร.อดุลย์ วิเชียรเจริญ อดีตประธานคณะกรรมการมรดกโลก กล่าวว่ารัฐบาลไทยลงนามสนับสนุนให้กัมพูชา เสนอเขาพระวิหารขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ถือเป็นการเสียดินแดนครั้งแรก และประเทศชาติเสียผลประโยชน์ ที่ผ่านมาได้มีการหารือกันมาตลอดระหว่างคณะกรรมการมรดกโลก และกรมอนุสนธิสัญญา กรมเอเชีย ของกระทรวงต่างประเทศ กรณีที่ กัมพูชาจะขอเสนอ ปราสาทเขาพระวิหารเป็นพื้นที่มรดกโลก ตั้งแต่ปี 2548 ซึ่ง คณะกรรมการมรดกโลกเสนอไปว่า ควรจะต้องเสนอขึ้นทะเบียนมรดกโลกร่วมกันระหว่างไทยและกัมพูชา เพราะไม่อย่างนั้นประเทศไทยจะเสียดินแดนและอธิปไตย และได้ยึดถือตามแนวทางข้อตกลงร่วมกันมาตลอดตั้งแต่ปี 2548




ดร.อดุลย์ กล่าวอีกว่าไทยไม่สามารถจะสนับสนุนให้ประเทศกัมพูชา เสนอขึ้นทะเบียนมรดกโลกเพียงประเทศเดียวอย่างที่รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศไปลงนามนั้นไม่ได้ เพราะการขึ้นทะเบียนตัวเขาพระวิหารนั้น ไม่ได้ขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาท แต่จะต้องมีการประกาศเขตพื้นที่อนุรักษ์รอบตัวโบราณสถาน ซึ่งการออกประกาศก่อสร้าง ในเขตอนุรักษ์พื้นที่ทำในเขตไทยเพราะฉะนั้น ถือเป็นการรุกล้ำดินแดนไทย เนื่องจากคำตัดสินของศาลโลกที่ยึดถือกันมาตลอดคือ ปราสาทเขาพระวิหาร เป็นของกัมพูชา แต่แผ่นดินเป็นของประเทศไทย ทำให้ที่ผ่านมาไม่เคยมีรัฐบาล ชุดไหนไปลงนามเซ็นสัญญาลักษณะนี้ โดยจะเจรจา ตามแนวทางการเสนอขึ้นทะเบียนมรดกโลกร่วมกันเท่านั้น





"เมื่อต้นปีที่ผ่านมา กระทรวงต่างประเทศ โดย นายวีระชัย พลาศรัย อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมายคนเก่าได้เดินทางมาหารือกับผมอีกครั้งขณะที่ผมยังอยู่ที่โรงพยาบาล ในเรื่องการขึ้นทะเบียนมรดกโลกเขาพระวิหาร แต่ก็ได้ข้อสรุปร่วมกันว่า ยึดแนวทางตามข้อตกลงในปี 2548 โดย ให้เสนอร่วมกันระหว่างประเทศ เพราะหากเราไปสนับสนุนให้ กัมพูชาขึ้นทะเบียนเราจะเสียอธิปไตยเพราะแผนการจัดการพื้นที่จะตกไปอยู่ที่กัมพูชา ทันทีซึ่ง ผอ.กรมสนธิสัญญาคนเก่าก็ยึดถือตามนั้น จนอาจจะเป็นสาเหตุของคำสั่งย้าย" นายอดุลย์ กล่าว





อย่างไรก็ตาม ดร.อดุลย์ กล่าวว่า หลังจากนั้นไม่ถึงสัปดาห์ ผมก็ทราบว่า ผู้อำนวยการคนนี้ได้ถูกสั่งย้ายซึ่งไม่ทราบว่าเกิดขึ้นจากสาเหตุใด และเมื่อสัปดาห์ทีผ่านมา เจ้าหน้าที่กระทรวงต่างประเทศ จาก กรมเอเซีย และกรมสนธิสัญญา ได้มาหารือกับผมอีกครั้ง โดยนำเอาวีดีโอ มาบันทึก ซึ่งผมก็เสนอไปเช่นเดิมว่าไม่เห็นด้วยที่จะลงนาม สนับสนุนกัมพูชา และเห็นว่าควรจะต้องเสนอขึ้นทะเบียนมรดกโลกร่วมกันเท่านั้น "หลังจากที่ เจ้าหน้าที่กระทรวงต่างประเทศมาหารือและผมยืนยันไปตามมติตามแนวทางปี 2548 หลัง





จากนั้นผมก็ทราบว่า รัฐมนตรีต่างประเทศของไทยไปตกลงลงนามเพื่อสนับสนุนให้กัมพูชา ไปเสนอขึ้นทะเบียนมรกดโลกที่ยูเนสโกเรียบร้อยแล้ว ซึ่งในเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่ประเทศชาติเสียหายมากเพราะอำนาจการบริหารจัดการทั้งหมดอยู่ที่กัมพูชา"นายอดุลย์ กล่าวอีกว่า สิ่งที่เกิดขึ้น การรีบร้อนในการลงนาม เพื่อสนับสนุนกัมพูชาของ นายนพดล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ทั้งๆที่มีเวลาในการพิจารณา ถึง 2 ปี ทำให้ผมมั่นใจว่า ข่าวคราวที่ออกมาว่าการเสนอขึ้นทะเบียนเขาพระวิการกับการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์บางอย่าง น่าจะเป็นจริง อีกทั้ง การให้สัมภาษณ์ของ เตียบันที่ เกาะกง ก็ชัดเจนว่า น่าจะมีการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์เกิดขึ้น





"ครั้งแรกที่ผมได้ข่าวว่ามีการเจรจาแบ่งผลประโยชน์ผมแค่ฟังหูไว้หู ไม่เชื่อว่ามันจะเกิดขึ้น แต่หลังจากที่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ของไทยไปลงนามกับกัมพูชาและเสนอเข้าคณะรัฐมนตรี พร้อมทั้ง รีบนำข้อเสนอดังกล่าวต่อ ที่ทำการยูเนสโก้ ทำให้มั่นใจว่า สิ่งที่เคยฟังหูไว้หูในเรื่องผลประโยชน์น่าจะเป็นเรื่องจริง และคงจะมีการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์เกิดขึ้นแล้ว" ดร.อดุลย์ กล่าว





ดร.อดุลย์ กล่าวอีกว่า สิ่งที่นายนพดล ดำเนินการจึงเป็นเรื่องที่ประเทศเสียประโยชน์อย่างมาก และการดำเนินการยังปกปิดข้อมูลการเซ็นสัญญาร่วมไม่ได้เปิดเผยให้กับสาธารณะชนรับรู้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ถือว่ายอมรับกันได้ยากมาก และน่าจะเป็นเรื่องผลประโยชน์มากกว่า เพราะท่าที่รีบร้อนของ รัฐมนตรีต่างประเทศที่รีบเซ็นลงนามโดยที่ไทยไม่ได้ประโยชน์เลย ผู้สื่อข่าวถามว่า การเสนอขึ้นทะเบียนมรดกโลกกับยูเนสโก ไทยสามารถคัดค้านได้หรือไม่ ดร.อดุลย์บอกว่า หลังจากนี้ แล้ว อาจจะเป็นเรื่องยากเนื่องจากรัฐมนตรีต่างประเทศของไทย ไปเซ็นรับรองแผนที่ของกัมพูชา ถือเป็นการตกลงร่วมกันระหว่างรัฐบาลกับรัฐบาลไปแล้ว ซึ่งคณะกรรมการมรดกโลก อาจจะไม่รับพิจารณา





นอกจากนี้ ดร.อดุลย์ กล่าวอีกว่า เมื่อ2สัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีหนังสือ แต่งตั้งคณะกรรมการมรดกโลกชุดใหม่ เดิมมีชื่อผมเป็นที่ปรึกษา แต่ล่าสุดพบว่า ไม่มี ซึ่งก็ไม่เป็นไรเชื่อว่าคณะกรรมการชุดใหม่ น่าจะสามารถเรียนรู้งานได้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้ทางสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการมรดกโลกของไทย ได้ มีคำสั่งการเปลี่ยนแปลงประธานคณะกรรมการมรดกโลกคนใหม่แล้ว จากเดิมที่มีศ. ดร.อดุลย์ วิเชียรเจริญ เป็นประธาน มาเป็นนายปองพล อดิเรกสาร อดีต รมว.ศึกษาธิการ(1ใน 111คนที่ถูกห้ามเล่นการเมือง5ปีของพรรคไทยรักไทย) พร้อมกับผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการชุดนี้กว่า 10 คน อาทิ ดร.มานิตย์ ศิริวรรณ ออกจากการเป็นกรรมการมรดกโลกในประเทศไทย โดยคณะกรรมการชุดใหม่ ทั้งหมดจะเป็นผู้เดินทางเข้าร่วมการประชุมมรดกโลกที่เมืองคิวเบก ประเทศแคนาดา ระหว่างวันที่ 2-10 ก.ค. นี้









อย่างไรก็ตามแหล่งข่าว จากคณะกรรมการมรดกโลกประเทศไทยคนหนึ่ง กล่าวว่า การลงนามรับรองแผนที่ของกัมพูชาของ นายนพดล ถือเป็นครั้งแรกในการตกลงยกดินแดนให้กัมพูชาอย่างเป็นทางการ หรือเรียกว่าเป็นการเสียดินแดนครั้งแรก
เนื่องจากที่ผ่านมา หลังจากที่ ศาลโลกในปี 2505 ตัดสินให้ตัวปราสาทเป็นของกัมพูชา แต่ดินแดนเป็นของไทยนั้น ได้มี มติครม.สมัย จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ออกมาเพียงเรื่องของเขตแดนในประเทศไทยเท่านั้น ไม่ได้มีข้อตกลงร่วมระหว่างรัฐบาลไทยและกัมพูชาครั้งนี้จึงเป็นครั้งแรก "การที่รัฐมนตรีต่างประเทศไปเซ็นรับรองถือเป็นครั้งแรกของการยอมรับกรณีที่พิพาทที่ดินระหว่างไทยกับกัมพูชาเพราะที่ผ่านมา ไทยไม่เคยยอมรับในเรื่องนี้เลยเพราะศาลโลกตัดสินแล้วว่า ดินแดนเป็นของไทย การที่ตัวอาคารของเขมรมาตั้งในดินแดนไทยก็ไม่มีปัญหา และเรายังมีอำนาจบริหารแผ่นดินของเรา









แต่การรัฐมนตรีต่างประเทศไปเซ็นรับรองแผนที่กัมพูชาเท่ากับยอมรับยกพื้นที่ให้กัมพูชาเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์" นอกจากนี้แหล่งข่าวยังกล่าวอีกว่า อีกประเด็นที่น่าห่วงคือการที่ไทยยอมรับในเรื่องพื้นที่ทับซ้อน 40 ตารางกิโลเมตร ทั้งๆที่เขมรเองไม่เคยอ้างสิทธิ์ดังกล่าว เท่ากับ เป็นการเสียประโยชน์ด้วยเช่นกัน ทำให้น่าจะตั้งข้อสังเกตว่า อาการรีบร้อนและการตกลงแบบนี้ น่าจะมีปัญหาการเมืองเกี่ยวข้องด้วย "การที่รัฐมนตรีต่างประเทศเซ็นลงนามรับรอง แผนที่กัมพูชาและแผนที่ฉบันนั้นจะถูกส่งไปยัง ยูเนสโก ซึ่งเป็นองค์กระระหว่างประเทศ ถือเป็นการยอมรับยกดินแดนให้กับกัมพูชาครั้งแรก หรือเรียกว่าไทยเสียดินแดนครั้งแรกด้วย"
ที่มา : มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คณะวิจิตรศิลป์,กรุงเทพธุรกิจ











นักวิชาการไทยคดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดข้อตกลงร่วมไทยกัมพูชา ฟันธง นพดล ลงนามขัดต่อมติ ครม.2505 และข้อตกลงผูกพันให้ไทยเสียดินแดนเผยพิรุธไทยยอมรับแผนที่กัมพูชา 1 ต่อ 2 แสนที่กินแนวเส้นเขตแดนเข้ามาในฝั่งแผนที่ไทย เตรียมตั้งโต๊ะระดมนักวิชาการ ประชากร เปิดหลักฐาน ล่ารายชื่อยืนคัดค้านคณะกรรมการมรดกโลก ขึ้นทะเบียนเขาพระวิหาร






กรณีนายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการต่างประเทศ เซ็นลงนามรับรอง การขอขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารของกัมพูชา ทำให้นักวิชากร นักโบราณคดี ออกมาโต้แย้งถึงแนวเขตที่ การลงนามอาจทำให้ไทยเสียดินแดน วันนี้ (22 มิ.ย) สถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดย ม.ล.วัลย์วิภา จรูญโรจน์ นักวิจัยเชี่ยวชาญระดับ 9 และ นายประภาสิทธิ์ แก้วมงคล ผู้ช่วยนักวิจัย ได้ออกมาตั้งข้อสังเกต โดยนำเอาแถลงการณ์ร่วมข้อตกลงที่ นายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีต่างประเทศได้เซ็นลงนามกัมพูชาออกมาเปิดเผย ม.ล.วัลย์วิภา กล่าวว่า สิ่งที่จะต้องออกมายืนยันเนื่องจากนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต่างประเทศ ออกมาชี้แจงว่าไทยไม่เสียดินแดน แต่ เมื่อมีการศึกษาบันทึกข้อตกลงร่วมของไทยทั้ง 6 ข้อพบว่า ไทยเสียเปรียบและอาจจะเสียดินแดนในอนาคต โดยยกประเด็นที่สำคัญคือข้อตกลงข้อแรกระบุว่า ไทยจะสนับสนุนกัมพูชาขึ้นทะเบียนเขาพระวิหาร ที่ยูเนสโกจัดประชุม ครั้งที่ 32 เดือน กรกฏาคม พ.ศ. 2551 ที่เมืองคิวเบก แคนาดา โดยการกำหนดเขตหมายเลข1 จัดทำแผนที่โดยกัมพูชา และหมายเลข 2 ซึ่งเป็นพื้นที่กันชน จัดทำแผนที่โดยกัมพูชาชานกัน ส่วนข้อตกลง 2 ที่ระบุว่า เพื่อความปองดองระหว่างกัมพูชาและไทย จะยอมขึ้นทะเบียนมรดกโลกโดยละเว้นพื้นที่ ส่วนหนือและตะวันตก ไม่ขอประกาศว่าเป็นพื้นที่ของใคร ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวเป็นทมี่ดินมีข้อพิพาทกรณีทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลกเมตร และเป็นข้อผูกพันธ์ที่จะพัฒนาพื้นที่ร่วมกันในอีก 2 ปีข้างหน้า


ม.ล. วัลย์วิภา กล่าวว่า แม้ข้อตกลงที่ 2. จะละเว้นการชี้แนวเขตในพื้นที่พิพาทว่าเป็นแนวเขตแดนของใคร แต่ ข้อตกลงข้อที่ 1 รัฐบาลไทยได้ยอมรับเส้นเขตแดน ตามแผนที่ของกัมพูชา ที่ใช้มาตราส่วน 1 ต่อ 2 แสนที่กินลึกเข้ามาในพื้นที่ทับซ้อนที่มีปัญหา และไม่ยึดแผนที่ฉบับเดิมของไทยตามมติคณะรัฐมนตรีปี 2505 "ดิฉันคิดว่าการลงนามในครั้งนี้ไม่เป็นไปตาม มติ ครม. 2505 เรื่องเนเขตแดน แต่ไม่แน่ใจว่าในทางกฏหมายจะถือว่าเป็นการยกเลิกมติ ครม. 2505 หรือไม่ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นหมายความไทยอาจต้องเสียดินแดน เนื่องจากแผนที่ของกัมพูชานั้นได้ยึดเส้นเขตแดนล้ำเข้ามาในพื้นที่พื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร ซึ่งไทยยึดถือแนวเขตแดน L7017 โดยเส้นเขตแดนดังกล่าวได้เขียนครอบคลุมพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ว่าอยู่ในฝั่งไทย ม.ล. วัลย์วิภา กล่าวว่า ตามคำตัดสินของศาลโลก 2505 ได้ตัดสินเฉพาะตัว ปราสาทพระวิหาร แต่ไม่ได้มีอำนาจชี้เส้นเขตแดน ทำให้ที่ผานมาไทยและ กัมพูชาต่าง ถือแผนที่คนละฉบับ โดย กัมพูชายึดถือแผนที่ปักปัน มาตรส่วน 1.2แสน และไม่เคยยอมรับแผนที่ของไทย ซึ่งยึดถือตามแผนที่ มาตรส่วน 1ต่อ5หมื่น ตามมติครม.2505
"สรุปว่าทั้งไทยและกัมพูชาต่าง ยึดถือแผนที่คนละฉบับ แต่ลบะฝ่ายก็ยึดถือแผนที่แนวเขตของตัวเอง ทำให้มีพื้นที่พิพาท ระหว่างแนวเขตที่มีปัญหา 4.6 ตารางกิโลเมตร ตามที่เป็นข่าว เพราะฉะนั้นการที่ นายนพดล บอกว่า การเสนอปราสาท เขาพระวิหารไม่ต่างจากบ้านของเขาที่จะทำรั้วบ้าน ด้านละ30 เมตร ห่างจากตัวบ้าน 40 เมตรไม่ใช่สาระสำคัญ เพราะสาระมันอยู่ที่ เขตแดนของใครนั้นจึงเป็นคำชี้แจงที่ไม่ถูกต้อง เพราะขณะนี้ทั้งไทยและกัมพูชา ต่างไม่มีใครยอมรับในดินแดนตามแผนที่ของแต่ละฝ่าย แล้วจะบอกว่าเขตของเขาเขตของเราจึงไม่ถูกต้อง แต่การที่ไปลงนามร่วมกับกัมพูชา จึงน่าจะไม่ต่างจากการยอมรับแผนที่กัมพูชาและอาจหมายถึงการเสียดินแดน" ม.ล.วัลย์วิภา กล่าว






ม.ล วัลย์วิภา กล่าวอีกว่า จากการตรวจสอบข้อตกลง เท่ากับการยอมรับแผนที่กัมพูชาเพราะพื้นที่ตามผังแนวขอขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหาร นั้นมีแผนที่ตามพระราชกฤษฏีกาของกัมพูชาแนบท้าย ตามแนวเขตแดนที่กัมพูชายึดถือ คือ 1 ต่อ 2 แสน จึงเท่ากับไทยอาจจะเสียดินแดนในพื้นที่ดังกล่าวไปด้วย "การที่รัฐบาลอ้างเพียงแค่การรับรองตัวปราสาทฯ ถือเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะในแถลงการณ์จะมีผลต่อการรับรองแผนที่ที่มีเส้นแบ่งเขตแดนไม่เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีปี 2505 พร้อมตั้งข้อสังสัยว่า มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 มิถุนายนที่ผ่านมา ไม่เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีปี 2505 เช่นกัน รวมทั้งในแถลงการณ์ก็ไม่ได้ระบุว่า หลังจากนี้ 2 ปี หากไม่สามารถตกลงกันได้ ในเรื่องการพัฒนาร่วมกันในพื้นที่ทับซ้อนร่วมกันน่าจะตกไปเพราะว่า ในข้อแรกไทยได้ยอมรับแผนที่กัมพูชาโดยยอมรับว่า พื้นที่ทับซ้อนดังกล่าวเป็นของกัมพูชาไปแล้ว ในทางกฎหมายคงมีปัญหา เหมือนการต่อสู้คดีเรื่องเขาพระวิหารในศาลโลกในอดีตที่ไทยแพ้กัมพูชา"



ม.ล.วัลย์วิภา กล่าวอีกว่า จากการตรวจสอบแถลงการณ์ร่วม จึงสรุปได้ว่า การลงนามของ รัฐมนตรีต่างประเทศ ขัดกับ มติครม.2505 นอกจากนี้ รัฐมนตรีต่างประเทศ เอาอำนาจอธิปไตยของไทยไปจดทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก โดยยอมรับแนวเขตแผนของกัมพูชา และมีการลงนามร่วมอย่างชัดเจนซึ่งจะมีผลบังคับตามข้อผูกพันในแถลงการณ์ในอนาคตเกิดขึ้น นอกจากนี้ เพื่อคัดค้านการลงนามดังกล่าว ในวันอังคารที่ 24 มิถุนายนนี้ เวลา 13.00 น. จะเชิญชวนองค์กรภาคเอกชน นักวิชาการ และผู้ที่ให้ความสนใจในเรื่องเขาพระวิหาร มาร่วมศึกษาแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา และเอกสารการยื่นขอจดทะเบียนมรดกโลก เพื่อดำเนินการรวบรวมรายชื่อประชาชนในการคัดค้านการยื่นขอจดทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกต่อไป

"รัฐบาลออกมาตอบคำถามดูทุกอย่างง่ายมาก แต่เนื้อหาสาระ ไม่สามารถชี้แจงอะไรที่ชัดเจนได้เลย ทุกอย่างดูมันง่ายหมด แต่ไม่ได้ตอบคำถามอะไรเลย ขณะที่ความจริงคือ ไทยจะเสี่ยงเสียดินแดน ซึ่งเรื่องนี้อันตรายมาก" ด้านนายประกาสิทธิ์ กล่าวว่า การที่นายกรัฐมนตรีบอกว่า การขึ้นทะเบียนเขาพระวิหาร ไม่ล้ำแดนไทยนั้น ผมอยากตั้งข้อสังเกตว่า แขตแดนไทยตามแผนที่ซึ่งนายกฯกล่าวอ้างนั้น เป็นเรา เราเข้าใจฝ่ายเดียวหรือไม่ แล้ว กัมพูชาเขารับรู้แนวเขตแดนตามแผนที่ไทย ว่าอยู่ตรงไหน ไม่มีความหมายอะไรเลย หากกัมพูชาเขายึดแผนที่ของเขาเป็นหลัก เพราะคำว่าพื้นที่ทับซ้อนนั้นจะเกิดขึ้น ได้จะต้องใช้แผนที่ของ 2ประเทศ ร่วมกัน ไม่ใช่การยึดแนวเขตของกัมพูชา ซึ่งหากยึดแนวเขตของกัมพูชา ไม่ต่างจากการยกพื้นที่ทับซ้อนของไทย ให้กับกัมพูชาเลย
Tag (ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง): สถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นพดล ปัทมะ ปราสาทเขาพระวิหาร ไทยเสียดินแดน เขมร


อ่านเรื่อง การบุกรุกเขาพระวิหารคร่าวๆ

ประวัติฮุนเซน

กรรมของสีหนุ

วันศุกร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2551

เพลงซึ้งๆเพราะๆ

รวมเพลงซึ้งๆที่ใหม่เมืองเอกชอบ

บางช่วงเวลาการโหลดเพลงอาจช้าหรือสะดุด เนื่องจากเป็นช่วงการจราจรในเน็ตหนาแน่นครับ
เพลงเพื่อเธอตลอดไป (ศักดา พัทธสีมา)


เพลงค้นใจ (เจ เจตริน)


เพลงรักเธอที่สุด (ปั่น ไพบูลย์ เกียรติเขียวแก้ว)


เพลงหมั่นคอยดูแลรักษาดวงใจ (เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย)

เพลงก้อนหินกับนาฬิกา (เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย)


เพลงเฝ้าคอย (ปั่น ไพบูลย์ เกียรติ์เขียวแก้ว)

เพลงรักล้นใจ (ปั่น ไพบูลย์ เกียรติ์เขียวแก้ว)
เพลงคืนข้ามปี (ดา เอนโดฟีน)

วันจันทร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2551

การแปรรูปรัฐวิสาหกิจดีจริงหรือ? (กรณีปตท.)




ก่อนอื่นลองฟังอาจารย์สมเกียรติ อ่อนวิมล เล่าถึงความเห็นของศาสตราจารย์โจเซฟ สติกลิสต์ นักเศรษฐศาสตร์กระแสหลักที่ได้รับรางวัลโนเบลในปี 2544 พูดถึงการแปรรูปรัฐวิสาหกิจล้มเหลวและเลวร้ายอย่างไร

ลองดูคลิปนี้ครับ มีคุณค่าและมองปัญหาการแปรรูปรัฐวิสาหกิจได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เหมือนที่ประเทศไทยกำลังประสบปัญหาในวันนี้



เมื่อปี 2540 สมัยรัฐบาลพลเอกชวลิต ไทยกู้เงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือไอเอ็มเอฟ เพื่อฟื้นฟูเศษฐกิจไทยเนื่องจากการขาดสภาพคล่องของประเทศ เพราะทุนสำรองระหว่างประเทศลดลงมากจากการนำเงินทุนสำรองไปค้ำจุนค่าเงินบาทก่อนปล่อยค่าเงินบาทลอยตัว ซึ่งต่อมาประเทศไทยเกิดวิกฤติเศรษฐกิจอย่างหนัก จนธุรกิจต่างๆในไทยต้องล้มละลายมากมาย 
.
ต่อมาเมื่อรัฐบาลชวน ได้เข้ามารับช่วงต่อจากรัฐบาลชวลิต รัฐบาลชวนได้ทำตามคำแนะนำของไอเอ็มเอฟอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะคำแนะนำให้มีการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ เพื่อนำเงินจากการขายมาชดเชยทุนสำรองที่มีปัญหา

รัฐบาลชวน จึงได้เตรียมการต่าง ๆ หลายอย่างเพื่อการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ จึงมีการออก พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2542

แต่รัฐบาลชวน ก็ได้หมดวาระลงในวันที่ 9 ก.พ. 2544 ยังไม่ทันได้แปรรูปรัฐวิสาหกิจใด ๆ

จนเข้าสู่สมัยรัฐบาลทักษิณ ในวันที่ 9 ก.พ. 2544 คราวนี้แหละ รัฐบาลทักษิณเริ่มทำดำเนินการที่จะแปรรูปรัฐวิสาหกิจอย่างรวดเร็ว โดย ปตท. คือ เป้าหมายแรกที่จะถูกแปรรูป

ตอนนั้นได้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากประชาชนอย่างมากว่า เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยในการแปรรูปรัฐวิสาหกิจที่สำคัญ ๆ ที่ต้องมีผลกระทบต่อประชาชนส่วนใหญ่แน่นอน

ทั้ง ๆ ที่ก่อนทักษิณจะมาเป็นนายกฯ ก็ได้หาเสียงโจมตีการแปรรูปของรัฐบาลชวนอย่างหนักมาก่อนแท้ ๆ (รัฐบาลชวนออกพ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2542) แต่พอถึงคราวทักษิณมาเป็นรัฐบาลเอง กลับรีบแปรรูปรัฐวิสาหกิจที่ทำกำไรมากทึ่สุดแก่รัฐทันที



แต่เนื่องจากคนไทยในตอนนั้นต่างเชื่อวิสัยทัศน์กว้างไกลของอดีตนายกฯ ทักษิณ เชื่อในความสามารถของนายกฯ หลงเชื่อว่าทักษิณรวยแล้วจะไม่โกง แล้วเชื่อว่าการแปรรูปน่าจะมีผลดีมากว่าผลเสีย 

อีกทั้งประชาชนจำนวนมากไม่ค่อยพอใจนักที่ พนักงานในรัฐวิสาหกิจทั้งหลายดูจะมีอภิสิทธิมากกว่าประชาชนธรรมดา หรือมีอภิสิทธิ์มากกว่าข้าราชการ ด้วยซ้ำ

ทั้งๆที่ก็เป็นอาชีพที่ต้องรับใช้ประชาชนเหมือนกัน แต่กลับมีเงินเดือนที่มากกว่า และมีโบนัสทุกปี แถมมีค่าโอทีได้ด้วย วันหยุดก็มีมากกว่าบริษัทห้างร้านของเอกชน

ตัวอย่างความได้เปรียบของพนักงานรัฐวิสาหกิจ ก็เช่น พนักงานของไฟฟ้าก็มีสิทธิใช้ไฟฟ้าตามโควต้าฟรี เป็นต้น

ในขณะนั้นกระแสการคัดค้านการแปรรูปจึงไม่ค่อยมีน้ำหนักเท่าที่ควร ก็เพราะประเด็นความมีอภิสิทธิชนของพนักงานรัฐวิสาหกิจนั่นเอง


แต่รัฐบาลก็ควรน่าจะทำประชามติเพื่อฟังเสียงส่วนใหญ่ น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด เพราะกฏหมายประชามติได้มีใช้แล้วตั้งแต่รัฐธรรมนูญปี 40 แล้ว


แต่หลังจากแปรรูป ปตท. ใมปี 2544 เพียงไม่กี่ปี ปตท. ก็ได้ชื่อว่าเป็นบริษัทที่เติบโตเร็วที่สุด ทำกำไรมากที่สุดของไทย ทำกำไรแบบก้าวกระโดด จนติดอันดับ 300 กว่า ๆ ของบริษัทชั้นนำของโลก 500 บริษัท ในปี 2549

แล้วพอถึงปี 2551 ปตท.ได้กำไรมากขึ้น ๆ จนกระโดดไปอยู่ในอันดับที่ 100 กว่า ๆ ของบริษัทชั้นนำของโลก 500 บริษัทอีกด้วย


หลังจากที่ ปตท. ทำกำไรทะลุแสนล้าน และยอดกำไรก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนใกล้ 2แสนล้านบาทแล้วในปี2551 จึงก่อเกิดคำถามต่าง ๆ ตามมามากมายว่า ปตท.ขูดรีดกำไรจากคนไทยมากเกินไปหรือเปล่า ?
.
เพราะ ปตท. ก็ถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อป้องกันการผูกขาดของบริษัทน้ำมันข้ามชาติ แต่ในปัจจุบัน โรงกลั่นต่างๆในประเทศ ก็ถูกถือหุ้นใหญ่โดยปตท. เกือบทั้งหมด (ถ้าเป็นในอเมริกา กรณี ปตท. อาจจะถือว่านี่คือการผูกขาดตลาด ซึ่งเป็นสิ่งที่ผิดกฏหมาย!!) 

แล้วกลายเป็นว่าบริษัทน้ำมันทั้งหลายกลับโดนผูกขาดโดย ปตท. เอง เพราะต้องซื้อน้ำมันจากโรงกลั่น ปตท. ซึ่งดู ๆ แล้วน่าจะเป็นผลดีนะ แต่เปล่าเลย


เพราะกลับกลายเป็นว่า ปตท. ยิ่งทำกำไรได้มากขึ้นโดยไม่มีคู่แข่งทัดเทียม 

กลายเป็นว่า ปตท. กลับควบคุมกลไกราคาตลาดน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศได้เกือบหมด ยิ่งเมื่อดูจากผลกำไรของ ปตท. แล้ว ดูเหมือน ปตท. จะทำกำไรเพื่อผู้ถือหุ้นมากกว่าเห็นแก่ประโยชน์ของคนไทย หาก ปตท. ไม่ขูดกำไรมากเกินไป การแปรรูปคงจะชอบธรรมมากกว่านี้

หมายเหตุ ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2544 หลังการแปรรูป ปตท.แล้วได้มีการเปืดให้ประชาชนได้เข้าจองซื้อหุ้น ปตท. ผ่านธนาคารต่าง ๆ ในราคาหุ้นละ 35 บาท

แต่แค่เพียง 1 นาที 17 วินาทีที่ธนาคารเปิดจองหุ้นแก่ประชาชน หุ้น ปตท. ก็กลับถูกจัดสรรหมดเกลี้ยง โดยที่ประชาชนที่ไปยืนรอจองซื้อหุ้นตั้งแต่ ตี 4 กลับไม่สามารถซื้อหุ้น ปตท. ได้ทัน

แล้วใครล่ะที่ซื้อหุ้น ปตท. ได้เร็วกว่าประชาชนที่ไปยืนรอคิวแต่เช้ามืด ??

คำตอบคือ ก็พรรคพวกของพรรคการเมืองที่มีอำนาจในเวลานั่นแหละ เหอะ ๆ

สำหรับประเทศไทย ผมมองว่า การแปรรูปรัฐวิสาหกิจเป็นบริษัท รัฐบาลไม่ควรนำหุ้นของรัฐวิสาหกิจไปเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ อย่างเช่น กรณีของ TOT และ การสื่อสารแห่งประเทศไทย เป็นต้น


---------------

ตัวอย่างเช่นการแปรรูปรัฐวิสาหกิจในประเทศญี่ปุ่น

ญี่ปุ่นได้มีการแปรรูปการไปรษณีย์แห่งชาติญี่ปุ่น ซึ่งเป็นทั้งไปรษณีย์และธนาคารที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นด้วย แต่ก็มีคนญี่ปุ่นออกมาคัดค้านการแปรรูปมากมาย จนถึงขั้นที่ว่าขนาดนายกรัฐมนตีญี่ปุ่นตอนนั้นต้องลาออก

แต่การแปรรูปการไปรษญณีย์แห่งชาติญี่ปุ่นก็ยังดำเนินการต่อไป เพราะรัฐบาลญี่ปุ่นก็เห็นประโยชน์ของการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ

แต่เนื่องด้วยญี่ปุ่นได้ผู้นำประเทศที่ดี และมีระบบตรวจสอบการคอรัปชั่นที่ดี การแปรรูปรัฐวิสาหกิจจึงเป็นไปเพื่อประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก ทำให้ต่อมาการแปรรูปการไปรษณีย์แห่งชาติญี่ปุ่นและธนาคารแห่งชาติญี่ปุ่น จึงได้รับการยอมรับจากประชาชนในเวลาต่อมา

-----------


ดูคลิปรายการเปิดเลนส์ส่องโลกของนายนิติภูมิ นวรัตน์ ก่อนที่จะไปเป็นสมาชิกพรรคของทักษิณในเวลาต่อมา ซึ่งตอนนั้นนายนิติภูมิคนนี้ยังต่อต้านการแปรรูปรัฐวิสาหกิจของรัฐบาลไทยอยู่เลย

คลิป อาเจนติน่าล่มสลาย!! (เพราะแปรรูปรัฐวิสาหกิจ)





.
อ่านความจริงเรื่อง แปรรูปปตท. ประชาชนได้อะไร คลิกที่นี่เลย ถ้าอ่านโดยละเอียดคุณจะรู้อะไรดีๆขึ้นเยอะเลย
.
อ่านเรื่อง อเมริกาล่ม เพราะทุนนิยม เปรียบเทียบกับ ปตท.


และพลาดไม่ได้!! คลิกอ่าน แฉนโยบายน้ำมันไทย ห่วยจริงๆ

ใหม่เมืองเอก

วันศุกร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2551

โดเรมอน ในความทรงจำ







ทุกวันนี้แม้ผมจะโตแล้ว แต่ผมก็ยังชอบดูการ์ตูนอยู่เป็นประจำ เช่น ชินจัง ที่ออกอากาศทางช่อง 3 หรือโดเรมอนที่ออกอากาศทางช่องโมเดิร์นไนน์ (เพิ่งลาจอไปเมื่อวันเสาร์ที่ 6 ก.ย.ที่ผ่านมา)

รั้งแรกที่ผมได้รู้จักการ์ตูนโดเรมอนนั้น ก็เมื่อปี พ.ศ.2525 ฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปีพอดี ซึ่งขณะนั้นผมเรียนอยู่แค่ ป.5 เพราะมีเพื่อนคนนึงเอาหนังสือการ์ตูนมาให้เพื่อนๆ ยืมอ่านนับสิบ ๆ เล่ม โดยแอบอ่านในเวลาเรียนด้วย

ถ้าลำพังตัวผมเองคงไม่มีปัญญาซื้อหามาอ่านเองได้หรอก เพราะการ์ตูนโดเรมอน ของสำนักพิมพ์วิบูลย์กิจ (พิมพ์ละเมิดลิขสิทธิ์จึงใช้ชื่อโดเรมอน) หรือการ์ตูนโดราเอมอน ของสำนักพิมพ์มิตรไมตรี ขายเล่มละ 10 บาท คิดดูเล่มละ 10 บาท เมื่อ 30 กว่าปีก่อน มันก็ถือว่าแพงอยู่นะสำหรับเด็ก ๆ

ต้องขอบคุณเพื่อนคนนั้นจริง ๆ เสียดายที่ผมจำชื่อเพื่อนคนนั้นไม่ได้

ทีแรกที่ผมได้อ่านโดเรมอนนั้น ผมไม่ได้เริ่มอ่านตั้งแต่เล่มหนึ่งหรอก แล้วก็ไม่เคยมีใครเล่าเรื่องย่อคร่าว ๆ ปูพื้นฐานให้ผมพอรู้เรื่องก่อนอ่านเลย

ทีแรกผมก็งง อยู่เหมือนกันว่า เรื่องมันเกี่ยวกับอะไรกันแน่ เพราะเรื่องไทม์แมชชีน (เครื่องเดินทางย้อนเวลา) เป็นเรื่องที่ใหม่มากสำหรับผมในตอนนั้น เพราะเรื่องเครื่องย้อนเวลาในยุคนั้น ยังไม่มีการ์ตูนหรือภาพยนตร์เรื่องใดพูดถึงแนวย้อนเวลานี้มาก่อน แม้แต่หนัง Back To The Future ฉาย พ.ศ. 2528 ก็มาทีหลังโดเรมอน

หรือเรื่องของวิเศษที่ออกมาจากกระเป๋าวิเศษนั้น คนที่ไม่ได้อ่านตอนแรกอย่างผมกว่าจะทำความเข้าใจได้ ก็ใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงในขณะได้อ่านครั้งแรก


การ์ตูนโดเรมอนได้สร้างโลกทัศน์ใหม่สุดๆ ให้กับเด็กไทยทุกคนในสมัยนั้น และก็กลายเป็นการ์ตูนยอดนิยมที่สุดแห่งประวัติศาสตร์การ์ตูนที่ฉายในไทยเลย ซึ่งในช่วงเวลาเดียวกันนั้นในไทยก็มีการ์ตูนดังๆ หลายเรื่อง ทั้งหน้ากากเสือ, อิคคิวซัง เณรน้อยเจ้าปัญญา

แต่การ์ตูนโดเรมอนที่ได้มาออกอากาศทางทีวีครั้งแรก ก็หลังจากที่ดังจากหนังสือการ์ตูนไปแล้วสัก 2 ปีเห็นจะได้ ซึ่งตอนนั้นออกอากาศทางช่อง 9 ตอน 6 โมงเย็นในวันธรรมดา ขณะนั้นผมกำลังเรียนอยู่ชั้นม.1 น่าจะ พ.ศ. 2526 และที่บ้านก็เพิ่งมีโทรทัศน์สีเป็นเครื่องแรกด้วย ซื้อมาเพื่อดูโดเรมอนโดยเฉพาะ

วันแรกที่โดเรมอนออกอากาศในทีวี ผมตื่นเต้นมาก ๆ และเด็กทๆทุกคนในสมัยนั้นก็ตื่นเต้นกันถ้วนหน้า รีบกลับบ้านมานั่งรอดูโดเรมอนกันทุกคนทุกบ้าน ถึงแม้ในสมัยนั้นเด็ก ๆ จะจำเรื่องราวของโดเรมอนจากหนังสือการ์ตูนได้แทบทุกตอน แต่ก็ยังอยากดูในรูปแบบทีวีอยู่ดี

ส่วนโดเรมอนฉบับภาพยนตร์ ที่เข้ามาฉายในไทยครั้งแรก น่าจะเป็นตอน ผจญยุคไดโนเสาร์ ผมโชคดีที่ได้มีโอกาสได้ไปชมที่โรงหนังเมโทร  แต่ขอบอกคนแน่นทะลักแทบทุกรอบ มันเป็นช่วงเวลาที่ผมมีความสุขมากๆ จริง ดูหนังเสร็จ ไปกินข้าวที่เสริมมิตรภัตตาคารสาขาปิ่นเกล้่าต่อ เป็นวันดีๆ ที่ผมจดจำมาจนวันนี้




การ์ตูนโดเรมอนจึงทำให้เป็นการ์ตูนที่ผมรักที่สุด และก็เป็นการ์ตูนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในความคิดของผมนะ 

ซึ่งผมว่า อารมณ์ในการอ่านโดเรมอน ในยุคที่ยังไม่มีโทรศัพทฺมือถือ  ไม่มีอะไรที่ทันสมัยมาก ๆ เหมือนในยุคนี้ มันทำให้อรรถรสของการดูโดเรมอนในยุคนั้นมันยิ่งใหญ่จริง ๆ น่าตื้นเต้นจริง ๆ กับของวิเศษในกระเป๋า 4 มิติ

ขอขอบคุณอาจารย์ฟูจิโอะ ฟูจิโกะ ด้วยครับที่ได้สร้างการ์ตูนที่ดีที่สุดเรื่องนี้ขึ้นมาให้ชาวโลกได้รู้จัก ชอให้วิญญาณของอาจารย์ได้ไปสู่สุคติครับ

และขอบคุณผู้ที่เกี่ยวข้องในไทยทุกคนที่นำโดเรมอนเข้ามาให้เด็กไทยได้ดูได้รักครับ


ก่อนจบบทความ ขอแนะนำโดเรมอน ตอนที่ดีที่สุดในความคิดของผมนะ

คือตอน มอบวันหยุดให้แก่โดเรมอน (สุดยอด!!)




และเพลงเปิดโดเรมอน โดยเจ้าของเสียงร้องตัวจริง Satoko Yamano


เฉลยหน้าตาแม่ของโนบิตะ ตอนถอดแว่น อย่างสวย




เกร็ดเล็กน้อย คือ น้าต๋อย เซมเบ้ ได้เล่าในรายการตีสิบเดย์ของคุณวิทวัส ไว้ว่า ความจริงช่อง 9 ไม่ได้ลิขสิทธิ์การ์ตูนโดเรมอนมาฉายนะ แต่ผู้ที่ได้ลิขสิทธิ์การ์ตูนโดเรมอนจริง ๆ คือ ช่อง 3 โดยคุณประวิทย์ มาลีนนท์

เพราะคุณประวิทย์ ซื้อลิขสิทธิ์การ์ตูนทีวีจากบริษัทผู้ผลิตการ์ตูนโดเรมอนทีวีได้ทั้งหมด โดยช่อง 3 ได้นำเรื่องนินจาฮาโตริ มาฉายก่อน แต่คุณประวิทย์กลับยกลิขสิทธิ์การ์ตูนโดเรมอนให้ช่อง 9 ไปฉายแทน เหตุผลเพื่ออยากช่วยให้ช่อง 9 มีเรตติ้งดีขึ้นในการออกอากาศช่วงตอนเย็นในวันธรรมดา

วันพฤหัสบดีที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2551

ประชาธิปไตยกับการประท้วง



การที่นายกสมัครเคยพูดว่า หากรัฐบาลแพ้ผู้ชุมนุม ประชาธิปไตยจะพังนั้น เป็นคำพูดที่ไม่ถูกต้อง เพราะในระบอบประชาธิปไตย การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลในแนวทางประชาธิปไตยนั้นเท่าที่ทราบมีอยู่3วิธีหลักๆ



1.การยุบสภา



2.รัฐบาลลาออก หรือแพ้โหวตในสภาจนต้องเปลี่ยนรัฐบาล แล้วแต่กรณี



3.ถูกกดดันจากประชาชน หรือถูกประท้วงขับไล่(ซึ่งกรณีนี้เกิดได้ค่อนข้างยาก)






นอกเหนือจากที่กล่าวมา เช่นการปฏิวัติิรัฐประหาร จะไม่ใช่การเปลียนแปลงตามแนวทางประชาธิปไตยแน่นอน ซึ่งในประเทศไทยเกิดขึ้นหลายครั้ง



ในประเทศเกาหลี การชุมนุมของประชาชนก็เคยทำให้รัฐบาลต้องลาออกมาแล้ว และประเทศก็ยังดำเนินไปตามระบอบประชาธิปไตยเหมือนเดิม ไม่มีประเทศใดๆในโลกกล่าวหาเกาหลีว่าไม่มีระบอบประชาธิปไตยเพราะรัฐบาลถูกประชาชนล้มล้าง



ในประเทศญี่ปุ่น การล้มรัฐบาลเกิดขึ้นได้ง่ายมาก แค่เพียงผลงานรัฐบาลไม่เป็นที่ถูกใจของประาชน หากผลสำรวจโพลของสำนักต่างๆ หากพบว่าคะแนนนิยมของนายกรัฐมนตรีตกต่ำมากๆ นายกฯญี่ปุ่นก็จะถูกกดดันจากในพรรคเอง จนต้องลาออกในที่สุด



ในฟิลิปปินส์ ยุคประธานาธิบดีเ ฟอร์ดินัน มากอส ก็ถูกประชาชนล้มล้าง แต่ประเทศก็ยังเป็นประชาธิปไตยเหมือนเดิม






ในสมัยหลังพฤษภาทมิฬ ปี2535 หลังมีการเลือกตั้งครั้งแรก สมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคประชาการไทย ใช้นโยบายว่า ไม่อยากให้กฏหมู่อยู่เหนือกฏหมาย เลือกพรรคประชากรไทย ซึ่งผลการเลือกตั้งพรรคประชากรไทยแพ้ราบคาบแทบสูญพันธุ์ และสมัครก็อยู่ฝ่ายที่เห็นว่านายกฯไม่จำเป็นต้องมาจากการเลือกตั้งถึงได้เคยสนันสนุนผู้นำปฏิวัติรสช.พลเอกสุจินดา คราประยูรเป็นนายกฯก่อนเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ






ผมเชื่อว่าผู้ชุมนุมประท้วง(ไม่ว่าเจาะจงว่าจะเป็นกลุ่มไหน ทั้งในอดีตหรืออนาคตก็ตาม) หากสามารถล้มรัฐบาลได้จริง ประเทศไทยก็จะยังเป็นประชาธิปไตยเหมือนเดิม และต่างชาติก็จะไม่กล่าวหาไทยไม่ใช่ประชาธิปไตยด้วย



เท่าที่รู้ยังไม่เคยมีประเทศไหนที่รัฐบาลถูกล้มล้างโดยประชาชนแล้ว จะต้องเปลี่ยนระบอบการปกครองเป็นคอมมิวนิสต์หรือเผด็จการเลย






ทีนี้มีคำถามตามมาว่า






สมมุติว่า (ย้ำสมมุติ) หากมีรัฐบาลได้เสียงข้างมากในสภาแบบท่วมท้น จนพรรคฝ่ายค้านไม่สามารถมีเสียงกดดันรัฐบาลได้เลย แล้วหากรัฐบาลนั้นโคตรโกงกินแบบสุดๆ เป็นที่รับรู้โดยทั่วไป แต่ไม่มีใบเสร็จ หรือใช้อำนาจของตัวเอง เอื้อประโยชน์ให้พวกพ้องแบบเห็นๆ ใช้อำนาจโยกย้ายข้าราชการดีๆที่เป็นก้างขวางคอของพรรคพวกตัวเองออกไป เป็นต้น






อยากจะถามว่า เราในฐานะประชาชนควรทำอย่างไร ต้องรอให้ครบวาระ 4 ปี แล้วรอเลือกตั้งใหม่หรือไม่?


ในช่วง 4ปี รัฐบาลอยากจะทำอะไร ก็เชิญ เพราะประชาชนต้องเคารพเสียงข้างมากหรือไม่?






ที่ถามไม่ได้หมายถึงรัฐบาลใด แต่อยากสมมุติว่า หากมีรัฐบาลนั้นเกิดขึ้นมา แล้วเราจะทำอย่างไรได้บ้าง








newakecity




ผู้ติดตาม