วันพุธที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ทำไมต้องปลิดชีพเสธ.แดง ? ชายชุดดำพวกไหน?





(คลิกอ่านที่นี่)


วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ป้ายโดนใจจากเฟซบุ๊กakecity





มีป้ายที่ผมทำในเฟซบุ๊ก รวบรวมโพสดีๆ และคำพูดดีๆ ที่ผมทำเป็นป้ายขึ้นมา

หลายท่านอาจไม่ได้เข้าไปดูในเฟซบุ๊กของผม ผมเลยถือโอกาสนำมาให้ดูในบล็อคด้วยแล้วกันครับ ^^




ป้าย เกียรติศักดิศรีผู้หญิง (คลิกที่รูปเพื่อขยาย)







ป้าย รัฐบาลที่ดี? (คลิกที่รูปเพื่อขยาย)







ป้าย แก้กฎหมายคอรัปชั่น กล้าอ๊ะเป่า? (คลิกที่รูปเพื่อขยาย)







ป้าย อมตะวจีของม.ร.ว.คึกฤทธิ์ (คลิกที่รูปเพื่อขยาย)







ป้าย ประชาธิปไตยที่แท้จริง? (คลิกที่รูปเพื่อขยาย)





ใหม่เมืองเอก .


คลิกอ่าน มหัศจรรย์!! ทำไมส้มโอนครชัยศรีอร่อยที่สุดในโลก?




วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

มหัศจรรย์!! ทำไมส้มโอนครชัยศรีถึงอร่อยที่สุดในโลก?





ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เคยเขียนเล่าในสยามรัฐนานมาแล้วว่า

สหรัฐอเมริกา ได้แอบขโมยเอาเมล็ดพันธุ์และกิ่งพันธุ์ส้มโอจากนครชัยศรีไปสู่อเมริกา แถมขุดดินจากนครชัยศรีไปศึกษาด้วย โดยให้ทีมนักวิทยาศาสตร์ทางเกษตรที่ดีที่สุด ศึกษาวิเคราะห์ว่า ส้มโอนครชัยศรีอร่อยเพราะอะไร? ในดินมีแร่ธาตุอะไรบ้าง แล้วอากาศเหมาะสมควรอยู่ที่อุณหภูมิเท่าไหร่

พูดง่าย ๆ ก็คือ ให้นักวิทยาศาสตร์จัดเตรียมสิ่งแวดล้อมทุกอย่างในการปลูกส้มโอ ให้เหมือนที่นครชัยศรีมากที่สุด เพื่อจะปลูกส้มโอที่อร่อยที่สุดในโลกบนแผ่นดินสหรัฐอเมริกาให้จงได้

ต่อมาเมื่อส้มโอนครชัยศรีที่เติบโตบนแผ่ดินสหรัฐอเมริกา ได้ออกผลส้มโอออกมาแล้ว

นักวิทยาศาสตร์ของสหรัฐอเมริกาก็ลองชิมส้มโอดู ว่ารสชาติเป็นเช่นไร หวานอร่อยเหมือนส้มโอนครชัยศรีหรือไม่

ผลปรากฏว่า ส้มโอพันธุ์ที่นำเมล็ดพันธุ์และกิ่งพันธุ์มาจากนครชัยศรีมาปลูกที่แผ่นดินอเมริกา รสชาติกลับไม่ได้เรื่องเลย ห่วยมาก ไม่หวานอมเปรี้ยวอย่างกลมกล่อม เหมือนอย่างส้มโอนครชัยศรีเลย

Why? แล้วทำไมถึงเป็นเช่นนั้น



คุณชายคึกฤทธิ์ จึงเล่าต่อไปว่า

ที่ส้มโอนครชัยศรีและส้มโอสามพราน นครปฐม มีรสชาติอร่อยที่สุดในโลกนั้น ก็เพราะนครปฐมมีองค์พระปฐมเจดีย์ แผ่พลังความศักดิ์สิทธิ์และอำนาจพุทธคุณ มาสู่ผลหมากรากไม้ทุกต้นในนครปฐม 

จึงทำให้นครปฐม สมเปฺ็นดินแดนที่ "ส้มโอหวาน ข้าวสารขาว ลูกสาวสวย" นี่เอง



พวกฝรั่งมันอาจจะเอาพันธุ์ส้มโอ หรือพันธุ์พืชผักผลไม้ต่าง ๆ ของไทยไปทดลองได้ แต่พวกฝรั่งมันไม่อาจเอาอำนาจพุทธคุณและความศักดิ์สิทธิ์บนแผ่นดินไทยไปได้

และด้วยเหตุนี่เอง จึงทำให้ผลไม้หลายชนิดในเมืองไทย ในหลาย ๆ จังหวัดที่มีเจดีย์ ที่มีพระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง จึงช่วยให้พืชพันธุ์ผลไม้ของไทยจึงมีรสชาติอร่อยที่สุดในโลก เพราะแผ่นดินนี้คือแผ่นดินแห่งพุทธศาสนาที่ดีที่สุดในโลกนั่นเองครับ

แต่ถ้าหากวันใด คนไทยจิตใจเริ่มเสื่อมลงจากคุณธรรม วันนั้นความศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่คู่แผ่นดินไทยก็จะค่อยๆ จางหายไปด้วย ตามหลักทุกขัง อนิจจัง อนัตตา


------------------------

ใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร


หลังจากผมได้รู้เรื่องเล่าของคุณชายคึกฤทธิ์เกี่ยวกับความอร่อยของส้มโอนครชัยศรีแล้ว

ผมกลับคิดต่อไปอีกว่า นอกจากเป็นแผ่นดินพระพุทธศาสนาแล้ว ผมว่า คงเพราะแผ่นดินไทยอยู่ใต้พระบรมโพธิสมภารของพระมหากษัตริย์ไทยด้วยนี่แหละ ที่ทำให้ผลไม้เมืองร้อนไม่ว่าจะชนิดใด ๆ ถ้าลองได้มาปลูกในเมืองไทยแล้วล่ะก็ จะต้องอร่อยมากกว่าปลูกที่ใด ๆ ในโลกนี้

แม้แต่กล้วยหอม ก็ไม่มีชาติไหน ปลูกกล้วยหอมได้มีกลิ่นหอมและอร่อยเท่าปลูกในเมืองไทย

หรืออย่างมังคุด ก็ไม่ใช่ผลไม้พื้นเมืองของไทย โน่นมาจากหมู่เกาะในอินโดนีเซีย แต่มังคุดที่ปลูกในไทยเท่านั้นถึงจะอร่อยที่สุดในโลก จนกลายเป็นควีนออฟฟรุ๊ต

และแม้แต่ข้าวหอมมะลิไทย ขนาดฝรั่งเอาไปปลูกที่บ้านเขา ก็ไม่หอมไม่อร่อยเท่าที่ปลูกในเมืองไทย

เพียงแต่ว่า พอวันนี้เมื่อคนไทยเริ่มแตกแยก แถมมีนายทุนหลอกให้คนไทยใช้ปุ๋ย ใช้ยาฆ่าแมลงมาก ๆ ในเรือกสวนไร่นา ก็เลยทำให้พืช ผัก ผลไม้และข้าวไทยเริ่มแย่ลง คุณภาพก็เริ่มเสื่อมลง

การเกษตรกรรมไทยควรรีบเปลี่ยนแปลงแก้ไขวิธีการเพาะปลูก ก่อนที่จะสายเกินไป

----------------------

ถ้าประเทศไทยมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ ทำไมคนไทยยังลำบาก

อาจจะมีคนเถียงว่า ถ้าประเทศไทยมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์เยอะแยะจริง ๆ ทำไมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ถึงไม่ช่วยให้คนไทยเลิกยากจน ช่วยให้คนไทยร่ำรวย หรือช่วยให้คนไทยปลอดภัยในชีวิตมากกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

ผมขอตอบว่า อย่างคนฮ่องกง รวมไปถึงคนจีนแผ่นดินใหญ่ยุคใหม่ ชาวจีนทั้งสองแห่งนี้ ต่างชื่นชมศรัทธาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในประเทศไทยเป็นอย่างมาก

เวลาคนฮ่องกงและคนจีนที่มาเที่ยวเมืองไทย ก็มักจะไปแสวงหาที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ และเสาะหาที่สักการะบูชา รวมถึงการหาเช่าวัตถุมงคลต่าง ๆ ติดตัวกลับบ้านไป

รู้ไหม ทำไมคนฮ่องกง คนจีน เรื่อยไปถึงคนจีนในมาเลเซีย และคนจีนในสิงคโปร์ ถึงศรัทธาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เครื่องรางของขลังของคนไทยอย่างมาก ๆ รู้ไหม ?

ก็เพราะว่า จากสภาพบ้านเมือง สภาพแวดล้อม ความเห่ยของการบังคับใช้กฎหมายของไทย ความห่วยของการเคารพระเบียบวินัยของคนไทย สิ่งแวดล้อมที่สกปรกโสโครกทั้งหลายที่มีมากขึ้นในประเทศไทย  รวมถึงความห่วยของนักการเมืองไทย ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ล้วนเป็นผลทำให้คนไทยต้องตายก่อนวัยอันควรในแต่ละปีมากมาย

คนจีนเขาจึงเชื่อกันว่า ถ้าคนไทยไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยคุ้มครองแล้วล่ะก็ ป่านนี้คนไทยคงจะต้องตายมากกว่าที่ตายอยู่ในวันนี้อีกหลายเท่าครับ

ถ้าไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิคุ้มครองคนไทย ป่านนี้คนไทยคงทะเลาะเบาะแว้งเข่นฆ่ากันเองจนตายมากมายยิ่งกว่ายุคเขมรแดงแล้วครับ

ที่ข้าวปลา อาหาร พืชผัก ผลไม้ คนไทยยังมีกินมีใช้อย่างอุดมสมบูรณ์อย่างเหลือเฟือนั้น

คือ ถ้าไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองแผ่นดินไทยไว้แล้วล่ะก็ ป่านนี้คนไทยคงแทบไม่เหลืออะไรจะแดกแล้วครับ เพราะพวกแม่งช่วยกันทำลายสิ่งแวดล้อมกันของประเทศมากสุด ๆ ซะขนาดนี้

ซึ่งทุกวันนี้คนไทยกำลังตายมากขึ้น ๆ เพราะความเสื่อมทรามในสังคมไทยมีมากขึ้นเรื่อย ๆ


วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

เพราะกู้3.5แสนล้านจึงชี้ชัดว่ามาร์คไม่ได้กักน้ำ




แค่การพร่องน้ำ ก็ชี้ให้เห็นถึงความด้อยสติปัญญาของรัฐบาลยิ่งลักษณ์แล้ว

คุณผู้อ่านครับ การพร่องน้ำออกจากเขื่อนแค่นี้ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ยังบริหารจัดการล้มเหลวไม่เป็นท่า แถมแก้ตัวโดยพยายามโยนความผิดให้หน่วยงานน้ำต่างๆ ทั้งๆ ที่การเป็นรัฐบาลไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบได้

แค่พร่องน้ำยังไม่ประสานงานกันให้ชัดเจน ทำให้อยุธยาหลายอำเภอน้ำท่วมซ้ำอีก

เพียงแค่นี้ก็ชี้ให้เห็นแล้วว่า แค่ปล่อยน้ำออกจากเขื่อนยังผิดพลาด แล้วปริมาณน้ำมหาศาลในมหาอุทกภัย54 ที่ผ่านมา รัฐบาลยิ่งลักษณ์จึงไม่มีปัญญารับมืออย่างถูกต้อง จนได้สร้างความเดือดร้อนอย่างสาหัสให้ประเทศชาติมากมายมหาศาล


-----------------------------

มีเพื่อนหลายคนถามผมว่า ปีนี้น้ำจะท่วมอีกหรือไม่?

คำตอบคือ ผมไม่รู้ครับ และเชื่อว่าไม่มีใครในประเทศนี้รู้จริงหรอก ว่าปีนี้ปริมาณฝน และปริมาณน้ำทั้งเหนือเขื่อนใต้เขื่อนจะเป็นยังไง เพราะขนาดดร.สมิทธิ ธรรมสโรช ก็ยังทำนายปริมาณน้ำปี2554 ผิดพลาดมาแล้ว

เพราะดร.สมิทธิ ออกรายการเจาะข่าวเด่นกับสรยุทธ บอกว่า ปี2554 จะเจอภัยแล้งหนัก และจะไม่มีอุทกภัยแบบปี2553 อย่างแน่นอน!!

ผมขอนำคลิปที่เคยนำมาลงในบทความ การบริหารน้ำเขื่อนภูมิพลไม่ผิดพลาดมาให้ดูอีกที



คลิปนี้ดร.สมิทธิ บอกเองว่า ปี2554จะแห้งแล้งหนัก ไม่มีอุทกภัยแน่นอน

ฉะนั้น ไม่มีใครชี้ชัดได้หรอกครับว่า ปีนี้จะท่วมหนักหรือไม่?

การพร่องน้ำถ้าพร่องไปจนมากๆ และถ้าเกิดปีนี้ฝนไม่ตกหนักเหมือนปีที่แล้ว ก็เตรียมตัวขาดแคลนน้ำได้เลยในปีหน้าครับ คนกรุงเทพฯ อาจเจอปัญหาน้ำประปาขาดแคลนก็ได้ ใครจะไปรู้?

------------------------------

เป้าหมาย 1 พฤษภาคม 2555 น้ำในเขื่อนต้องไม่เกิน50%

จากการที่ผมติดตามข่าวของคุณสรยุทธ สุทัศนะจินดา ซึ่งได้รายงานข่าวว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์ตั้งเป้าหมายให้น้ำในเขื่อนภูมิพล และเขื่อนสิริกิติ์ ต้องมีความจุในเขื่อนไม่เกิน50% ในวันที่1พฤษภาคม2555

แต่พอดูข่าวอีกสองสามวันต่อมา คุณสรยุทธบอกอีกครั้งว่า จะให้น้ำในเขื่อนอยู่ที่45% ของความจุ

เอาเป็นว่า ผมสรุปว่า เป้าหมายปี2555 รัฐบาลยิ่งลักษณ์ กำหนดว่า วันที่1พฤษภาคมต้องมีน้ำ2เขื่อนใหญ่ไม่เกิน 45-50% ของความจุโดยประมาณแล้วกัน

ทีนี้มีคำถามว่า แล้วเมื่อปี2554 น้ำใน2เขื่อนใหญ่ ในวันที่ 1 พฤษภาคม 54 มีปริมาณน้ำเท่าใด มีการกักน้ำตามที่พวกคนเลวโง่ๆ กล่าวหาหรือไม่? เรามาดูกันครับ

ปริมาณน้ำในเขือนภูมิพล และเขื่อนสิริกิติ์ ในวันที่ 1พฤษภาคม พ.ศ.2554

คลิกที่รูปเพื่อขยาย!!


ซึ่งจะกราฟปริมาณน้ำจะเห็นได้ว่า ในวันที่1พ.ค.54 น้ำในเขื่อนภูมิพลมีปริมาณน้ำ 45.13% ของความจุ หรือ 6,075.96 ล้านลบ.ม.

และเขื่อนสิริกิติ์ มีปริมาณน้ำในเขื่อนที่ 50.31% หรือ 4,784.38 ล้านลบ.ม. ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำอยู่แล้ว

แต่เราต้องไม่ลืมว่า เขื่อนต้องมีปริมาณน้ำขั้นต่ำสุดติดเขื่อนเอาไว้ เพื่อความปลอดภัยของตัวเขื่อนด้วย

เช่นปริมาณขั้นต่ำที่ควรมีน้ำติดเขื่อนภูมิพล ควรมีอย่างน้อย 3,800ล้านลบ.ม. หรือประมาณ 28%ของความจุเขื่อน

----------------------------

ข้อกล่าวหาเรื่องการกักน้ำ

การกล่าวหาว่ารัฐบาลมาร์คกักน้ำ จึงทำให้น้ำท่วม?

ถ้าอย่างนั้น ตอนนี้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้เข้ามาจัดการน้ำในเขื่อนเต็มตัวแล้ว บริหารจัดการดีๆ น้ำต้องไม่ท่วมสิ

แล้วคิดจะไปกู้เงิน3.5แสนล้านทำไมให้เปลืองเงิน?

ก็ในเมื่อแค่บริหารจัดการน้ำในเขื่อนดีๆ ไม่กักน้ำ น้ำก็ต้องไม่ท่วมอยู่แล้วนี่ ?

ฉะนั้นการที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์กู้เงิน3.5แสนล้าน ป้องกันน้ำท่วม ก็เป็นคำตอบชัดเจนอยู่แล้วว่า น้ำที่ท่วมเมื่อปีที่แล้ว ไม่ได้มีการกักน้ำแกล้งกัน ตามที่พวกชั่วๆ และโง่ กล่าวหา

--------------------------

แล้วที่ปีที่น้ำท่วมมาก จากสาเหตุใด?

ก็เชิญคุณผู้อ่านย้อนไปอ่านบทความเก่าๆ ของผมได้ ผมเขียนไว้เยอะมากๆ อย่างเช่น การบริหารน้ำในเขื่อนภูมิพลไม่ผิดพลาด

และที่อดีตสว. เรืองไกร ฟ้องรัฐบาลอภิสิทธิ์กักน้ำนั้น ก็ไม่มีทางชนะแน่นอน ซึ่งผมได้เขียนไว้แล้วในบทความเริ่อง เรืองไกรไม่มีทางชนะ กรณีฟ้องมาร์คกักน้ำ

และเหตุผลที่ดีที่สุด ก็จากปากของนายกยิ่งลักษณ์เอง ว่าทำไมน้ำท่วมเพราะอะไร? จากบทความเรื่อง โพยที่ดีที่สุดของยิ่งลักษณ์

--------------------------

การพร่องน้ำต้องไม่ทำให้น้ำท่วม ต้องไม่ทำให้ประชาชนเดือดร้อน ถึงจะเป็นการพร่องน้ำที่ถูกต้อง ถ้าเรื่องแค่นี้ยังทำไม่ได้ ก็ไม่เหมาะที่จะมาอาสารับผิดชอบคนทั้ง65ล้านคน

แล้วประชาชนที่ประสบอุทกภัยได้รับการเยียวยาครบถ้วนแล้วรึยัง?

ขนาดแค่เรื่องแจกคูปองส่วนลดซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า ก็ยังบริหารจัดการไม่ได้เรือง จนทำให้ประชาชนต้องไปประท้วงปิดถนนหลายครั้ง

แค่เรื่องเล็กๆ ยังทำไม่สำเร็จ ยังมีหน้าไปจัดงานหรูเลี้ยงฉลองศปภ. กันแล้ว

ช่างไม่ละอายใจต่อคนอยุธยาที่กำลังน้ำท่วมจากการพร่องน้ำที่ผิดพลาดบ้างเลย


อิหร่าน โดนใส่ร้ายหรือไม่?


















คลิกอ่าน akecity บัญญัตินิยามให้สหรัฐอเมริกา


วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

เหตุผลที่ในหลวง ร.9 ไม่เสด็จต่างประเทศอีก





คุณเคยรู้มั้ย ทำไมในหลวงทรงไม่ได้เสด็จพระราชดำเนินประทับค้างแรมนอกประเทศไทยมานานกว่า 40 ปี แล้ว ?

ทั้งๆ ที่กษัตริย์พระองค์อื่นๆ ทั่วโลก ก็มักจะทรงเสด็จเยือนต่างประเทศอยู่เป็นประจำ

หลังจากที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงเสด็จพระราชดำเนินเยือนยุโรป สหรัฐอเมริกาและอีกหลายประเทศ ตามพระราชหน้าที่ของพระมหากษัตริย์ หลังจากขึ้นครองราชย์ ในการเสด็จพระราชดำเนินไปเจริญสัมพันธไมตรีกับนานาอารยะประเทศ

ซึ่งผลจากการเสด็จพระราชดำเนินเยือนนานาประเทศนั้น ก็ทำให้ชาวต่างชาติยอมรับพระปรีชาสามารถของในหลวง ซึ่งเป็นผลให้ชาวต่างชาติยอมรับคนไทยไปด้วย ทำให้เวลาคนไทยเดินทางไปในต่างประเทศก็ได้รับการยอมรับและให้เกียรติคนไทยมากขึ้น

แต่หลังจากพระองค์ทรงเสด็จพระราชดำเนินเยือนแคนาดาเมื่อปีพ.ศ.2510 ในหลวงก็ทรงไม่เสด็จออกจากประเทศไทยอีก (ยกเว้นครั้งเดียวเมื่อปีพ.ศ.2537 ที่ในหลวงเสด็จพระราชดำเนินเยือนลาว และประธานประเทศลาวทูลเชิญต่อหน้าพระพักตร์แบบไม่ได้แจ้งล่วงหน้า ทูลขอให้ในหลวงและสมเด็จพระนางเจ้าฯ ทรงพำนักที่ลาว 1 คืน)


ภาพการเสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งเมื่อกาลเวลาล่วงไป ๒๗ ปี นั่นก็คือ การเสด็จพระราชดำเนินเยือนสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงเป็นประเทศล่าสุด เมื่อวันที่ ๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๓๗ เพื่อทรงร่วมในพิธีเปิดสะพานมิตรภาพไทย - ลาว ที่จังหวัดหนองคาย และเพื่อทอดพระเนตรการดำเนินงานตามโครงการศูนย์พัฒนาและบริการด้านการเกษตรห้วยซอน - ห้วยซั้ว อันเป็นโครงการพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อจัดตั้งต้นแบบของการบูรณาการและเป็นศูนย์กลางแห่งการเรียนรู้แก่ประเทศลาว ซึ่งไม่เพียงแต่ประเทศลาวเท่านั้นแนวพระราชดำริที่เป็นองค์ความรู้และวิทยาการต่างๆ ในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและการพัฒนาชนบทยังเผยแพร่ไปยังประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ เช่น สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม สหภาพพม่า รวมทั้งแนวพระราชดำริ ในการปลูกหญ้าแฝกก็ได้รับการเผยแพร่ไปสู่หลายประเทศทั้งราชอาณาจักรภูฏาน และอีกหลายประเทศในทวีปแอฟริกา เช่น ราชอาณาจักรเลโซโท ก็นำแนวพระราชดำริดังกล่าวไปปรับใช้ในประเทศของตน

-----------

ซึ่งการที่ในหลวงไม่เสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศอีก สืบเนื่องย้อนไปถึงวันที่ในหลวงต้องทรงเสด็จกลับไปศึกษาต่อที่สวิสเซอร์แลนด์

ตามพระราชนิพนธ์บันทึกประจำวันบางส่วนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ระหว่างวันเสด็จฯจากสยามสู่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

"วันที่ 19 สิงหาคม 2489 วันนี้ถึงวันที่เราจะต้องจากไปแล้ว พอถึงเวลาก็ลงจากพระที่นั่งพร้อมกับแม่ ลาเจ้านายฝ่ายใน ณ พระที่นั่งชั้นล่างนั้นแล้ว ก็ไปยังวัดพระแก้วเพื่อนมัสการลาพระแก้วมรกตและพระภิกษุสงฆ์ ลาเจ้านายฝ่ายหน้า ลาข้าราชการทั้งไทยและฝรั่ง แล้วก็ไปขึ้นรถยนต์


พอรถแล่นออกไปได้ไม่ถึง 200 เมตร มีหญิงคนหนึ่งเข้ามาหยุดรถแล้วส่งกระป๋องให้เราคนละใบ ราชองครักษ์ไม่แน่ใจว่าจะมีอะไรอยู่ในนั้น บางทีจะเป็นลูกระเบิด! เมื่อมาเปิดดูภายหลังปรากฏว่าเป็นท๊อฟฟี่ที่อร่อยมาก

ตามถนนผู้คนช่างมากมายเสียจริงๆ ที่ถนนราชดำเนินกลาง ราษฎรเข้ามาใกล้จนชิดรถที่เรานั่ง


กลัวเหลือเกินว่าล้อรถของเราจะไปทับแข้งทับขาใครเข้าบ้าง รถแล่นฝ่าฝูงคนไปได้อย่างช้าที่สุด


ถึงวัดเบญจมบพิตร รถแล่นเร็วขึ้นได้บ้าง ตามทางที่ผ่านมา
ได้ยินเสียงใครคนหนึ่งร้องขึ้นมาดังๆว่า
“ในหลวง อย่าละทิ้งประชาชน”


อยากจะร้องบอกเขาลงไปว่า "ถ้าประชาชนไม่ “ทิ้ง” ข้าพเจ้า
แล้วข้าพเจ้าจะ “ละทิ้ง” อย่างไรได้ แต่รถวิ่งเร็วและเลยไปไกลเสียแล้ว…"




ด้วยเหตุนี้ หลังจากในหลวงทรงเสร็จสิ้นตามภารกิจตามหน้าที่ของพระมหากษัตริย์ในการเสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศเพื่อเจริญสัมพันธไมตรีแล้ว

พระองค์จึงทรงตั้งปณิธานว่าจะไม่เสด็จฯ จากประชาชนของพระองค์ไปที่ใดอีก..

คุณผู้อ่านลองนึกว่า ถ้าตัวเองเคยใช้ชีวิตและเรียนหนังสือในต่างประเทศมาตั้งแต่เด็ก ๆ จนกระทั่งเป็นหนุ่ม แต่จู่ ๆ ต้องตัดสินใจว่า หลังจากนี้ทั้งชีวิตไปจนวันตาย คุณจะไม่ออกไปต่างประเทศอีก หรือไปค้างอ้างแรมนอกแผ่นดินไทยอีกเลย คุณผู้อ่านคิดว่า คุณจะทำได้หรือไม่ ?

แต่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงตัดสินพระราชหฤทัยอย่างแน่วแน่ และทรงทำได้เพื่อพวกเราคนไทยครับ

---------------------

ในหลวงทรงอยู่เคียงข้างคนไทยเสมอมา

พ่อผมเคยเล่าให้ผมฟังว่า

ในภาวะภัยคอมมิวนิสต์คุกคามไทย ในช่วง 30 -50 ปีที่ผ่านมา คนไทยรบกันเอง ฆ่ากันเอง เพราะความเห็นต่างทางการเมือง ภัยคอมมิวนิสต์ก็มุ่งหมายล้มล้างสถาบันกษัตริย์

แต่ในหลวงก็ยังทรงเสด็จสู่ถิ่นทุรกันดารเพื่อทรงเยี่ยมเยียนราษฎรอย่างสม่ำเสมอ แม้กระทั่งบริเวณพื้นที่สีแดง ที่เต็มไปด้วยภยันอันตรายจากการรบสู้ของทหารไทยกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยก็ตาม

มีครั้งหนึ่ง ในวันที่ 20 กันยายน 2520 ในหลวงทรงเสด็จไปจังหวัดยะลา ในช่วงที่ภัยแบ่งแยกดินแดนยังคุกกรุ่นมาก ในหลวงทรงประทับอยู่บนศาลาที่ประทับ มีราษฎรทั้งไทยพุทธ และไทยมุสลิม ในท้องที่มาเข้าเฝ้ามากมาย

แต่ทันใดนั้น อยู่ๆ มีระเบิดตกลงไม่ไกลจากที่ประทับเท่าไหร่ ราษฎรต่างตกใจวิ่งหนีกันไปหมด แต่ในหลวงทรงอยู่ในที่ประทับอย่างสงบ ไม่มีพระอาการตระหนกตกใจแต่อย่างใด

แต่สักแป๊บ ราษฎรที่วิ่งหนีไป ต่างก็วิ่งกลับมาหาในหลวง ในหลวงทรงตรัสถามว่า "อ้าว พวกท่านวิ่งกลับกันมาทำไมล่ะ"

ราษฎรมุสลิมอาวุโสท่านนึงที่พูดไทยได้ ตอบว่า "ก็ในหลวงยังไม่หนี แล้วจะให้พวกเราหนีไปฝ่ายเดียวได้อย่างไร"

แล้วราษฎรหลายคนก็วิ่งกลับมา นั่งรายล้อมศาลาที่ประทับ เพื่อปกป้องในหลวงของพวกเขา แต่โชคดี ไม่มีเหตุการณ์รุนแรงใด ๆ เกิดขึ้นอีก

-------

หลังจากในหลวง ร.9 สวรรคต แล้ว ต่อมาผมได้ฟัง พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร ได้เล่าเรื่องนี้อีกครั้ง

ท่านเล่าว่า ในตอนนั้นท่านเป็นนายตำรวจราชองครักษ์ประจำพระองค์ และได้อยู่ในเหตุการณ์ระเบิดในวันนั้นด้วย

ท่านวสิษฐ บอกว่า ขนาดท่านเป็นตำรวจ ท่านยังรู้สึกกลัวมาก กลัวทั้งระเบิด และกลัวว่าในหลวงจะไม่ทรงปลอดภัย

แต่ในหลวง กลับไม่มีสีหน้าหรือท่าทางหวาดกลัวเลยแม้แต่นิดเดียว แถมยังเสด็จลงไปช่วยเหลือเจ้าหน้าที่เพื่อดูแลราษฎรว่า มีใครบาดเจ็บหรือไม่ พร้อมทั้งทรงปลอบใจราษฎรให้คลายวิตกหวาดกลัว

-----------

เก็บตก การก่อสร้างพระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ จ.นราธิวาส ใช้แรงงานอาสาสมัครจากพี่น้องชาวไทยมุสลิมเป็นส่วนใหญ่ในการก่อสร้าง โดยไม่ขอรับค่าแรงเลย ชาวบ้านในพื้นที่ต่างผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาช่วยสร้างพระตำหนักให้ในหลวงของพวกเขากันฟรีๆ

เพลงสรรเสริญพระบารมี เวอร์ชันภาษาอาหรับ ของพี่น้องไทยมุสลิม


คลิกอ่าน ไม่ธรรมดา กว่าพระองค์เจ้าอานันทมหิดลจะได้ขึ้นเป็นรัชกาลที่ 8


วันอาทิตย์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ความรักความผูกพันของคนไทยที่มีต่อสถาบันกษัตริย์





(หมายเหตุยอดไลค์เก่า 500 กว่าไลค์หายไปหมด เพราะความไม่เสถียรของปุ่ม Like)

เกริ่น

คุณผู้อ่านคงเคยได้ยินพวกไม่จงรักภักดี พยายามจะเอาประเทศไทยไปเปรียบกับเกาหลีเหนือ? มาบ้างไม่มากก็น้อย

พวกไม่จงรักภักดี พยายามใช้ตรรกะเสนอว่า การที่คนไทยรักในหลวง นั่นเพราะประเทศไทยใช้การโฆษณาชวนเชื่อ(propaganda) แบบที่เกาหลีเหนือใช้โฆษณาชวนเชื่อให้คนเกาหลีเหนือรักผู้นำสูงสุด อย่างคิมจองอิล และคิมอิลซุง

ซึ่งถ้ามีคนไทยคนไหนเชื่อในตรรกะนี้ของพวกไม่จงรักภักดี แสดงว่าคนไทยคนนั้นสมองในส่วนวิเคราะห์เหตุผลต้องบกพร่องแน่ๆ

เพราะก่อนที่จะมีวิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ ลองย้อนกลับไปในอดีต คนไทยรักพระเจ้าอยู่หัว หรือในหลวง ด้วยใจรักอย่างแท้จริงมาแต่โบร่ำโบราณ

หรือแม้แต่ในยุคที่มีโทรทัศน์วิทยุแล้วก็ตาม ในชนบทอันห่างไกลความเจริญ คนเฒ่าคนแก่ที่แม้แต่หนังสือยังอ่านไม่ออก ไฟฟ้าก็ไม่มีใช้ แต่เมื่อคนเฒ่าคนแก่ และประชาชนในที่หางไกลเหล่านั้น ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าในหลวงยามเมื่อทรงเสด็จไปเยี่ยมราษฎรในถิ่นทุรกันดาร

เราจะเห็นคนเฒ่าคนแก่ และประชาชน แสดงออกถึงความรักที่มีต่อในหลวงด้วยความบริสุทธิ์ใจ แบบนี้จะเรียกว่า ถูกสื่อรัฐบาลโฆษณาชวนเชื่อ ก็คงไม่ใช่แล้ว



13 พฤศจิกายน 2498 ยายตุ้ม จันท์นิตย์ วัย 102 ปี ได้ยกดอกบัวสายที่โรยราทั้ง 3 ดอกนั้นขึ้นเหนือศีรษะ (เพราะยายมารอในหลวงตั้งแต่เช้ามืดจนบ่าย) เพื่อแสดงความจงรักภักดีอย่างสุดซึ้งต่อพระเจ้าแผ่นดินอันเป็นที่รักและเทิดทูนยิ่งของยาย ในหลวงทรงโน้มพระวรกายอย่างต่ำที่สุด จนพระพักตร์แทบจะชิดกับศีรษะของยายตุ้ม แล้วทรงแย้มพระสรวลอย่างเอ็นดู และใช้พระหัตถ์แตะมือที่กร้านคล้ำจากการทำไร่ทำสวนของยายอย่างอ่อนโยน / ok nation


เด็กน้อยชาวเขาจูบพระหัตถ์ทั้ง2พระองค์


แต่กรณีเกาหลีเหนือ รัฐบาลเกาหลีเหนือห้ามผู้คนออกนอกประเทศ ใครจะออกนอกประเทศต้องได้รับการอนุญาตจากรัฐบาลเท่านั้น รัฐบาลปิดบังการสื่อสารโดยอิสระจากโลกภายนอกทุกทาง ปิดประเทศ ไม่ให้คนในประเทศได้รับข่าวสารจากต่างประเทศโดยไม่ผ่านการควบคุม

แม้แต่อินเตอร์เน็ต โทรศัพท์พื้นฐาน โทรศัพท์มือถือ ทีวีดาวเทียม ที่เกาหลีเหนือมีการควบคุมอย่างเข้มงวด

อินเตอร์เน็ตประชาชนไม่มีสิทธิใช้ โทรศัพท์มือถือประชาชนก็ไม่มีสิทธิใช้ คนเกาหลีเหนือจะไม่ได้เห็นโลกภายนอกใดๆ ที่ไม่ได้ผ่านการควบคุมจากรัฐบาลกลางเลย

แต่ในขณะที่ประเทศไทย เราไม่ถูกปิดกั้นด้านสื่อสารจากโลกภายนอก คนไทยเข้าออกนอกประเทศได้อย่างอิสระ ได้ไปเรียนไปศึกษาต่อในต่างประเทศอย่างอิสระ ในขณะที่คนเกาหลีเหนือไม่มี!!

ก็เพราะคนไทยได้ไปเรียนต่ออย่างอิสระนี่แหล่ะ จนทำให้เกิดคนหนักแผ่นดินอย่าง วรเจตน์ ปิยบุตร สมศักดิ์เจียม ขึ้นมา ถ้าไทยเป็นแบบเกาหลีเหนือจริงๆ ป่านนี้ทั้ง วรเจตน์ ปิยบุตร สมศักดิ์เจียม คงไม่เหลือซากแล้ว จริงหรือไม่?

แถมคนไทยอาจได้รับเสรีภาพเกินขอบเขตไปเสียด้วยซ้ำ ไม่งั้นคนไทยคงไม่ไร้ระเบียบวินัยมากขนาดนี้

พระราชปรีชาชาญ พระอัจฉริยะภาพของในหลวง ทั่วโลกต่างรับรู้และยกย่องว่าเป็นเลิศโดยแท้จริง จนพระองค์ทรงได้รับรางวัลต่างๆ จากนานาชาติมากมาย

แม้แต่ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ที่ตอนแรกฝ่ายทุนนิยมตะวันตกไม่สนใจ แต่พอเกิดภาวะล้มสลายทางเศรษฐกิจในหลายประเทศ ตอนนี้นักปรัชญาเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่ ต่างหันมายอมรับและยกย่องทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงว่า เป็นทฤษฎีเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและไม่เอารัดเอาเปรียบสังคม

ฉะนั้น ตรรกะที่จะเอาประเทศไทยไปเปรียบกับเกาหลีเหนือ จึงเป็นตรรกะที่ผิดเพี้ยนโดยแท้ครับ

ตัวอย่างที่เห็นชัดง่ายๆ พวกฝรั่ง และชาวต่างชาติจำนวนมาก ก็รักในหลวง และอยากมาอยู่เมืองไทย เพราะเมืองไทยน่าอยู่ สมบูรณ์พูนสุขที่สุด

ถ้าประเทศไทยไม่มีเสรีภาพจริงๆ ตามที่พวกหนักแผ่นดินกล่าวอ้าง คงไม่มีชาวต่างชาติอยากมาอยู่เมืองไทยมากขนาดนี้ จริงหรือไม่??

----------------------

ประเพณีนิยมเก่าๆ ที่คนไทยชอบกระทำเวลารอรับเสด็จฯ

ประเพณีนิยมอย่างหนึ่งที่คนไทยในสมัยก่อนมักชอบกระทำเวลาเฝ้ารอรับเสด็จในหลวง ก็คือ การนำผ้ามาปูรองที่เส้นทางเสด็จ เพื่อจะรอให้ในหลวงทรงมาประทับรอยพระบาทลงบนผ้า เพื่อที่ราษฎรคนนั้นจะนำผ้าผืนนั้นไปบูชา

ประเพณีปูผ้ารองรอยพระบาทในหลวงแบบนี้ ถ้าคนที่รักในหลวงรับรู้ รับทราบ ก็จะชื่นชมและซาบซึ้งในประเพณีเช่นนี้ ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานความเชื่อที่ว่า ในหลวงทรงเป็นผู้มีบุญญาธิการมีพระบารมีสูง ซึ่งประเพณีแบบนี้มีรากฐานมาจากประเพณีกราบไหว้รอยพระพุทธบาท

ในสมัยก่อนตอนผมยังเด็ก เวลาดูข่าวในพระราชสำนัก ผมมักได้เห็นชาวบ้านต่างจังหวัดได้ใช้ประเพณีปูผ้ารองพระบาทบ่อยมากๆ ซึ่งเด็กรุ่นใหม่ในยุคนี้ คงไม่เคยได้เห็น

คลิกที่รูปเพื่อขยาย!!

ให้สังเกตว่าจะมี ประชาชนวางผ้าผืนสีขาว บนทางที่เสด็จพระราชดำเนิน และจากรูป ดูเหมือนว่า ผู้ชายในรูปได้ถวายอาหารให้ในหลวงด้วย 


อันนี้เป็นเรื่องของความเชื่อ ความรัก ความศรัทธา ใครใคร่เชื่อทำแล้วมีความสุขก็ทำไป ผู้ที่มีศีลธรรมในใจย่อมไม่ลบหลู่ความเชื่อความรักของผู้อื่่น

อย่างตอนผมเป็นเด็ก พ่อของผมเคยเล่าเรื่อง ทหารในสมัยโบราณ เวลาจะออกไปรบทัพจับศึก ทหารเขาจะก้มกราบเท้าแม่ แล้วขอฉีกผ้านุ่งของแม่มาคาดไหล่ หรือคาดหัว เพื่อให้พระคุณแม่คุ้มครองและเป็นสิริมงคลแก่ลูก

ผมฟังเรื่องที่พ่อเล่า ผมซาบซึ้งใจ ในเรื่องเล่าแบบนี้ แต่ถ้าคนที่เขาไม่เชื่อ เขาย่อมไม่มีทางเข้าใจ

ความซาบซึ้งใจในพระคุณของพ่อแม่ หรือต่อสถาบันกษัตริย์ เป็นเรื่องที่ดี แต่พวกไม่จงรักภักดีอาจมองเป็นเรื่องตลก จนเอามาเสียดสี โดยใช้รูปคุณซาบซึ้ง ที่เอามาจากอีโมติคอนของฝรั่งมาใช้

ผมเองก็เคยเอารูปคุณซาบซึ้งมาใช้เพื่อเป็นรูปแทนผม ในเว็บสนุกอยู่ช่วงระยะเวลานึง เชื่อว่าหลายคนอาจจำได้



การที่ผมใช้อีโมติคอนเป็นรูปคุณซาบซึ้ง ก็เพื่อที่จะบอกแก่แฟนๆ กระทู้ของผมว่า จงอย่าได้รังเกียจคุณซาบซึ้ง เพราะคุณซาบซึ้งไม่ผิด เป็นแค่อีโมติคอนที่ฝรั่งคิดขึ้น แต่มีคนไทยบางกลุ่มเอามาใช้เพื่อเสียดสีคนอื่นเท่านั้น

ถ้าคณเห็นคุณซาบซึ้งที่พวกไม่จงรักภักดีนำมาใช้เมื่อใด จงจำไว้ว่า พวกไม่จงรักภักดีเขามีปมด้อย น่าสงสารครับ ที่เขาจิตใจหยาบกระด้าง ไม่อาจเข้าใจความรู้สึกดีๆ ที่คนไทยจิตใจดีเขามี เลยอิจฉา จนต้องเอามาล้อเลียนเพื่อกลบปมในใจตัวเอง


-----------------------------

ประเพณีถวายธนบัตรแก่พระบรมวงศานุวงศ์เวลาเสด็จผ่าน

ในสมัยก่อน เวลาในหลวง พระราชินี และพระบรมวงศานุวงศ์เสด็จในสถานที่ต่างๆ โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ คนกรุงเทพจะมีประเพณีนิยมอย่างนึงที่ชอบกระทำ

ก็คือ การถวายเงินแก่ในหลวง และทุกพระองค์ เพราะว่า คนไทยเราเชื่อว่า เงินเหล่านี้จะถูกนำไปใช้เพื่อเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง จากพระราชกรณียกิจต่างๆที่ทรงกระทำ

คนไทยเช่นคนกรุงเทพฯ จำนวนมากไม่ใช่คนที่จะร่ำรวยมากมาย ไม่ได้มีเงินมากพอที่จะเข้าไปเฝ้าถวายเงินจำนวนมากๆ ได้ถึงในพระตำหนักจิตรลดาฯ แต่ก็มีใจอยากจะถวาย จึงพากันถวายเงินให้ในหลวง และทุกพระองค์ยามเมื่อเสด็จผ่าน

โดยที่เห็นประจำก็คือ เวลาในหลวง พระราชินี และทุกๆพระองค์ เสด็จไปยังพระอุโบสถวัดพระแก้ว

ผมเองก็เคยรับเสด็จที่วัดพระแก้วเมื่อครั้งยังเด็กอยู่2-3ครั้ง และได้เคยยื่นธนบัตรสิบบาทบ้าง ยี่สิบบาทบ้าง ถวายตรงๆ ถึงพระหัตถ์ของในหลวง พระราชินี สมเด็จพระเทพฯ และองค์อื่นๆ หลายหน

ตัวผมเองเคยได้ใกล้ชิดสมเด็จพระนางเจ้าฯ แบบใกล้มากๆ อยู่ครั้งนึง คือตอนนั้นสมเด็จพระนางเจ้าฯ ทรงประทับลงตรงหน้าผม แม่ผม กับน้าข้างบ้านที่มาด้วยกัน พระองค์ทรงตรัสว่า "วันนี้อากาศดีนะ" แล้วก็ทรงแย้มพระสรวล

น้าข้างบ้านกับแม่ผม ก็ตอบพระองค์ไปว่า เพคะ

นี่คือช่วงเวลาที่ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทที่สุด ที่ผมเคยประสบครับ

ประเพณีถวายธนบัตร หรือแบงค์ แบบถึงพระหัตถ์ในหลวงโดยตรง โดยไม่ต้องใส่ซอง หรือวางบนพาน ภายหลังก็ได้ถูกยกเลิกไป เพราะสาเหตุใดไม่ทราบแน่ชัดครับ



แต่ผมคาดเดาเองว่า อาจดูเป็นการไม่ค่อยเหมาะ และทำให้แต่ละพระองค์ต้องทรงลำบาก เนื่องจากหลายคนที่ส่งเงินให้ ยืนอยู่ในแถวหลังๆ แต่ก็พยายามจะยื่นให้ถึงแต่ละพระองค์ ซึ่งแต่ละพระองค์ก็ทรงมีพระเมตตา ทรงพยายามยื่นพระหัตถ์เข้าไปรับเงินให้ถึงมือของประชาชนทุกคน จนบางครั้ง ลำบากจนอาจทำให้พระองค์อาจเสียหลักล้มได้

และทำให้เสียเวลามาก กว่าแต่ละพระองค์จะเสด็จเข้าไปในพระอุโบสถ เนื่องจากทรงเสียเวลากับการรับเงินที่ประชาชนเต็มใจจะถวายให้ อีกทั้งภายหลังทรงมีพระชนมายุมากขึ้น จึงไม่ทรงแข็งแรงที่จะเอื้อมพระหัตถ์ไกลๆ อีก

อันนี้ผมคาดการณ์เองนะครับ ส่วนแม่ของผมบอกว่า เพราะแบงค์สกปรก เดี๋ยวจะทำให้แต่ละพระองค์จะทรงติดเชื้อได้

การถวายเงินแก่พระบรมวงศานุวงศ์ การร่วมบริจาคทรัพย์โดยเสด็จพระราชกุศลต่างๆ ของคนไทย หรือการบริจาคช่วยเหลือผู้อื่นของคนไทย เป็นที่ยอมรับกันทั่วโลกแล้วว่า

คนไทยบริจาคเงินมากที่สุดในโลก!!

คลิกที่รูปเพื่อขยาย!!


พอดีผมหารูปได้แค่รูปนี้รูปเดียว เป็นรูปประชาชนกำลังจะถวายเงินธนบัตรยี่สิบบาทให้สมเด็จพระเทพฯ ให้สังเกตว่า จะมีนางสนองพระโอษฐ์ถือถุงพลาสติกคอยรับเงินมาใส่ในถุง

------------------------

ครั้งสุดท้ายที่ผมได้มีโอกาสเห็นในหลวง คือเมื่อครั้งที่ผมไปร่วมงานพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่หลุยส์ จันทสาโร ที่วัดพระศรีมหาธาตุฯ บางเขน ครับ

โดยเฉพาะตอนผมเดินลงจากพระเมรุ ก็ได้มีโอกาสมองไปที่พระที่นั่งที่ในหลวงทรงประทับอยู่อย่างตรงๆ บอกตามตรงผมเองก็เกรงใจพระองค์ ไม่กล้ามองพระองค์นานๆ ซึ่งในหลวงทรงมีพระรัศมีวรกายที่เปล่งประกายมากๆครับ ดูพระวรกายพระองค์ท่านเหลืองทองอร่ามดั่งเทพเทวดาจริงๆ

คลิกอ่าน ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ของข้ารองบาท?! (บทความที่จะทำให้คุณเข้าใจความหมายของคำว่า ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท)




ผู้ติดตาม