วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2554

หัวใจของการมีระเบียบวินัยของคนญี่ปุ่น




ย้อนอ่านจิตวิญญาณที่เข้มแข็งของคนญี่ปุ่น

เมื่อคืนวันอังคารที่ผ่านมา ผมขับรถกลับบ้าน ได้เปิดฟังคลื่นจส.100 ซึ่งวันนั้นเขาเชิญให้ผู้ฟังเข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็นในประเด็นเรื่อง คนไทยจะมีระเบียบวินัยแบบคนญี่ปุ่นได้มั้ย??

ผมอยากจะโทรเข้าไปแลกเปลี่ยนพูดคุย แต่เพราะไม่ว่างเลยไม่ได้เข้าไปแสดงความคิดเห็น (หลายปีก่อนผมมักจะโทรเข้าไปแสดงความคิดเห็นในประเด็นที่จส.100ตั้งขึ้นบ้างเป็นบางครั้ง)

แต่สำหรับ ประเด็นที่ว่า คนไทยจะมีระเบียบวินัยแบบคนญี่ปุ่นได้หรือไม่?? นั้น

ผมขอบอกว่า ถ้าให้มีระเบียบวินัยเหมือนหรือใกล้เคียงคนญี่ปุ่นนั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้แน่นอนครับ แต่ถ้าจะให้คนไทยมีระเบียบวินัยมากขึ้นกว่านี้มากๆ ก็คงพอทำได้

ที่ผมบอกว่า คนไทยไม่มีทางมีระเบียบวินัยเหมือนคนญี่ปุ่นได้ ก็เพราะ คนไทยมีลักษณะนิสัยที่รักความสบาย รักความง่ายๆ ชอบอิสระ(จนบางครั้งเกินขอบเขต) คนไทยไม่ชอบการถูกบังคับด้วยระเบียบวินัยของสังคมครับ จึงมักละเมิดกฏหมายกันเป็นกิจวัตร เพราะแม้แต่แค่วินัยจราจร คนไทยยังรักษากันยากเลย

ด้วยอุปนิสัยที่ฝังรากลึกในคนไทยนั่นแหล่ะ ทำให้คนไทยไม่มีทางมีระเบียบวินัยเหมือนคนญี่ปุ่นได้

เพราะคนญี่ปุ่นเขาเกิดบนแผ่นดินที่มีปัญหาภัยพิบัติทางธรรมชาติมากมาย มากกว่าประเทศไทยเยอะ ทำให้คนญี่ปุ่นต้องดิ้นรนและต้องมีสามัคคีและวินัยมาก เพื่อให้ร่วมกันฟันฝ่าภัยพิบัติต่างๆไปได้มานับพันๆปี

-------------------------

หัวใจของการมีระเบียบวินัยของคนญี่ปุ่นคืออะไร??

จากบทความตอนที่แล้ว ผมบอกไปแล้วว่า ลัทธิบูชิโด หรือหัวใจซามุไร ตามหลักของศาสนาชินโต ก็คือจิตวิญญาณของคนญี่ปุ่น

ซึ่งหล่อหลอมให้คนญี่ปุ่นรักชาติมาก ซึ่งไม่ใช่รักชาติแค่เพียงลมปากแบบคนไทยชอบพูด

คนญี่ปุ่นเขารักชาติ จนถึงขั้นชาตินิยม ไปจนถึงคลั่งชาติกันเลยทีเดียว

คนญี่ปุ่นเขารักชาติเหมือนรักพ่อแม่ของตัวเอง รักชาติเหมือนรักบ้านเรือนของตัวเอง ไม่เหมือนคนไทยที่ปากบอกรักชาติ แต่ไม่ค่อยแสดงพฤติกรรมในชีวิตประจำวันว่ารักชาติเท่าไหร่เลย

คนญี่ปุ่นเขารักชาติ ด้วยการรักษาสมบัติของชาติ ไม่ทำร้ายธรรมชาติ เพราะศาสนาชินโตสอนให้เคารพธรรมชาติ

คนญี่ปุ่นเขารักชาติ ด้วยการรักษาความสะอาดของบ้านเมืองเหมือนอยู่ในบ้านของตน เพราะการทำความสกปรกตามความเชื่อของชินโต นั้นเป็นบาป

แต่คนไทยปากบอกว่ารักชาติ แต่ไม่ค่อยจะรักษาความสะอาดของบ้านเมือง โดยเฉพาะในที่สาธารณะ ทีบ้านตัวเองชอบให้สะอาด แต่ทีที่สาธารณะคนไทยกลับมักง่ายทำความสกปรกแก่บ้านเมือง เพราะมีความคิดที่ว่า ที่สาธารณะไม่ใช่บ้านของตัวเอง ซึ่งคนญี่ปุ่นเขากลับไม่ได้คิดเช่นนี้

คนไทยไม่รักษาธรรมชาติ ป่าไม้เมืองไทยกำลังจะหมดไป แต่ขณะที่ญี่ปุ่นที่มีประชากรมากกว่าไทย มีพื้นที่มากกว่าไทย แต่ป่าไม้ของญี่ปุ่นยังมีถึง75%ของพื้นที่ประเทศ

ส่วนคนญี่ปุ่นเขาถือว่าทรัพย์สินสาธารณะคือสมบัติของชาติ และสมบัติของชาติสำคัญยิ่งกว่าสมบัติของตัวเองด้วยซ้ำ เพราะตามแนวคิดบูชิโดต้องปกป้องชีวิตเจ้านายยิ่งกว่าชีวิตตัวเอง สมบัติของชาติก็เปรียบเสมือนสมบัติของเจ้านายสูงสุดของคนญี่ปุ่น ที่คนญี่ปุ่นต้องรักษายิ่งกว่าสมบัติของตน แต่ในขณะที่คนไทย แค่ตู้โทรศัพท์สาธารณะก็ยังไม่มีจิตสำนึกช่วยกันรักษา

แม้แต้เดี๋ยวนี้โจรไทย มันก็ขโมยได้ทุกอย่างที่เป็นสาธารณะสมบัติ!!

นั่นเพราะคนไทยขาดจิตสำนึกสาธารณะ ที่ต้องรักษาหวงแหนทรัพย์สมบัติของชาติ พูดง่ายๆคือ คนไทยเห็นแก่ตัวมากกว่าคนญี่ปุ่นเยอะ!!



--------------------------

ความสะอาด คือบ่อเกิดของความมีระเบียบวินัย!!

จากที่ผมบอกไว้ ศาสนาชินโต สอนคนญี่ปุ่นให้รักความสะอาด เพราะการทำสกปรกถือว่าเป็นบาป

การที่คนเราจะรักษาความสะอาดได้ ก็ต้องมีระเบียบวินัยเป็นตัวควบคุมและกำหนดพฤติกรรม หากเราจะสอนให้เด็กไทยมีระเบียบวินัย ก็ต้องเริ่มจากสอนให้รู้จักรักษาความสะอาดเสียก่อน ตั้งแต่รักษาความสะอาดของร่างกาย ของบ้านเรือน ไปจนถึงรักษาความสะอาดของบ้านเมือง

คนไทยต้องเชื่อและศรัทธาเหมือนที่คนญี่ปุ่นเชื่อว่า บ้านเมืองหรือชาติ คือสิ่งสำคัญที่สุดเปรียบเสมือนพ่อแม่ที่ให้กำเนิดชีวิตของเรา เป็นเจ้านายสูงสุดของเราที่ต้องเคารพ ปกป้องและรักที่สุด

เดิมคนไทยแต่โบราณก็เคยมีความเชื่อลักษณะนี้ ที่เราเคยรียกกันว่า แผ่นดินแม่!! มาตุภูมิ คือรักแผ่นดินให้เหมือนรักแม่

ถ้าวันนี้คนไทยยังไม่สามารถรักชาติได้เหมือนรักพ่อแม่บังเกิดเกล้าของตัวเอง ก็จงเชื่อได้เลยว่า

คนไทยไม่มีทางมีระเบียบวินัยได้ดีเท่า หรือใกล้เคียงคนญี่ปุ่นแน่นอนครับ


แนะนำอ่าน 10ข้อดีของคนญี่ปุ่นที่น่าเลียนแบบ

-------------------------------------

ประเทศญึ่ปุ่นสวยงามมากใช่ไหม ?

แต่คนญึ่ปุนบอก สวยสู้ประเทศไทยไม่ได้หรอก เพียงแต่คนไทยรักษาความสวยงามที่สุดของประเทศไทยให้คงอยู่เอาไว้ไม่ได้เอง

ปัจจุบัน คนญี่ปุ่นยังรักษาป่าไม้ไว้ได้มากถึง 70 % ของพื้นที่ประเทศ

ลองดูความสวยงามของธรรมชาติในญี่ปุ่น เพราะขนาดธรรมชาติยังดูมีระเบียบเลยครับ

ย้อนอ่านจิตวิญญาณที่เข้มแข็งของคนญี่ปุ่น



วันเสาร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2554

จิตวิญญาณที่เข้มแข็งของคนญี่ปุ่น!!





หลังจากTsunami2011 ผ่านมา คนทั้งโลกได้เห็นจิตวิญญาณที่เข้มแข็งและระเบียบวินัยที่ยอดเยี่ยมของชาวญี่ปุ่นกันแล้ว ทั่วทั้งโลกต่างชื่นชมยกย่องความสามัคคีและความมีน้ำใจอดทนเข้มแข็งเป็นเลิศของชาวญี่ปุ่น ไม่เอะอะโวยวายฟูมฟายจนไร้ขอบเขตแห่งวินัย

คนญี่ปุ่นไม่มีการแก่งแย่งซื้อกักตุนอาหาร ไม่มีการลัดคิวกันเพื่อให้ได้สิทธิซื้อของก่อน ทุกคนต่างอดทนรอด้วยความมีวินัยในทุก ๆ สถานการณ์ที่เผชิญ

อย่างเช่น

ปัญหาการปนเปื้อนกัมมันตรังสีในน้ำดื่มสะอาดในช่วงเกิดสึนามิในญี่ปุ่นจากการระเบิดของโรงไฟฟ้าฟุกุชิมะ จนน้ำดื่มสะอาดอาจเกิดความขาดแคลนในญี่ปุ่นช่วงนั้น จนรัฐบาลญี่ปุ่นเองได้ออกมาประกาศขอร้องคนญี่ปุ่นว่า อย่ากักตุนน้ำดื่ม ขอให้คนญี่ปุ่นซื้อน้ำดื่มไม่เกินคนละ 2 ขวดต่อวันเท่านั้น เพื่อไม่ให้เกิดภาวะขาดแคลน

แต่ที่ไหนได้ คนญี่ปุ่นกลับซื้อน้ำดื่มตามห้างเพียงแค่คนละ 1 ขวดเท่านั้น เพียงเพราะกลัวคนที่มาทีหลังจะไม่มีของให้ซื้อ

นี่แหละ คือจิตวิญญาณที่ยอดเยี่ยมของคนญี่ปุ่น

จนทำให้มีการเอามาเปรียบเทียบว่า ทำไมคนไทยไม่เป็นแบบคนญี่ปุ่น ประเทศไทยจะได้เจริญเหมือนเขา

ซึ่งผมเคยเขียนไว้ในบทความ คนไทยไม่มีทางเจริญเหมือนญี่ปุ่นได้ มาแล้วถึงสาเหตุที่คนไทยเป็นแบบคนญี่ปุ่นไม่ได้

-----------------------

แต่ทีนี้ผมจะขอลงลึกเรื่อง แล้วอะไรล่ะ? ที่ทำให้คนญี่ปุ่นถึงมีระเบียบวินัยและความกล้าหาญเป็นยอด

สิ่งที่ทำให้คนญี่ปุ่น เป็นมนุษย์ที่ยอดเยี่ยมได้ ก็เพราะคนญี่ปุ่นศรัทธาในแนวคิดของวิถีบูชิโด หรือวิถีซามุไร ที่เป็นส่วนหนึ่งของศาสนาชินโตนั่นเอง


---------------------------

ผมขอยกส่วนหนึ่งของวิถีบูชิโดแห่งศาสนาชินโต มาให้อ่านเล็กน้อย

V

V

ศาสนาชินโตไม่มีศาสดา บูชาเทพเจ้า เชื่อถือเวทมนต์ คาถา บูชาธรรมชาติและบรรพบุรุษ

(การบูชาธรรมชาติของคนญี่ปุ่น ทำให้ญี่ปุ่นสามารถรักษาป่าไม้ไว้ได้มากกว่า 70%)

คำสอนของชินโต

คำว่า “ชินโต” แปลว่า วิถีของพระเจ้า คำสอนจึงมุ่งให้บุคคลปฏิบัติตนตามทางของสวรรค์ ภักดีต่อพระเจ้า ซึ่งหมายถึงธรรมชาติรอบตัวมนุษย์ ศาสนาชินโตยึดถือคำสอนสืบเนื่องมาจากศาสนาเต๋าและขงจื๊อหลายประการ

มีเทพนิยายของญี่ปุ่นโบราณเล่าสืบต่อกันมาว่า พระอาทิตย์เป็นผู้สร้างเกาะญี่ปุ่น และชาวญี่ปุ่นทั้งหลายเป็นลูกหลานของพระอาทิตย์

เทพเจ้าของศาสนาชินโต

• 1. เทพผู้สร้างสูงสุด คือ อามาเตระสุ-โอมิคามิหรือสุริยเทพี กับซีกิโยมิหรือจันทรเทพ

• 2. เทพประจำสิ่งต่างๆในธรรมชาติ ที่มนุษย์ชื่นชอบหรือเกรงกลัว รวมทั้งวิญญาณที่มีอำนาจบันดาลให้สิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้น (Kami)

• 3. มนุษย์ที่ทำความดี เมื่อสิ้นชีวิตแล้ว ถือว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ !!

จุดหมายปลายทางของชีวิต คือ การเข้าถึงพระเจ้า

(ผมขอเสริมว่า ถ้าคนญี่ปุ่นตายเพื่อชาติ หรือเพื่อเจ้านาย เขาเชื่อว่าก็จะได้กลับไปอยู่กับพระเจ้า นั่นคือกลับไปอยู่กับเทพพระอาทิตย์ เป็นการตายอย่างสมเกียรติ !!)


สถานภาพของสตรี

ศาสนาชินโตสอนให้ผู้หญิงเคารพผู้ชาย ส่วนผู้ชายก็ให้ความคุ้มครองผู้หญิง และต่างฝ่ายต่างต้องรักและสามัคคีกัน


แนวคิดเรื่องความตาย

ชินโตไม่พูดถึงเรื่องโลกหน้า เชื่อว่า วิญญาณเป็นอมตะ ความตายเป็นเสมือนการเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวใหม่ ดวงวิญญาณจะคอยปกป้องวงศ์ตระกูลของตนอยู่เสมอ

ข้อปฏิบัติตามศาสนาชินโต คือ จงรักภักดีต่อเทพเจ้า จงรักภักดีต่อสมเด็จพระจักรพรรดิ และปฏิบัติตามหลักจริยธรรมเพื่อบำเพ็ญความดีสูงสุด 4 ประการ คือ

1. ให้มีความคิดเบิกบาน

2. ให้มีความคิดบริสุทธิ์

3. ให้มีความคิดถูกต้อง

4. ให้มีความคิดเที่ยงตรง

การบูชาธรรมชาติ

คนญี่ปุ่นเชื่อว่า เทพแห่งพระอาทิตย์ทรงสร้างเกาะญี่ปุ่น และธรรมชาติทั้งหลาย เช่น ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ มหาสมุทร แม่น้ำ ภูเขา น้ำตก ต้นไม้ สิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง จึงมีฐานะสูงควรแก่การเคารพบูชา !!

ในเรื่องจักรวาล ชินโตสอนว่า กามิ (Kami) หรือเทพเจ้าเป็นเจตภูตที่ไม่มีรูปร่าง ไม่เปลี่ยนแปลง เป็นนิรันดร์

กามิเป็นเทพเจ้าในธรรมชาติ เหตุการณ์ต่างๆ ในจักรวาลมาจากการบันดาลของกามิ กฎแห่งธรรมชาติทั้งปวงคือ ทางแห่งเทพเจ้า

การบูชาจักรพรรดิ

คนญี่ปุ่นบูชาพระจักรพรรดิ เพราะถือว่า สมเด็จพระจักรพรรดิเป็นผู้สืบสายมาจากดวงอาทิตย์โดยไม่ขาดสาย 

ซึ่งถ้าใครคิดต่างจากหลักการนี้ ก็ไม่สมควรเป็นคนญี่ปุ่นต่อไป ก็ควรมีความละอายและเดินทางออกจากแผ่นดินญี่ปุ่นไปซะ

การบูชาบรรพบุรุษ

ญี่ปุ่นเชื่อว่า คนญี่ปุ่นตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบันสืบเชื้อสายมาเป็นสายเลือดเดียวกัน การบูชาบรรพบุรุษของญี่ปุ่น มีทั้งบรรพบุรุษของครอบครัวและบรรพบุรุษของชาติ

การบูชาผู้กล้าหาญ

ญี่ปุ่นเป็นคนรักชาติมาก ผู้ใดอุทิศชีวิตให้ชาติ วิญญาณของผู้นั้นจะได้รับการยกย่อง ทหารญี่ปุ่น จึงรบด้วยความกล้าหาญ เพราะรู้ว่า ถ้าตายก็จะมีผู้เคารพบูชา

คำสอนเหล่านี้มีผลทำให้คนญี่ปุ่นเป็นคนรักชาติ รักบรรพบุรุษของตนอย่างยิ่ง เกิดเป็นหลักธรรมประจำใจที่เรียกว่า บูชิโด ซึ่งเป็นวินัยของนักรบในกลุ่มชาวญี่ปุ่น


ระบบคุณธรรม

1.ความกล้าหาญ ให้กล้าหาญที่จะมีชีวิตอยู่และไม่กลัวตาย

2.ความขลาด ความขลาดถือว่าเป็นบาป จึงมีคติว่า บาปทุกอย่างนั้นจะได้รับการอภัยเมื่อสำนึกผิด ยกเว้น ความขลาดกับการลักขโมย

ดังนั้นเราจะเห็นคนญี่ปุ่นที่กระทำผิด มักฆ่าตัวตายเพื่อแสดงให้เห็นว่า เขาได้สำนึกในความผิดของตัวเองแล้ว

(แต่โจรไทยสามารถขโมยของสาธารณะได้ทุกอย่าง หรือเช่น การตัดไม้ทำลายป่าก็ถือว่าเป็นการขโมยสมบัติของชาติ เช่นกัน)

3.ความจงรักภักดี ชินโตสอนให้จงรักภักดีต่อสมเด็จพระจักรพรรดิเป็นอันดับหนึ่ง อันดับต่อมาคือครอบครัวและสังคม

4.ความสะอาด

 ถ้าทำความสกปรกถือว่าเป็นบาป เป็นความผิดต่อเทพเจ้า ผู้ทำตนให้สะอาดเป็นผู้เคารพเทพเจ้า 

(ทีนี้เราคงเข้าใจแล้วสินะครับว่า ทำไมคนญี่ปุ่นถึงได้สะอาด เพราะการทำความสกปรกถือว่าเป็นบาป การทำให้ประเทศชาติสกปรกก็ยิ่งบาป เพราะประเทศชาติก็ถือเป็นเจ้านายของคนญี่ปุ่นเช่นกัน)

จากความเชื่อนี้ การอาบน้ำในสังคมญี่ปุ่นจึงเป็นทั้งพิธีกรรมทำตนให้สะอาด และเป็นพิธีกรรมชำระบาปด้วย

ข้อปฏิบัติต่อสังคม

• 1. คุณธรรมสูงสุดได้แก่ ความจริง ความซื่อสัตย์และความเคารพต่อบรรพบุรุษและผู้ใหญ่

• 2. ภักดีต่อสมเด็จพระจักรพรรดิและราชวงศ์ เคารพบรรพบุรุษและผู้ใหญ่ (ถ้าใครไม่เคารพสมเด็จพระจักรพรรดิ ก็ไม่มีจิตวิญญาณแห่งคนญี่ปุ่นเหลือ ก็ควรออกจากแผ่นดินญี่ปุ่นไปซะ)

• 3. ซื่อสัตย์ต่อเพื่อน รักและสามัคคีกับคนในชาติ รักคนอื่นให้เท่ากับรักตนเอง

• 4. ผู้เยาว์ต้องอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ ชายต้องซื่อสัตย์ต่อชาติ และหญิงต้องเคารพชาย

• 5. รักและเคารพบิดามารดา รักและสามัคคีกับคนในครอบครัว

• 6. ทำงานด้วยความซื่อสัตย์

• 7. มีความประหยัด

• 8. อย่าตอบแทนความชั่วด้วยความชั่ว

• 9. ต่อสู้เมี่อถูกรังแก และแก้แค้นให้ผู้ที่เราเคารพ

• 10. ไม่กลัวตาย !!

• 11. ฝึกตนเองให้มีความคิดเบิกบาน ความคิดบริสุทธิ์ ความคิดถูกต้อง ความคิดเที่ยงตรง

ลัทธิบูชิโด คือ ลัทธิที่ยกย่องคนกล้า ซึ่งคนญี่ปุ่นเรียกว่า "ซามูไร" (Samurai) คำว่า "บูชิโด" แปลว่า "หนทางของอัศวินนักสู้" หลักประพฤติของซามูไรญี่ปุ่นในสมัยนั้น มีดังนี้ คือ

1. ซามูไรทุกคนจะต้องอยู่ในสังกัดของเจ้านายในระบบศักดินา และจะต้องจงรักภักดีต่อเจ้านายซามูไรจะต้องรำลึกบุญคุณเจ้านายอยู่เสมอและหาทางตอบแทนบุญคุณนั้นให้ได้ เพราะการตอบแทนหนี้บุญคุณของซามุไรต่อเจ้านายถือว่าเป็นความดีสูงสุด 

พันธะหน้าที่ซึ่งเกี่ยวข้องกับเจ้านายเป็นสิ่งสำคัญยิ่งกว่าครอบครัว และครอบครัวของซามูไรทุกคนจะต้องสนับสนุนการกระทำของพวกเขาจึงจะได้รับยกย่องจากสังคม

2. ซามูไรจะต้องเป็นผู้มีความกล้าหาญ ไม่กลัวความตาย

การตายที่มีเกียรติของซามูไรคือ การทำฮาราคิริ (Harakiri) หรือเซ็ปปุกุ (Seppuku) การตายแบบนี้เป็นการแสดงความกล้าหาญอย่างสูง ที่จะต้องเผชิญกับความเจ็บปวด โดยการใช้มีดสั้นแทงที่หน้าท้องใต้เอวขวา กรีดมาทางซ้าย แล้วดึงมีดขึ้นข้างบน เป็นการเปิดช่องท้อง และตัดลำไส้ให้ขาด

ดังนั้น เรามักจะเห็นพวกนักการเมืองญี่ปุ่นมักฆ่าตัวตาย ก่อนขึ้นศาล เพราะเขาถือว่า การฆ่าตัวตายเพื่อสำนึกในความผิด จะทำให้เขาได้รับการยกย่องและได้รับการให้อภัย และจะได้กลับไปสู่สวรรค์ กลับไปอยู่กับเทพพระอาทิตย์

3. ซามูไรจะต้องยอมตายเพื่อรักษาเกียรติ

4. ซามูไรจะต้องจงรักภักดี อ่อนน้อมถ่อมตนต่อเจ้านาย

5. ซามูไรจะต้องมีความเที่ยงธรรม มีเมตตา รักความยุติธรรม และช่วยเหลือผู้ตกทุกข์


---------------------------

กรณีฮีโร่แห่งโรงไฟฟ้าพลังปรมาณู ที่อาสาเข้าไปกู้โรงไฟฟ้า จนบาดเจ็บล้มตายไปแล้วหลายคนนั้น

ทำไมพวกเขาถึงกล้าหาญเช่นนี้??

นั่นเพราะพวกเขามีสายเลือดแห่งบูชิโดนั่นเอง

แม้พวกเขาจะต้องตายในที่สุดจากการได้รับสารกัมมันตรังสีเกินขนาด แต่พวกเขาก็เลือกจะทำหน้าที่อย่างถึงที่สุด เพื่อปกป้องประเทศชาติ(หรือเจ้านายของเขา) นั่นเอง

เพราะเมื่อพวกเขาได้ทำหน้าที่อย่างกล้าหาญแล้ว เมื่อพวกเขาตายลง พวกเขาจะได้กลับไปสู่สรวงสวรรค์ ได้รับการต้อนรับจากบรรพบุรุษของพวกเขาบนสรวงสวรรค์อย่างสมเกียรติ

และพวกเขาก็ได้กับไปอยู่กับเทพแห่งพระอาทิตย์ของพวกเขาตลอดไป


-----------------------------

ตราบใดที่คนไทยไม่รู้จักวิถีบูชิโด และศรัทธาในวิถีบูชิโด ตราบนั้นคนไทยก็ไม่มีวันยอดเยี่ยมเหมือนคนญี่ปุ่นได้หรอกครับ

เพราะวิถีบูชิโดนั้น รักชาติยิ่งชีพ ขอตายดีกว่าอยู่อย่างพ่ายแพ้ ขี้ขลาด และอ่อนแอ


---------------

สรุป ในส่วนพระจักรพรรดิญี่ปุ่น

ดังจะเห็นว่า แนวคิดซามุไร หรือบูชิโด ที่สืบทอดกันมากว่าพันปีในสายเลือดคนญี่ปุ่น หล่อหลอมให้พวกเขาจงรักภักดีต่อองค์สมเด็จพระจักรพรรดิไม่เสื่อมคลาย

หลักบูชิโด ถือว่า สมเด็จพระจักรพรรดิสำคัญกว่าครอบครัวของคนญี่ปุ่นเสียอีก ในขณะที่นักการเมืองไทยจำนวนมากเห็นแก่ตระกูลตัวเองมากกว่าเห็นแก่พระมหากษัตริย์

อีกทั้งในอดีต สมเด็จพระจักรพรรดิฮิโรฮิโต ได้นำพาคนญี่ปุ่นแพ้สงครามครั้งที่ 2  ซึ่งได้สร้างความสูญเสีย พลัดพรากให้แก่ครอบครัวคนญี่ปุ่นมากมาย หรือแม้กระทั่งเมื่อฮิโรชิมา และนางาซากิ ต้องโดนระเบิดปรมณูลง จนมีคนตายหลายแสนคน

แต่ชาวญี่ปุ่นกลับไม่โทษองค์สมเด็จพระจักรพรรดิเลย แถมชาวญี่ปุ่นยังช่วยกันออกมาปกป้ององค์สมเด็จพระจักรพรรดิ ไม่ให้ถูกฝ่ายสัมพันธมิตรนำสมเด็จพระจักรพรรดิไปขึ้นศาลโลกเพื่อลงโทษในฐานะอาชญากรสงครามด้วยซ้ำ (คลิกอ่าน สปิริตคนญี่ปุ่นในwar2 ตอน2)

นั่นเพราะอะไรล่ะ ? แล้วทำไมคนญี่ปุ่นไม่คิดล้มล้างสถาบันจักรพรรดิ ?

ในขณะที่มีคนไทยชั่วๆ คิดล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ จนทหารไทยต้องจัดการพวกล้มล้างสถาบันไปบ้าง เพื่อปกป้องสถาบันตามหน้าที่ทหาร ทั้งๆ ที่ผู้ที่คิดล้มล้างสถาบันก็มีโทษฐานกบฎ สมควรตายอยู่แล้ว

(คลิกอ่านทำไมทหารต้องฆ่าประชาชน)

ถามว่า มีคนญี่ปุ่นที่ไม่ศรัทธาองค์พระจักรพรรดิ มีหรือไม่ ?

ตอบว่า มี และมีมากด้วย แต่พวกเขาคิดว่า แม้จะไม่รักไม่ศรัทธา แต่เขาก็จะไม่ทำลาย เพราะนี่คือวิถีวัฒนธรรมที่งดงามของคนญี่ปุ่น ที่ต้องปกป้องรักษาไว้ เพราะนี่คือ วิถีวัฒนธรรมญี่ปุ่น รากเหง้าทางจิตวิญญาณชาวญี่ปุ่น

ก็ลองมีคนญี่ปุ่นออกมาคิดร้ายต่อสถาบันเหมือนกลุ่มคนไทยล้มเจ้ากระทำอยู่สิ  ผมฟันธงได้เลยว่า คนญี่ปุ่นที่คิดจะทำแบบนั้น ไม่สามารถอยู่ในแผ่นดินญี่ปุ่นได้อีกต่อไป แน่นอนครับ

นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ไม่มีใครกล้าล้มสถาบันจักรพรรดิมาจนวันนี้ !!

แนะนำอ่านบทความที่เข้าใจง่ายขึ้น เรือง หัวใจของการมีระเบียบวินัยของญี่ปุ่น


วันพฤหัสบดีที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2554

ความฟุ้งเฟ้อของลูกอีสาน!?




(เป็นแค่ตัวอย่างของลูกอีสานครอบครัวหนึ่งนะครับ ไม่ได้เหมารวมทุกครอบครัว)

ผมมีลูกจ้างหญิงคนหนึ่ง ที่ผมจ้างมาช่วยดูแลแม่ของผม

ลูกจ้างหญิงคนนี้ของผม มีลูก3คน คือลูกสาวคนโต กับลูกสาวคนกลาง และลูกชายเป็นคนสุดท้อง

ลูกสาวคนโตเรียนกำลังจะขึ้นม.6เทอมหน้า ลูกสาวคนกลางกำลังจะขึ้นม.4 ลูกชายเพิ่งจบป.6

ลูกจ้างของผม ส่งเงินเดือนของตัวเองทั้งหมดไปให้ลูกสาวคคนโตใช้จ่าย โดยให้ดูแลค่าใช้จ่ายของน้องอีก2คนด้วย ซึ่งพอถามว่า แล้วกำหนดหรือเปล่าว่า ให้ใช้จ่ายกันยังไง คนละเท่าไหร่ ลูกจ้างผมบอกไม่รู้หรอก แล้วแต่ลูกสาวคนโต

ทีนี้ลูกจ้างของผม กำลังจะกลับไปตัดอ้อย ขายอ้อย ก็ตั้งใจว่า จะกลับไปซื้อโน้ตบุ้คให้ลูกสาวคนโตเครื่องนึง ผมเคยแนะนำว่า เด็กมัธยมใช้แค่เครืองคอมฯแบบตั้งโต๊ะก็พอ ไม่ต้องถึงกับใช้โน๊ตบุ๊คหรอก

ลูกจ้างผมเขาบอกว่า ลูกสาวไม่ยอม จะเอาโน้ตบุ๊คเท่านั้น (เพราะเพื่อนๆเขาก็ใช้โน๊ตบุ้กกันทั้งนั้น) และเขายังบอกอีกว่า ลูกสาวคนกลางก็ร้องอยากได้โน้ตบุ้คอีก1เครื่องเหมือนพี่สาวด้วย ซึ่งท่าทางเขาต้องยอมให้ไม่งั้นเดี๋ยวจะมีปัญหาทะเลาะกัน

ลูกจ้างของผมเพิ่งเล่าว่า ที่บ้านเพิ่งขายอ้อยคราวก่อน ลูกสาวก็ขอเอาเงินไปซื้อตู้เย็นหมื่นกว่าบาท(ตู้เย็นยังถือว่าเป็นสิ่งจำเป็น) แล้วที่ขายข้าวคราวก่อน ก็เพิ่งซื้อเครื่องซักผ้าอีกหมื่นกว่าบาทไปเครื่องนึ่ง เพราะลูกขี้เกียจนั่งซักผ้า และที่บ้านกำลังมีโครงการจะติดจานดาวเทียม ผมเลยแกล้งสำทับไปว่า ถ้าติดจานดาวเทียมแล้ว อย่าลืมซื้อทีวีLCDด้วยล่ะ จะได้สมฐานะกับบ้านคนรวยล่ะ ^^

เดี๋ยวขายอ้อยคราวนี้ได้ประมาณ3-4แสน นอกจากซื้อโน้คบุ้ค2เครื่อง(ยังไม่รู้ราคาแน่นอน) ก็จะต้องซื้อฮอนด้าคลิกไอ ให้ลูกสาวอีกคนละคัน ตกคันละ46,000 บาท (ล้อแมกซ์) ทั้งที่มอไซค์ที่บ้านคันเก่าก็ยังอยู่

ซึ่งผมพยายามบอกว่า แค่คันเดียวก็พอแล้ว ทำไมต้องคนละคัน ซึ่งเขาบอกว่า ต้องลองคุยกับลูกดูอีกที

----------------------------------

ลูกจ้างผมบอกว่า ลูกสาวคนโต เมื่อเดือนที่แล้วลูกสาวไปเที่ยวน้ำตก  แถมหน้าใหญ่ออกเงินเหมารถพาเพื่อนไปเที่ยว เลี้ยงอาหารเพื่อนๆทุกคน

ลูกสาวคนโต ใช้เสื้อผ้ามียี่ห้อดีๆทุกชิ้น ของโนเนมไม่ใช้ เมื่อวันเกิดลูกสาวคนโต2ปีก่อนเคยซื้อทองให้ลูก50สต. ลูกสาวคนกลางก็ร้องว่าอยากได้บ้าง ก็เลยเพิ่งซื้อทองให้ลูกสาวคนกลางเมื่อปีใหม่ที่ผ่านมา

ผลิตภัณฑ์ของใช้พวกในบ้าน เขาก็ให้ลูกใช้ของนอก ทุกอย่าง อย่างครีมอาบน้ำขวดกระติ๊ดนึง 210บาท ใช้แป๊บเดียวหมด แชมพู ยาสีฟัน ก็ผลิตภัณฑ์ของนอก ยี่ห้อนึงที่เป็นระบบขายตรง

--------------------------

ลูกจ้างผมคนนี้ เคยบอกลูกสาวว่า แม่หาของมาให้ไปขายที่ตลาดนัดเสาร์ อาทิตย์บ้างเอามั้ย??

ลูกสาวของเธอตอบว่า ไม่เอาหรอกแม่ อายเพื่อน!!

ขนาดไปโรงเรียน ลูกสาวยังไม่ยอมขี่จักรยานไป ทั้งๆที่โรงเรียนก็ไม่ไกลจากบ้านเท่าไหร่ ต้องขี่มอเตอร์ไซค์ไป โทรศัพท์มือถือของลูกสาวทั้งสองคน ก็ไอโฟนคนละเครื่อง!!

-----------------------------

สำหรับลูกชายคนเล็ก ของลูกจ้างหญิงของผม เพิ่งจะจบป.6 และเพิ่งจะไปบวชเณร เพื่อเรียนต่อม.1ในฐานะเณร เพราะทางบ้านจะได้ไม่ต้องส่งเสีย

ผมถามว่า ทำไมต้องส่งลูกไปบวชเณร ลูกจ้างผมบอกว่า เพราะมีลูก3คนส่งไม่ไหว!??

ผมเลยว่าไปว่า ทีจะเสียเงินซื้อโน๊ตบุ้คให้ลูกสาว ซื้อมอไซค์ฮอนด้าคลิกไอ ให้ลูกสาวคนละคันได้ แต่กลับบอกไม่มีเงินส่งลูกชายเรียนม.1เอง ต้องให้ลูกชายไปบวชจะได้ประหยัด

โถๆ น่าสงสารลูกชายเนอะ แม่หมดเงินให้ลูกสาวฟุ้งเฟ้อเป็นแสนๆได้ แต่ส่งลูกชายเรียนไม่ได้

------------------------------

ส่วนลูกจ้างผมจะกลับไปช่วงสงกรานต์นานหน่อย เพราะคิดจะปลูกบ้านใหม่ให้เล็กลงกว่าบ้านเดิม เพราะบ้านเดิมที่รุ่นตายายสร้างไว้ ลูกจ้างผมบอกว่าใหญ่อย่างกับศาลาการเปรียญ ใหญ่เกินไป ไม่ค่อยมีคนอยากจะทำความสะอาด

เลยต้องการจะสร้างบ้านให้เล็กลงกว่าเดิม แล้วก็ตั้งใจจะตัดต้นไม้เนื้อแข็งในที่ดินของตัวเอง เพราะมีต้นไม้ใหญ่เกิน40-50ปีอยู่หลายต้นมาใช้ปลูกบ้านใหม่ (ส่วนบ้านเดิมไม่ได้รื้อ แต่จะทิ้งไว้เฉยๆ)

อันนี้ผมก็ไม่เข้าใจความคิดแและความจำเป็นของลูกจ้างผมหรอกนะ เพราะเราเป็นคนนอก แต่ถ้าเป็นบ้านของผม ผมไม่สร้างใหม่หรอก บ้านเดิมตายายสร้างไว้ใหญ่โตแข็งแรง ใช้ต้นไม้ต้นใหญ่ๆเป็นต้นๆทำเสาเรือน ใครๆเขาอยากมีบ้านแบบนี้จะตาย แต่ลูกจ้างผมกลับไม่ชอบ!!

(คือจริงๆลูกจ้างผมคนนี้ ที่บ้านฐานะไม่ได้ยากจนเพราะมีที่ดินเยอะ เพียงแต่ถ้าอยู่บ้านนอกนั้น ถ้าไม่ใช่ช่วงขายผลผลิต ก็ไม่ค่อยเงินเท่านั้นเอง เพราะมีลูกใช้เงินเก่ง เลยต้องออกมาหาอาชีพเสริมทำในกรุงเทพฯ ซึ่งแต่เดิมลูกจ้างผมคนนี้ ตั้งแต่เด็กจนมีลูกโตเป็๋นสาวก็ไม่เคยออกจากบ้านมาทำงานที่อื่นเลย เพิ่งจะออกมาทำงานได้ประมาณปีเดียวเท่านั้น)

-----------------------------


นี่คือตัวอย่างของลูกของคนไทยครอบครัวหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่คงมีแต่ลูกของคนอีสานที่ผมยกตัวอย่างเท่านั้น คงต้องมีลูกของคนไทยในทุกๆภาคที่มีความคิดแบบนี้ ซึ่งผมว่า วิธีคิดแบบนี้ ผมไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมประเทศไทยไม่มีทางเจริญตามประเทศญี่ปุ่นได้ทัน!!

(คนญี่ปุ่นคือชาติเจ้าของผลิตภัณฑ์รถมอเตอร์ไซค์ยอดนิยมของคนไทย แต่คนญี่ปุ่นกลับขี่จักรยานมากกว่าคนไทย??)

จักรยานให้เช่าวันละ1000เยนในญี่ปุ่น (ค่าก๋วยเตี๋ยวญี่ปุ่น1ชาม) แต่ถ้าขี่ไม่เกิน30นาทีฟรี!! อ่านรายละเอียดคลิกที่นี่


มาดูคนญี่ปุ่นขี่จักรยานกัน น่ารักดีจริงๆ
.
.


วันพฤหัสบดีที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2554

จากอัตสึ สู่โอชิน ถึง tsunami japan2011






ตั้งแต่วันศุกร์ที่11 มี.ค.54 ที่ผ่านมา แผ่นดินวิปโยคที่ชายฝั่งตะวันออกของประเทศญี่ปุ่น ด้วยความรุนแรงถึง8.9ริกเตอร์ เมื่อเวลาประมาณ12.46นาทีตามเวลาประเทศไทย หรือเวลา14.46นาทีตามเวลาที่ญี่ปุ่น

จนเกิดคลื่นสึนามิอย่างรุนแรงพัดเข้าชายฝั่งตะวันออกในหลายจังหวัดของญี่ปุ่น ทั้งๆที่ญี่ปุ่นนั้นมีระบบเตือนภัยที่ดีที่สุดของโลก ระบบป้องกันภัยจากสึนามีที่ดีที่สุดในโลก มีกำแพงกั้นคลื่นขนาดใหญ่แล้วก็ตาม แต่ก็ไม่อาจทานความรุนแรงของคลื่นยักษ์ครั้งนี้ได้ นั่นเพราะสึนามิคราวนี้ใหญ่โตเกินความคาดหมายที่ญี่ปุ่นเคยคาดการณ์ไว้




ผู้คนสูญหายและล้มตายนับหมื่นคน นับเป็นความเสียหายจากภัยพิบัติทางธรรมชาติที่รุนแรงที่สุดครั้งนึงของญี่ปุ่น

แต่ถ้าแค่สึนามิเท่านั้นก็ยังไม่พอ ภัยที่ร้ายแรงและน่ากลัวตามมากลับกลายร้ายแรงและน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าคลื่นยักษ์นั่นก็คือ ภัยจากการรั่วไหลจากสารกัมมันตรังสีจากโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ที่ระเบิดขึ้นหลังจากเกิดสึนามิ

จนทำให้แม้แต่ตอนนี้ เมือหลวงอย่างกรุงโตเกียวก็อาจจะไม่ปลอดภัยสำหรับการอยู่อาศัยอีกต่อไป จนตอนนี้มีผู้คนจากโตเกียวจำนวนมากต่างพากันอพยพออกจากกรุงโตเกียว เพื่อหลบเลี่ยงภัยที่อาจจะมีจากสารกัมมันตรังสี

สถานฑูตนานาชาติหลายประเทศก็พากันอพยพสถานฑูตของประเทศตัวเองออกจากกรุงโตเกียว ไปตั้งสถานฑูตชั่วคราว ณ.ที่ๆห่างออกไป ให้ไกลจากภัยกัมมันตรังสี

-------------------------

ผมคงไม่ต้องเท้าความให้มากไป เพราะคุณผู้อ่านก็คงได้รับข่าวสารกันดีอยู่แล้ว

แต่ที่ผมอยากจะพูดถึงก็คือ ละครที่ผมรักที่สุด2เรื่อง คือเจ้าหญิงอัตสึ หรือ Atsuhime และสงครามชีวิตโอชิน ในละครทั้งสองเรื่องนี้ ตัวละครเอกทั้งสองเรื่องก็ได้ผจญกับภัยจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่มาแล้วเช่นกัน

ในสมัยเอโดะ ของท่านหญิงอัตสึ ในวันที่ปีอันเซที่2 วันที่2ตุลาคม (10pm on November 11, 1855) ได้เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในเอโดะ กล่าวกันว่ามีผู้เสียชีวิตถึง2แสนคน เพราะถูกบ้านพังทับและติดอยู่ในกองเพลิง..

แผ่นดินไหวครั้งนั้นทำให้ท่านหญิงอัตสึที่กำลังจะเดินทางเข้าปราสาทเอโดะเพื่อไปเป็นมิไดโดโกโระของท่านโชกุนคนที่13 ก็ถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด

ส่วนยุคโอชิน ในวันที่ 1 ก.ย. ค.ศ.1923 เช้าวันที่โอชินกับสามีริวโซ่ ทาโนะคุระ กำลังเดินทางไปเปิดโรงงานทอผ้าแห่งใหม่ โดยปล่อยให้ลุงเง็นเลี้ยงดูยิ่วลูกชายคนโตของโอชิน ซึ่งยังเล็กอยู่ ก็พลันเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ขึ้นที่โตเกียว ทำให้บ้านเรือนพังนับไม่ถ้วน

และทำให้โอชินกับสามี ต้องล้มละลายในที่สุด ส่วนลุงเง็นที่เลี้ยงยิ่วอยู่ที่บ้าน ก็ต้องมาตายเพราะปกป้องให้ยิ่วรอดจากภัยพิบัติครั้งนั้น


ในคลิปโอชินนั่งเล่นความหลังให้เค่ หลานชายในสวนสาธารณะที่มีรูปปั้นท่านไซโก คิชิโนะสุเกะ ซามุไรคนสุดท้ายของญุี่ปุ่นตั้งอยู่ด้วย

คลิกที่รูปเพื่อขยาย


------------------------------------

บทเรียนราคาแพงของคนญี่ปุ่นอีกครั้ง

ภัยธรรมชาติครั้งนี้ ผมมั่นใจว่า จะไม่มีทางทำให้คนญี่ปุ่นท้อถอย เพราะสายเลือดบูชิโดที่ไม่เคยยอมแพ้แก่โชคชะตาของคนญี่ปุ่น เขาพร้อมที่จะลุกขึ้นสู้ทุกครั้งเมื่อเผชิญภัยพิบัติครั้งใหญ่

เพราะนี่คือสิ่งที่หล่อหลอมความเป็นคนญี่ปุ่นมานับพันๆปี

ความมีวินัย ความมีระเบียบ ความรักชาติ ชาตินิยม และความที่เห็นแก่ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตนของชาวญี่ปุ่นเป็นเรื่องที่ทั่วโลกต่างยกย่องสรเสริญ

บทเรียนคราวนี้ จะทำให้คนญี่ปุ่นจะพัฒนาก้าวหน้าขึ้นไปอีกหลายขั้นเพื่อหาหนทางเอาชนะปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ และพวกเขาจะต้องคิดค้นหาพลังงานทดแทนที่ดีกว่าพลังงานจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ให้ได้ หรือหาทางใช้พลังงานอันตรายนี้อย่างปลอดภัยมากกว่าเดิมแบบจะไม่ซ้ำรอยประวัติศาสตร์อีก เพราะขนาดเจอระเบิดนิวเคลียร์ที่ฮิโรชิมา นางาซากิมาแล้ว คนญี่ปุ่นก็ไม่เคยหวาดกลัวเรื่องนิวเคลียร์

และเมื่อถึงวันนั้นญี่ปุ่นจะกลับมาผงาดยิ่งใหญ่เหมือนเดิม เพราะทุกครั้งที่ล้มลง คนญี่ปุ่นจะกลับมายิ่งใหญ่กว่าเดิมแน่นอน

ผมรักประเทศญี่ปุ่นครับ




แนะนำบทความฮอต คนไทยไม่มีวันเจริญเหมือนคนญี่ปุ่นได้
.
.

วันอาทิตย์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2554

พระธาตุของพระอรหันต์ และจักษุธาตุปลอม!!




หลายๆคนถ้าไม่ใช่ชาวพุทธ ย่อมไม่เชื่อเรื่องพระธาตุของพระอรหันต์ ผมจึงขออธิบายแบบง่ายๆว่า


ซากพืชซากสัตว์ทับถม ก็กลายเป็นน้ำมันได้
คาร์บอนดำๆ ยังแปรเปลี่ยนกลายเป็นเพชรได้

แม้แต่ต้นไม้ ก็ยังกลายเป็นหินได้

ทั้งสามอย่างที่ยกมา ต้องใช้เวลานับล้านๆปี


แต่การเป็นพระอรหันต์ได้นั้นยากยิ่งกว่า และกว่าจิตจะสำเร็จเป็นอรหันต์ได้นั้น นานยิ่งกว่า เพราะใช้เวลาไม่รู้กี่แสนกี่หมื่นกี่พันอสงไขย กี่กัปกี่กัลป์

และเมื่อสำเร็จเป็นอรหันต์แล้ว เถ้ากระดูกของพระอรหันต์จะกลายเป็นพระธาตุได้ จึงไม่ใช่เรื่องแปลก

แต่การที่กระดูกจะกลายเป็นพระธาตุได้นั้น ก็เกิดมาจากการบำเพ็ญเพียรมาไม่รู้กี่ภพกี่ชาติแล้วครับ

ไม่ใช่อยู่ๆกระดูกจะกลายเป็นพระธาตุได้เพียงแค่ภพเดียว


------------------------------


จักษุธาตุ ที่เป็นข่าว ผมฟันธงว่าปลอมครับ


เพราะอะไร ผมถึงเชื่อว่าจักษุธาตุนั้นปลอม

ก็เพราะ แม้พระบรมสารีริกธาตุ บางองค์ จะใสดั่งแก้ว หรือบางทีดูแวววาวดั่งอัญมณี แต่ก็ไม่ใช่อัญมณีแน่นอน

แต่จักษุธาตุตามข่าวนั้น รูปทรงเหมือนเพชรที่เจียรนัยแล้ว และมีเหลี่ยมเจียรนัยที่สมบูรณ์มาก ตามรูปทรงเรขาคณิต ซึ่งอาจเป็นเพชรปลอม หรือเพชรแท้ก็ได้ทั้งสิ้น

พระบรมสารีริกธาตุ เป็นธรรมปาฏิหาริย์ เกิดด้วยพลังธรรมชาติอันศักดิ์สิทธิ์ ธรรมชาติย่อมไม่มีรูปทรงตรงเป๊ะดั่งรูปทรงเรขาคณิต ที่ประหนึ่งถูกเจียรนัยเหลี่ยมมุมมาอย่างสมบูรณ์หรอกครับ

จักษุธาตุตามข่าวนั้นจึงเป็นของปลอมชัวร์ แม้จะไม่ได้พิสูจน์ แต่ผมเชื่อในความรู้สึกของผม ซึ่งมั่นใจมากว่าไม่ใช่พระบรมสารีริกธาตุที่แท้จริง

และจักษุธาตุในพระไตรปิฎก ก็ไม่เคยบอกว่ามีอยู่ และไม่เคยมีพระธาตุที่เหมือนเพชรมากขนาดนี้ในโลก

ลองไปหาข้อมูลเรื่องพระบรมสารีริกธาตุและพระธาตุของอริยสงฆ์ได้ที่เว็บ http://www.relicsofbuddha.com/index.htm



วันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2554

แก้ปัญหาข้าวยากหมากแพงอย่างยั่งยืน




จากปัญหาราคาน้ำมันพืชแพง ขาดแคลนที่ผ่านมา ทำให้รัฐบาลควรตระหนักได้แล้วว่า ปัญหามันอยู่ที่ รัฐบาลไม่สามารถควบคุมกลไกตลาดได้อย่างแท้จริง ปล่อยให้พ่อค้านักธุรกิจฉวยโอกาสกักตุนและปั่นราคาสินค้าจำเป็นให้ขาดแคลน เพื่อกอบโกยกำไร

แม้น้ำมันปาล์มจะเกิดการขาดแคลนไปบ้าง แต่สิ่งทดแทนความจริงไม่ขาดแคลน นั่นก็คือน้ำมันถั่วเหลืองและน้ำมันรำข้าว แม้จะอ้างว่า เพราะน้ำมันปาล์มขาด ทำให้คนหันมาซื้อน้ำมันถั่วเหลืองจนหมดจนขาดแคลน นั่นคือคำแก้ตัวที่โกหก เพราะน้ำมันถั่วเหลืองมันหายไปจากตลาด ก่อนที่คนจะหาซื้อด้วยซ้ำ นั่นเพราะมีการกักตุนสินค้าเพื่อหวังต่อรองกับรัฐบาล เพื่อถือโอกาสขึ้นราคาตามน้ำไปกับน้ำมันปาล์มด้วย

และสินค้าอื่นๆก็พลอยอ้างโอกาสนี้ ขึ้นราคาสินค้าไปทุกอย่าง แม้แต่น้ำตาลทราย ทั้งที่ประเทศไทยคือผู้ผลิตรายใหญ่ของโลก ดันมาขาดแคลนหาซื้อยากซะเอง เพียงเหตุผลอ้างง่ายๆชุ่ยๆว่า ถ้าราคาตลาดโลกสูงกว่าราคาในประเทศ จึงทำให้พ่อค้าจึงเอาไปขายต่างประเทศดีกว่า

ถ้าอ้างกันแบบนี้ แล้วความเป็นผู้ผลิตน้ำตาลจะมีผลดีอย่างไร เมื่อผลิตเองได้ แต่กลับต้องกินแพงให้เท่ากับประเทศอื่นๆงั้นเหรอ เพื่อจะได้ให้น้ำตาลไม่ถูกลักลอบส่งออกตลาดโลกจนขาดแคลน ฉะนั้นการอ้างแบบชุ่ยๆนั้น เป็นการอ้างอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด

----------------

โลตัสครองเมือง

ตอนนี้รัฐบาลต้องมาพึ่งพาห้างยักษ์ใหญ่อย่างโลตัส ในการกระจายสินค้าจำเป็น แต่แล้วก็มีข่าวลือออกมาว่า โลตัสนั่นแหล่ะที่ถือโอกาสกักตุนปั่นราคาขายหลังห้างเองเสียเอง

แถมติดป้ายว่าน้ำมันปาล์มและน้ำมันพืชไม่มีขาย ทั้ง ๆ ที่รับโควต้าจะรัฐบาลไปขายมากที่สุด แต่ดันไม่มีขาย แม้แต่นายกฯไปตรวจห้างก็กลับไปพบว่า มีการเอาน้ำมันที่ผลิตเมื่อเดือนมกราคมเพิ่งจะออกมาขาย ทั้งๆที่ล็อตผลิตเดือนมกราคมมันควรขายหมดไปนานแล้ว แต่ดันมีมาขายได้ นั่นแสดงว่า มีการกักตุนน้ำมันพืชอย่างแน่นอน

ที่รัฐบาลควบคุมกลไกราคาสินค้าไม่ได้ นั่นเพราะ มันมีกฏหมายห้ามรัฐผลิตสินค้ามาขายเพื่อแข่งกับเอกชน เพราะเป็นการกีดกันทางการค้า

แต่ในเมือพ่อค้ามันเห็นแก่ตัว หวังแต่กำไรจนทำให้ประชาชนเดือดร้อน มันก็ถึงเวลาแล้ว ที่รัฐบาลต้องหาทางผลิตสินค้าของรัฐบาล เพื่อมาขายแข่งกับเอกชนบ้าง เพื่อป้องกันการฮั้วราคาสินค้า หรือปั่นราคาสินค้าให้สูงเกินจริง

------------------------

รัฐบาลควรมีโมเดิร์นเทรดแข่งกับห้างต่างชาติ

ผมนั้น อยากจะบอกว่า สินค้าอุปโภคบริโภคส่วนใหญ่ที่บ้านผม ผมซื้อจากร้านค้าสวัสดิการทหารอากาศ(ร้านค้าทอ.)เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งนอกจากขายให้ทหารแล้ว ประชาชนทั่วไปก็ซื้อได้ในราคาเดียวกัน เพราะราคาสินค้าของร้านค้าทอ.ถูกกว่าห้างค้าปลีกต่างชาติมากแทบทุกชนิดสินค้า และขอย้ำด้วยว่า สินค้าจากร้านค้าสวัสดิการทหารอากาศถูกกว่าห้างมากๆ

นั่นแสดงว่า ห้างยักษ์ใหญ่ค้ากำไรเกินควร โดยที่ประชาชนก็หลงคิดไปว่าราคาถูกกว่า!!

นั่นเพราะห้างยักษ์มันควบคุมกลไกตลาดส่วนใหญ่ไปเกือบหมดแล้ว

วิธีแก้ไขสินค้าราคาแพง ที่รัฐบาลควรทำก็คือ ต้องให้หน่วยงานราชการทุกแห่ง ต้องมีร้านค้าสวัสดิการ ที่ขายของราคาถูกให้ทุกที่ ทุกหน่วยงาน เพื่อช่วยประชาชน และเป็นการคานอำนาจการคุมตลาดของห้างขนาดใหญ่ไปในตัว ที่สำคัญต้องให้ประชาชนเข้าถึงร้านค้าได้ง่ายด้วย

ทั้งร้านค้าสวัสดิการข้าราชการ และสหกรณ์ร้านค้าต่างๆ ควรมีให้ครอบคลุมทุกหน่วยงานให้มากที่สุด และจะเป็นช่องทางกระจายสินค้าจำเป็นต่างๆตามนโยบายของรัฐได้ง่าย ดีกว่าต้องไปพึ่งพาจมูกพวกห้างต่างชาติที่ไม่มีความจริงใจต่อคนไทย

แลถ้าเป็นไปได้ รัฐบาลควรเป็นผู้ผลิตเองด้วย โดยอาจตั้งรัฐวิสหากิจใหม่ขึ้นมาเพื่อผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค เพื่อพยุงราคาช่วยประชาชน ไม่ให้ถูกกลุ่มธุรกิจฮั้วกันขึ้นราคา

แต่อย่าให้ซ้ำรอยแบบ ปตท. ที่ตั้งขึ้นมาเพื้อป้องกันการฮั้วราคาของบริษัทน้ำมันต่างชาติ แต่ไปๆมาๆ รัฐบาลหน้าเหลี่ยมดันแปรรูปปตท.เป็นเอกชน เพื่อมาขูดรีดคนไทยเสียเอง แถมเป็นกลุ่มธุรกิจผูกขาดเรื่องโรงกลั่นน้ำมัน หากเป็นที่อมริกา ป่านนี้ปตท.โดนฟ้องไปแล้ว

จุดมุ่งหมายของการมีรัฐวิสาหกิจ คือ ให้ประชาชนได้ใช้สินค้าในราคาถูก ไม่ใช่มีไว้เพื่อขูดรีดประชาชน!!

(ก่อนอื่นต้องแก้รัฐธรรมนูญ50 ในมาตรา84 หมวด1 ที่ห้ามไม่ให้รัฐทำธุรกิจแข่งขันกับเอกชน ยกเว้นจำเป็นเพื่อความมั่นคงของประเทศ)

-----------------------

ส่วนปัญหาสินค้าทางการเกษตร ก็ต้องใช้แนวทางพระราชดำริที่ทรงส่งเสริมมาใช้ แต่รัฐบาลกลับไม่ค่อยให้ความสำคัญเท่าที่ควร ก็คือ นโยบายส่งเสริมระบบสหกรณ์ครับ

--------------------------

อาหารแพง ข้าวแกงแพง ก๋วยเตี๋ยวแพง

และรัฐบาลต้องจัดทำร้านค้าอาหารสำเร็จให้ทั่วประเทศให้ได้ เพื่อควบคุมราคาอาหารที่พ่อค้าแม่ค้าถือโอกาสขึ้นราคาเว่อร์เกินความเป็นจริง

เพราะเรื่องนี้สำคัญที่สุด เนื่องจากทุกวันนี้ข้าวแกงราคา20บาทหาซื้อไม่ได้แล้ว ต้อง30ขึ้นไปถึงจะพออิ่ม (วันก่อนดูรายการข่าวเช้านี้ มีsms บ่นส่งมาว่า เงิน20บาทซื้อข้างแกงไม่ได้แล้ว คนจนมีแต่ตาย!!)

แล้วอย่างนี้คนหาเช้ากินค่ำจะอยู่ได้อย่างไร เมื่อผู้ค้าต่างเห็นแก่กำไรมากกว่าเห็นใจประชาชน ทั้งๆที่ขึ้นทีละบาทสองบาทก็มีกำไร แต่ดันขึ้นทีละ5บาทรวด!!

ฉะนั้นรัฐบาลต้องควบคุมราคาอาหารให้ได้ ไม่ใช่แค่ให้รมต.ออกมาเอ่ยปากขอร้องร้านอาหารตามห้างค้าปลีกให้ช่วยตรึงราคาเท่านั้น เพราะแค่ขอร้องมันช่วยอะไรไม่ได้หรอก ให้รมต.เป็นขอทานหรือไงที่ต้องไปกราบกรานขอร้องห้างให้ตรึงราคาอาหารในฟู้ดเซ็นเตอร์

สิ่งที่รัฐบาลต้องทำอย่างมีศักดิ์ศรี นั่นคือ รัฐบาลต้องเปิดร้านอาหารขึ้นมาเพื่อช่วยคนจนให้ครอบคลุม เพื่อป้องกันผู้ค้าอาหารต่างฮั้วกันขึ้นราคาตามใจชอบแบบทุกวันนี้

โดยอาจให้มีร้านอาหารราคาถูกไปอยู่ตามหน่วยงานราชการทุกที สำนักงานเขตทุกแห่ง สถานีตำรวจทุกสถานีแล้ว รัฐควรต้องมีร้านข้าวแกงช่วยคนจน ร้านก๋วยเตี๋ยวช่วยคนจน ร้านอาหารตามสั่งช่วยคนจน ออกมาขายแข่งในราคาจานละไม่เกิน20บาท และต้องเน้นว่าจานเดียวต้องสามารถให้คนกระเพาะธรรมดาๆกินอิ่มได้ใน1จานด้วย!!

- เมื่อไม่กี่ปีก่อน ปตท.เคยมีโครงการอาหารจานละ15บาท ตั้งในปั๊มปตท. แต่แล้วทำไปได้สักพักก็พังหายไป เพราะไม่ทำกันอย่างจริงจัง

- หรืออย่างสมัยผู้ว่ากทมสมัยท่านสมัคร สุนทรเวช ก็เคยมีโครงการผัดไท2ส. ราคาย่อมเยา วัตถุดิบอย่างดี ทำได้สักพักหายไปเหมือนเดิม

-------------------

และขอร้องเรียนศูนย์ราชการ ถนนแจ้งวัฒนะ ราคาอาหารขายแก่ข้าราชการแพงมาก แถมกินจานเดียวไม่ค่อยอิ่มด้วย 30บาท มีกระติ๊ดเดียว!! 


แนะวิธีแก้ปัญหาน้ำมันพืชขาดแคลน
"
"

วันศุกร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2554

โรงเรียนวัด กับการตัดชื่อวัดออกไป




ข่าวช่วง2-3วันที่ผ่านมา มีกรณีเกี่ยวกับเรื่องที่โรงเรียนหลายโรงเรียน ต้องการตัดคำว่า วัด ออกจากชื่อโรงเรียน

ซึ่งในความเห็นผมคิดว่า โรงเรียนที่มีชื่อวัด และคิดอยากจะตัดชื่อวัดออก ผมถือว่า นั่นคือการอกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ ซึ่งก็คือวัด ซึ่งในอดีตโดยมาก ประชาชนที่มีศรัทธาต่อวัดนั้น ก็ร่วมกันบริจาคที่ดินให้วัด บริจาคทุนทรัพย์ให้วัด ในการจัดสร้างโรงเรียนเพื่อลูกหลานของคนในชุมชน

วัด ซึ่งคือสถานที่ต้นกำเนิดการศึกษาไทยแท้ๆ มาวันนี้ลูกหลานไทยกลับคิดอกตัญญู รังเกียจผู้มีพระคุณที่เคยอุ้มชูชุบเลี้ยงจนเติบใหญ่แข็งแรง มีชื่อเสียง

หากไม่มีวัดคอยเกื้อหนุน ไม่มีทางหรอกที่โรงเรียนวัดทั้งหลายจะมีทุกวันนี้ได้

เด็กหลายคน ผู้ใหญ่พวกผู้บริหาร หลายคน รู้สึกอับอาย คำว่า โรงเรียนวัด เปรียบเสมือนลูกๆที่อายที่มีพ่อแม่ยากจน ต่ำต้อยประมาณนั้น

ค่านิยมผิดๆ คืออายในสิ่งที่ควรจะภาคภูมิใจ แต่แทนที่จะอายในการกระทำชั่ว กลับมาอายกับการที่เรียนโรงเรียนวัด

แทนที่จะอายที่ใส่เสื้อโรงเรียน หรือสังกัดโรงเรียนแต่ไปทำร้ายผู้อื่นคนละสถาบัน แบบนี้ไม่อาย ดันมาอายที่เรียนโรงเรียนวัด


---------------------------


โรงเรียนวัดฝรั่ง ที่ชื่อขึ้นต้นด้วย เซนต์ ทั้งหลาย ทีแบบนี้ เด็กไทยดันไปนิยมชมชอบ ว่าเขารวยเขาเท่ ทั้งๆที่ก็เป็นโรงเรียนวัดเหมือนกัน

ผมขอสรุปง่ายๆว่า หากคนไทย เด็กไทยยังอายในสิ่งที่ควรภูมิใจ แต่กลับไม่อายในการทำชั่ว การที่อกตัญญูต่อวัดที่มีพระคุณต่อสถานศึกษา คิดรังเกียจผู้มีพระคุณ

ศิษย์เก่าที่จบออกไป ควรจะหันกลับมาช่วยกันพัฒนาโรงเรียนของท่านให้มีคุณภาพไม่แพ้โรงเรียนวัดฝรั่ง ไม่ใช่แค่คิดจะเอาคำว่า วัด ออกจากชื่อโรงเรียน

ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป มาตรฐานศีลธรรมของคนไทยจะยิ่งต่ำลงๆๆๆๆๆ

.
.

ผู้ติดตาม