วันอาทิตย์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2553

การทำบุญแบบบำรุงกิเลส



ศาสนาพุทธ เรามีการสอนเรื่องบุญและการทำบุญ ซึ่งคำว่าบุญ แปลว่า เครื่องชำระจิตใจให้บริสุทธิ์สะอาด หรือ คุณสมบัติที่ทำให้บริสุทธิ์

เพราะคนไทยส่วนใหญ่มักเข้าใจว่า บุญคือ อะไรบางอย่างที่สะสมได้เหมือนเก็บเงิน โดยไม่ได้เน้นไปที่เรื่องการยกระดับจิตใจ เน้นการสะสมบุญเหมือนการสะสมเงินทองที่หวังไว้เอามาใช้เพื่อบำรุงบำเรอให้มีความสุขสบายในอนาคต


แต่ความจริงที่ถูกต้อง บุญนั้นเราต้องเน้นไปที่การพัฒนาจิต เพราะจิตที่ถูกยกระดับให้สูงขึ้้น บริสุทธิ์ขึ้นจึงจะเรียกว่า เป็นบุญกุศลที่แท้จริง

การทำบุญมีจุดประสงค์ที่แท้จริงก็เพื่อยกระดับจิตใจ เช่นทำบุญบริจาคทรัพย์ ก็เพื่อลดละความโลภในทรัพย์สินเงินทอง เป็นต้น


ส่วนรายละเอียดเกี่ยวกับบุญที่ถูกต้อง ผมขอแนะนำให้ไปอ่านที่ คลิกที่นี่


------------------------

การทำบุญหวังผล

แต่คนไทยเรามักคิดว่า ทำบุญอย่างนั้น เพื่อหวังจะได้ผลอย่างนั้นอย่างนี้ เช่น การทำบุญด้วยการบริจาคทาน หวังจะทำให้ร่ำรวย


การทำบุญด้วยการถวายดอกไม้แก่พระสงฆ์จะมีร่างกายสง่างดงาม  การปล่อยปลาปล่อยสัตว์จะอายุยืนขึ้นเป็นต้น


ซึ่งวิธีคิดแบบนั้นก็ไม่ผิด แต่ก็เป็นความคิดที่ไม่ค่อยจะถูกต้องนัก เพราะเป็นการคิดทำบุญแบบมีกิเลส ซึ่งจะไม่ได้ผลตามที่ว่านั้นเท่าไหร่นัก (คือได้ผลบ้างแต่ไม่มาก)

เพราะเป็นการคิดทำบุญแบบทำหวังผลย้อนกลับคือเพื่อหวังผลตอบแทน ไม่ใช่การทำเพราะใจจริงอยากทำเอง

ที่จริงเวลาพระพุทธเจ้าทรงสอน เช่น สมมุติถ้ามีคนถามพระพุทธเจ้าว่า ทำไมคน ๆนั้นจึงมีผิวพรรณสวยงาม

พระพุทธเจ้าอาจทรงตอบว่า เพราะคน ๆ นั้นเขาไม่โกรธ ไม่โมโห รู้จักอภัยแก่คนอื่น มีจิตเมตตา ไม่ริษยา ประกอบเขาได้หมั่นถวายดอกไม้แก่ผู้ทรงศีลเสมอ จึงเกิดมาผิวพรรณสวยงาม


แต่นั่นเพราะคน ๆ นั้นเขาทำบุญอย่างเป็นกิจวัตรอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ได้จงใจกระทำเพื่อหวังผลตอบแทน แต่เขากระทำไปตามวิสัยธรรมชาติของเขา ไม่ฝืน ไม่เสแสร้ง ไม่ได้หวังผลว่าทำแล้วจะได้อะไรตอบแทน เขาจึงได้บุญจากการกระทำเขาเต็มที่!!

แต่คนที่คิดทำบุญแบบย้อนกลับคือ พอตัวเองอยากจะสวย ก็เลยอยากจะไปถวายดอกไม้แก่พระสงฆ์ (เพื่อหวังผลว่าชาติหน้าจะเกิดมาสวย) แต่ถ้าไม่ลดละความโกรธและกิเลสของตนลง แบบนี้ก็จะไม่ได้ผลอะไรนัก เพราะไม่ได้เป็นไปตามธรรมชาติ ที่ทำไปเพราะมีกิเลสอยากสวย ก็จะไม่ได้ตามที่หวังสักเท่าไหร่นัก คือก็ได้ แต่ได้น้อย 

----------------------------------

ทำบุญหวังรวย!!


สังเกตได้ว่า ตามวัดดังๆหลายแห่งที่มีคนทำมาบุญเยอะ มักมีแผงขายล็อตเตอรี่ตั้งขายอยู่มากมาย เพราะคนไทยชอบทำบุญแล้วหวังรวย พอทำบุญเสร็จก็หวังผลตอบแทนโดยการเสี่ยงโชค หวังรวย


การทำบุญแล้วหวังรวย แค่ทำบุญไปไม่กี่ร้อยกี่พันบาทเสร็จแล้ว ก็ออกมาซื้อล็อตเตอรี่ เพื่อหวังได้คืนมากกว่าที่ทำบุญไป แบบนี้เรียกว่าเป็นการทำบุญที่เต็มไปด้วยกิเลส ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง และไม่ได้ผลบุญเท่าที่ควร เพราะไม่ได้ยกระดับจิตใจใด ๆ


อาจจะมีบางคนโชคดีถูกรางวัลในวันที่ไปทำบุญที่วัด แต่นั่นไม่ใช่เพราะการทำบุญจากในวันนั้นแน่ ๆ 

ทำบุญ 20 บาท อธิษฐานขอให้ถูกหวยรางวัลที่ 1


เราอย่ามองว่าบุญ เป็นเหมือนทรัพย์สิน เช่น เงิน เพราะยิ่งมองว่าบุญเป็นทรัพย์สินมากเท่าใด บุญของเรานั้นจะด้อยค่าลงทันที

แต่ให้มองบุญคือบุญ คือการสั่งสมความดีและความเพียร เพื่อเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงเราจนกว่าจะสำเร็จมรรค ผล นิพพาน 

ทำบุญ ทำกุศล เพราะขัดเกลาจิตใจเรา ส่วนจะสะสมแค่ไหน จะได้รับอะไรตอบแทน อย่าไปคิด อย่าไปหวัง ลืม ๆ ไปซะ แค่รู้สึกอิ่มเอมใจเมื่อได้ทำบุญ หรือนึกถึงบุญก็พอ

-----------------------------


ผมชอบพวกฝรั่งที่เขาทำการกุศล เช่นบริจาคทรัพย์หรือสละแรงกายเพื่อช่วยเหลือคนที่ด้อยกว่า ทั้งๆที่ฝรั่งเขาไม่ได้รู้จักเรื่องบุญเหมือนที่คนไทยเรารู้


แต่ฝรั่งดีๆเขาทำความดี ช่วยเหลือผู้อื่นด้วยใจจริงๆ ไม่ได้หวังบุญแบบที่คนไทยหวัง

แบบนี้แหล่ะครับ ที่ทำให้ฝรั่งดีๆเหล่านั้นได้บญไปเต็มๆ เพราะเขาทำความดีโดยไม่ได้หวังบุญ (แบบที่คนไทยชอบคิดว่าบุญเป็นทรัพย์สินที่จะได้ผลตอบแทนคืนมา)


เพราะแบบนี้หรือเปล่านะ คนที่รวยที่สุดในโลกถึงเป็นพวกฝรั่งซะเยอะ!! แถมฝรั่งก็มีชีวิตความเป็นอยู่ที่เจริญกว่าเรา นั่นเพราะเขาทำความดีโดยไม่ได้หวังบุญตอบแทนก็เป็นไปได้นะ ผมว่า... 

ก็เพราะฝรั่งเขาทำบุญเพราะเขาอยากทำ

--------------------------------------------

วอร์เรน บัฟเฟต และ บิล เกตต์ มหาเศรษฐีรวยที่สุดของโลกทั้ง2คน เขาคิดทำบุญด้วยการบริจาคทรัพย์ส่วนใหญ่ที่มีของเขาเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น แทนที่จะคิดสะสมไว้ให้ลูกหลานวงศ์ตระกูลของเขาเหมือนแบบที่เศรษฐีไทยทำ เพราะอะไร??รู้มั้ย??


ลองไปอ่านดู คลิกทีนี่ครับ


คลิกอ่าน ทำบุญทุกวันไม่ยาก ด้วยการอนุโมทนาบุญ

วันเสาร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2553

คู่มือดับทุกข์ 105 ข้อตามหลักพุทธศาสนา




ผมได้อ่านคู่มือดับทุกข์นี้มาจากเว็บธรรมจักร และผมยังมีโอกาสได้เห็นหนังสือเล่มเล็ก ๆ ชื่อเดียวกันนี้ตามสถานที่ต่าง ๆ ที่วางไว้เป็นวิทยาทานแก่ผู้ต้องการอ่าน

ผมอ่านแล้วยอมรับว่า นี่คือวิธีดับทุกข์ที่ดีและถูกต้อง เห็นผลwfhจริง จึงขอลอกมาให้คุณผู้อ่านของผมได้อ่านด้วยกันครับ

ลองค่อยๆ อ่านไปทีละข้อ แล้วคิดตามไปเรื่อยๆ ทีละข้อ จนถึงข้อสุดท้าย

แล้วคุณผู้อ่านจะได้รับคำตอบที่ชัดเจนในการรับมือการปัญหาทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิต ทั้งทุกข์จากโรคภัยไข้เจ็บ ทุกข์จากใจต่างๆ และการรับมือ

ถ้าใครมีทรัพย์มีทุนอยากทำบุญทำกุศลก็เอาไปพิมพ์แจกเป็นธรรมทานก็ยิ่งดีครับ

-----------------------------

คู่มือดับทุกข์ ตามหลักพุทธศาสนา



1. จงประพฤติศีล 5 ให้สมบูรณ์ ด้วยการไม่ฆ่าสัตว์ทุกชนิด, ไม่ขโมยสิ่งของ ๆ ใคร, ไม่ประพฤติผิดในกาม, ไม่โกหกหลอกลวงใคร และไม่ดื่มหรือเสพสิ่งเสพติดมึนเมา

2. แบ่งเวลาในแต่ละวันให้พอเหมาะพอดีแก่สภาพชีวิตของตัวเอง มีเวลาทำงานเพียงพอ มีเวลาพักผ่อนเพลิดเพลินในครอบครัวตามสมควร สำหรับผู้ที่เป็นฆราวาสและมีเวลาฝึกสมาธิเพื่อทำจิตให้สงบ

3. ในการฝึกสมาธินั้น ให้นั่งอยู่อย่างสงบสำรวมอย่าเคลื่อนไหวอวัยวะมือเท้า จะนั่งกับพื้น เอาขาทับขาข้างใดข้างหนึ่งก็ได้ หรือจะนั่งพับเพียบก็ได้ หรือจะนั่งบนเก้าอี้ตามสบายก็ได้ ไม่มีปัญหา

4. วิธีการฝึกสมาธินั้น ขอให้เข้าใจว่า ท่านจะทำจิตให้สงบ ปราศจากความคิดนึกปรุงแต่งในเรื่องภายนอก ทุกอย่างชั่วระยะเวลาที่ทำสมาธินั้น ท่านจะไม่ปรารถนาที่ จะพบเห็นรูป สี แสง เสียง สวรรค์นรก หรือเทวดาอินทร์พรหมที่ไหน เพราะสมาธิที่แท้จริงย่อมจะไม่มีสิ่งเหล่านั้นอยู่ในจิตใจ สมาธิที่แท้จะมีแต่จิตที่สะอาดบริสุทธิ์ และสงบเย็นเท่านั้น

5. พอเริ่มทำสมาธิโดยปกติแล้วให้หลับตาพอสบายสำรวมจิตเข้านับที่ลมหายใจ ทั้งหายใจเข้าและหายใจออกโดยอาจจะนับอย่างนี้ว่า หายใจเข้านับ 1 หายใจออกนับ 2 อย่างนี้เรื่อยไป ทีแรกนับช้า ๆ เพื่อให้สติต่อเนื่องอยู่กับการนับนั้น แต่ต่อไปพอจิตสงบเข้าที่แล้ว มันก็จะหยุดนับของมันเอง

6. หรือบางทีอาจจะกำหนดพุทโธก็ได้ หายใจเข้ากำหนดว่า พุท หายใจออกกำหนด ว่า โธ อย่างนี้ก็ได้ ไม่ขัดแย้งกันเลย เพราะการนับอย่างนี้มันเป็นเพียงอุบายที่จะทำให้จิตหยุดคิดนึกปรุงแต่งเท่านั้น

7. แต่ในการฝึกแรก ๆ นั้น ท่านจะยังนับ หรือกำหนดไม่ได้อย่างสม่ำเสมอ หรือ อย่างตลอดรอดฝั่ง เพราะมันมักจะมีความคิดต่าง ๆ แทรกเข้ามาในจิต ถ้าเป็นอย่างนี้ก็ช่างมัน ให้เข้าใจว่า ฝึกแรก ๆ มันก็เป็นอย่างนี้เอง แต่ให้ท่านตั้งนาฬิกาเอาไว้ตามเวลาที่พอใจว่าจะทำสมาธินานเท่าไร เริ่มแรกอาจจะทำสัก 15 นาที อย่างนี้ก็ได้ และให้เฝ้านับหรือกำหนดอยู่จนครบเวลาที่ตั้งไว้ จิตมันจะมีความคิดมากหรือน้อย ก็ช่างมัน ให้พยายามกำหนดนับตามวิธีการที่กล่าวมาแล้วจนครบเวลา ไม่นานนัก จิตมันก็จะหยุดคิดและสงบได้เองของมัน

8. การฝึกสมาธินี้ได้พยายามทำทุกวัน ๆ ละ 2-3 ครั้ง แรก ๆ ให้ทำครั้งละ 15 นาที แล้วจึงค่อยเพิ่มมากขึ้น ๆ จนถึงครั้งละ 1 ชั่วโมง หรือกว่านั้น ตามที่ปรารถนา

9. ครั้นกำหนดจิตด้วยการนับอย่างนั้นจนมีประสบการณ์พอสมควรแล้ว ท่านก็จะรู้สึกว่า จิตนั้นสะอาด สงบ เย็น ผ่องใส ไม่หงุดหงิด ไม่หลับไหล ไม่วิตกกังวลกับสิ่งใด นั่นแหละคือสัญลักษณ์ที่แสดงว่า สมาธิกำลังเกิดขึ้นในจิต

10. เมื่อจิตสงบเย็น ไม่หงุดหงิดเช่นนั้นแล้ว อย่าหยุดนิ่งเฉยเสีย แล้วให้ท่านเริ่มน้อมจิตเพื่อจะพิจารณาเรื่องราวต่าง ๆ ต่อไป ถ้ามีปัญหาชีวิต หรือปัญหาใด ๆ ที่กำลังทำให้ท่านเป็นทุกข์กลัดกลุ้มอยู่ ก็จงน้อมจิตเข้าไปคิดนึกพิจารณาปัญหา ด้วยความสุขุมรอบคอบ ด้วยความมีสติ

11. จงยกเอาปัญหานั้นขึ้นมาพิจารณาว่า ปัญหานี้มันมาจากไหน ? มันเกิดขึ้นเพราะอะไร ? เพราะอะไรท่านจึงหนักใจกับมัน ? ทำอย่างไรที่ท่านจะสามารถแก้ไขมันได้ ? ทำอย่างไรท่านจึงจะเบาใจและไม่เป็นทุกข์กับมัน ?

12. การพิจารณาอยู่ด้วยจิตอันสงบอย่างนี้ การถามหาเหตุผลกับตัวเองอย่างนี้ จิตของท่านมันจะค่อย ๆ รู้เห็น และเกิดความคิดนึกรู้สึกอันฉลาดขึ้นมาโดยธรรมชาติของมัน จิตจะสามารถเข้าใจต้นสายปลายเหตุของปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจนและถูกต้อง นักปฏิบัติจึงต้องพยายามพิจารณาปัญหาต่าง ๆ อย่างนี้เรื่อยไป หลังจากที่จิตสงบแล้ว

13. ในกรณีที่ยังไม่มีปัญหาความทุกข์เกิดขึ้น หลังจากที่ทำจิตให้สงบเป็นสมาธิแล้ว จงพยายามคิดหาหัวข้อธรรมะหัวข้อใดหัวข้อหนึ่งมาพิจารณา เช่น ยกเอาชีวิตของตัวเองมาพิจารณาว่า มันมีความมั่นคง จีรังยั่งยืนอะไรเพียงไหน? ท่านจะได้อะไรจากชีวิตคือร่างกายและจิตใจนี้? ท่านจะอยู่ไปในโลกนี้นานเท่าไร ? เมื่อท่านตอบ ท่านจะได้อะไร ? ให้พยายามถามตัวเองเช่นนี้อยู่เสมอ

14. หรือท่านอาจจะน้อมจิตไปสำรวจการกระทำของตัวเองเท่าที่ผ่านมา พิจารณาดูว่า ท่านได้ทำประโยชน์อะไรให้แก่ส่วนรวมหรือไม่ ? หรือท่านได้ทำอะไรผิดพลาดไปบ้าง ? และตั้งใจไว้ว่า ต่อไปนี้ท่านจะไม่ทำสิ่งผิด จะไม่พูดสิ่งที่ไม่ดี ที่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนและไม่สบายใจ ท่านจะพูดจะทำแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่โลกนี้ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อความสะอาดบริสุทธิ์ของชีวิตของท่านเอง

15. จงเข้าใจว่า เป้าหมายที่ถูกต้องของการฝึกสมาธินั้น คือท่านจะฝึกสมาธิเพื่อให้จิตสงบจากอารมณ์ภายนอกชั่วระยะเวลาหนึ่ง เมื่อจิตสงบเป็นสมาธิแล้ว จิตนั้นจะมีกำลัง และมั่นคงสภาวะจิตเช่นนั้นเองมีความพร้อมในการที่จะรู้ จะเข้าใจปัญหาต่าง ๆ หรือสิ่งต่าง ๆ ที่แวดล้อมตัวท่านอยู่ ได้อย่างถูกต้องตามเป็นจริง

16. สรุปว่า ท่านจะฝึกสมาธิเพื่อจะเรียกกำลังจิตจากสมาธินั้นไปพัฒนาความคิดนึก หรือความรู้สึกของท่านให้ถูกต้อง ซึ่งความรู้สึกคิดนึกที่ถูกต้องนั้น แท้จริงแล้วก็คือ “ปัญญา” นั่งเอง

17. จงจำไว้ว่า ปัญหาอันยิ่งใหญ่ในชีวิตของท่านก็คือความทุกข์ ความกลัดกลุ้มใจ และความทุกข์นั้นก็จะไม่หมดไปได้เพราะการไหว้วอนบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ แต่มันจะหมดไปจากใจของท่านได้ ถ้าท่านมีปัญญารู้เท่าทันตามเป็นจริงในสิ่งที่ทำให้ท่านเป็นทุกข์นั้น

18. ดังนั้น ในการฝึกสมาธิทุกครั้ง ท่านจึงต้องกำหนดจิตใจสงบเสียก่อน จากนั้นจึงเอาจิตที่สงบนั้นมาพิจารณาทบทวนปัญหาที่ทำให้ท่านเป็นทุกข์

19. ท่านจะต้องรู้ความจริงด้วยว่า ปัญหาหลาย ๆ อย่างท่านไม่สามารถจะแก้ไขมันได้ เพราะมันเป็นสิ่งที่แก้ไขไม่ได้ตามสภาวะแวดล้อมของมัน แต่หน้าที่ของท่านคือท่านจะต้องพยายามหาวิธีทำกับมันให้ดีที่สุด โดยคิดว่าท่านทำได้ดีที่สุดเพียงเท่านี้ ผลจะเกิดขึ้นอย่างไรก็ช่างมัน ปัญหามันจะหมดไปหรือไม่ก็ช่างมัน ท่านทำหน้าที่ของท่านได้ดีที่สุดแล้ว ท่านก็ถูกต้องแล้ว เรื่องจะดีร้ายได้เสียมันก็ไม่ใช่เรื่องของท่าน

20. ท่านจะต้องเปิดใจให้กว้าง ให้ยอมรับในทุกสิ่งที่เกิดขึ้นว่ามันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ตามเหตุปัจจัยของมัน เช่นเรื่องที่ไม่ดีไม่น่าปรารถนา มันก็อาจจะเกิดขึ้นกับท่านได้ตามเหตุปัจจัยของมัน เพราะทุกสิ่งเป็นของไม่เทียงแท้แน่นอนอะไร บางทีมันก็ดี บางทีก็ไม่ดี มันเป็นอยู่อย่างนี้เอง เรื่องไม่ดีที่ไม่น่าปรารถนานั้น แท้จริงแล้วมันเป็นสิ่งที่มีอยู่คู่โลกนี้มานานแล้ว

ทุกคนที่เกิดมาในโลกก็ล้วนแต่จะต้องประสบกับมันทั้งนั้น แม้ว่าอาจจะมีลักษณะแตกต่างกับบ้างก็ตาม เรื่องไม่ดีไม่น่าปรารถนานั้น ไม่ใช่เกิดมาจากอำนาจของเทวดาฟ้าดิน ที่ไหนเลยมันเป็นของธรรมดาที่มีอยู่ในโลกอย่างนี้เอง


21. จงรู้จักธรรมะข้อที่ว่า “อนิจจตา”  (อนิจจัง) ซึ่งแปลว่าความไม่เที่ยง สิ่งที่มีเหตุปัจจัย ปรุงแต่งทั้งหลายในโลกนี้ล้วนแต่เป็นของไม่เที่ยงทั้งนั้น ความเปลี่ยนแปลงจากดีไปเป็นเลว เปลี่ยนจากความสมหวังไปเป็นความผิดหวัง ฯลฯ ก็ล้วนแต่เป็นเพราะความเป็นของไม่เที่ยงของมันนั่นเอง ดังนั้นจงอย่าเป็นทุกข์เศร้าโศกไปกับเรื่องดีร้ายได้เสียที่เกิดขึ้นกับตัวเอง

แต่จงรู้จักมันว่า มันเป็นอย่างนี้เอง มันไม่เที่ยงแท้แน่นอนเลยสักสิ่งเดียว ถ้าท่านรู้อย่างนี้ด้วยความสงบของสมาธิ จิตของท่านก็จะไม่เป็นทุกข์เลย

22. จงรู้จักธรรมะข้อที่ว่า “ทุกขตา” ซึ่งแปลว่า ความเป็นทุกข์ จงจำไว้ว่า ชีวิตของคนเรานั้นล้วนแล้วแต่มีความทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น ลักษณะของความทุกข์นั้นได้แก่ ความเกิด ความแก่ ความตาย ความเศร้าโศก ความอาลัยอาวรณ์ ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ ความคับแค้นใจ ความที่ได้รับสิ่งที่ไม่น่าปรารถนา ความพลัดพรากจากคนรักหรือของรัก และความผิดหวัง เหล่านี้แหละคือความทุกข์ที่คนทุกชาติทุกภาษาในโลกนี้กำลังประสบอยู่

23. จงรู้จักธรรมะข้อที่ว่า “อนัตตา” ซึ่งแปลว่าความไม่ใช่ตัวเราหรือของเรา หรือความปราศจากแก่นสารที่ยั่งยืนถาวร ข้อที่ว่า สิ่งทั้งหลายไม่มีตัวตนแก่นสารที่ถาวรนั้น หมายความว่า สิ่งเหล่านั้นมันจะมีอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วระยะเวลาหนึ่ง จะนานหรือไม่นานก็แล้วแต่เหตุการณ์ของมันเท่านั้นเอง มันไม่มีสิ่งใดจะคงอยู่ในโลกนี้ได้ตลอดไป ดังนั้น ตัวตนที่เป็นของยั่งยืนถาวรของมันจึงไม่มีซึ่งสิ่งเหล่านั้น มันหมายรวมทั้งร่างกายและจิตใจของเราทุกคนด้วย

24. เมื่อทุกสิ่งเป็นของไม่เที่ยง ชวนแต่จะทำให้เราเป็นทุกข์กับมัน และไม่ใช่สิ่งที่เป็นแก่นสารถาวรเช่นนั้นแล้ว เราจะมัวไปหลงใหลอยากได้อยากเป็นอะไรในมันให้มากเรื่องไปโดยเปล่าประโยชน์อีกเล่า ?

25. ในการฝึกสมาธินั้น ให้แบ่งเวลาออกเป็น 2 ช่วง คือช่วงแรก ต้องกำหนดจิตให้สงบ ไม่ต้องคิดเรื่องอะไร ส่วนช่วงที่ 2 จึงอาศัยจิตที่สงบเป็นตัวพิจารณาสิ่งต่าง ๆ อย่างรอบคอบ

26. พอครบเวลาที่กำหนดไว้แล้ว เมื่อจะเลิกนั่งสมาธิ ก็ให้ตั้งความรู้สึกไว้ว่า ต่อจากนี้ไปท่านจะมีสติพิจารณาสิ่งต่างๆ อยู่ตลอดเวลา ซึ่งการพิจารณานั้น ท่านจะพิจารณา ให้เห็นสภาพที่เป็นจริงของสิ่งเหล่านั้น ซึ่งล้วนแต่ตกอยู่ภายใต้กฎแห่ง ความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์และความไม่มีแก่นสารถาวรทั้งสิ้น

27. จงเตือนตัวเองว่า ทุกสิ่งกำลังเปลี่ยนแปลง มันไม่เที่ยงแท้แน่นอน มันจะเกิดเรื่องดีที่ถูกใจเราเมื่อไหร่ก็ได้ หรือมันจะเกิดเรื่องไม่ดีและขัดใจเราเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะสิ่งเหล่านั้นมันไม่เที่ยง ดังนั้นเราจึงต้องทำจิตให้พร้อมรับสถานการณ์เหล่านั้นอยู่เสมอ โดยไม่ต้องดีใจหรือเสียใจไปกับเรื่องเหล่านั้น

28. จงพยายามทำจิตใจให้ปล่อยวางอยู่เสมอ หมายความว่า ท่านจะต้องพยายาม รักษาจิตให้สะอาด อย่าคิดอะไรให้ตัวเองเป็นทุกข์ อย่าอยากได้อยากเป็นอะไรจนเกินพอดี อย่าถือตัว อย่าถือทิฏฐิมานะ รักษาจิตใจให้บริสุทธิ์อยู่เสมอ จงน้อมจิตให้มองเห็นสภาวะที่สงบ และสะอาดอยู่เสมอ วิธีนี้จะทำให้จิตใจของท่านสงบเย็น ผ่องใส และไม่เดือดร้อนได้เป็นอย่างดีที่สุด

29. จงตั้งใจไว้ว่า แม้ท่านจะออกมาจากการนั่งสมาธิแล้ว แต่ท่านก็จะรักษาจิตให้สะอาดผ่องใสและไม่ถือมั่น ไม่แบกเอาสิ่งต่าง ๆ มาไว้ในใจให้หนักใจเปล่า ๆ เลย ซึ่งวิธีนี้จะทำให้สมาธิเกิดอยู่ในจิตตลอดเวลา

30. จะคิดเรื่องอะไรก็จงคิดด้วยปัญญา คิดเพื่อที่จะทำให้เกิดความถูกต้อง คิดเพื่อจะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายให้พวกเขาได้รับความสุขสงบในชีวิต คิดเพื่อจะทำหน้าที่ของท่านให้ดีที่สุด คิดจะทำให้ตัวเองและคนอื่นสัตว์อื่นมีความสุขและไม่มีทุกข์อยู่เสมอ

31. จงจำไว้ว่า ไม่มีสิ่งใดที่จะมาทำให้ท่านเป็นทุกข์ได้ นอกจากความคิดผิดของท่านเอง ถ้าท่านคิดผิด ท่านก็จะเป็นทุกข์ ถ้าท่านคิดถูก ท่านก็จะไม่เป็นทุกข์

32. จงอย่าเชื่อถือสิ่งงมงายไร้เหตุผล เช่น เมื่อมีความทุกข์ หรือเกิดเรื่องไม่ดีไม่น่าปรารถนาขึ้น ก็ไปบนเจ้าที่เจ้าทาง ไปไหว้จอมปลวก ไหว้ต้นไม้ใหญ่ ฯลฯ ปรารถนาจะให้วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านหลงผิดคิดว่ามีอยู่ในสถานที่เหล่านั้น มาช่วยท่านให้พ้นทุกข์อย่างนี้เป็นต้น นี่คือความงมงาย จงละเลิกมันเสีย เพราะมันจะทำให้ท่านสิ้นเปลืองทรัพย์สินและเวลาโดยไม่ได้รับประโยชน์อะไรเลย พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้สอนให้เชื่อในสิ่งเหล่านั้น

33. จงรู้ความจริงว่า เรื่องที่น่าพอใจและไม่น่าพอใจนี้เป็นธรรมชาติธรรมดาที่มีอยู่ในโลกนี้ บางทีท่านก็ได้ตามที่ปรารถนา แต่บางทีก็ไม่ได้ตามที่ปรารถนา มันเป็นของธรรมดาอยู่อย่างนี้เอง อย่าตื่นเต้นดีใจหรือเสียใจไปกับมัน

34. ตลอดเวลาที่ท่านกำลังทำกิจการงานอะไรอยู่ จงน้อมจิตให้มองเห็นความสงบที่ท่านเคยพบในการฝึกสมาธิ และจงมองเห็นความเปลี่ยนแปลงของทุกสิ่งทุกอย่างภายนอก จงแยกมันให้ออกว่า สิ่งหนึ่งคือจิตอันสงบของท่าน ส่วนอีกสิ่งหนึ่งคือความปรุงแต่งวุ่นวายของโลก สิ่งทั้ง 2 นี้มันแยกกันอยู่โดยธรรมชาติของมัน

35. ถ้าท่านไม่มองหาความสงบ แต่หันไปอยากได้อยากดีกับสิ่งภายนอก จิตของท่านก็จะสับสนวุ่นวายและเป็นทุกข์ แต่ถ้าท่านมองเห็นความสงบของจิต และควบคุมจิตไม่ให้เกิดความอยากความทะเยอทะยานที่ไม่รู้จักพอขึ้นมาแล้ว จิตของท่านก็จะสงบเย็นอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าท่านจะยืน เดิน นั่ง หรือนอนอยู่ที่ใดก็ตาม ไม่ว่าท่านจะเป็นคนร่ำรวยหรือยากจนสักเพียงใดก็ตาม แต่จิตของท่านก็จะไม่เป็นทุกข์ เพราะการฝึกจิตด้วยวิธีการนี้

36. จงใช้ปัญญาแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่อาจจะเกิดขึ้น ซึ่งปัญญานั้น หมายถึงความมีสติที่รู้จักประคับประคองจิตให้สะอาดอยู่เสมอ รู้จักทำจิตให้ปล่อยวาง ทำจิตให้โปร่งเบา รู้เท่าทันว่าอะไรถูกอะไรผิด ถ้าผิดท่านจะไม่ทำไม่พูด ถ้าถูกท่านจึงจะทำจะพูด และรู้จักพิจารณาว่าหน้าที่ที่ท่านจะทำกับสิ่งนั้น ๆ คืออะไร แล้วก็ทำหน้าที่นั้นให้ดีที่สุด พยายามแก้ปัญหานั้นให้สงบไปด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรมและถูกต้องที่สุด โดยไม่เห็นแก่ตัว วิธีนี้จะทำให้ปัญญาของท่านคมชัด และจะไม่มีความทุกข์อยู่ในจิตเลย

37. ท่านต้องรู้ว่า คนส่วนมากในโลกนี้เขามีกิเลส คือ ความโลภ โกรธและหลง ดังนั้นบางทีเขาก็คิดถูกและทำถูก แต่บางทีก็คิดผิดและทำผิด บางทีก็โง่ บางทีก็ฉลาด เพราะฉะนั้น ท่านจะต้องให้อภัยเขา ค่อย ๆ พูดกับเขา ไม่ด่าว่ารุนแรงกับเขา ท่านจะต้องใช้ปัญญาของท่านเข้าไปสอนเขาไปชักจูงเขาให้เดินในทางที่ถูก

นี่คือหน้าที่ของผู้มีปัญญาที่จะเข้าไปเกี่ยวกับคนโง่ที่มีอยู่ในโลกนี้เป็นจำนวนมากมายมหาศาล ผลที่จะได้รับก็คือ ท่านจะเป็นคนที่มีจิตใจเยือกเย็นและน่าเคารพกราบไหว้ของคนทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านจะไม่เป็นทุกข์ร้อนเลย แม้ว่าจะพบเห็นหรือเกี่ยวข้องกับคนมากมายหลายประเภทในโลกนี้อยู่เสมอ

38. การพิจารณาอย่างต่อเนื่อง แม้ในตอนที่ไม่ได้นั่งสมาธิอยู่อย่างนี้ คือการปฏิบัติเพื่อให้เกิดปัญญา ซึ่งปัญญานั้นสูงสุดแล้วก็คือความรู้จักปล่อยวาง ไม่แบกหามภาระใด ๆ มาไว้ในใจจนนอนไม่หลับและเป็นทุกข์นั่นเอง

39. จงจำไว้ว่า การฝึกสมาธินั้น แท้จริงแล้วท่านทำเพื่อให้เกิดปัญญา ซึ่งปัญญานั้นเองที่จะเป็นตัวทำลายความทุกข์ทางใจให้หมดสิ้นไปได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด ไม่ใช่เพียงแค่ การอ้อนวอนอธิษฐานเอาอะไร ๆ ตามใจตัวเอง

40. จงตั้งใจไว้ว่า ถ้าจะรู้สึกเป็นทุกข์หงุดหงิดเมื่อไร ท่านจะสลัดมันทิ้งเมื่อนั้น ท่านจะไม่เอาอารมณ์นั้นมาไว้ในใจ ถ้าท่านสลัดอารมณ์ไม่ดีให้หลุดไปได้เมื่อใด ท่านก็จะรู้แจ้งธรรมะเมื่อนั้น ท่านจะหมดทุกข์เมื่อนั้น ท่านจะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของท่าน ในนาทีที่ท่านสลัดอารมณ์หงุดหงิดไม่สบายออกไปจากใจได้


41. ในตอนเจ็บไข้ได้ป่วย จงอย่าคิดว่าอยากจะหายจากโรคนั้น แต่จงคิดว่า ท่านจะรักษาโรคไปตามเรื่องของมัน บางทีก็หาย บางทีก็ไม่หาย อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ท่านไม่เป็นโรคนี้ท่านก็ต้องตายอยู่แล้ว ดังนั้น จึงไม่จำเป็นจะต้องเสียใจหรือหวาดกลัวต่อโรคนั้น

42. จงตามดูความรู้สึกภายใจจิตอยู่เสมอ ถ้าจะวิตกกังวลให้ตัดทิ้งเลย ถ้าจะหงุดหงิดตัดทิ้งเลย ถ้าจะห่วงอะไรก็ตัดทิ้งไปเลย ถ้าทำอย่างนี้อยู่เสมอ ปัญญาของท่านก็จะสมบูรณ์เต็มเปี่ยมอยู่ในจิต นี่แหละคือทรัพย์อันประเสริฐสุดในชีวิตของท่าน และสิ่งเลวร้ายต่าง ๆ ก็จะสลายตัวไปเองในที่สุด

43. ปัญหาที่ทำให้ท่านหนักใจเป็นทุกข์ จะไม่เกิดขึ้นไนจิต ถ้าท่านทำจิตให้สลัดอารมณ์ดีร้ายเหล่านั้น อยู่เช่นนี้เสมอ

44. สมาธิก็จะมั่นคงต่อเนื่องอยู่ในจิต แม้ท่านจะกำลังเดินเหินไปมาหรือทำการงานทุกอย่างอยู่ ถ้าหากว่าท่านพยายามทำจิตให้ปล่อยวางอยู่อย่างนี้ สมาธิก็จะมั่นคงยิ่งขึ้น

45. อย่าคิดจะให้สิ่งต่าง ๆ มันเป็นไปตามใจของท่านหมด แต่จงคิดว่า มันจะเกิดเรื่องดีร้ายอย่างไรก็ให้มันเกิด ท่านจะพยายามหาทางแก้ไขมันไปตามความสามารถแก้ได้ก็เอา แก้ไขได้ก็เอา เรื่องดีก็ทิ้ง เรื่องร้ายก็ทิ้ง สุขก็ทิ้ง ทุกข์ก็ทิ้ง แล้วจิตของท่านก็จะเป็นอิสระและไม่เป็นทุกข์เลย

46. ท่านจงอย่าปล่อยให้ความอยาก ความรักตัวหวงตัว เกิดขึ้นในจิต เพราะธรรมชาติอย่างนั้นมันเป็นสิ่งสกปรกที่จะบั่นทอนจิตของท่านให้ตกต่ำและเป็นทุกข์

47. พอมีเวลาว่าง จงน้อมจิตเข้าสู่สมาธิอันสะอาดบริสุทธิ์อยู่เสมอ แม้จะทำครั้งละ 5 นาที สมาธิที่ถูกต้องก็จะเกิดขึ้นในจิตได้เช่นเดียวกัน และจะเพิ่มปริมาณความสงบสะอาดของมันขึ้นเรื่อยไป จิตของท่านก็จะมั่นคงแข็งแกร่งยิ่ง ๆ ขึ้นไป

48. จงอย่าคิดว่า ฉันปฏิบัติไม่ได้ ฉันไม่มีกำลังใจที่จะปฏิบัติควบคุมจิตของตัวเอง อย่าคิดอย่างนั้นเป็นอันขาด เพราะความคิดอย่างนั้นมันเป็นการดูหมิ่นตัวเอง เป็นการตีค่าตัวเองต่ำเกินไป ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องเลย

49. เมื่อมีปัญหายุ่งยากเกิดขึ้น จงหยุดคิดทุกอย่างก่อน ให้น้อมจิตเข้าสู่การกำหนดลมหายใจ นับ 1-2 กลับไปกลับมาพร้อมกับลมหายใจนั้น สักนาทีหนึ่ง แล้วจึงน้อมจิตเข้าไป พิจารณาปัญหานั้นว่า นี่มันคืออะไร ? ทำอย่างไรเราจึงจะไม่เป็นทุกข์ไปกับมัน ? เราควรจะทำอย่างไรจึงจะทำให้เรื่องนี้มันสงบไปได้อย่างถูกต้องที่สุด?

50. การทำอย่างนี้จะทำให้ท่านสามารถเข้าใจสถานการณ์นั้น ๆ ได้อย่างถูกต้อง และท่านจะเกิดความคิดที่เฉียบแหลมในการที่จะแก้ไขปัญหานั้นได้ด้วยสติปัญญาของตัวเอง

51. หลักสำคัญที่จะลืมไม่ได้ก็คือ จงปล่อยวางอยู่เสมอ จงทำจิตให้ปล่อยวาง อย่าเก็บเอาสิ่งใดมาค้างไว้ในใจด้วยความอยากเป็นอันขาด แล้วปัญหาทุกอย่างก็จะสลายตัวไปในที่สุด โดยที่ท่านจะไม่เป็นทุกข์

52. พอถึงเวลาก็นั่งสมาธิอีก

53. พอออกจากสมาธิก็ตามดูจิต และทำจิตให้ปล่อยวางเรื่อยไป

54. จงมองเห็นความไม่เที่ยงของทุกสิ่งอยู่เป็นประจำ

55. จงยอมรับการเกิดขึ้นของทุกสิ่ง ยอมให้มันเกิดขึ้นได้กับท่าน ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องที่ดีหรือเลวร้ายสักเพียงใดก็ตาม และพยายามหาทางทำกับมันให้ดีที่สุด โดยไม่ต้องเป็นทุกข์ไปกับมัน

56. นี่คือการฝึกจิตให้สงบและฉลาด ซึ่งท่านทุกคนสามารถที่จะทำได้ไม่ยากนัก

57. จงคิดเสมอว่า ชีวิตท่านกำลังเดินเข้าไปหาความตาย และความพลัดพรากจากทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ เพราะฉะนั้นจงอย่าประมาท คือ อย่ามัวเมาสนุกสนานอยู่ในโลก โดยไม่มองหาทางหลุดรอดให้กับตัวเอง เพราะความประมาทอย่างนั้น มันจะทำให้ท่านพลาดโอกาสที่จะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต ซึ่งหมายถึงสติปัญญาความหลุดพ้น

58. ความหงุดพ้นทางจิต คือ ความที่จิตไม่เป็นทุกข์กลัดกลุ้ม

59. ธรรมชาติแห่งความหลุดพ้นนี้ ท่านทุกคนสามารถที่จะเข้าถึงได้ ถ้าหากท่านฝึกจิตของท่านให้ถูกต้อง ซึ่งการฝึกอย่างนี้เรียกกันว่า “การปฏิบัติธรรม” นั่นเอง

60. ถ้าท่านฝึกจิตให้เป็นสมาธิ และใช้สติตามดูอาการภายในจิตของตัวเอง และทำจิตให้ปล่อยวางอยู่อย่างนี้เสมอแล้ว ความทุกข์ก็จะไม่เกิดขึ้นในจิตของท่านเลย

61. อย่าเชื่อง่ายจนเกินไปอย่าคิดว่าใครพูดอย่างไร ก็จะเป็นจริงตามนั้น อย่าเชื่ออย่างนั้น ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามีอาจารย์สอนธรรมะว่าต้องปฏิบัติอย่างนี้ ๆ จึงจะถูก ธรรมของฉันเท่านั้นที่ถูกต้อง ธรรมะของคนอื่นไม่ถูกต้อง หรือพูดว่า จิตกับใจต่างกัน ใจนั้นอยู่บนจิต ส่วนจิตนั้นซ่อนอยู่ใต้ใจ ฯลฯ อย่างนี้ก็อย่าเพิ่งเชื่อ เพราะนั่นมันเป็นเพียงความคิดเห็น ของเขาแนวหนึ่งเท่านั้น จะเอามาเป็นมาตรฐานว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องสมบูรณ์แล้วไม่ได้

62. แต่การฝึกทำจิตให้ปล่อยวาง จนจิตมันว่างได้จริง มันไม่ยึดติดอยู่ในอารมณ์ทุกรูปแบบได้จริง นั่นแหละจึงจะเป็นธรรมะที่ถูกต้องแท้จริง เพราะความทุกข์จะหมดไปจากจิตใจของท่านได้จริง ๆ จากการฝึกปฏิบัติอย่างนั้น

63. จงจำไว้ว่า สมาธินั้น ท่านทำเพื่อให้จิตหยุดคิดปรุงแต่งแล้วกำลังความมั่นคง และความสงบของจิตก็จะเกิดขึ้น

64. การทำสมาธินั้น เพียงแต่สำรวมจิตเข้าสู่อารมณ์อันเดียว ด้วยการนับหรือ กำหนดอะไรสักอย่างหนึ่งอยู่อย่างต่อเนื่องและเงียบเชียบ เท่านี้ก็ถูกต้องแล้ว สมาธินั้นจะถูกต้อง และจะทำให้เกิดปัญญาได้จริง

65. การฝึกจิตให้สงบ และฝึกคิดให้เกิดความรู้เท่าทันสิ่งทั้งหลายตามเป็นจริง นี้คือการปฏิบัติธรรม ตามแนวทางของพระพุทธศาสนา เพื่อความหมดทุกข์ในที่สุด

66. จงเข้าใจว่า การปฏิบัติธรรม เป็นเรื่องของการฝึกจิต ให้สงบและฉลาด ให้รู้จักหยุดคิดปรุงแต่งเป็นบางครั้ง และให้รู้จักทำจิตใจปล่อยวางอยู่ตลอดเวลา ความทุกข์ก็จะสลายไปทีละเล็กละน้อยตามกาลเวลาของมัน และจากประสบการณ์ของท่าน

67. จงทำคิดให้ปล่อยวางอยู่เสมอ แล้วปัญหายุ่งยากก็จะละลายไป อย่าตระหนี่ อย่าเห็นแก่ได้ อย่าเห็นแก่ตัว และจงให้ทานอยู่เสมอ

68. อย่าท้อถอยในการฝึกจิตให้สงบและฉลาด

69. มีเวลาเมื่อไหร่ จงทำจิตให้สงบเมื่อนั้น และเมื่อสงบแล้วก็จงถอนจิตออกมาพิจารณาสิ่งแวดล้อมทุกอย่างและอย่าถือมั่นมันไว้ในใจ

70. จงยอมให้คนอื่นได้เปรียบท่าน โดยไม่ต้องโต้เถียงกับเขา แล้วท่านจะเป็นผู้ชนะอย่างถาวร หมายความว่า ท่านจะชนะความทุกข์ใจได้อย่างถาวร แม้ว่าจะมีคนมากลั่นแกล้งท่านหรือตั้งตัวเป็นศัตรูกับท่านอยู่เสมอก็ตาม

71. จงเชื่อว่า เมื่อท่านทำดีแล้วถูกต้องแล้ว มันก็ดีแล้วและถูกต้องแล้ว คนอื่นจะรู้ความจริงหรือไม่ เขาจะยอมรับและสรรเสริญท่านหรือไม่ นั่นไม่ใช่เรื่องของท่าน แต่เรื่องของท่านคือ ท่านต้องทำดีให้ดีที่สุด และทำให้ทุกสิ่งถูกต้องที่สุด โดยไม่หวังผลตอบแทน เมื่อนั้นท่านก็จะเป็นมนุษย์ผู้มีความประเสริฐสุดอยู่ในตัวท่านเอง

72. จงพยายามเข้าหาครูบาอาจารย์ผู้มีปัญญา ที่จะสอนท่านให้รู้แจ้งธรรมะได้อยู่เสมอ การเข้าใกล้สมณะที่เป็นเช่นนั้น จะช่วยให้ท่านให้สติปัญญาและรู้จักแนวทางในการดำเนินชีวิตของท่านอย่างถูกต้อง

73. อย่าลืมหลักปฏิบัติที่ว่า หยุดคิดให้จิตสงบแล้วจากนั้นจึงคิดอย่างสงบ เพื่อทำจิตให้ปล่อยวางอยู่เสมอ

74. อย่าถือมั่นว่า ชีวิตคือร่างกายและจิตใจของท่านเป็นของเที่ยงแท้แน่นอน ถ้าใครถือเช่นนั้น เขาก็จะเป็นทุกข์เพราะชีวิตที่ไม่เคยแน่นอนของเขา

75. จงหมั่นเสียสละทรัพย์สินเงินทองให้แก่ผู้อื่นอยู่เสมอ การกระทำอย่างนี้จะช่วยให้จิตของท่านสะอาด และมีความพร้อมที่จะบรรลุถึงความหลุดพ้นได้ในที่สุด

76. จงเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า ตายแล้วท่านจะไม่ได้อะไรไป ดังนั้น จงฝึกจิตให้ สงบและปล่อยวางอยู่เสมอ อย่าเห็นแก่ตัว อย่าตระหนี่ ฯลฯ แล้วท่านก็จะบรรลุถึงความหลุดพ้นได้ตามที่ปรารถนา

77. จิตที่สะอาด ปราศจากความอยาก และความถือมั่นในตัวเอง นั่นแหละคือจิตที่หลุดพ้นจากความทุกข์แล้วอย่างสิ้นเชิง จงพยายามฝึกจิตให้เป็นเช่นนั้น

78. การปฏิบัติธรรมที่แท้จริง ไม่ใช่เรื่องลึกลับมหัศจรรย์ที่ทำไปเพื่อการติดต่อพบปะกับดวงวิญญาณต่าง ๆ ไม่ใช่อย่างนั้น แต่การปฏิบัติธรรมที่แท้ เป็นเรื่องของการฝึกจิตให้สงบและฉลาด ให้จิตมั่นคงและปล่อยวาง ความทุกข์จะหมดไปด้วยการปฏิบัติอย่างนี้เท่านั้น

79. อย่างยึดถือทุกสิ่ง และจงปล่อยวางทุกสิ่ง แล้วความทุกข์กลัดกลุ้มก็จะหมดไปทุกสิ่ง ในขณะที่ท่านจะสามารถทำการงานและแสวงหาอะไร ๆ ที่ถูกต้องได้ทุกสิ่ง

80. ความทุกข์จะไม่หมดไป เพราะท่านได้อะไร ๆ สมใจอยาก แต่การได้อะไรสมใจอยากนั่นแหละที่จะทำให้ท่านเป็นทุกข์ในสักวันหนึ่ง คือวันที่สิ่งนั้นมันหายไปจากท่าน

81. แต่ความทุกข์จะหมดไป เพราะท่านมีจิตที่สงบและฉลาด รู้จักหยุดและปล่อยวาง รู้จักสร้างสรรค์และเสียสละ อย่างนี้เรื่อยไป

82. ในขณะที่ทำสมาธิ ถ้ามันมีความคิดมากมายประดังเข้ามา ก็จงดูมัน และรอมันสักครู่หนึ่ง ความคิดมากมายนั้นก็จะสลายไป

83. จงรู้ว่า สมาธินั้น จะต้องมีอยู่เสมอ แม้ท่านจะทำกิจการงานใด ๆ อยู่ก็ตาม

84. สมาธิเปรียบเสมือนลมหายใจที่มีอยู่ตลอดเวลา แต่ท่านลืมดูมันเท่านั้นเอง ถ้ารู้อย่างนี้ สมาธิก็จะกลายเป็นสิ่งที่ฝึกได้ไม่ยาก

85. เพียงแต่ท่านสำรวมจิตเข้ามา เลิกสนใจสิ่งภายนอกเสียเท่านั้น สมาธิก็จะปรากฏขึ้นมาในจิตทันที

86. จงรู้ไว้ว่า สมาธิอย่างเดียวยังไม่สามารถทำให้จิตของท่านหมดทุกข์ได้ แต่สมาธินั้นจะต้องมีปัญญาประกอบด้วย ท่านจึงจะเอาชนะปัญหาทางใจของท่านได้

87. ศีล สมาธิ ปัญญา เท่านั้นคือทางออกไปจากความทุกข์ทั้งหลายทั้งปวง ทางอื่นหรือลัทธิความเชื่ออย่างอื่น ไม่สามารถจะทำให้ท่านหลุดพ้นออกไปจากความทุกข์ได้

88. การอ้อนวอนหรือบนบานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อให้ได้อะไร ๆ ตามที่ปรารถนานั้น มันก็ขึ้นอยู่กับกฎแห่งความไม่เที่ยงเหมือนกัน บางทีก็ได้ บางทีก็ไม่ได้ และที่ท่านได้อะไรมา ก็เพราะมันมีเหตุที่จะทำให้ท่านได้สิ่งนั้นอยู่แล้ว มันจึงได้มา ไม่ใช่มันได้มาเพราะสิ่งอื่นมาช่วยให้ท่านได้มา ไม่ใช่อย่างนั้นเลย

89. อย่างไรก็ตาม แม้ท่านจะได้อะไร ๆ มาตามที่ปรารถนา แต่สิ่งนั้นก็จะไม่อยู่กับท่านอย่างถาวรตลอดไป สักวันหนึ่งมันก็จะสูญเสียไปจากท่านอยู่ดี ดังนั้นผู้มีปัญญาจึงไม่ควรปรารถนา หรืออ้อนวอนเพื่อจะได้จะเป็นอะไรเลย

90. เพียงแต่ว่า ท่านทำมันให้ดีที่สุด ต้องการจะได้อะไร ก็จงใช้สติคิดดูว่าทำอย่างไรจึงจะได้สิ่งนั้นมาด้วยความบริสุทธิ์และถูกต้อง แล้วก็ทดลองทำไปตามนั้น ถ้ามีเหตุปัจจัยที่จะได้ มันก็จะได้ของมันเอง แต่ถ้าไม่ได้ก็ให้มันแล้วไป อย่าเป็นทุกข์ไปกับมัน

91. ถ้าทำอย่างนี้ ท่านก็มีสิทธิ์ที่จะได้อะไร ๆ เหมือนเดิม และที่ดีไปกว่านั้นคือ ถึงแม้ท่านจะไม่ได้สิ่งนั้น ๆ ท่านก็จะไม่เป็นทุกข์ หรือเมื่อได้มาแล้วและมันเกิดสูญเสียไป ท่านก็จะไม่เป็นทุกข์อีกเช่นเดียวกัน ประโยชน์ของการปฏิบัติธรรม เพื่อการรู้เท่าทันสิ่งทั่งปวงนั้น มันดีอยู่อย่างนี้ คือมันจะทำให้ท่านไม่เป็นทุกข์ในทุก ๆ กรณี

92. ดังนั้น จงฝึกจิตให้สงบด้วยสมาธิ เพื่อเรียกปัญญาคือความฉลาดของจิตให้เกิดขึ้นมา เพื่อจะเอาไปใช้แก้ปัญหา ด้วยการทำจิตให้ปล่อยวางอยู่เสมอ และในที่สุดความหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงก็จะเกิดขึ้นอย่างถูกต้องได้ไม่ยากนัก

93. เวลาพบกับอารมณ์ที่ไม่น่าพอใจ มันชวนให้ท่านโกรธ หรือเดือดร้อนใจขึ้นมา จงอย่าเพิ่งพูดอะไรออกไป หรือจงอย่างเพิ่งทำอะไรลงไป แต่จงคิดให้ได้ก่อนว่า นี่คือสิ่งที่คนทุกคนในโลกนี้ไม่ปรารถนาจะพบเห็น แต่ทุกคนก็ต้องพบกับมัน สิ่งนี้คือสิ่งที่ท่านจะเอาชนะมัน ด้วยการสลัดมันให้หลุดออกไปจากใจก่อน ถ้าท่านสลัดมันออกไปจากใจได้ ท่านก็จะเป็นอิสระและไม่เป็นทุกข์ เมื่อท่านไม่เป็นทุกข์เพราะมัน ก็หมายความว่าท่านชนะมัน

94. เมื่อคิดได้ดังนั้น จนจิตมองเห็นสภาวะที่ใสสะอาดในตัวมันเองแล้ว จงหวนกลับไปคิดว่า แล้วเราจะแก้ปัญหานี้อย่างไร ? ไม่กี่นาทีท่านก็จะรู้วิธีที่จะแก้ปัญหานั้นอย่างถูกต้องที่สุดและฉลาดเฉียบแหลมที่สุด โดยที่ท่านจะไม่เป็นทุกข์กับเรื่องนั้นเลย

95. เวลาที่พบกับความพลัดพรากสูญเสีย ก็จงหยุดจิตไว้อย่างที่ได้กล่าวมาแล้ว และจงยอมรับว่า นี่คือสภาวะธรรมดาที่มีอยู่ในโลก มันเป็นของที่มีอยู่ในโลกนี้มานานแล้ว ท่านจะไปตื่นเต้นเสียอกเสียใจกับมันทำไม ? มันจะเป็นอย่างไรก็ให้มันเป็น ไม่ต้องตื่นเต้น และจงคิดให้ได้ว่า ในที่สุดแล้ว ท่านจะพลัดพรากและสูญเสียแม้กระทั้งชีวิตของท่านเอง วิธีคิดอย่างนี้จะทำให้ท่านไม่เป็นทุกข์เลย

96. เวลาประสบกับเรื่องที่ไม่ดี จงอย่าคิดว่า ทำไมถึงต้องเป็นเรา ? ทำไมเรื่องอย่างนี้จึงต้องเกิดขึ้นกับเรา ? จงอย่าคิดอย่างนั้นเป็นอันขาด เพราะยิ่งคิดเท่าไหร่ ท่านก็ยิ่งจะเป็นทุกข์เท่านั้น ความคิดอย่างนั้นไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา

97. จงคิดอย่างนี้เสมอว่า ไม่เรื่องดีก็เรื่องเลวเท่านั้นแหละที่จะเกิดขึ้นกับเรา ไม่ต้องตื่นเต้นกับมัน จงยอมรับมัน กล้าเผชิญหน้ากับมัน และทำจิตให้อยู่เหนือมันด้วยการไม่ยึดมั่นในมัน และไม่อยากจะให้มันเป็นตามใจของท่าน แล้วท่านก็จะไม่เป็นทุกข์

98. จงเฝ้าสังเกตดูความรู้สึกของตัวเองอยู่เสมอ ถ้าจะไม่สบายใจ จงหยุดคิดเรื่องนั้นทันที ถ้าสบายใจอยู่ก็จงเตือนตัวเองว่า อย่าประมาท ระวังสิ่งที่มันจะทำให้เราไม่สบายใจจะเกิดขึ้นกับเรา ให้ท่านพร้อมรับมันอย่างนี้ ด้วยจิตที่เปิดกว้างอยู่เสมอ

99. จงรู้ความจริงว่า ทั้งความพอใจและความไม่พอใจ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ท่านจะต้องปลดเปลื้องมันออกไปจากใจของท่าน จิตของท่านจึงจะเป็นอิสระเสรีก็ได้ถึงที่สุด

100. ถ้าจะเกิดความสงสัยอะไรขึ้นสักอย่างหนึ่ง ก็จงตอบตัวเองว่า อย่าเพิ่งสงสัยมันเลย จงทำจิตให้สงบและเพ่งให้เห็นความสะอาดบริสุทธิ์ภายในจิตของตัวเองอย่างชัดเจน และสรุปว่า ไม่มีอะไรที่จะดีไปกว่าการเข้าถึงสภาวะแห่งความสงบและเป็นอิสระเสรี ภายในจิตของท่านได้

101. ความรู้ชัดในการรักษาจิตให้สงบและสะอาดอยู่เสมอ นี่แหละคือสติปัญญาความรู้แจ้งธรรมตามความเป็นจริง ความทุกข์จะเกิดขึ้นในใจของท่านไม่ได้เลย

102. เมื่อถึงเวลาพักผ่อน จงเข้าสู่สมาธิตามสมควรแก่เวลาที่จะเอื้ออำนวย กำหนดจิตให้ตั้งมั่นอยู่กับลมหายใจ นับ 1-2 ครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ต้องสนใจสิ่งอื่น ไม่ต้องปรารถนาจะเห็นหรือจะได้จะเป็นอะไรจากการทำสมาธิ

103. เมื่อจิตสงบเย็นแล้ว จึงเพ่งพิจารณาชีวิตสิ่งแวดล้อม และปัญหาที่ตัวเองกำลังประสบอยู่ แล้วสรุปว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นไม่ควรยึดมั่นถือมั่นเลย

104. จงทำกับปัญหาทุกอย่างให้ดีที่สุด ใช้ปัญญาแก้ไขมัน ไม่ต้องวิตกกังวลกับมัน ถึงเวลาแล้วจงเข้าสู่สมาธิได้เวลาแล้วจงออกมาสู้กับปัญหา อย่างนี้เรื่อยไป

105. จงปฏิบัติเช่นนี้ทุกวัน แล้วจิตของท่านก็จะบรรลุถึงความสะอาดบริสุทธิ์ได้อย่างสมบูรณ์สูงสุด ในสักวันหนึ่งซึ่งไม่นานนัก

ทั้งหมดนี้คือ แนวทางที่ถูกต้องที่สุดในการที่จะเอาชนะความทุกข์ในชีวิตของท่าน ซึ่งแนวทางนี้เรียกว่า “การปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้น” อันเป็นเนื้อแท้ของพระพุทธศาสนา ที่พระพุทธองค์ทรงพระประสงค์ที่จะให้ทุกคนเข้าถึง เพื่อความหมดทุกข์ทางใจในที่สุด


วันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ทำไมคนไทยบางพวกชอบด่าเกาหลีใต้





ในช่วงนึงผมมักไปอ่านข่าวใน ผจก.บันเทิง แล้วก็มักมีข่าวเกี่ยวกับวงการบันเทิง วงการเพลงเกาหลีอยู่มากมายในข่าวบันเทิงผจก.

แล้วก็มีพวกเกลียดเกาหลี มาด่าคนที่เขาชอบเกาหลีมากมาย ประเภทเรียกแฟนเกาหลีว่า"ติ่งหูเกาหลี" (ไม่ค่อยเข้าใจคำนี้นะ แต่ฮาดี ชอบ)

ผมเองยอมรับว่า ชอบดูละครเกาหลี และชอบเฉพาะวง snsd เท่านั้น

แต่เห็นคนไทยชอบด่าเกาหลีอย่างเมามัน และพาลไปด่าคนที่เขาชื่นชอบเกาหลีด้วย

ผมเลยถือโอกาสเม้นสัก คห.นึง กะประชดพวกเกลียดเกาหลีสักหน่อย เอาฮาเอาสะใจหนุก ๆ ย้ำว่า ประชด !!

แลัวดันมีคนชอบเม้นของผม

ผมก็เลยขอลอกเอามาแปะในบล็อคสักหน่อย!!

------------------------

คนไทยด่าเกาหลี เพราะอะไร

1. เพราะอิจฉาที่เกาหลีใต้เจริญกว่า รวยกว่า เทคโนโลยีของตัวเองระดับสูง ในจณะที่ไทยเราผลิตสมาร์ทโฟนของตัวเองยังไม่ได้เลย

2. เพราะไทยมีปมด้อยที่ไม่ได้ไปฟุตบอลโลก

3. เพราะไม่มีปัญญาเอาชนะเขาได้

4. เพราะสู้เขาด้วยสติปัญญาไม่ได้เลยลบปมด้อยด้วยการด่า

5. ผิดทุกข้อ เพราะไม่รู้จักตัวเอง

6. จากข้อ1-5 ถูกทุกข้อ

7 เพราะเกาหลีทำศัลยกรรมหน้าได้สวยกว่า เนียนกว่า คนไทยที่เคยทำหน้า เลยอิจฉาเขา เลยด่าเขาว่าทำศัลยกรรม ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็ทำแต่สวยสู้ไม่ได้!! 555


ส่วนคนไทยที่ไม่ได้สวย หล่อ แต่ยังไม่มีปัญญาไปทำศัลยกรรม ก็เลยหาเรื่องด่าเรื่องศัลยกรรมของเขาเพื่อลบปมด้อยของตัวเอง

8. เพราะเกาหลีเขารักชาติบ้านเมือง ยอมตายเพื่อรักษาแผ่นดินได้ ไม่ให้ใครย่ำยีง่าย ๆ  แต่คนไทยจำนวนมากรักตัวกลัวตายมากขึ้น (เขมรรุกล้ำกินแผ่นดินไทย ในแผ่นดินที่ ๆ คนไทยเคยมีโฉนดหลายแห่ง แต่คนไทยบางพวกบอกอย่าทะเลาะกับเขา เดี๋ยวการค้าของพวกกูจะเสียหาย)

9. เพราะคนเกาหลีไม่สนใจเงินจากนักการเมืองโกงกิน เกาหลีใต้เขาสามารถเอา ประธานาธิบดีติดคุกได้ แต่คนไทยเห็นกลับเงินสำคัญกว่าชาติ !! (ถ้าคนโกงแต่แบ่งให้ด้วย คนไทยจำนวนมากบอก งั้นไม่เป็นไร)

10. ถ้ามีคนไม่เห็นด้วยความเห็นนี้ แสดงว่าคน ๆ นั้นโดนแทงใจดำโดยกระแทกปมด้อยของตัวเองเข้าอย่างจัง!!

-----------------------------

แม้ ความเห็นของผม คห. นั้นจะฮอตมีคนโหวตให้เยอะ แต่แน่นอน ย่อมมีพวกเกลียดเกาหลีเข้ามาด่า คห.ของผม บ้างนิดหน่อย

แต่ย้ำว่า ผมแค่ประชด คนที่ชอบด่าเกาหลีใต้ โดยไม่ดูปมด้อยตัวเองเลย

ผมเลยกลับไปตอกกลับอีกหน่อย ตามนี้ครับ

" อ่านคนที่มาตอบแล้วขำจริงๆ ที่ด่าเกาหลีเป็นพวกชอบก๊อป

ที่ว่าเกาหลีก๊อป แล้วมีชาติไหนในเอเซียที่ไม่เคยก๊อปคนอื่นมาก่อน ญี่ปุ่นกว่าจะเจริญก็ก๊อป

เมื่อก่อนญี่ปุ่นก็ก๊อป เดี๋ยวนี้จีนแดงก็ก๊อป แต่เขาก๊อปไปพร้อมกับการพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเองไปด้วย ด่าชาติอื่นเขาก๊อป ทำอย่างประเทศไทยไม่เคยก๊อปใคร

คนใช้ windows ในไทยส่วนใหญ่ก็ก๊อป จริงหรือไม่ ??

เพลงไทยก็ก๊อปต่างชาติมาเยอะแยะ เถียงสิว่าไม่มี!!

แล้วด่าเขาศัลยกรรม แล้วเคยได้ยินเจ๊ติ๋มทีวีพูลพูดมั้ยว่า ดาราไทยกว่า 90% ก็ทำศัลยกรรม แล้วเดี๋ยวนี้คนไทยก็ศัลยกรรมเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ หรือจะสาวประเภท 2 ทั่วโลกก็ชอบมาศัลยกรรมที่ไทย ทั้งหน้าทั้งนม ทั้งตรงนั้น !!

ตอนนี้ข้าวของเครื่องใช้ไฟฟ้าเกาหลีก็ตีตลาดโลก ไทยล่ะมีเครื่องไฟฟ้า หรือสินค้าไฮเทคโนโลยีอะไรที่ตีตลาดโลกได้บ้าง ??


คนไทยมีปัญญาก๊อปไฮเทคโนโลยีเพื่อไปขายตีตลาดโลกบ้างรึเปล่าล่ะ ?
ผมไม่ได้อยากมาแอนตี้ที่คนด่าเกาหลี แต่ผมอยากจะบอกว่า เราควรจะเอาชนะเกาหลีด้วยปัญญา มากกว่าแค่มาด่าเกาหลีไปวัน ๆ ครับ

อ้อ แล้วเรื่องว่าเกาหลีขอบโกงกีฬา ยิ่งมวยโอลิมปิคนี่เกาหลีใต้เคยโกงระดับโลก แต่นั่นมันยุคก่อนที่เกาหลีใต้จะมีการส่งออกวัฒนธรรมของตัวเองไปขายทั่วโลก

แต่ผมว่าเรื่องโกงกีฬาของการเป็นเจ้าภาพ มันมีอยู่ทุกประเทศล่ะครับ อย่างไทยเราก็ไม่หยอกหรอกครับ เพียงแต่ศักยภาพเราไม่ใช่ระดับโลกเท่าเกาหลีใต้ ลองไทยได้จัดโอลิมปิคบ้างสิ อาจจะกระฉ่อนไม่แพ้เกาหลีใต้ก็ได้

ลองถามเพื่อนบ้านเราในอาเซียนของเราสิครับ ว่าเขาคิดว่าคนไทยโกงเก่งมั้ย??

ใครไม่รู้ว่า ไทยเราโกงกีฬาเก่งไม่หยอก ลองอ่านบทความนี้ครับ


คลิกอ่าน เกาหลีใต้โกงมวนเอเชียนเกมส์แบบโง่ ๆ สู้พี่ไทยไม่ได้โกงเนียนกว่า


แต่ที่แน่ ๆ นักการเมืองไทยก็โกงเก่งไม่แพ้ชาติใดในโลก

แล้วใครล่ะที่เลือกพวกนักการเมืองชั่ว ๆ เหล่านี้เข้ามาโกง ?? "


ใหม่เมืองเอก

---------------------

สรุปนะครับ



อย่างผู้ชายเกาหลีใต้ยังเป็นชอบพวกกดขี่ทางเพศต่อผู้หญิง แต่เกาหลีใต้เขาก็สอนคนผ่านการดูซีรีย์ เขาพยายามสร้างพระเอกที่เป็นสุภาพบุรุษที่เป็นลูกผู้ชายตัวจริง ที่ให้เกียรติผู้หญิง เพื่อหวังจะให้ผู้ชายเกาหลีใต้มีนิสัยเหยียดเพศน้อยลงกว่าในอดีต

ในขณะที่ละครไทย กลับชอบปลูกฝังความชั่วของพระเอกที่ชอบข่มขืนนางเอก ชอบใช้ความรุนแรงกับนางเอกให้คนไทยดู

หรือจะอย่างที่ตอนนี้ มีคนเกาะกระแสด่าความไม่ค่อยมีมารยาทของคนเกาหลีใต้ เช่น เวลาไปตามท้องถนน เขาถูกคนเกาหลีใต้เดินชน ก็ไม่เคยมีคำขอโทษจากคนเกาหลีใต้ เป็นต้น

เอ่อ.. ผมไม่รู้คนแชร์เรื่องนี้ คุณแน่ใจเหรอว่า คนเกาหลีใต้เป็นฝ่ายผิดจริง ๆ หรือเพราะนิสัยคนไทยที่ชอบไปยืนเกะกะขวางทางเดินรึเปล่า คนไทยที่เอาแต่สะดวกสบายทำอะไรตามใจคือไทยแท้ เลยเผลอไปยืนเกะกะเขารึเปล่าถึงถูกเขาเดินชน หรือว่ามัวแต่เดินอ้อยอิ่งจนไปเกะกะขวางทางหรือไม่

แล้วแทนที่คุณจะรอให้คนเกาหลีใต้มาขอโทษคุณ ทำไมคุณก็ควรรีบขอโทษเขาก่อนก็ได้ครับ

ผมน่ะเวลาเดินไปตามสถานที่ราชการและสถานที่ต่าง ๆ ของไทย มักจะเห็น คนไทยน่ะชอบยืนเกะกะขวางทางเดินเพื่อจะหยุดยืนคุยกัน หรือเพื่อจะยืนรอรับการบริการ โดยไม่สนใจว่านั่นมันทางเดินไม่ควรมายืนเกะกะขวางทางคนอื่น

แล้วอย่ามาอ้างเปรียบเทียบนิสัยคนเกาหลีใต้กับคนญี่ปุ่นเลย  เพราะคนญี่ปุ่นเขามีมารยาทอันดับ 1 ของโลกอยู่แล้ว คนชาติไหน ๆ ในโลกก็มีมารยาทสู้คนญี่ปุ่นไม่ได้

แต่คนไทยน่ะกำลังไร้มารยาทมากขึ้นจนคนญี่ปุ่น คนเกาหลีใต้เขาเริ่มเอือมคนไทยมากขึ้นอยู่ทุกวันนี้แล้วครับ

ส่วนคนญี่ปุ่นน่ะเวลาเขาเดินชนกันเอง เขาจะรีบขอโทษซึ่งกันและกันทันที ไม่ต้องมารอให้ใครต้องมาขอโทษใครก่อนหรอก แบบที่คนไทยมักจะรอให้คนอื่นต้องขอโทษก่อน

ผมน่ะ อยากจะบอกคนที่ชอบด่านิสัยคนเกาหลีใต้ หรือขอบด่านิสัยคนจีนว่าไม่ค่อยมีมารยาทน่ะ พวกคุณเคยรู้ตัวไหมว่า ทั้งคนจีน คนเกาหลีใต้น่ะ อย่างน้อยเขาเคารพกฎหมายและเคารพระเบียบวินัยในสังคมบ้านเขามากกว่าคนไทยเยอะครับ

พอทีเถอะกับนิสัยที่ชอบด่าคนชาติอื่น แต่กลับไม่ย้อนมองดูความแย่ของคนในชาติตัวเองว่าดีกว่าเขาหรือไม่ ?

ผมยังสงสัยว่า แล้วเราจะไปด่าไปเกลียดกันทำไมระหว่างคนไทยกับคนเกาหลีใต้ การด่ากันไปกันมา แล้วมันมีอะไรดีขึ้น

คนทุกชาติล้วนมีข้อดีข้อเสียในตัวเองด้วยกันทั้งนั้น และคนดี ๆ ในแต่ละชาติก็มีด้วยกันทั้งนั้น แต่ที่แน่ ๆ ค่าเฉลี่ยของคนไทยน่ะเป็นพวกไร้ระเบียบวินัยและไม่เคารพกติกาในสังคมหรือเคารพกฎหมายบ้านเมือง (เช่นกฎจราจร) มากที่สุดเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก เชื่อไหม ?

เราคนไทยเอาเวลามาทำตัวของเรา นิสัยของเราให้ดีขึ้นดีกว่าไหม ผมว่า มันน่าจะดีกว่าที่จะไปจับผิดด่าทอคนชาติอื่น

คลิกอ่าน ทำไมละครเกาหลีถึงดีกว่าละครไทย(เป็นส่วนใหญ่)






วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ถัาจับจุดไม่ถูก ฟุตบอลไทยยิ่งล้าหลัง



เกริ่น 1

ปีที่แล้ว ผลงานทีมชาติไทยอายุไม่เกิน23ปี ตกรอบแรกซีเกมส์ที่ลาว ต่อมาก็ทีมชาติไทยชุดเอเชียนเกมส์ก็เสมอทีมชาติโอมานชุด21ปี 1:1 ทั้งๆที่โอมานเหลือเพียง10คน

ต่อมาก็เสมอทีมชาติมัลดีฟ 0:0 และแพ้ทีมญี่ปุ่นชุด21ปี 1:0

ทั้งๆที่ทีมไทยส่งรุ่นอายุ23ปีบวกโควต้าอายุเกินอีก3คน ในเอเชียนเกมส์กวางโจว

----------------------------------

เกริ่น 2

พอมาแข่งฟุตบอลเอเอฟเอฟ หรือการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียน (ทีมชุดใหญ่ไม่จำกัดอายุผู้เล่น) ไทยเสมอทีมชาติลาวแบบเกือบจะแพ้ 2:2 ทั้งๆที่ลาวก็ส่งชุด21ปีมาแข่งเท่านั้น

ต่อมาไทยเสมอมาเลเซีย 0:0 ทั้งๆที่มาเลเซียถูกอินโดนีเซียถล่มมา 5:1 และต่อมาลาวก็ถูกอินโดนีเซียถล่ม 6:0

ผู้เล่นไทยอ้างว่า กรอบ อ้างเพลียจากเอเชียนเกมส์ กรอบจากฟุตบอลลีกในประเทศ

ทั้งที่เมื่อก่อนชอบอ้างว่า ถ้าลีกในประเทศประสบความสำเร็จ ทีมไทยจะพัฒนามากขึั้น แล้วลาวล่ะ ลีกในประเทศเขาก็ยังด้อยพัฒนา แถมลาวส่งชุดเล็กมาด้วยนะ

เมื่อก่อนเวลาเจอทีมแนวหน้าในเอเซีย อย่างเกาหลี ก็ชอบอ้างว่า คนไทยตัวเล็กกว่า แต่ทีมวอลเล่ย์บอลหญิงไทยที่ตัวเล็กกว่าทุกทีมระดับแนวหน้าของโลก แต่ทำไมทีมวอลเล่ย์หญิงไทยก็สามารถเอาชนะทีมระดับโลกได้อยู่หลายครั้ง??

เมื่อก่อนทีมบอลไทยก็ชอบอ้างว่า เพราะประเทศเราจน ไม่เหมือนญี่ปุ่นที่รวย ที่สร้างลีกในประเทศแกร่ง ทีมชาติก็แกร่งไปด้วย แล้วทีมลาวล่ะเขารวยเหรอ??

ในตอนที่ทักษิณเป็นนายกฯประกาศทุ่มงบร้อยล้าน เพื่อให้ไทยไปบอลโลกให้ได้ แต่ไม่ทันจะได้ทุ่มสุดตัวก็พาลจะตกรอบก่อนแล้วเพราะนัดคัดเลือกบอลโลกสมัยนั้น ไทยพบเกาหลีเหนือในบ้านไทย ไทยโดนเกาหลีเหนือถล่มไป 4:1

ทักษิณซึ่งมานั่งดูในสนามด้วย ก็จ๋อยไปพร้อมๆกับคนไทยทั้งประเทศ แถมรีบหนีกลับก่อนบ้านก่อนหมดเวลาด้วยซ้ำ

สรุปเงินก็ไม่สามาถซื้อความสำเร็จให้ทีมไทยได้


-----------------------------------

สาเหตุที่ทำให้ฟุตบอลไทยยังย่ำอยู่กับที่ คือ


สิ่งที่ทีมชาติไทยไม่สามารถก้าวผ่านระดับภูมิภาคอาเซียนไปอยู่ระดับแถวหน้าของเอเซียอย่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ได้ ก็คือ สปีดการเล่นฟุตบอลของนักเตะไทยช้า!!

สปีดการเล่นฟุตบอล การส่งลูก การจับบอล ยังช้า นักเตะยังต้องแต่งบอลแทบทุกจังหวะที่จับบอล แถมยังขาดความแม่นยำในการรับส่งบอลในจังหวะเดียวแบบส่งเร็ว ส่งแรง เพราะถ้าส่งเร็ว และส่งแรง นักบอลจะขาดความแม่นย่ำ หรือไม่ก็ถ้าคนจ่ายแม่น ไอ้คนรับก็ดันรับไม่ดีเพราะเบสิคไม่แน่น

ซึ่งหากเราดูทีมที่เล่นในระดับโลก เราจะเห็นการรับบอล จับบอล ส่งบอลแบบไม่ต้องตกแต่ง สามารถเล่นบอลต่อได้ทันทีโดยไม่มัวมาเสียเวลาแต่งบอลให้เข้าที่เข้าทาง

ยิ่งจังหวะยิง ก็มัวแต่แต่งบอล จนคู่แข่งลงมาบล้อคได้ทัน หากทีมใดเล่นเกมเพรสซิ่งกับไทยได้ ไทยจะปิดประตูชนะทันที เพราะนักเตะไม่มีเวลาแต่งบอล 555!!

แมทซ์ประทับใจที่ผมเห็นการรับส่งบอลจังหวะเดียวอย่างแม่นยำทั้ง2ฝ่ายคือ แมทซ์ชิงชนะเลิศฟุตบอลโลกปี94 ระหว่างบราซิลกับอิตาลี ที่สหรัฐอเมริกา

ทั้งๆที่ในแมทซ์นั้น ในเวลาแข่งไม่มีการยิงประตูได้เลย จนต้องชี้ขาดด้วยการยิงลูกจุดโทษ แต่แมทซ์นั้นกลับตื่นตาตื่นใจกับการรับส่งบอลที่เร็ว และแม่นยำของผู้เล่นทั้งสองฝ่าย ผลัดกันรุกและรับอย่างสนุก และเพลินตากับการจ่ายบอลของนักเตะที่แน่นไปด้วยเบสิคและความสามารถเฉพาะตัวสูง

--------------------------------

ทำไมสไตล์การเล่นบอลไทยถึงได้ช้า แถมยังไม่ชัวร์


ทั้งๆที่สปีดการเล่นของบอลไทยก็ช้า กว่าญี่ปุ่น เกาหลี แล้ว แทนที่เล่นช้าแล้วจะส่งบอลได้ชัวร์แม่นยำ แต่ดันกลับทั้งช้า ทั้งไม่แม่น และนี่ก็คือสาเหตุหลักที่ทำให้ทีมชาติไทยไม่สามารถก้าวผ่านระดับภูมิภาคได้เลย แถมยังจะโดนชาติอื่นๆที่เคยเป็นเบี้ยล่างเรามาตลอดกำลังแซงหน้าเราไปแล้ว


สาเหตุบางส่วนที่บอลไทยเล่นช้า

1. คือ สันดานคนไทยขี้เกียจ กลัวร้อน ครับ เล่นก็ทำแอ๊กว่าข้าเก่ง เอาบอลอยู่กับตัวนาน ชอบโชว์ออฟ ไม่เน้นการจ่ายบอลที่แม่นยำ แต่เน้นโชว์เก่ง โชว์เลี้ยง ไม่เก่งเรื่องแนวคิดการเป็นทีมเวิร์ค คือนิสัยแบบนี้มันติดตัวมาตั้งแต่เด็กน่ะครับ (ผมเองก็เคยเป็น)

การเล่นเร็ว มันร้อน มันเหนื่อย เมื่อกลัวร้อน กลัวเหนื่อย ก็เลยทำให้สปีดบอลช้าจนเป็นสันดานแก้ยาก

2. ลูกฟุตบอลมีน้อย ตอนเด็กๆ ไม่ใช่ว่าเด็กทุกคนจะมีลูกฟุตบอลเป็นของตัวเอง เด็ก20คน อาจมีแค่ลูกฟุตบอลเพียงลูกเดียวในการเล่น เลยแย่งกันเล่น แย่งกันครองบอลนานๆ ทำให้เบสิคในการจ่ายบอล การผ่านบอลเลยไม่ค่อยพัฒนา

3. นักเตะไทยพลกำลังอ่อนด้อยมาก เพราะซ้อมไม่หนัก ไม่ถึงจุดที่มืออาชีพควรฝึก มันเกี่ยวเนื่องมาจากเมืองไทยมันร้อน คนไทยชอบความสบาย เลยไม่ค่อยชอบฝึกหนัก

ขอยกตัวอย่าง ในนัดคัดเลือกโอลิมปิกคราวก่อน (ถ้าจำไม่ผิด) ไทยเจออิรัก ที่สนามเทพหัสดิน ฝ่ายจัดการวางแผนให้เตะตอนบ่าย3โมง ซึ่งแดดกำลังร้อน ฝ่ายไทยคิดว่า อิรักไม่คุ้นกับอากาศแบบร้อนชิ้นของไทย อิรักจะต้องหมดแรงก่อนแน่ๆ แล้วทีมไทยจะได้บดขยี้อิรักให้สะใจ!?!

แต่เมื่อแข่งกันจริงๆ นักเตะไทยกลับหมดแรงในครึ่งหลัง โดนนักเตะอิรักบดจนเอาชนะไทยไปได้ 1-0 ทั้งๆที่ทีมอิรักเขามีปัญหาสงครามในประเทศ นักเตะแทบไม่มีเวลารวมตัวซ้อมกันเท่าไหร่เลย

หรืออย่างเช่น นักเตะเกาหลีใต้มาเตะเมืองไทย แทนที่ไทยจะบดเกาหลีใต้จนเกาหลีใต้หมดแรง แต่ในความเป็นจริง นักเตะไทยกลับโดนนักเตะเกาหลีใต้บดจนไทยหมดแรงเอง

ผมเกิดทันได้ดูยุคที่ปิยะพงศ์ ผิวอ่อน พาทีมชาติไทยไปชนะทีมชาติญี่ปุ่นที่สิงคโปร์ได้ ในฟุตบอลปรีโอลิมปิค 5-2 ปิยะพงศ์ ซัดแฮททริค!!

แต่ยุคนี้ ญี่ปุ่นได้ก้าวผ่านมาตรฐานระดับเอเซีย ไปเทียบชั้นระดับโลกได้แล้ว?? เพราะพัฒนาสปีดฟุตบอลนั่นเอง ถ้าเราดูญี่ปุ่นเตะ ถ้ามองผ่านๆก็นึกว่า พวกยุโรปเล่นซะอีก

-----------------------

ฟุตซอล คือตัวอย่างที่ดีสำหรับฟุตบอลไทย

ทำไมทีมฟุตซอลไทยถึงได้อยู่ระดับแนวหน้าของเอเซีย และได้ไปเล่นใระดับโลกเสมอ

นั่นเพราะ ฟุตซอลไทยก้าวผ่านเรื่อง เบสิคการจ่ายบอลได้แม่นยำ รวดเร็วไปแล้ว แต่ทีมฟุตบอลทีมชาติไทยกลับยังไม่สามารถก้าวผ่านเบสิคเรื่องนี้ไปได้เลย

ตัวอย่าง ทีมฟุตบอลทีมชาติสเปน ตัวนักเตะสเปนจะมีรูปร่างที่เล็กกว่านักเตะในยุโรปชาติอื่นๆ แต่ทีมชาติสเปนก็ได้เป็นแชมป์ยุโรป และแชมป์โลกได้ ก็เพราะพวกเขามีเบสิคพื้นฐานในการรับส่งบอลที่เร็ว แม่นยำ เหนือกว่าชาติคู่แข่งชาติอื่นๆ

ทีมฟุตซอลสเปนก็เช่นกัน ได้เป็นแชมป์โลกฟุตซอลหลายสมัย ทำให้ทีมไทยต้องจ้างโค้ชสเปนฟุตซอลมาเป็นโค้ชฟุตซอลทีมชาติไทย

ผมคิดว่า ทีมฟุตบอลไทยก็เช่นเดียวกัน ถ้าจะจ้างโค้ชต่างชาติ ชาติที่เหมาะสมกับการเป็นโค้ชทีมไทยมากที่สุดคือ โค้ชสเปนครับ หรือถ้าจะเลียนแบบก็ต้องเลียนแบบสไตล์ฟุตบอลของสเปน เช่น สโมสรบาร์เซโลน่า เป็นต้น

จุดแข็งของฟุตบอลสไตล์สเปนคือ เน้นทีมเวิร์คและการจ่ายบอลที่แม่นยำ

ส่วนถ้าเป็นฟุตบอลสไตล์บราซิล ความคิดเรื่องระบบทีมเวิร์คจะด้อยกว่าสไตล์ฟุตบอลสเปน เพราะนักเตะบราซิลมีความสามารถเฉพาะตัวสูงมาก สไตล์บราซิลจึงมีความเป็นทีมเวิร์คไม่เน้นมากเท่ากับสไตล์สเปน ที่เน้นทีมเวิร์กมากกว่าความสามารถเฉพาะตัวของนักเตะ

ส่วนโค้ชอังกฤษ สไตล์อังกฤษไม่เหมาะสมกับลักษณะการเล่นของนักเตะไทยเลย

------------------------------


ความเห็นของผมก็เป็นแค่ความเห็นส่วนหนึ่งที่อยากให้บอลไทยพัฒนาขึ้น ถูกผิดอย่างไร ก็หวังเป็นแค่การเสนอแนวคิดอีกทางครับ

ส่วนเรื่องปัญหาในสมาคมฟุตบอล ผมเห็นมีคนวิจารณ์เยอะแล้ว ก็เลยขอผ่านไม่ขอวิจารณ์ เพราะผมไม่รู้ตื้นลึกหนาบางเกี่ยวกับการทำงานของสมาคมครับ

(ตั้งแต่ผมเกิดมาจนป่านนี้กว่า30ปี แล้ว ศูนย์หน้าไทยที่ผ่านมา ยังไม่มีใครขึ้นเทียบชั้น เพชรฆาตหน้าหยก ปิยะพงศ์ ผิวอ่อนได้เลยสักคน)

วันอาทิตย์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2553

แวะมาทักทายก่อน

V

V

คือช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา คอมฯของผมล่มสลายครับ คือระบบปฏิบัติการเกิดล่มน่ะครับ

เลยไม่ได้เล่นเน็ตหรือมาอัพเดทบล้อคเลยหลายวัน

ตอนนี้เขียนเรื่องฟุตบอลไทยอยู่ครับ แต่ยังเขียนไม่จบ

วันนี้คอมเพิ่งใช้ได้ (แล้วก็มัวแต่ลงโปรแกรมเพลิน) เลยแวะมาทักทายก่อนครับ

^_^



.

วันอาทิตย์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ถิ่นกาขาว ไม่ใช่ คำทำนายหลวงพ่อฤาษีลิงดำ!!


หลายคนคงเคยได้ยินบทกลอนทำนายอนาคตประเทศไทย หรือที่รู้จักกันในชื่อ กลอนถิ่นกาขาว

ซึ่งมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนว่า เป็นคำทำนายของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ

แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ คำว่าถิ่นกาขาวเป็นเพียงคำทำนายของพระอรหันต์ในอดีตนามว่า พระพุทธโฆษาจารย์ (ลำใย) เขียนไว้ และไม่ได้เขียนเป็นกลอน ท่านได้ทำนายอนาคตของราชธานีใหม่ ก่อนที่กรุงศรีอยุธยาจะแตกเสียอิสรภาพแก่พม่า

ซึ่งหลวงพ่อฤาษีได้เจอสมุดข่อยโบราณ ที่พระพุทธโฆษาจารย์ได้กล่าวทำนายเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นแก่กรุงเทพมหานคร เมืองหลวงใหม่ ในวันข้างหน้า ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นแต่ละรัชกาลดังนี้

รัชกาลที่ ๑. ทำนายว่า มหากาฬผ่านมหายักษ์
รัชกาลที่ ๒. ทำนายว่า รู้จักธรรม
รัชกาลที่ ๓. ทำนายว่า จำต้องคิด
รัชกาลที่ ๔. ทำนายว่า สนิทธรรม
รัชกาลที่ ๕. ทำนายว่า จำแขนขาด
รัชกาลที่ ๖. ทำนายว่า ราษฎร์ราชาโจร
รัชกาลที่ ๗. ทำนายว่า นั่งทนทุกข์
รัชกาลที่ ๘. ทำนายว่า ยุคทมิฬ
รัชกาลที่ ๙. ทำนายว่า ถิ่นกาขาว
รัชกาลที่ ๑๐. ทำนายว่า ชาววิไล

และไม่มีบทกลอนถิ่นกาขาวของหลวงพ่อฤาษีลิงดำแต่อย่างใด!!

ผมมีลิงค์ที่มาและหลักฐานว่า ไม่ใช่คำทำนายของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ซึ่งมาจากเว็บของวัดท่าซุงนั่นเอง

เป็นเพียงคำบรรยายที่หลวงพ่อฤาษียกขึ้นมาเล่าให้ฟังถึงคำทำนายของพระพุทธโฆษาจารย์สมัยอยุธยาเท่านั้น

และไม่มีคำกลอนถิ่นกาขาวของหลวงพ่อฤาษีลิงดำแต่อย่างใด!! แต่มีผู้แอบอ้างแต่งกลอนขึ้นเพื่อให้ดูน่าเชื่อถือ เพื่อเจตนาอะไรบางอย่าง!!

สำคัญที่สุด ความเชื่อที่ว่า ชาติไทยจะไม่มีรัชกาลที่10นั้น เป็นความเชื่อที่ผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง ความจริงที่ถูกต้องเป็นเช่นไร

ซึ่งมีคนถามหลวงพ่อ เกี่ยวกับประเทศไทยจะมีแค่รัชกาลที่10เท่านั้นจริงหรือ?? ซึ่งหลวงพ่อได้ตอบดังนี้

ปัญหาที่น่าคิดต่อไปก็คือว่า ทำไมพระพุทธโฆษาจารย์จึงทำนายเหตุการณ์บ้านเมืองไว้เพียง ๑๐ รัชกาลเท่านั้น? กรุงเทพมหานครจะมีพระมหากษัตริย์เพียง ๑๐ พระองค์เท่านั้นหรือ?

"เป็นเรื่องที่อาตมาสนใจเป็นพิเศษ จึงได้สอบถามเรื่องนี้กับ หลวงพ่อปาน และพระอาจารย์ต่างๆ ซึ่งจิตของท่านเป็นสมาธิเข้าถึงขั้นอภิญญา สามารถที่จะรู้จริงในเรื่อง อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ซึ่งก็ยังมีอยู่หลายๆ องค์ในขณะนี้ ทุกๆ รูปที่อาตมาสอบถามจากท่าน ต่างก็ยืนยันตรงกันว่า

พระมหากษัตริย์จะยังคงมีอยู่คู่กับชาติไทยตลอดไปอีกนาน มิใช่เพียงแค่ ๑๐ พระองค์เท่านั้น แต่ที่พยากรณ์ไว้เพียงแค่นั้นก็เพราะว่าเริ่มตั้งแต่รัชกาลที่ ๑๐. เป็นต้นไป บ้านเมืองจะมั่งคั่งสมบูรณ์ ร่มเย็นผาสุก ประชาชนในชาติจะร่ำรวย ประเทศไทยจะเป็นประเทศมหาอำนาจประเทศหนึ่ง ซึ่งจะมีแต่ความเจริญตลอดไป ไม่ล้มลุกคลุกคลานดังที่แล้วมา จึงไม่จำเป็นจะต้องพยากรณ์ต่อไปอีก"

กรุณาไปอ่านต้นฉบับการเล่าของหลวงพ่อตอบเกี่ยวกับอนาคตชาติและความหมายคำทำนายในแต่ละรัชกาล ซึ่งหลวงพ่อฤาษีก็ได้ตอบเรื่องสถาบันกษัตริย์จะอยู่คู่ประเทศไทยตลอดไปอีกนาน เชิญอ่านคำชี้แจงของวัดท่าซุง


ได้ที่ http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=680

----------------------------------

คำกลอนถิ่นกาขาว มีเนื้อความดังนี้ (ที่มีผู้แอบอ้างว่าเป็นของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ซึ่งความจริงไม่ใช่!! มีคนแต่งขึ้นมาแล้วแอบอ้างชื่อหลวงพ่อไปใช้)


"เมื่อถึงปลาย รัชกาล ผ่านเข้ามา
ประเทศชาติ จะรุ่งเรือง และเฟื่องฟุ้ง
น้ำมันพุ่ง ขึ้นมา จนเห็นค่า
พวกกาขาว จะบินรี้ หนีเข้ามา
เป็นประชา จนเต็ม พระนคร

ชนทั่วโลก จะยก พระองค์ท่าน

ชื่อกระฉ่อน ร่อนทั่ว ทุกสิงขร
ออกพระนาม ลือชื่อ ดั่งทินกร
องค์อมร เอกบุรุษ แห่งแผ่นดิน

ชาวประชา จะปิติ ยิ้มสดใส

แต่อกไหม้ หนอนกิน ข้างในสิ้น
จะมีพวก กาฝาก คอยกัดกิน
เพื่อให้ได้ สิ่งถวิล สมจินตนา

จะมีการ ต่อตี กันกลางเมือง

ขุนนางเขื่อง กังฉิน กินทั่วหล้า
คอรัปชั่น จะกัดกร่อน ทั้งพารา
ประดุจปลวก กินฝา นั้นปะไร

ข้าราชการ ตงฉิน ถูกประณาม

สามคนหาม สี่คนแห่ มาลากไส้
เกิดวิกฤติ ผิดเพี้ยน โดยทั่วไป
โกลาหล หม่นไหม้ ไร้ความดี

ประชาชี จะสับสน เรื่องดีชั่ว

ถ้วนทุกทั่ว จะมุด ขุดรูหนี
ไม่แน่ใจ สิ่งที่ทำ นำความดี
เกรงเป็นผี ตายตก ไปตามกัน

พุทธศาสน์ จะถูก รุกและล้ำ

มิตรเคยค้ำ เป็นศัตรู มุ่งอาสัญ
เกิดวิกฤติ ธรรมชาติ อุบาทว์ครัน
พายุลั่น น้ำถล่ม ดินทลาย

แผ่นดินแยก แตกเป็นสอง ปกครองยาก

เกิดวิบาก ทุกข์เข็ญ ระส่ำระสาย
เกิดการปราบ จลาจล ชนล้มตาย
เลือดเป็นสาย น้ำตานอง สองแผ่นดิน

ข้าเป็นนาย นายเป็นข้า น่าสมเพช

ผู้มีบุญ มีเดช จะสูญสิ้น
ทั้งพฤฒา อาจารย์ ลือระบิล
จะร่วงริน ดุจใบไม้ ต้องสายลม

ความระทม จะถมทับ นับทะเวศ

ดั่งดวงเนตร มืดบอด สุดขื่นขม
คนที่ดี จะก้มหน้า สุดระทม
คนชั่วข่ม หัวร่อร่า ทำท่าดัง

จะมีหนึ่ง นารี ขี่ม้าขาว
ควงคฑา มุ่งสู่ดาว สร้างความหวัง
ผู้ปกครอง จะเป็นหญิง พึงระวัง
สายน้ำหลั่ง กรากเชี่ยว หวาดเสียวใจ

ศิวิไลซ์ จะบังเกิด ในสยาม

หลังฝนคร้าม ลั่นครืน จะยืนได้
จะเข้าสู่ ยุคมหา ชนพาไป
เปลี่ยนเมืองใหม่ ศักราช แห่งประชา

คนชั่วจะ ถูกปราบ ราบคาบสิ้น

แผ่นดินเดือด สูญหาย ไร้ปัญหา
ประเทศชาติ ผ่านวิกฤติ ด้วยศรัทธา
ยามเมื่อฟ้า ศรีทอง ผ่องอำไพ"

จริงๆมีคนแต่งต่ออีกหน่อยในท่อนสุดท้าย ที่ว่า
.
"ยามเมื่อฟ้าศรีทองผ่องอำไพ ประชาชนจะเป็นใหญ่ในแผ่นดิน"

ซึ่งผมคาดเดาเองว่า คือพวกแนวคิดล้มเจ้าเป็นคนแต่งโดยเฉพาะท่อนสุดท้ายขึ้น ผิดถูกอย่างไรก็ขออภัย

แต่สำหรับ ใหม่เมืองเอก เชื่อว่า ท่อนสุดท้ายที่จะแต่งต่อไป ควรจะเป็น

ยามเมื่อฟ้าศรีทองผ่องอำไพ ชาวไพร่ฟ้าหมดทุกข์ทั้งแผ่นดิน!!


--------------------------

หลายคนอาจบอกว่า บทกลอนดูค่อนข้างจะแม่น คล้ายกับเหตุการณ์ปัจจุบันหลายอย่าง ซึ่งหากเราลองมองในอีกมุม

ผมกลับมองว่า พวกแนวคิดล้มเจ้าพยายามทำเหตุการณ์ให้ตรงกับบทกลอน ตามอุดมการณ์ที่พวกเขาเชื่อก็เป็นได้ เพราะบทกลอนนี้มีมานานพอควร น่าจะเกิดขึ้นยุคแนวคิดคอมมิวนิสต์ระบาดเมื่อ30-50ปีก่อน

ผมมองว่า คนแต่งกลอนบทนี้นั้นเก่ง และคงเป็นนักอ่าน นักคิดที่เก่งเอาการ ที่เอาคำทำนายของพระอรหันต์สมัยอยุธยา มาผูกโยงกับอุดมการณ์ ทางการเมือง ของตน แถมยังนำคำทำนายของพระพุทธเจ้า ในเรื่อง ยุคมิคสัญญี มารวบรวมแต่งเป็นบทกลอนถิ่นกาขาวให้ดูน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น

แต่เหนือสิ่งอื่นใด การแต่งกลอนที่ยอดเยี่ยม แต่เมื่อคนแต่งมีใจไม่บริสุทธิ๋ แอบอ้างนำชื่อของหลวงพ่อฤาษีมาใช้ เพื่อให้บทกลอนน่าเชื่อถือ นั่นจึงทำให้บทกลอนนี้ แทนที่จะกลายเป็นบทกลอนที่น่าชื่นชม กลับกลายเป็นบทกลอนกำมะลอในที่สุดครับ


แนะนำอ่านเรื่องต่อเนื่อง นารีขี่ม้าขาว จากกลอนกำมะลอ!!






.


วันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

หน้าที่ของพ่อแม่ และหน้าที่ลูก ที่คุณอาจไม่ยังเข้าใจ!!



หน้าที่ของการเป็นพ่อ เป็นแม่ ฟังดูอาจเหมือนใครๆก็รู้ว่า หน้าที่ของคนเป็นพ่อ เป็นแม่คืออะไร ทำอย่างไร

แต่ผมคิดว่า ที่ว่าใครๆก็รู้กันอยู่แล้วนั้น แต่ความเป็นจริง คนที่จะเข้าใจหน้าที่พ่อแม่จริงๆ อย่างถ่องแท้นั้น ผมเชื่อว่าคงจะมีไม่มาก

บทความนี้ ถ้าผมได้พูดคุยอธิบายต่อหน้าคนฟัง ผมคิดว่าแค่อธิบายนิดเดียวคุณผู้อ่านจะเข้าใจได้ทันที เพราะการพูดคุยซักถาม ตอบโต้ จะทำให้ง่ายแก่ความเข้าใจ

แต่เมื่อต้องใช้การเขียน โดยไม่มีการตอบโต้ซักถาม ก็ยากที่จะอธิบายให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ได้ง่าย ๆ หากคุณผู้อ่านมีข้อสงสัยตรงไหน อยากให้ถามมานะครับ จะได้อธิบายเพิ่มเติมเพื่อความชัดเจนขึ้น

-----------------------------------

หน้าที่ของพ่อแม่


แน่นอนที่สุด เมื่อคุณได้ให้กำเนิดลูกของคุณขึ้นมาแล้ว หน้าที่ของความเป็นพ่อเป็นแม่ อันดับแรกนับตั้งแต่วันที่ลูกของคุณเริ่มปฏิสนธิ นั่นก็คือ คุณต้องเลี้ยงดูอุ้มชูลูกที่อยู่ในท้องของแม่ ให้เจริญเติบโตให้ถือกำเนิดออกมาให้ได้ดีที่สุดเท่าที่คุณควรทำ หรือทำได้

และเมื่อลูกได้เกิดขึ้นมาแล้ว หน้าที่พ่อแม่ คือต้องเลี้ยงดู เอาใจใส่ ดูแล อบรม สั่งสอน ให้การศึกษา ให้ลูกของคุณเติบโตขึ้นมาให้เป็นคนดี และมีคุณภาพของสังคม และประเทศชาติ

หลักการหรือแนวคิดใหม่ในทุกวันนี้ ได้ยอมรับกันแล้วว่า การเลี้ยงลูกให้เป็นคนดีของสังคม ถือว่าเป็นหน้าที่ที่สำคัญของพ่อแม่ยิ่งกว่า เลี้ยงลูกให้เป็นคนเก่ง

เพราะคนเก่งแต่เลว ยิ่งทำให้บ้านเมืองและสังคมวุ่นวายเดือดร้อน ซึ่งถ้าลูกของคุณเติบโตขึ้นมาเป็นคนเก่งแต่เลว บาปกรรมไม่ใช่เกิดเฉพาะการกระทำของลูกเท่านั้น บาปกรรมที่ลูกสร้างนั้นพ่อแม่ที่อบรมเลี้ยงดู ก็ต้องมีส่วนรับผิดชอบในบาปกรรมนั้นๆของลูกด้วย (ไม่มากก็น้อย)

ในทางกลับกัน หากลูกเป็นคนดี กระทำความดี พ่อแม่ก็จะพลอยรับบุญกุศลจากลูกไปด้วยเช่นกัน (การได้เห็นลูกเป็นคนดี พ่อแม่ย่อมเกิดปิติสุข เมื่อเกิดปิติสุข แสดงว่าจิตเป็นกุศล)

----------------------------------


พ่อแม่ ไม่ควรทวงบุญคุณกับลูก

หน้าที่ของพ่อแม่ คือเลี้ยงดู อบรม สั่งสอน ส่งเสียให้ความรู้แก่ลูก จนลูกเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ที่สามารถเลี้ยงดูตนเองได้แล้ว ก็นับว่า นั่นคือหน้าที่พื้นฐานของผู้เป็นพ่อเป็นแม่

หากทำให้ลูกเป็นคนดี ช่วยเหลือสังคม และประเทศชาติได้ นั่นยิ่งถือว่า ได้เป็นพ่อแม่ที่ประเสริฐสุด


ขอยกกรณีตัวอย่างที่พ่อแม่ทุกคนควรศึกษาไว้


หลายครั้งที่เราอาจเคยดูละครทั้งน้ำเน่าและไม่เน่า เรามักจะเห็นในละครที่ พ่อแม่ชอบที่จะบังคับให้ลูกแต่งงานกับคนที่พ่อแม่เลือกไว้ 

ถ้าลูกเชื่อฟังพ่อแม่ ยอมทำตามคำสั่งพ่อแม่แต่งงานกับคนที่พ่อแม่เลือกไว้อย่างเต็มใจ ก็นับว่า เป็นโชคดีของคนเป็นพ่อเป็นแม่

แต่ถ้าลูกเขาไม่รักคนที่พ่อแม่เลือกหาไว้ให้ แล้วพ่อแม่ก็ยังจะบังคับลูก แม้กระทั่งมีการพูดทำนองว่า ถ้าลูกไม่เชื่อฟังทำตามคำสั่งของพ่อแม่ จะตัดพ่อตัดลูก หรือตัดแม่ตัดลูก เป็นต้น

ผมอยากบอกว่า นั่นคือสิ่งที่พ่อแม่ทำผิด และถือว่าพ่อแม่ได้กระทำบาปเกิดขึ้นแล้วครับ

ทำไมผมถึงบอกเช่นนั้น เพราะการบังคับฝืนใจคนนั้น ปกติมันก็บาปอยู่แล้ว


ฉะนั้น ผมจึงขอยกตัวอย่างประกอบเพิ่ม เพื่อความชัดเจนยิ่งขึ้น (เฉพาะในกรณีที่ลูกโตแล้ว เช่นอายุเกิน15ปี ซึ่งเป็นวัยที่พอจะคิดตัดสินใจในบางเรื่องได้ หากลูกยังเล็ก พ่อแม่ก็ยังมีสิทธิคิดตัดสินใจแทนลูกได้)

1. กรณีการศึกษา เช่น พ่อแม่บังคับให้ลูกเรียนสายวิทย์ แต่ลูกอยากเรียนสายศิลป์ พ่อแม่กำลังทำบาปที่บังคับใจลูก แต่ถ้าลูกยอมเรียนตามที่พ่อแม่บังคับ ลูกได้ทำหน้าที่ลูกที่ดีของพ่อแม่ ถือว่าลูกได้บุญ!! จากการเชื่อฟังพ่อแม่

2. กรณีเรื่องคู่ครอง เช่น พ่อแม่บังคับให้ลูกแต่งงานกับคนที่พ่อแม่เลือกไว้ให้ ทั้งๆที่ลูกไม่ได้รักหรือมีคนที่ตนรักอยู่แล้ว พ่อแม่ก็กำลังทำบาปที่บังคับใจลูก แต่ถ้าลูกยอมแต่งตามที่พ่อแม่บังคับ ลูกได้ทำหน้าที่ลูกที่ดีของพ่อแม่ ลูกได้บุญ!! จากการเชื่อฟังพ่อแม่

3. กรณีการศึกษา เช่น พ่อแม่บังคับให้ลูกเรียนสายวิทย์ แต่ลูกอยากเรียนสายศิลป์ พ่อแม่ก็บาปที่บังคับใจลูก แต่ลูกก็ไม่เชื่อฟัง ลูกตัดสินใจไม่เรียนตามที่พ่อแม่บังคับ ก็ถือว่าลูกได้ทำบาป ที่ไม่ทำหน้าที่ลูกที่ดีที่ต้องเชื่อฟังพ่อแม่

4. กรณีเรื่องคู่ครอง เช่น พ่อแม่บังคับให้ลูกแต่งงานกับคนที่พ่อแม่เลือก ทั้งๆที่ลูกไม่ได้รักหรือมีคนที่ตนรักอยู่แล้ว พ่อแม่ก็ทำบาปที่บังคับใจลูก และถ้าลูกไม่ยอมทำตามคำสั่งพ่อแม่ ไม่ยอมแต่งงานกับคนที่พ่อแม่เลือกให้ ลูกก็ไม่ได้ทำหน้าที่ลูกที่ดีของพ่อแม่ ลูกก็ทำบาปเช่นกัน

ลองอ่านทบทวนดีๆนะครับ เพื่อจะได้ไม่งง????


** คุณผู้อ่านยังไม่ต้องสนใจว่า บาปที่เกิดขึ้นในชั้นต้นของตัวอย่างทั้ง4ข้อนั้น บาปมากหรือน้อย เพราะการที่บาปจะมากหรือน้อย มันต้องขึ้นอยู่กับผลที่จะตามมาทีหลังด้วยครับ

เช่น กรณีการศึกษา หากพ่อแม่บังคับลูกให้เรียนในสิ่งที่พ่อแม่่ต้องการ แม้ลูกไม่อยากจะเรียนตามที่พ่อแม่บังคับ แต่ลูกก็ยอมเชื่อฟังพ่อแม่ ยอมเรียนตามที่พ่อแม่บังคับโดยดี แล้วในกาลต่อมา การเรียนของลูกกลับประสบความสำเร็จ เป็นผลดีต่อลูก ทำให้ลูกประสบความสำเร็จในชีวิต

แม้ในตอนแรกพ่อแม่จะทำบาปด้วยการฝืนใจลูกก็ตาม แต่ผลต่อมาจากการบังคับฝืนใจ กลับเป็นสิ่งที่ดีต่อลูก ก็ทำให้พ่อแม่ได้บุญกุศลที่มากกว่าคืนกลับมาในที่สุดครับ


และในทางกลับกัน หากพ่อแม่บังคับลูกให้เรียน แล้วลูกก็ฝืนใจยอมเรียนตามคำสั่งพ่อแม่ และผลต่อมา ผลที่ลูกไปเรียนตามคำสั่งพ่อแม่ กลับทำให้ลูกยิ่งแย่ลง สูญเสียเวลา สูญเสียโอกาส ลูกเป็นทุกข์

ถ้าเป็นแบบนี้ พ่อแม่ก็จะยิ่งบาปมากขึ้นที่ไปบังคับลูกครับ


กรณีเรื่องคู่ครองก็เช่นเดียวกัน ถ้าพ่อแม่บังคับลูก แล้วลูกเชื่อฟัง และภายหลังต่อมา การแต่งงานที่เกิดจากการที่พ่อแม่บังคับฝืนใจลูก กลับทำให้ลูกมีความสุข ประสบความสำเร็จในการครองเรือน แบบนี้แม้ตอนแรกพ่อแม่จะทำบาปก็ตาม แต่ก็จะกลายเป็นบาปกรรมเพียงน้อยนิดได้ เพราะผลบุญที่ทำให้ลูกมีความสุขในกาลต่อมา ได้ทำให้เกิดกุศลผลบุญที่มากกว่าคืนกลับมาสู่พ่อแม่ครับ

ในทางกลับกัน หากลูกจำใจแต่งงานกับคนที่พ่อแม่เลือกให้ แล้วลูกต้องประสบความล้มเหลวในชีวิตคู่ มีปัญหาในครอบครัว แบบนี้พ่อแม่ที่บังคับให้ลูกแต่งงานก็เหมือนได้ทำบาปต่อลูก

ฉะนั้น !!

ทางที่ถูกที่ควร พ่อแม่ควรเป็นที่ปรึกษาที่ดีให้แก่ลูกเท่านั้น แล้วปล่อยให้ลูกตัดสินใจเลือกทางเดินชีวิตของเขาเอง พ่อแม่ไม่มีสิทธิที่จะบังคับลูกให้ต้องทำอย่างโน้นอย่างนี้ และยิ่งถ้าอ้างความเป็นพ่อเป็นแม่เพื่อใช้บังคับขู่เข็ญลูก แบบนี้ยิ่งทำให้กุศลแห่งการทำหน้าที่ของพ่อและแม่จะไม่บริสุทธิ์ ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย

เพราะการฝืนใจคน ไม่ว่ากรณีใดๆก็ตาม ก็ถือว่าเป็นบาปทั้งสิ้น เพียงแต่ผลที่ตามมาจะดีหรือร้าย จะได้บุญคืนกลับหรือไม่ ก็ต้องรอดูผลต่อไป

------------------------------

คุณผู้อ่าน อ่านที่ผมได้อธิบายคร่าวๆไปนั้น พอเข้าใจมั้ยครับ??

หลักง่ายๆก็คือ เมื่อพ่อแม่ทำหน้าที่อบรม เลี้ยงดู สั่งสอน ให้การศึกษา จนลูกเติบโตจนดูแลตัวเองได้ หน้าที่ของพ่อแม่ ก็นับว่าทำได้สมบูรณ์ตามสมควรแล้ว และทำหน้าที่ไปโดยไม่ควรหวังผลตอบแทนจากลูก


หากลูกเติบโตไปแล้ว ต่อมาลูกเกิดอกตัญญู ไม่เลี้ยงดูพ่อแม่ พ่อแม่ก็ต้องไม่ทวงบุญคุณลูกนะครับ เพราะถ้าเมื่อใดที่พ่อแม่ทวงบุญคุณลูกว่าเธอต้องตอบแทนบุญคุณที่ฉันเลี้ยงดูเธอมานะ

ถ้าเป็นแบบนั้น ผลบุญจากการทำหน้าที่พ่อแม่ที่สมบูรณ์ที่ผ่านมา ก็จะไม่บริสุทธิ์เสียแล้วครับ พ่อแม่ก็จะได้บุญกุศลจากการเลี้ยงดูลูกตามหน้าที่น้อยลง


เช่นเดียวกัน ลูกมีหน้าที่ต้องเชื่อฟังพ่อแม่ เลี้ยงดูพ่อแม่ยามแก่ชรา หากลูกไม่ทำหน้าที่ลูกตามนี้ ลูกก็อกกตัญญูเป็นบาปมหันต์ครับ

---------------------------------

สุดท้าย ผมอยากจะสรุปว่า แต่ละคนต่างก็มีหน้าที่ของตัวเอง พ่อแม่ก็มีหน้าที่ของพ่อแม่ ลูกก็มีหน้าที่ของลูก

พ่อแม่ก็ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด หากต่อมาลูกไม่ตอบแทนบุญคุณ พ่อแม่ก็อย่าทวงบุญคุณลูกเด็ดขาด

ลูกก็ต้องทำหน้าที่ของลูกที่ดีต่อพ่อแม่ ด้วยการเชื่อฟังคำสั่งสอน ทำตามคำสั่งของพ่อแม่ และเลี้ยงดูตอบแทนพ่อแม่ยามแก่ชรา หากลูกไม่ทำตามนี้ก็เป็นลูกที่อกตัญญู เป็นบาปมหันต์ครับ

----------------------

บทความนี้อาจเข้าใจยากสักหน่อย หากคุณผู้อ่านท่านใดมีข้อสงสัย ก็เขียนมาถามได้นะครับ ยินดีเสมอ..


แนะนำย้อนอ่าน พระอรหันต์ในบ้าน




วันพฤหัสบดีที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เหตุสะพานแกว่ง เขมรตายเพราะความไม่รู้

V

V

เป็นข่าวสลดที่ดังไปทั่วโลก ในคืนเทศกาลน้ำ หรือคืนวันลอยกระทงของกัมพูชา เกิดเหตุโศกนาฏกรรมรุนแรง มีคนตายร่วม400คน จากเหตุเหยียบกันตายบนสะพานแขวนบริเวณเกาะเพชร หรือไดมอนด์ ไอส์แลนด์ ที่เป็นสถานที่จัดงานลอยกระทง

ซึ่งภายหลังเจ้าหน้าที่ได้สอบสวนสาเหตุ และได้ข้อสรุปว่า

เพราะมีคนตะโกนว่่าสะพานจะพัง ทำให้ผู้คนที่เบียดเสียดกันอยู่บนสะพานต่างแตกตื่น ตกใจหนีเอาตัวรอดกันจ้าล่ะหวั่น จนเกิดเหตุสลดดังกล่าวขึ้น

สาเหตุที่มีคนตะโกนว่า สะพานจะพัง ก็เพราะ สะพานแขวนมีอาการแกว่งตัวเกิดขึ้น ซึ่งคนที่ไม่รู้ว่า การแกว่งตัวของสะพานแขวนนั้นถือเป็นเรื่องปกติทั่วไป จึงได้ตะโกนขึ้นจนผู้คนนับพันบนสะพานเกิดอาการตื่นตระหนกอย่างรุนแรง หนีตายจนเหยียบกันตายบนสะพาน

โปรดทราบว่า สะพานแขวนที่ไหนๆในโลกก็แกว่งตัวได้ทั้งนั้น ตามโครงสร้าง เพื่อความยืดหยุ่นยามที่สะพานต้องเจอพายุลมแรง หรือแผ่นดินไหว

เหตุการณ์สลดในกัมพูชาในครั้งนี้ถือเป็นอุทาหรณ์ที่สำคัญมาก ว่าความไม่รู้ จนเกิดความตื่นกลัวของผู้คนนั้นอันตรายยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด


----------------------------------


คลิปจำลองการแกว่งตัวของสะพานโกลเด้นเกท ที่ซานฟรานซิสโก แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ยามเมื่อเผชิญกับแผ่นดินไหวในระดับต่างๆ




----------------------------


ในอดีตก็เคยมีสะพานแขวนที่พังถล่มลงมาแล้ว นั่นคือ สะพานทาโคมาแนโรว์ ในอเมริกา

ผมหาเจอในหลายๆเว็บได้ระบุว่าสาเหตุที่สะพานทาโคมาถล่มก็ เนื่องจากลมที่พัดมากระทบกับสะพาน มีความถี่เท่ากับความถี่ธรรมชาติของการสั่นของสะพาน จึงทำให้สะพานแกว่งแรงขึ้น จนพังในที่สุด





.

วันเสาร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ขอบคุณ ขอโทษ ทำง่าย ๆ แถมได้บุญ



ทีแรกผมจะตั้งชื่อบทความว่า การขอบคุณ การขอโทษ การเสียสละ การให้อภัย ก็เป็นบุญ ซึ่งก็คือวิธีการสร้างกุศลกรรมอย่างง่ายๆ ง่ายถึงง่ายที่สุด แต่มันยาวไป ก็เลยเปลี่ยนเป็นชื่อที่เห็นข้างบนนั่นแหล่ะครับ

ผมนั้นชื่นชมมารยาทและวัฒนธรรมของชาวญี่ปุ่นมาก โดยเฉพาะเรื่องการขอบคุณ และการขอโทษ เห็นได้มากในสังคมวัฒนธรรมญี่ปุ่น แสดงให้เห็นถึงความอ่อนน้อม ถ่อมตน และมีมารยาทในความเกรงอกเกรงใจของคนญี่ปุ่่น

และเพราะคนญี่ปุ่นมักมีกิริยามารยาทอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้อื่นเสมอนั้น ยิ่งกลับทำให้คนญี่ปุ่นยิ่งมีจิตใจที่แข็งแกร่ง ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคมากขึ้น เพราะความถ่อมตนนั้น ดูเหมือนทำง่าย แต่กลับไม่ง่ายอย่างที่คิด




-----------------------------------


บุญจากการขอบคุณ ขอโทษ เสียสละ ให้อภัย

ลองคิดง่ายๆ เช่น เวลาที่มีใครขอบคุณเราเมื่อเราช่วยเหลือเขาในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างเช่น เราหยิบของที่เขาทำตกคืนให้เขา

หรือมีใครขอโทษเราเมื่อเขาทำผิดพลาดต่อเรา เช่น เวลาเขามาเดินชนเราโดยไม่ตั้งใจ แล้วเขาก็รีบกล่าวขอโทษต่อเราทันที

หรือการเสียสละในเรื่องเล็กๆน้อยให้เราเช่น ลุกให้เรานั่งบนรถเมล์

ถามว่า เราชอบมั้ย?? เรารู้สึกดีมั้ย? ที่ได้ยินได้รับฟังคำกล่าวเหล่านี้

แน่นอนคนส่วนใหญ่ที่มีจิตใจปกติ ย่อมรู้สึกดี กับคำขอบคุณ คำขอโทษ หรือการเสียสละที่ได้รับจากคนอื่น

การที่ทำให้คนอื่นสุขใจ สบายใจ ย่อมเป็นการกระทำที่ดี ที่ควรกระทำ จึงนับเป็นกุศลกรรมอย่างหนึ่งเช่นกัน และเมื่อเป็นกุศลกรรม ก็ย่อมเป็นบุญเป็นกุศลไปด้วย


------------------------------------


อยกตัวอย่างเรื่องง่ายๆ ในชีวิตประจำวัน ที่เราสามารถทำกุศลกรรมได้ง่ายๆเช่น


ตัวอย่างที่ 1

เวลายืนรอคิวซื้ออาหารในฟู้ดเซ็นเตอร์ หรือในโรงอาหารสักแห่ง ขณะเรายืนรอคิวอยู่ หากมีคนแก่ หรือคนพิการ หรืออื่นๆ ที่ด้อยหรืออ่อนแอกว่าเรา ถ้าเราเสียสละให้พวกเขาเหล่านั้นลัดคิวไปก่อนเรา เราก็ได้ทำกุศลกรรม ที่เรียกว่า การเสียสละ แล้วครับ

กุศลกรรม ไม่ใช่มีแค่ผู้ให้เท่านั้นที่จะได้รับ แม้แต่ผู้รับก็สามารถได้รับกุศลกรรมเช่นกัน หากทำตามนี้


เช่น เมื่อเราเสียสละการรอคิวซื้ออาหารให้ผู้สูงอายุสักคนได้ซื้อก่อนเรา แล้วผู้สูงอายุ ผู้ที่ได้รับความเสียสละจากเรา ท่านได้กล่าวคำว่า ขอบคุณ หรือขอบใจแก่เรา

ขอบอกว่า!! ท่านผู้สูงอายุท่านนั้น ก็ได้ทำกุศลกรรมจากการกล่าวคำว่า ขอบคุณ แล้วเช่นกัน เมื่อได้กล่าวขอบคุณ ก็ได้บุญทันที


ตัวอย่างที่ 2

เวลามีใครถือของพะรุงพะรังจนของตกมาใส่เรา เขาหรือเธอรีบกล่าวคำขอโทษต่อเรา (เขาก็ได้บุญแล้ว)

แล้วถ้าเราก็ตอบกลับว่า ไม่เป็นไรครับ (เราก็ได้บุญจากการให้อภัยเช่นกัน)

แล้วถ้าเราก็รีบช่วยเขา ด้วยการหยิบของที่เขาทำตกคืนให้เขา (เราได้บุญอีกแล้ว) เขารีบกล่าวขอบคุณเรา (เขาก็ได้บุญอีกเหมือนกัน)

คุณผู้อ่านลองนับๆดูสิครับ ในตัวอย่างที่ 2 นี้ มีการทำกุศลกรรมไปมาต่อกัน และได้บุญไปกี่ต่อหรือกี่ครั้งแล้ว??

------------------------------

านิสงส์ของการขอบคุณ ขอโทษ การเสียสละ และการให้อภัย


เมื่อเราขอบคุณเสมอ เราย่อมได้รับคำขอบคุณจากคนอื่นเสมอ ๆ เช่นกัน ทำให้เราเกิดมาย่อมทำคุณแก่ใครขึ้น ไม่ใช่ทำคุณไม่ขึ้น (ที่เรียกว่าทำคุณบูชาโทษ) ทำให้เราพ้นจากการถูกทรยศหักหลัง


เมื่อเรากล่าวคำขอโทษในความบกพร่องของเราต่อผู้อื่นอยู่เสมอ อานิสงส์ย่อมทำให้เราจะมีความผิดพลาดน้อยลง และจะมีคนเห็นอกเห็นใจเรามากกว่าสมเพช หรือสมน้ำหน้าเรา


อานิสงส์ของการเสียสละ ย่อมนำมาซึ่งความสะดวกแก่เรา หรือแม้แต่ในยามที่เราพบพิบัติภัย ก็จะมีคนมาช่วยเหลือเราได้ง่าย

อานิสงส์ของการให้อภัย กุศลกรรมนี้ยิ่งใหญ่นัก เพราะ เป็นกุศลกรรมหรือกุศลจิตที่ช่วยตัดภพตัดชาติให้เราได้เลยทีเดียวครับ นั่นก็คือ อโหสิกรรม

-------------

ขอย้ำในบทนี้อีกครั้งว่า จงทำความดี ทำบุญกุศลโดยไม่หวังผลตอบแทน (แม้กระทั่งผลบุญ) ย่อมได้กุศลสูงสุด

เพราะบุญที่ไม่หวังผล หากเราทำความดี บุญนั้นย่อมได้เองอยู่แล้ว โดยไม่ต้องหวัง

กุศลกรรมที่ทำโดยไม่หวังผล ย่อมเป็นบุญที่บริสุทธิ์ เพราะเกิดจากใจที่บริสุทธิ์ เมื่อใจบริสุทธิ์ ย่อมเกิดกำลังบุญมหาศาล



----------------------

ผู้ใหญ่ก็ขอโทษผู้เยาว์ได้นะ

ก่อนจบบทความ ผมขอเล่าฉากนึงในหนังญี่ปุ่นเรื่องนึง ขออภัยที่จำชื่อหนังเรื่องนั้นไม่ได้ แต่เป็นหนังที่เกี่ยวกับความรักของพ่อ โดยในวันพ่อในปีหนึ่ง ทางช่องไทยพีบีเอสได้นำหนังญี่ปุ่นเรื่องนี้มาฉาย

มีฉากนึง ที่พ่อได้ทำการคุกเข่าอย่างเป็นทางการเพื่อขอโทษลูกชายที่อายุแค่ 10 ขวบเท่านั้น

สาเหตุคือ ในวันเกิดลูกชายอายุครบ 10 ขอบ ขณะที่สองคนพ่อลูกกำลังกินอาหารเพื่อฉลองวันเกิดของลูกชายอยู่นั้น

จู่ ๆ พ่อก็ขยับตัวจากที่นั่งขัดสมาธิ เพื่อมานั่งคุกเข่าท่าเตรียม

แล้วพ่อก็เล่าว่า "ในวันที่แม่ของลูกตาย พ่อกลับบ้านดึกเพราะทำงานอยู่ในโกดัง จนแม่ต้องไปตามที่ทำงานของพ่อ แต่แล้วกองสินค้ากองโตก็เกิดล้มลงมาจะทับพ่อ แม่มาเห็นพอดี แล้วแม่ก็รีบวิ่งมาผลักพ่อให้พ้นออกไป จนสินค้าหล่นมาทับแม่เสียเอง ที่แม่ของลูกต้องตายมันเป็นความผิดของพ่อเอง พ่อขอโทษ"

แล้วพ่อก็ก้มหัวจนเกือบจะแนบพื้นเพื่อขอโทษลูกชาย

คลิกอ่าน การทำบุญทุกวันไม่ยาก ด้วยการอนุโมทนาบุญ




วันศุกร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

วิธีปิดแอร์บ้านอย่างถูกสุขลักษณะ และประหยัดค่าไฟแอร์



ถ้าท่านขับรถ ก็คงเคยได้ยินวิธีลดกลิ่นอับและป้องกันกลิ่นอับของแอร์ในรถยนตร์ ด้วยการปิดA/C หริอปิดความเย็นให้คอมเพรสเซอร์หยุดทำงาน และให้เปิดเฉพาะพัดลมแรงๆ เพื่อไล่ความเย็นและความชื้นที่ยังค้างอยู่ในระบบให้หมด ก่อนจะกลับถึงบ้านสัก3-5นาที เพื่อจะได้ไม่ให้แอร์เก็บความชื้นไว้จนเหม็นอับ

และเพื่อป้องกันการเกิดเชื้อราจากความอับชื้นในระบบแอร์

นั่นคือข้อแนะนำการปิดแอร์รถเพื่อไม่ให้เกิดกลิ่นเหม็นอับ

และอีกข้อแนะนำเพื่อป้องกันแอร์อุดตันได้ง่าย ก็คืออย่าใช้พวกเจลปรับอากาศ หรือน้ำหอมปรับอากาศ เพราะพวกนี้จะจับตัวเป็นเมือกเกาะที่แผงความเย็นแอร์ ทำให้แอร์อุดตันได้ง่าย

------------------------------


วิธีที่แนะนำสำหรับการใช้แอร์ในรถนั้น ก็ไม่แตกต่างจากการใช้แอร์ในบ้าน

เพียงแต่ผู้คนส่วนใหญ่ มักไม่ให้ความสำคัญกับการปิดแอร์ในบ้านอย่างถูกสุขลักษณะ ส่วนใหญ่ตอนเปิดก็ตั้งความเย็นไว้ แต่พอจะปิดก็ปิดที่ปุ่มpower เลยทันที

โดยไม่ไล่ความเย็นความชื้นที่คั่งค้างในแอร์ออกให้หมดเสียก่อน

วันนี้ผมจึงอยากให้ทุกๆคน ก่อนจะปิดแอร์ในบ้าน ก็ควรปิดปุ่มทำความเย็นเสียก่อน ให้มีแต่พัดลมเป่าไล่ความเย็นและความชื้นออกไป เป็นเวลาอย่างน้อยสัก15นาที ก่อนที่จะปิดแอร์ไปเลยจริงๆ

เพื่อป้องกันความอับชื้น และช่วยให้แอร์สกปรกช้าลง จากการที่ความชื้นและฝุ่นไม่ถูกไล่ออกมาให้หมด

------------------------

แอร์บ้านรุ่นใหม่ในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา จะมีปุ่มที่ปิดความเย็น แล้วปล่อยให้เหลือแต่ลมล้วนๆที่ปราศจากความเย็น ก็เพื่อป้องกันความอับชื้นที่แหล่ะครับ

ไม่งั้นบริษัทแอร์เขาไม่ทำปุ่มนี้ไว้ที่รีโมทหรอกครับ!!

-----------------

วิธีคลายร้อนแบบไม่เปลืองค่าไฟแอร์

1. กลางวัน เปิดแอร์ที่อุณหภูมิ 28 องศา แล้วให้เปิดพัดลมช่วย ในห้อง

2. กลางคืนเปิดแอร์ที่ 27 องศา แล้วให้เปิดพัดลมช่วยในห้อง

3. หันมาเลิกห่มผ้านวม ห่มผ้าห่มที่บางขึ้น แล้วเพิ่มอุณหภูมิแอร์ที่เคยตั้งไว้อีก 1-2 องศา ช่วยประหยัดการใช้แอร์ได้

4. ลดการกินอาหารจำพวกผัด ทอด ลดอาการร้อนจากภายในได้ หันมากินของนึ่ง ต้ม ให้มากขึ้น

วันพุธที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เสื้อแดงมั่ว เรื่อง 91ศพ!!



คงเคยได้ยินได้ฟังพวกเสื้อแดงอ้างบ่อยมาก เรื่อง91ศพ จนใครๆหลายๆคนฟังหรือรับรู้กันจนเชื่อกันไปเกือบหมดแล้วว่า การสลายการชุมนุมที่แยกราชประสงค์และบริเวณใกล้เคียงมีจำนวน91ศพ

แถมพวกเสื้อแดงก็มักจะพยายามอ้างว่า 91ศพ นั้นคือวีรชนคนเสื้อแดงที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย คนที่ได้ยินได้ฟังโดยไม่ตามหาที่มาที่ไปก็มักจะเชื่อเช่นนั้น


แต่!! ในความเป็นจริง จำนวนผู้ที่ตาย91ศพนั้น แท้จริงแล้ว กลับไม่ใช่ตัวเลขคนตายที่เป็นเสื้อแดงทั้งหมด และไม่ใช่ตายที่ราชประสงค์ที่เดียวเท่านั้น แต่รวมเอาจำนวนคนตายจากเหตุการณ์ต่างๆหลายเหตุการณ์ ที่บางครั้งคนที่ตายก็เป็นผู้ต่อต้านการชุมนุมของคนเสื้อแดงเองด้วยซ้ำ

ซึ่งในจำนวน91ศพ กลับพบว่าเป็นเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจที่มารักษาความสงบจากการสร้างความวุ่นวายของเสื้อแดงก็ตายรวมอยู่ด้วย และมีทหารกับประชาชนที่ตายเพราะถูกลอบยิงM79 และจากการวางระเบิดในหลายจุดโดยที่ในช่วงแรกไม่มีคนเสื้อแดงตายเลยสักคน

อีกทั้งยังมีประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่ต่อต้านการชุมนุมของเสื้อแดง ที่อาจตายเพราะเสื้อแดงกระทำด้วยซ้ำ

ซึ่งพวกเขาเหล่านี้อาจเรียกได้เหมือนกันว่า คือวีรชนที่ต่อต้านม็อบเสื้อแดง!!

พวกเสื้อแดงจอมเหวง เอาตัวเลขคนตายจากหลายเหตุการณ์มาเหมารวมว่าเป็นพวกเสื้อแดงของตัวเองทั้งหมด รวม91ศพ (คือพยายามสื่อให้คนทั่วไปเชื่อแบบนั้น)

เสื้อแดงมักจะถามอยู่อย่างเดียวว่า ใครฆ่าประชาชน แต่เสื้อแดงกลับลืมถามไปว่า แล้วใครล่ะที่ฆ่าทหาร??

-------------------------------

ขอยกตัวอย่าง1ใน91ศพ ที่เสื้อแดงเอามาเหมารวมอยู่ด้วย

คลิกที่นี่เพื่อดูรายชื่อทั้ง91ศพ แล้วลองนับดูว่า มีทหารและตำรวจตายกี่คน และคนที่ตายตรงแถวถนนสีลม ตายเพราะM79จากฝั่งเสื้อแดงยิงมา อีกกี่คน ?? ที่ไม่ได้ตายจากการปะทะที่ผ่านฟ้าและราชประสงค์กี่คน นั่นคือจำนวนคนตายที่เสื้อแดงที่เอามามั่วให้ดูเหมือนมีเสื้อแดงตายมากถึง91ศพ

และขอยกกรณีของคุณนางธันยนันท์ แถบทอง อายุ 50 ปี รายชื่อผู้เสียชีวิตลำดับที่27

ท่านนี้ผมยืนยันได้ว่า คุณธันยนันท์ เธอคือกลุ่มเสื้อหลากสี ไม่ใช่เสื้อแดง100%ครับ เธอไปให้กำลังใจทหารที่เฝ้ารักษาการณ์ที่สีลม และตายจากระเบิดบริเวณแยกสีลม

เธอเอาข้าวและน้ำไปให้ทหารเพื่อให้ทหารมีกำลังใจทำงานเพื่อชาติ

ลูกของเธอและน้องสาวของเธอ ประณามเสื้อแดงที่กีดขวางรถพยาบาลที่กำลังนำคุณธันยนันท์ ไปส่งโรงพยาบาลให้ได้ทันเวลา

เมื่อผมได้เห็นข้อมูลของน้องแบบนี้แล้ว แกนนำเสื้อแดงมันชั่วจริงๆ แอบอ้างคนอื่นๆที่ไม่ใช่เสื้อแดงมาเพื่อทำลายเครดิตรัฐบาล และทำให้ประเทศไทยเสียชื่อ

เพราะผู้เสียชีวิตหลายราย ไม่ใช่เสื้อแดงทั้งหมดจริงๆ โดยเฉพาะที่เสียชีวิตบนถนนสีลม!





กรณีคุณธันยนันท์ ที่เสียชีวิตที่สีลม

น.ส.ภาวิณี แซ่เล้า อายุ 29 ปี ลูกสาวคุณธันยนันท์ กล่าวว่า

"มารดาขายอาหาร ในอยู่ย่านสีลม และเดินทางมาบริเวณที่มีการชุมนุมครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ซึ่งก็เคยเตือน ตลอดให้ระวังตัว ไม่อยากให้เข้าร่วมชุมนุม แต่คนเสื้อแดง ที่เคยขับรถผ่านหน้าร้าน ขายของผู้ตายแล้วแสดงความก้าวร้าว ทำให้ผู้ตายไม่พอใจเป็นอย่างมาก พอมีการ ชุมนมที่ศาลาแดง ผู้ตายจึงนำน้ำและดอกไม้ไปมอบให้กับทหาร และยืนสังเกต การณ์ทั่วไป"

"แม่ตายเพราะ’แดง’ขวางไม่ให้ไปรพ."

นางณัชชา น้องสาวผู้เสียชีวิตกล่าวว่า

"ฝากบอกคนเสื้อแดงว่าพวกคุณไม่ใช่คน คุณมันคุณฆาตกร ถ้าเกิดเป็น ญาติพ่อแม่พี่น้องคุณเจ็บต้องนำส่งโรงพยาบาลฉุกเฉินและถูกกั้นรถ พวกคุณจะ รู้สึกยังไง ตอนนี้ประเทศชาติไม่เหลืออะไรแล้ว"



.
.

ผู้ติดตาม