วันพฤหัสบดีที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ทำไมทหารต้องฆ่าประชาชนที่โดนหลอกมาตาย 2




(คลิกย้อนอ่านตอนแรก)

เมื่อจบตอนแรก คุณได้ข้อคิดอะไรบ้าง?

ทหารญี่ปุ่นยกธงขาวขอยอมแพ้แก่ทหารอเมริกัน แต่ทหารอเมริกันไม่สนใจแถมจะปาระเบิดใส่ทหารญี่ปุ่นด้วย

นั่นก็เพราะ ในสงครามบางครั้งก็ไม่อาจวางใจศัตรูได้ เพราะไม่มีใครรู้ว่า เบื้องหลังการยอมแพ้นั้น มีอะไรซ่อนอยู่หรือไม่?

และเมื่อทหารอเมริกันตาย ทหารญี่ปุ่นก็ไม่ถือสา แถมให้เกียรติผู้ตายที่ได้ทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์แล้ว เพราะคนญี่ปุ่นให้ความสำคัญเรื่อง การทำหน้าที่เป็นสิ่งสำคัญที่สุด ซึ่งผมจะค่อยอธิบายเพิ่มเติมในบทความต่อๆ ไป

ส่วนในตอนที่2 นี้ ผมขกยกตัวอย่างจากซีรีย์ญี่ปุ่นอิงประวัติศาสตร์เรื่อง Atsu hime หรือในชื่อไทยคือ เจ้าหญิงอัตสึ

โดยจะขอเล่าเรื่องของท่านอี นาโอสุเกะ หรือไทโรอี



ท่านอี นาโอสุเกะ ได้รับการแต่งตั้งจากท่านอิเอซาดะ โชกุนคนที่11 ให้รับตำแหน่ง ไทโร หรือตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดของรัฐบาลโชกุน เนื่องจากท่านอิเอซาดะเป็นโชกุนที่อ่อนแอ จึงทำให้รัฐบาลโชกุนอ่อนแอตามไปด้วย

ด้วยเหตุนี้ท่านอิเอซาดะ จึงเลือกท่านอี นาโอสุเกะ ซึ่งเป็นคนเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว มารับตำแหน่งไทโร เพื่อหวังให้มาช่วยปกป้องฟื้นฟูรัฐบาลโชกุนให้เข้มแข็งขึ้น

แต่หลังจากท่านอิเอซาดะ หรือโชกุนคนที่11 สามีของท่านหญิงอัตสึได้ถึงแก่กรรมลง ด้วยเหตุที่ท่านโชกุนไม่มีทายาท ก่อนท่านอิเอซาดะตาย ท่านจึงได้รับบุตรบุญธรรม มาเป็นทายาทเพื่อสืบทอดตำแหน่งโชกุนคนที่12 ต่อไป ซึ่งนั่นก็คือ ท่านอิเอโมจิ

เมื่อท่านอิเอโมจิเป็นโชกุนคนที่12 แล้ว ก็ถือมีศักดิ์เป็นบุตรบุญธรรมของท่านหญิงอัตสึด้วยเช่นกัน

และก่อนท่านอิเอซาดะ สามีของท่านหญิงอัตสึตาย ได้เคยสั่งเสียให้ท่านหญิงอัตสึ คอยนั่งเคียงข้างท่านโชกุนคนใหม่ทุกครั้งในการออกว่าราชการ นอกจากนี้ท่านอิเอซาดะ ก็เคยสั่งเสียเรื่องเดียวกันนี้กับไทโรอีเช่นกัน

แต่พอท่านอิเอซาดะตายไปแล้ว ไทโรอีกลับทำเป็นไม่รู้เรื่องว่าเคยมีคำสั่งเรื่องให้ท่านหญิงอัตสึ ออกว่าราชการเคียงข้างโชกุนคนใหม่ ตรงนี้เองทำให้ท่านหญิงอัตสึกับไทโรอี จึงเริ่มไม่กินเส้นกัน

ที่ไทโรอี ไม่ยอมทำตามคำสั่งเสียของท่านโชกุนอิเอซาดะ ก็เพราะ ไทโรอีเห็นว่า ท่านหญิงอัตสึเป็นลูกบุญธรรมของเจ้าแคว้นสัทสุมะ ซึ่งเจ้าแคว้นสัทสุมะนั้นมีเป้าหมายในการเปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐบาลโชกุนให้ลดลง จึงได้ส่งท่านหญิงอัตสึเข้ามาเป็นภรรยาโชกุน

ไทโรอี จึงมองว่าท่านหญิงอัตสึเป็นคนของฝ่ายตรงข้าม และอีกเหตุผลคือท่านหญิงอัตสึเป็นหญิง และอาจเกรงใจแคว้นบ้านเกิด ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคในการฟื้นฟูรัฐบาลโชกุนให้เข้มแข็งขึ้นอีกครั้ง

เนื่องจากท่านอิเอโมจิ โชกุนคนที่12 ยังอายุน้อย อำนาจในการบริหารรัฐบาลโชกุน และกองทัพโชกุน จึงตกอยู่ในอำนาจของไทโรอีแบบเบ็ดเสร็จ

ไทโรอี จึงเริ่มทำการกวาดล้างผู้ที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามทุกวิถีทาง เช่นหากเป็นคนมีตำแหน่งในรัฐบาลโชกุนที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับไทโรอี ก็จะถูกสั่งปลดและถูกสั่งกักบริเวณไม่ให้ออกจากบ้านของตนเอง

ไทโรอี สั่งให้มีการกวาดล้างกลุ่มต่อต้านรัฐบาลโชกนอย่างโหดร้ายรุนแรง มีคนถูกสังหารมีคนถูกจับคุมขังทรมานมากมายหลายพันคน ทำให้ยุคไทโรอี ปกครองประเทศ กลายเป็นยุคที่โหดร้าย และทารุณ ในสายตาของท่านหญิงอัตสึ

ที่สำคัญที่สุด คนที่ท่านหญิงอัตสึรู้จัก หรือแม้แต่คนที่ท่านหญิงอัตสึเคารพนับถือ ก็ถูกไทโรอีสั่งลงโทษไปด้วย

ตรงจุดนี้ทำให้ท่านหญิงอัตสึไม่พอใจท่านไทโรอีอย่างมาก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะท่านหญิงอัตสึเป็นแค่แม่บุญธรรมท่านโชกุนคนที่12 เท่านั้น

และแล้วในวันหนึ่ง ท่านหญิงอัตสึ จึงได้ไปพบไทโรอี ถึงจวน

ต่อไปนี้ ผมขอยกมาจากบทความเก่าของผม ในเรื่องเจ้าหญิงอัตสึที่รัก ตอนที่เกี่ยวกับ ไทโรอี

------------------------

แล้วท่านเท็นโชอิน (เป็นชื่อใหม่ของท่านหญิงอัตสึ) ก็ได้มีโอกาสออกไปพบไทโรอีที่ที่พักของไทโร (ตามลำพัง)

ไทโรอีเทน้ำร้อนลงในถ้วยชา แล้วกล่าวว่า "นับว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่มีโอกาสได้ชงชาให้ท่านเท็นโชอินแบบนี้ ว่าแต่..ท่านไม่รังเกียจชาที่ชงจากมือสกปรกของข้าแน่หรือ?"


ท่านเท็นโชอิน "ท่านก็คิดว่ามือตัวเองสกปรกหรือ?"

ไทโรอีใช้ไม้คนชาคนน้ำชา ระหว่างนั้นท่านเท็นโชอินก็คลี่กระดาษที่เขียนรายชื่อกางออก

"นี่เป็นชื่อคนที่ถูกท่านลงโทษ รายชื่อเรียงเต็มหน้ากระดาษไปหมดน่ะ"

"โอ้..มีมากถึงเพียงนี้เลยหรือ?"
ไทโรอีคนน้ำชาจนแตกฟองได้ที่ ก็หมุนถ้วยชา3รอบ แล้วยื่นวางตรงด้านหน้าให้ท่านเท็นโชอิน

แล้วท่านเท็นโชอินก็รับถ้วยชาขึ้นจากพื้น (ซึ่งขณะนั้นไทโรอีก็ก้มหัวทำนองเชื้อเชิญ) เมื่อท่านเท็นโชอินรับถ้วยมาแล้วก็จะก้มหัวเล็กน้อยทำนองขอบคุณ



แล้วท่านเท็นโอินก็วางถ้วยชาลงอีกพื้นอีกครั้ง ก่อนจะที่หยิบเฉพาะถ้วยขึ้นมาจากจานรองขึ้นดื่ม หมุนถ้วยเข้าหาตัวก่อนแล้วจึงดื่ม

ขณะที่ท่านเท็นโชอินกำลังดื่มชาและสัมผัสถึงรสชาติและกลิ่นของชาอยู่นั้น จู่ๆท่านก็มีอาการอึ้ง! และมีสีหน้าดูผิดปกติ!?

ไทโรอี "รสชาติเป็นอย่างไรขอรับ?"

"เจ็บใจ..แต่ก็.." / "ขอรับ?"


แล้วสีหน้าท่านเท็นโชอินก็เริ่มผ่อนคลายลงและดูแจ่มใสขึ้น "ข้าไม่เคยดื่มชาที่อร่อยแบบนี้มาก่อน" / "ดีใจนัก ที่ได้รับคำชมจากท่าน"

"แล้วท่านไปได้ชารสชาติเลิศนี้มาจากไหนล่ะ?" / "ข้าสนใจศึกษาเรื่องที่เกี่ยวกับชามาหลายปีแล้วขอรับ"

"อย่างนั้นเองหรอกเหรอ.."
ท่านเท็นโชอินยกชาขึ้นดื่่มอีกครั้ง

"แต่ว่าท่านเท็นโชอินก็เป็นคนตรงไปตรงมาดีนะขอรับ ชมว่าชาอร่อยทั้งที่ชงโดยคนที่ตัวเองแสนจะเกลียด เพราะถ้ามีทิฐิก็คงจะไม่พูด"

ท่านเท็นโชอินดื่มหมดแล้ววางถ้วยลง "ข้าจะพูดตรงตามสิ่งที่ตัวเองคิดเสมอ และรสชาติของชามันก็ไม่ได้เกี่ยวกับการกระทำที่โหดร้าย..ไร้มนุษยธรรมของท่าน"

ไทโรอีเอื้อมไปหยิบถ้วยชากลับมา "เรื่องราวในครั้งนี้อาจจะทำให้น้ำร้อนซึมซาบถึงแก่นแท้ของรสชาติชามากขึ้นก็ได้"

ท่านเท็นโชอิน "ทั้งที่ทำร้ายผู้คนให้ทกุข์ทรมานมากมายถึงเพียงนั้นน่ะเหรอ.."

ไทโรอี "มีเรื่องนึงที่ข้าอยากจะขอถามท่านได้มั้ย?" / "อะไรล่ะ?"

"ท่านเท็นโชอินคิดว่า ในยุคสมัยนี้สมควรที่จะขับไล่คนต่างชาติต่อไปอีกหรือไม่ขอรับ?" / "เรื่องนั้นน่ะ..คงเป็นไปไม่ได้"

"ข้าก็คิดเช่นนั้น แต่ว่า..การต่อต้านคนต่างชาติเป็นอุดมการณ์ของคนที่่ยึดถือคำสั่งลับที่ออกมาจากวัง อ้างแต่ว่า จะต้องขับไล่ต่างชาติเพื่อไม่ให้มาล่วงล้ำเข้ามาใกล้องค์จักรพรรดิ เราจะวางใจมอบอนาคตของประเทศนี้ให้กับคนโง่เขลาเหล่านั้นได้หรือ?

ทั้งหมดที่นาโอาสุเกะคนนี้ทำลงไปก็เพื่อปกป้องประเทศชาติของเรา เราจำเป็นต้องทำสนธิสัญญาทางการค้า ก็เพื่อปกป้องประเทศของเราจากพวกต่างชาติ และเพื่อปกป้องประเทศชาติของเราจากคนโง่เขลา ก็คงหลีกเลี่ยงจากการถูกเคียดแค้นชิงชังได้ยาก"


"แล้วที่ทำให้เลือดนองทั่วแผ่นดินนั้น ท่านไม่ละอายต่อฟ้าดินบ้างเหรอ?" ท่านเท็นโชอินถามตรงและแรง

"ไม่เคยแม้แต่จะคิด! เพราะข้าถือว่า..ได้ทำตาม
ภาระหน้าที่ของตัวเองจนสมบูรณ์แล้ว"

"ภาระหน้าที่เหรอ?" / "ใช่แล้ว
หน้าที่ขอรับ!"

สายตาของคนทั้งสองต่างจ้องกัน

"ท่านยึดถือสิ่งนั้นมากถึงเพียงนี้เชียวหรือ?" / "ขอรับ"

เมื่อได้ยินคำตอบที่หนักแน่นและชัดเจนจากไทโรอี เพียงครู่ที่ท่านเท็นโชอินหยุดคิด สีหน้าที่เคร่งเครียดของท่านเท็นโชอินก็ค่อยๆผ่อนคลายลง และดูเป็นกันเองมากขึ้น

"จากนี้ไป..ท่านจะชงชาให้ข้าดื่มอีกได้มั้ย?" / "เป็นเกียรติสำหรับข้าอย่างยิ่งขอรับ"

"ที่สัทสุมะสอนกันว่า จงอย่าฟังความข้างเดียว ข้าก็เลยอยากได้ยินฟังจากปากของท่านเอง" / "กับผู้ที่อุตส่าห์ชมรสชาติชาของข้า ข้าเองก็คิดที่จะเปิดอกพูดเช่นกัน"

ท่านเท็นโชอินยิ้มเมื่อได้ยินไทไรอีตอบเช่นนั้น

"จริงสิ! เกือบลืมซะสนิท" แล้วท่านเท็นโชอินก็หันไปหยิบผ้าชิ้นหนึ่งออกมา แล้ววางตรงหน้าไทโรอี



"นี่คือ?" / "เป็นผ้าที่เย็บด้วยจักรเย็บผ้าจากต่างประเทศ ข้าตั้งใจที่จะเย็บมาให้ท่านเชียวนะ"

"เอามาให้ข้ารึขอรับ!?"
ไทโรอีมีน้ำเสียงดีใจปนแปลกใจ

"เพื่อขอบคุณน้ำชาของวันนี้ไง"

เมื่อไทโรอีหยิบผ้าเช็ดหน้าจากท่านเท็นโอชินขึ้นมา ค่อยๆคลี่ออกแล้วพินิจดู จากอดีตสีหน้าไทโรที่เคยดุดันและเคร่งขรึมต่อหน้าท่านเท็นโชอินมาตลอด แต่มาบัดนี้กลับเปลี่ยนแปลงไปอย่างตรงกันข้าม เพราะไทโรอีเริ่มรู้ซึ้งถึงน้ำใจที่แท้จริงของท่านเท็นโชอินแล้ว

"ข้ารู้สึกเหมือนว่ามาตอนนี้ข้า..พอจะเข้าใจ ความรู้สึกของท่านคุโบคนก่อนขึ้นมาบ้างแล้ว" (ไทโรอีน้ำตาเริ่มคลอนิดๆ)

"วันนี้น่ะ เป็นวันทีี่่เราต่างก็เข้าใจกันมากขึ้นหลายเรื่องนะ"

"จริงอย่างที่ท่านพูดแล้วล่ะขอรับ"

วันนี้เป็นวันที่ท่านเท็นโชอินได้มีโอกาสชิมชาที่ท่านอีชงให้ เพียงครั้งเดียวในชีวิต ไม่มีวันที่จะหวนกลับมาได้อีก


-----------------------

ตอนไทโรอี ยังไม่จบ โปรดติดตามจุดจบของไทโรอีในตอนต่อไปครับ


คลิกอ่าน ตอน3


วันอาทิตย์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ทำไมทหารต้องฆ่าประชาชนที่โดนหลอกมาตาย 1





บทความที่ผมจะเขียนต่อไปนี้ จะเรียกได้ว่า เป็นบทความที่จะแบ่งเป็นตอนๆ ค่อยๆ ลำดับความและเหตุผล ว่าทำไมทหารถึงจำเป็นต้องฆ่าประชาชนที่ทั้งโดนหลอกและไม่โดนหลอกมาตาย แล้วทำไม เราถึงไม่อาจถือโทษหรือโกรธทหารได้ทั้งหมด เพราะอะไร?

แล้วทำไมการที่ทหารฆ่าประชาชนในเหตุการจราจลหลายๆครั้งในอดีต จึงไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพระมหากษัตริย์โดยตรงเลย แต่พวกล้มเจ้ามักจะใส่ร้ายใส่ความการตายของประชาชนเหล่านั้นกล่าวหาไปที่พระมหากษัตริย์ ว่าพระองค์มีส่วนร่วมในการสั่งการ

หากคุณได้อ่านบทความในแต่ละตอนของผมไปเรื่อยๆ จนบทสุดท้ายในซีรีย์นี้ คุณจะเข้าใจว่า ทำไมทหารถึงไม่ผิดที่ฆ่าประชาชนที่โดนหลอกหรือไม่โดนหลอกให้มาตายครับ

และทำไมต่อมา ในวันนี้อดีตคอมมิวนิสต์หลายๆ คนถึงได้จงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์

-----------------------------


ตอนแรกนี้ผม ขอยกตัวอย่างมาจาก ละครเรื่องหนูน้อยมารุโกะ จอมซ่า


คุณลุงคนขับรถ                                                   เพื่อนของมารุโกะผู้ร่ำรวย

ลุงคนขับรถของเพื่อนผู้ร่ำรวยของมารุโกะ ได้สร้างความประทับใจให้กับมารุโกะอย่างมาก เพราะลุงคนขับรถสามารถพูดคุยกับฝรั่งที่อยู่ในงานวัดประจำปีของเมืองได้อย่างคล่องแคล่ว


วันหนึ่งมารุโกะได้รับเชิญจากเพื่อนร่ำรวยให้ไปทานอาหารที่คฤหาสถ์ มารุโกะได้ทราบประวัติลุงคนขับรถจากเพื่อนว่า ลุงเรียนจบขั้นมหาวิทยาลัย และอยู่ทำงานให้กับตระกูลนี้มาตั้งแต่รุ่นคุณปู่ของเพื่อนมารุโกะ

แต่แล้ววันนั้นลุงคนขับรถได้ล้มป่วยลง มารุโกะจึงได้เข้าไปเยี่ยม

ซึ่งคุณลุงคนขับรถของเพื่อนมารุโกะ ก็ได้มีโอกาสเล่าความหลังของตัวเองสมัยสงครามให้มารุโกะฟัง

ลุงคนขับรถได้เล่าให้มารุโกะฟังว่า ลุงได้เคยเป็นทหารไปรบในสงครามโลกครั้งที่2 ซึ่งครั้งนึงคุณลุงกับเพื่อนทหารที่ร่วมรบด้วยกันอีก1คน ได้ไปติดบนเกาะแห่งหนึ่ง ซึ่งตอนนั้นทั้งสองคนไม่มีกระสุนปืนเหลืออยู่แล้ว

ทั้งคู่ต่างคิดว่า ตัวเองอาจไม่ได้กลับไปเจอลูกเมียและคนที่ตัวเองรักอีก

คุณลุงคนขับรถนั่งดูรูปลูกกับเมียของตน ส่วนเพื่อนทหารของคุณลุงยังไม่แต่งงานได้หยิบเครื่องรางที่ห้อยคอของตัวเองซึ่งคู่หมั้นของเขาได้ให้มาก่อนมารบออกมาดู



เพื่อนทหารของคุณลุงได้บอกกับคุณลุงว่า หากเขาตายช่วยนำข่าวและเครื่องรางของเขาไปมอบให้คู่หมั้นของเขาด้วย แต่คุณลุงกลับบอกว่า ไม่หรอกคุณต้องไม่ตาย คุณจะได้ไปพบคู่หมั้นของคุณอีกแน่นอน

และคุณลุงคนขับรถก็บอกต่ออีกว่า แต่ถ้าหากผมตายแล้วคุณรอด คุณก็ช่วยไปบอกลูกกับเมียของผมว่าผมตายแล้วด้วยนะ พวกเขาจะได้ไม่ต้องรอผมอีก

ขณะนั้นเอง คุณลุงกับเพื่อนก็ได้ยินเสียงคนเดินมา จึงแอบขึ้นไปซุ่มมอง เห็นเป็นทหารอเมริกัน1นายเดินผ่านมา



แต่พอทหารอเมริกันหันมาเห็นลุงกับเพื่อน ก็เปิดฉากระดมยิงใส่ลุงกับเพื่อนทันที!!


ลุงกับเพื่อนรีบหลบลงทันที แล้วจึงปรึกษากันว่า จะทำอย่างไรต่อดี? ในเมื่อเราทั้งสองคนไม่มีกระสุนปืนเหลือเลย สุดท้ายทั้งคู่จึงตัดสินใจขอยอมแพ้ดีกว่า เพราะคิดว่าถ้ายอมแพ้ ก็ยังมีโอกาสรอดกลับบ้าน


แต่ทหารอเมริกัน กลับไม่สนใจ กลับคิดปาระเบิดใส่ลุงและเพื่อน ซึ่งเมื่อลุงและเพื่อนเห็นดังนั้น ก็รีบหลบลงทันที



แต่ว่า ระเบิดมือเกิดระเบิดก่อนที่จะมาถึงลุงและเพื่อน ทำให้ทหารอเมริกันกลับโดนระเบิดเสียเอง

และเมื่อลุงกับเพื่อนลุกออกจากที่หลบ เพื่อไปดูทหารอเมริกันที่เงียบหาย ก็พบว่าทหารอเมริกันนายนี้ ใกล้จะเสียชีวิตแล้ว ซึ่งเขาก็ได้หยิบรูปครอบครัวลูกเมียของเขาออกมาดูก่อนที่จะตาย


ทหารอเมริกันได้ขอโทษลุงกับเพื่อน และได้ขอร้องลุงกับเพือนก่อนตายว่า ช่วยฝากบอกข่าวแก่ลูกเมียของเขาด้วยว่าเขาได้ตายในสนามรบแล้ว (มีที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อของเขา)

ลุงและเพื่อนได้รับปากเขา และลุงได้พูดกับทหารอเมริกันว่า เราทั้งสองฝ่ายต่างมาทำหน้าที่ของตัวเอง เราต่างก็มีคนที่เรารักรออยู่ที่บ้านเหมือนกัน เราไม่โกรธแค้นคุณ

หลังจากนั้นลุงกับเพื่อน ก็ได้ช่วยกันฝังศพทหารอเมริกันนายนี้อย่างสมเกียรติ



และสุดท้ายลุงคนขับรถ ก็ได้กลับไปเจอลูกเมียที่บ้านในที่สุด



----------------------

หลังจากได้อ่านเรื่องที่ผมยกตัวอย่างนี้แล้ว คุณผู้อ่านได้ข้อคิดอะไรจากเรื่องนี้

ซึ่งผมคงยังไม่ขอสรุปอะไรในตอนนี้ แต่จะเขียนเล่าต่อในบทความตอนต่อไปครับ


คลิกอ่านต่อตอน2 !!


วันจันทร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2555

การบนบานศาลกล่าวเป็นบาป !!






ก่อนอื่น ผมขอเล่าก่อนว่า บทความดังต่อไปนี้ เป็นบทความที่ผมตั้งใจจะเขียนเมื่อเกือบ3ปีที่แล้ว แต่ไม่ได้เขียนสักที ในขณะที่ผมกำลังเขียนนี้ เป็นวันที่เข้าสู่วันวิสาขบูชา ครั้งสำคัญ คือเป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ครบรอบ2,600ปี

หรือที่ทางสำนักพุทธศาสนาของไทย ใช้คำว่า พุทธชยันตี ซึ่งมาจากคำว่า

พุทธ แปลว่า ผู้รู้แจ้ง และคำว่า ชยันตี แปลว่า ผู้ชนะ

พุทธชยันตี จึงแปลว่า ชัยชนะแห่งพุทธะ

เนื่องในวโรกาสดีๆ เช่นนี้ ผมจึงขอนำเสนอบทความนี้เพื่ออุทิศแด่คุณพระศรีรัตนตรัย เหตุผลเพราะไม่อยากให้คนไทยจำนวนมากหลงเดินทางผิด ทำบาปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ในการชอบบนบานศาลกล่าวต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์กัน

เนื้อหาส่วนใหญ่ในบทความนี้ ผมไม่ได้เขียนขึ้นเอง แต่ผมลอกมาจากหนังสือสวดมนต์เล่มนึงที่พิมพ์แจกเป็นธรรมทาน แต่เพราะเป็นการพิมพ์แจก จึงอาจทำให้หลายคนมองข้ามเนื้อหาดีๆ ข้างในไป

ผมอยากจะบอกและเตือนพี่น้องชาวพุทธทุกท่านว่า การบนบานศาลกล่าว เป็นการกระทำที่ผิด ซึ่งชาวพุทธไม่ควรกระทำอย่างยิ่ง เพราะเป็นการลบหลู่พระรัตนตรัย เป็นการทำบาป ตามเนื้อหาที่ผมจะนำเสนอดังต่อไปนี้ครับ

------------------------------

คำขอขมาพระรัตนตรัย ฉบับเต็มโดยสมบูรณ์

ข้าพระพุทธเจ้า....(เอ่ยชื่อและนามสกุลตนเอง)... ได้เคยพูด คิด หรือกระทำการใดๆ อันเป็นการปรามาส พลาดพลั้ง ผิดพลาด ดูหมิ่น มิสมควรต่อพระรัตนตรัย คือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ จะด้วยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี โดยรู้เท่าถึงการณ์ก็ดี รู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี โดยระลึกได้ก็ดี โดยระลึกไม่ได้ก็ดี จะกี่ภพกี่ชาติก็ดี ในชาตินี้ก็ดี

ขอองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ตลอดทั้งทวยเทพทุกพระองค์ที่ดูแลพระศาสนา ณ ทุกหนแห่ง และ ณ ที่นี้ อีกทั้งเทพเทวดาทุกๆ พระองค์ ที่ดูแลรักษาชีวิตของข้าพระพุทธเจ้า ได้โปรดประทานพระมหากรุณาธิคุณ อโหสิกรรมโทษ ละเว้นโทษ งดโทษ หยุดและอดโทษ ให้แก้ข้าพระพุทธเจ้า นับตั้งแต่บัดนี้เวลานี้เป็นต้นไป จนกว่าข้าพระพุทธเจ้าจะเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน ในอนาคตกาลเบื้องหน้าเทอญ

ในอดีตชาติก็ดี ชาตินี้ก็ดี ถ้าข้าพระพุทธเจ้าได้เคยติดสินบนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ หรือเทพเทวดาพระองค์ใด แล้วลืมแก้บนก็ดี แก้บนแล้วก็ดี บัดนี้ข้าพระพุทธเจ้าสำนึกบาปแล้วว่า ข้าพระพุทธเจ้าเป็นมนุษย์ต่ำต้อย มิสมควรติดสินบน เสมือนการต่อรอง ต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ หรือเทพเทวดาพระองค์ใดๆ

ณ โอกาสนี้ ข้าพระพุทธเจ้าขอน้อมถวายมหาสังฆทาน คือกราบขอขมาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์และเทพทุกๆ พระองค์ ที่ข้าพระพุทธเจ้าได้เคยติดสินบน อย่าได้ถือโทษ ลงโทษ เอาโทษ ต่อข้าพระพุทธเจ้าอีกต่อไปเลย

โดยข้าพระพุทธเจ้าให้สัญญาว่า นับตั้งแต่บัดนี้ เวลานี้เป็นต้นไป ถ้าวันใดข้าพระพุทธเจ้าจะต้องประสบปัญหาชีวิต การงาน การเงิน ชีวิตครอบครัว ชีวิตสังคม และไม่สามารถจะแก้ไขปัญหาทั้งหลายเหล่านั้ด้วยสติปัญญาของข้าพระพุทธเจ้าเองเมื่อใด ข้าพระพุทธเจ้าจะขอพรอย่างเดียว โดยไม่ติดสินบนอีกตลอดไป

เพื่อความเป็นสิริมงคลต่อชีวิตของข้าพระพุทธเจ้า

ณ โอกาสนี้ ข้าพระพุทธเจ้าขอน้อมกราบสักการะต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สถิตอยู่ ณ ที่นี้และทั่วสากลโลกได้โปรดประทานพรให้แก่ข้าพระพุทธเจ้า ทุกคนในครอบครัว บริวารและผู้มีพระคุณ ขอให้มีแต่ความสุขกายและใจ ขอให้มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด มีหูทิพย์ ตาทิพย์ กายทิพย์ ใจทิพย์

ขอให้ห่างไกลจากศัตรูหมู่มาร พบเจอกัลยาณมิตร ขอให้ศัตรูกลับใจมาเป็นมิตร แต่ถ้าวันใดข้าพระพุทธเจ้าจะต้องเผชิญกับศัตรูหมู่มารอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็ขอให้ข้าพระพุทธเจ้าจงชนะศัตรูหมู่มารทั้งหลายเหล่านั้น ด้วยธรรมะของพระพุทธเจ้าตลอดไป

และขอให้ข้าพระพุทธเจ้าดำเนินชีวิตไปทางใด ขอให้เป็นที่รักใคร่ของทุกคนที่พบเห็น ขอให้ชีวิตของข้าพระพุทธเจ้ามีประโยชน์ต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ตลอดทั้งชาตินี้และทุกภพทุกชาติตราบจนเข้าถึงพระนิพพานด้วยเทอญ.

สาธุ

--------------------


เมื่อเกือบ 3 ปีก่อน ครอบครัวผมประสบเรื่องร้ายอย่างสาหัส คุณผู้อ่านที่ตามอ่านเจ้าหญิงอัตสึที่รัก ที่ผมเขียน คงจำกันได้ :ซึ่งเป็นเหตุให้ผมไม่สามารถเขียนเจ้าหญิงอัตสึต่อได้อีก ช่วงนั้นผมเลยได้มีโอกาสอ่านหนังสือสวดมนต์เล่มนี้ และได้เจอคำขอขมาพระรัตนตรัย บทนี้

ผมได้อ่านคำขอขมาพระรัตนตรัยบทนี้ทุกวัน ในที่สุด ครอบครัวผมก็ผ่านพ้นเรื่องร้ายมาได้

นอกจากคำขอขมาพระรัตนตรัยบทนี้ ได้สอนผมให้เข้าใจบาปกรรมจากการบนบานศาลกล่าวต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว

โดยส่วนตัวผมเชื่อว่า คำขอขมาพระรัตนตรัยบทนี้มีความศักดิ์สิทธิ์ในตัวเอง และได้ช่วยให้ครอบครัวผมรอดพ้นเรื่องร้ายในวันนั้นมาได้

แต่ถึงที่สุดแล้ว ถ้าจะว่ากันด้วยเหตุผลจริง ๆ พระท่านก็คงช่วยอะไรไม่ได้มากนัก หากกฎแห่งกรรมจะส่งผลจริง ๆ พระท่านคงช่วยได้แค่ผ่อนหนักให้เบาลงได้บ้างไม่มากก็น้อย

หากเมื่อคนเราจะถึงที่ตายจริง ๆ ก็คงไม่มีใครหนีกฎแห่งกรรมพ้น เพียงแต่ว่า การที่เราขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก็ช่วยให้เราสบายใจขึ้นบ้าง และย่อมดีกว่าเราได้ทำบาปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์จากการไปบนบานศาลกล่าว ซึ่งนั่นกลับยิ่งก่อบาปกรรมให้แก่เรามากขึ้น



ผู้ติดตาม