วันพฤหัสบดีที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2555

น้ำใจคนไทยสู่ขอทาน จนถึงร้านอาหารเศรษฐีใจบุญ





คนไทยได้ชื่อว่า เป็นชนชาติที่ชอบบริจาคมากที่สุดอันดับ 3 ของโลก จากรายงานข่าวผลสำรวจของมูลนิธิเพื่อการกุศลของโลกเมื่อไม่นานนี้

การบริจาคเป็นสิ่งที่ดี แต่บางครั้งเราอาจไม่ต้องรอให้คนเขาเดือดร้อนสุด ๆ แล้วค่อยบริจาคช่วยเหลือก็ได้

เราอาจช่วยคนอื่นไม่ให้เดือดร้อน ก่อนที่เขาจะเดือดร้อนน่าจะดีกว่า ได้ประโยชน์กว่า มีผลดีต่อสังคมมากกว่า


คุณรู้มั้ย ทำไมขอทานไทยจึงมีเงินเป็นล้าน ?

มีข่าวเกี่ยวกับขอทานรวยเป็นล้าน มาหลายรายในตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา และที่ขอทานรวยมากขนาดนั้น

ก็เพราะขอทานไทยจะทำตัวจนน่าสงสารมาตลอด แม้รวยแล้วก็แกล้งจนต่อไป เพื่อตบตาคนที่มาทำทานให้

ซึ่งหลักขอทานที่ถูกต้อง คือ ถ้าคุณเป็นคนที่สิ้นไร้ไม้ตอก หมดหนทางแล้ว จึงจำต้องมาขอทานเพื่อความอยู่รอด ก็ทำไปเถอะ

แต่ถ้าคุณขอทานจนมีเงินมากพอที่จะตั้งตัวได้แล้ว ก็ต้องเลิกขอทานไป เพื่อไป ทำมาหากินอย่างอื่น เปิดโอกาสให้คนที่เขาสิ้นไร้ไม้ตอกจริง ๆ มีโอกาสได้มาขอทานบ้าง

แต่ขอทานไทย ขอจนรวยแล้ว ก็ยังขอต่อไป ยังแสร้งทำเป็นจน หลอกให้คนเขาสงสาร

แบบนี้ถือว่าเข้าข่าย หลอกลวง เป็นบาปครับ

--------------------------

แนวคิดดีๆ จากผู้ก่อตั้งธนาคารกรามีน ธนาคารเพื่อคนจน

ท่านมูฮัมหมัด ยูนูส เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพร่วมกับธนาคารกรามีนในปีพ.ศ. 2549 เคยพูดว่า แทนที่มูลนิธิต่างๆจะนำเงินไปบริจาคช่วยคนจนเฉยๆ

ทำไมมูลนิธิต่างๆไม่ทำให้คนจนเขาได้อยู่อย่างมีศักดิ์ศรีขึ้น เช่นมูลนิธิต่างๆ แทนที่จะรอเงินจากผู้บริจาคเฉยๆ แล้วนำเงินไปบริจาคให้คนจน มูลนิธิควรทำกิจการที่ขายสินค้าดีๆ ในราคาถูกๆ ให้คนจนมีสิทธิซื้อได้อย่างไม่เดือดร้อนดีกว่า

มูลนิธิเอง ก็ได้เงินจาการค้าด้วยไม่รอแต่เงินบริจาคอย่างเดียว ค้าขายทำกำไรแต่น้อย แต่ถือว่าได้ช่วยเหลือคนจนไปในตัว

จากแนวคิดนี้เอง ผมชื่นชมมากๆ

ชมคลิปรายการ มองเรามองโลก กับธนาคารกรามีน


---------------------------------

ร้านอาหารเศรษฐีเพื่อคนจน!!

ผมเลยอยากแนะนำมหาเศรษฐีในเมืองไทยทั้งหลายว่า แทนที่ท่านจะนำเงินมหาศาลไปบริจาคสร้างโน่นสร้างนี่ พวกท่านลองมาเปิดกิจการค้าทีไม่แสวงหากำไร แต่แสวงหาบุญกุศลดูบ้างสิครับ

ถ้ามหาเศรษฐีไทยทั้งหลาย ช่วยกันเปิดร้านอาหารราคาถูกช่วยเหลือค่าครองชีพคนจน คนละร้านสองร้าน ถ้ารวยมากๆ ก็ทำหลายร้านๆ หลายสาขา

ผมเชื่อว่า กำไรอาจจะไม่มาก แต่กุศลนั้นมากแน่นอน

เพราะผู้ขายอาหารได้ชื่อว่า ผู้ให้กำลัง ถ้าท่านทำกุศลจากการขายอาหารอร่อย ราคาถูกแก่คนจน ๆ บุญกุศลนี้ต้องช่วยให้มหาเศรษฐีทุกท่าน เจริญด้วยอายุ วรรณะ สุข พละ แน่นอน

ความจริงไม่ต้องถึงขึ้นมหาเศรษฐีก็ได้ครับ ใครก็ได้มีเหลือกินเหลือใช้ มาสร้างกุศลแบบนี้น่าจะดีกว่า รอให้คนอดอยากแล้วค่อยไปบริจาค

สู้ท่านมาช่วยกันขายอาหารดีราคาถูก ช่วยให้คนจนอยู่อย่างมีศักดิ์ศรี ไม่ใช่อยู่อย่างอดอยาก แบบนี้น่ะดีที่สุดจริงๆ เป็นกุศลผลบุญข้ามภพข้ามชาติแน่นอนครับ

--------------

อัพเดท

หลังจากผมเขียนบทความนี้ในปี 2554 ต่อมาก็ได้มีมหาเศรษฐีใจบุญ เจ้าของแลนด์แอนด์เฮ้าส์ คุณอนันต์ อัศวโภคิน ก็ได้ทำศูนย์อาหารทันสมัยแต่ในราคาแสนถูก เพื่อช่วยเหลือให้คนทำงานทุกกลุ่มอาชีพเข้าถึงราคาอาหารได้ในราคาย่อมเยาว์ Pier 21 ในศูนย์การค้า Terminal 21 สุขุมวิท แถมสถานที่สะอาด ห้องน้ำก็สะอาด

โดยเจ้าของซึ่งเป็นมหาเศรษฐี ยอมขาดทุนปีละประมาณ 20 -30 ล้านบาท (ขนหน้าแข้งไม่ร่วง)



ที่มารูปกระทู้พันทิพ http://pantip.com/topic/31772182

ผมว่า การค้าขายแบบคืนกำไรให้สังคมแบบที่คุณอนันต์ กำลังทำอยู่นี้ ได้บุญมหาศาลมาก แถมได้บุญทุกวัน แถมมีผู้คนสรรเสริญยกย่องทุกวัน แบบนี้เขาเรียกกลยุทธ์นี้ว่า ยอมขาดทุนเพื่อกำไร เหมือนที่ในหลวงทรงเคยแนะนำไว้

ถ้ามหาเศรษฐีของไทยช่วยคืนกำไรให้สังคมแบบนี้คนละไม้คนละมือ ค่าครองชีพของคนไทยคงจะไม่สูงขึ้น เศรษฐกิจไทยก็จะดีขึ้นตามมาด้วย

ชมคลิปรายการคนค้นฅน แม่ค้าส้มตำถุงละ5บาท



วันอังคารที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2555

แท็บเล็ต ช่วยให้เด็กไทยฉลาดขึ้นจริงรึ?




บทความนี้เป็นภาคต่อจากบทความเรื่อง ทำไมเด็กจีนคิดเลขเก่ง?? 


ถ้าประเทศไทย เป็นเจ้าของเทคโนโลยี ผลิตแท็บเล็ตเองได้ ไทยเราหาเงินจากการขายเทคโนโลยีได้มากมาย ขายแท็บเล็ตได้แบบเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น จีน สหรัฐ หรือแม้แต่อินเดีย เองได้

ถ้าเป็นแบบนั้น รัฐบาลไทยอยากจะแจกแท็บเล็ตให้เด็กไทยทุกคน ก็เชิญทำไปเถอะ

แต่การแจกแท็บเล็ตของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ กลับเป็นการแจกแบบสอนให้เด็กไทยเหยียบขี้ไก้ไม่ฝ่อ

หมายถึง เด็กไทยน่ะ เก่งเรื่องใช้เทคโนโลยีแบบผู้บริโภคเทคโนโลยี ไม่ใช่เก่งเพื่อพัฒนาความรู้ด้านเพื่อเป็นผู้ผลิต พอโตขึ้นมาก็มักเป็นทาสเทคโนโลยี ตามกระแสอย่างฟุ้งเฟ้อ มากกว่ามีใช้เพื่อความจำเป็น

ทีนี้คนที่มีโอกาสมากกว่าก็จะกดค่าแรง ค้าขายเอากำไรมากๆ แก่ผู้ที่ด้อยโอกาสกว่า เพื่อที่เขาจะได้มีเงินมากๆ ไปตามล่าความฟุ้งเฟ้อด้านเทคโนโลยี ตอบสนองกิเลสตน อันเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการเห็นแก่ตัว จากความอยากร่ำรวย เกิดการเอาเปรียบทางสังคมมากขึ้น 

(หลายคนไม่รู้ตัวด้วยซ่ำ ว่าที่ตนเองเงินเดือนสูงนั้น ก็เพราะตนเองได้ทำงานอยู่ในระบบกดขี่คนจนทั้งทางตรงและทางอ้อมเพื่อความร่ำรวยขององค์กรฯ บริษัท ห้างร้าน )

การวิจัยในอดีตที่ผ่านๆ มา พบว่า เด็กไทยร้อยละ90 ที่เล่นคอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการเล่น และบันเทิง มากกว่าการแสวงหาความรู้

เมื่อหลายปีก่อน สหรัฐอเมริกาก็เคยให้โน๊ตบุ้คแก่นักศึกษายืม ผลปรากฏว่า นักศึกษาใช้เพื่อการแชท มากกว่าใช้เพื่อการเรียน ภายหลังจึงยกเลิก เพราะไม่คุ้มงบประมาณชาติ!!

เรื่องบางเรื่อง ถ้าไปส่งเสริมให้ผิดคน แทนที่จะคุ้มงบประมาณชาติ กลับเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำเสียมากกว่า

----------------------------

ทำไมจีนถึงเก่งเทคโนโลยี?

จีนเปิดประเทศไม่กี่ปี แต่สามารถพัฒนาเทคโนโลยี จนเป็นผู้นำเทคโนโลยีระดับโลก

ทั้งๆที่ ถ้าเราเคยดูสารคดีเปิดโลกแดนมังกร จะเห็นได้ว่า นักเรียนจีนก็ไม่ได้มีเทคโนโลยีอะไรในโรงเรียนมากนัก แต่เด็กจีนโตขึ้นมา กลับสามารถผลิตสินค้าไฮเทคมาขายทำกำไรแก่ประเทศฟุ้งเฟ้ออย่างคนไทยได้

เพราะอะไร?

นั่นก็เพราะ เด็กจีนเขาสนใจวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ ทั้งคณิต วิทย์ ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ ในขณะที่เด็กไทยส่วนใหญ่กลับไม่ชอบวิชาเหล่านี้

เด็กไทยสนใจแต่เล่นเกม เล่นคอมพิวเตอร์ เพื่อความบันเทิง สนใจแต่ร้องรำทำเพลง

ฉะนั้น การที่รัฐบาลคิดแจกแท็บเล็ต จึงเป็นการหลอกคนไทยทั้งหมดว่า

การมีแท็บเล็ตแล้ว เด็กจะฉลาด ซึ่งไม่น่าจะใช่ เพราะอะไรล่ะ?

ในบทความเรื่อง ฝรั่งแฉสันดานคนไทย ตอนที่2 ที่ผมเคยนำมาลงไว้  ได้บอกไว้ถึงแผนการที่ฝรั่งหลอกให้เราเป็นทาสความคิดของพวกฝรั่ง ในข้อ4 ไว้ว่า





สุดท้ายพอเด็กไทยมีแท็บเล็ต ก็จะยิ่งละเลยวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์มากขึ้น เพราะหลงใหลไปกับความฟุ้งเฟ้อ ความสนุกสนานของเทคโนโลยีที่ต้องใช้เงินซื้อ

ทีนี้อะไรที่มันยากๆ อะไรที่มันเป็นการเรียนรูู้อย่างธรรมชาติ เด็กก็จะไม่สนใจมากขึ้น เพราะโดนรัฐบาลทรราชหลอกให้หลงใหลวัตถุนิยมไปแล้ว

ปกติ เด็กไทยก็ไม่ค่อยสนใจเรียนวิทยาศาตร์บริสุทธิ์กันอยู่แล้ว ทีนี้ล่ะจะยิ่งไปกันใหญ่

บทสรุปจากการสอบโอเน็ตOnet ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สรุปมาแล้วว่า ทุกวันนี้นักเรียนไทยปัจจุบันโง่ลงกว่านักเรียนไทยในอดีตอย่างมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะผลสอบทางวิชาการนักเรียนไทยแย่ลงมาตลอด ทั้งๆที่ ในปัจจุบันมีเทคโนโลยีอำนวยความสะดวกในการหาความรู้มากกว่าในอดีตตั้งมากมาย


ตรงจุดนี้ จึงเห็นได้ว่า เทคโนโลยีดีขึ้น ไม่ได้ช่วยให้นักเรียนไทยฉลาดขึ้น !!

เด็กไทยในปัจจุบันอาจรู้ข้อมูลมากขึ้น แต่การประมวลผลข้อมูลด้วยสมองตนเองกลับแย่ลง เพราะพึ่งเทคโนโลยีมากเกินไป

หากเราดูการ์ตูนเรื่องโดราเอมอน ซึ่งย้อนกลับไปในอดีตกว่า30ปีที่แล้ว เราจะเห็นได้ว่ายุคโนบิตะ นั้น ก็ไม่มีคอมพิวเตอร์ให้เรียน ไม่มีแท็บเล็ตให้เรียน

แต่ประเทศญี่ปุ่นได้ผลิตสินค้าที่ไฮเทคโนโลยี ขายให้คนทั้งโลกมากว่า50ปีมาแล้ว ทั้งๆที่ เด็กญี่ปุ่นในอดีตก็ไม่มีคอมพิวเตอร์ให้เรียน

อย่าง บริษัทCASIO ของญี่ปุ่น ขายสินค้าไฮเทค ให้คนไทยมากว่า30ปี

ถามว่า คนญี่ปุ่นในยุคนั้นได้เรียนด้วยคอมพิวเตอร์หรือไม่?

คำตอบคือไม่มี แต่เด็กญี่ปุ่นก็โตขึ้นมา ผลิตสินค้าไฮเทคขายคนไทยได้ จริงมั้ย?

ผมอยากให้ย้อนกลับไปอ่านบทความเรื่อง ทำไมเด็กจีนคิดเลขเก่ง ซึ่งตอนท้ายบทความผมสรุปไว้ว่า

เด็กไทยเรียนด้วยแท็บเล็ต โตขึ้นมาก็ซื้อสินค้าไฮเทคจากประเทศอื่นเหมือนเดิม

เด็กญี่ปุ่น เรียนด้วยลูกคิด โตขึ้นมาผลิตสินค้าไฮเทคขายคนไทยได้


ผมเห็นว่าแท็บเล็ตมีประโยชน์ สำหรับคนที่ใฝ่หาความรู้

ฉะนั้น รัฐบาลไม่จำเป็นต้องส่งเสริมอะไรพวกนี้มากนักหรอกครับ ถ้าเด็กเขาอยากได้ เขาก็หาทางมีกันเองนั่นแหล่ะ

เอาเงินงบประมาณไปทำสิ่งที่สำคัญในการศึกษาเรื่องอื่นๆ ก่อนจะดีกว่า

แต่บอกไปก็เท่านั้น เพราะรัฐบาลทรราชมันหวังผลชั่วๆอยู่แล้ว









คลิกที่รูป เพื่อไปดูข่าวเด็กหนุ่มจีนประกอบไอแพดขึ้นเอง เพื่อให้แฟน



เคยมีข่าวนึงเกี่ยวกับ เกาหลีใต้จะแจกแท็บเล็ตแก่เด็กประถม ซึ่งนั่นเป็นบิดเบือนข่าวเล็กน้อย คือที่จริงแล้วเกาหลีใต้เขากำลังปรับปรุงโรงเรียนประถมศึกษาทั่วประเทศให้มีห้องเรียนที่ใช้แท็บเล็ตเรียน เพราะเกาหลีใต้เขามีระบบเน็ตที่ดีที่สุดในโลก

เกาหลีใต้เขาไม่ได้แจกแท็บเล็ตแก่นักเรียนทุกคน เกาหลีใต้เขาแค่ทำให้ห้องเรียนมีแท็บเล็ตใช้ทุกห้องและสามารถออนไลน์ได้ทั่วประเทศเท่านั้น และจากภาพข่าวนั้น ก็เป็นเด็กระดับป.4 ขึ้นไปแล้วที่ใช้แท็บเล็ตในการเรียน เกาหลีเขาไม่ได้เอาแท็บเล็ตไปแจกเด็กเล็กอย่าง เด็ก ป.1 เหมือนที่รัฐบาลยิ่งอัปลักษณ์กำลังทำ


ไปอ่านข่าวนั้นได้ที่บทความเรื่อง ทำไมเด็กจีนคิดเลขเก่ง คลิกอ่าน



วันจันทร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2555

สโมสรผึ้งน้อยในความทรงจำ ชุดตามหาปู่





มเกิดทันยุคที่สโมสรผึ้งน้อย ทางททบ.5 ดังสุดขีด เพราะแม่ผมชอบดู ถ้าวันไหนแม่กลับบ้านเร็ว แม่ก็จะดู ซึ่งความจริงผมไม่ค่อยอยากดูเท่าไหร่หรอก แต่จำใจดูตามแม่

แม่ชอบเด็กกล้าแสดงออก โดยเฉพาะเด็กผู้หญิง แม่ผมจะชอบมาก ๆ เพราะแม่ไม่อยากมีลูกชาย เพราะลูกชายมันดื้อและขี้เกียจ (ซึ่งแม่ก็ได้ในสิ่งที่เกลียดจริงๆ)

ทีนี้ เมื่อแม่ดูสโมสรผึ้งน้อย แม่ก็ชอบพูดชวนให้ผมไปสมัครที่สโมสรผึ้งน้อยบ้างเอามั้ย?

โอว.. โนว... ผมไม่ไปเด็ดขาด เพราะผมเกลียดการแสดงออก ผมชอบดู แต่ไม่ชอบแสดง

ทีนี้ ตอนผมอยู่ป.6 โรงเรียนปานะพันธุ์ สาขาลาดพร้าว ผมมีเพื่อนผู้ชายในห้องเดียวกันคนนึงอยู่สโมสรผึ้งน้อย มันมักจะขอครูกลับบ้านเร็วก่อนโรงเรียนจะเลิก เพื่อไปแสดงสดสโมสรผึ้งน้อย ที่ททบ.5 เพราะรายการเขาออกอากาศสด ประมาณ5โมงเย็น

ตอนนั้นไอ้เพื่อนผมคนนี้ มันบอกว่า มันหลงรัก เอ๋ xyz ทั้งๆที่เอ๋ xyz แก่กว่ามัน2ปี

ทีนี้พอผมรู้ว่า ไอ้เพื่อนคนนี้ชอบเอ๋ xyz ผมก็เลยสนใจว่า คนไหนวะ เอ๋xyz ?

และพอผมรู้ว่า เอ๋xyz คนไหน ?

คือที่จริงก็เคยเห็นในวงxyz แต่ไม่รู้จักชื่อหรอกว่าคนไหน รู้แต่ว่าตอนวงxyz เล่นกีต้าร์ไม้ มีหญิงสวยอยู่คนนึงที่ผมชอบ และเพิ่งจะรู้ว่า อ๋อ.. คนสวยคนนี้นี่เอง ที่ชื่อ เอ๋xyz เพราะเพื่อนผมมันบอก สวยที่สุด และที่สำคัญเธอมีเอกลักษณ์ตรง ฟันล่างครอบฟันบน

ทีนี้ต่อมา สโมสรผึ้งน้อยก็มีการแสดงใหญ่ที่เวทีกรมศิลปากร ซึ่ง วงxyz รุ่นเล่นกีตาร์ไม้ก็ดังมากๆ ในชุด รถไฟมีปีก ล้อเพลงหัวใจมีปีก ของวงแกรนด์เอ็กซ์

ผมล่ะไม่อยากไปดูเลย แต่แม่ผมก็บังคับให้ผมต้องไปดู เลยไปดูกันทั้งครอบครัว จำได้ว่า ตอนนั้นเป็นหน้าฝน และวันที่ผมไปดู ฝนก็ตกหนักมากๆ จนคิดว่า จะไปไม่ทันการแสดงซะแล้ว

แต่ก็ไปทัน..

การแสดงในวันนั้น มีมากมายหลายเรื่องหลายการแสดง รวมทั้งคอนเสิร์ตของวงxyz ด้วย แม่ผมล่ะชื่นชอบ ต่อxyz นักร้องนำวงxyzมาก ๆ ซึ่งคุณต่อ ก็รุ่นพี่ผมที่ ป.พ. เหมือนกัน

แต่การแสดงที่ผมประทับใจมิรู้ลืมมาจนวันนี้ ก็คือการแสดงชุด "ตามหาปู่" ซึ่งมีคุณเอ๋xyz แสดงเป็นนางเอก รับบทนำในการเดินทางตามหาปู่ ที่หายไป พร้อมกับร้องเพลง ตามหาปู่ ที่ผมจำเนื้อได้มาจนวันนี้

แม้ผมจะเป็นเด็ก แต่ผมกลับหลงใหลความน่ารัก และสวยของคุณเอ๋xyz บนเวทในวันนั้นมากๆ เธอช่างน่ารักสุดๆ สวยสะใจจริงๆ

เธอใส่กางเกงขาสั้น โชว์เรียวขาขาวๆ ช่างน่ารักสำหรับผมมากๆ ผมตราตรึงกับการแสดงชุดตามหาปู่ แบบติดตาตรึงใจจนถึงวันนี้

และเมื่อผมได้เจอเพจกลุ่มของthaiXYZfanclub ก็เลยลองไปโพสที่เพจว่า ผมอยากดูการแสดงตามหาปู่ ของคุณเอ๋xyz มากๆ ไม่ทราบว่ามีหรือไม่?

และโชคดีได้รับความกรุณาจากคุณTom Sathitpitayayudh ได้โพสคลิปการแสดงตามหาปู่ ของคุณเอ๋xyz ให้ผมได้ดูอีกครั้งในรอบเกือบ30ปี ซึ่งต้องขอขอบคุณในความกรุณาของคุณTom อย่างมาก

แต่เนื่องจากยุคนั้น ยังใช้การบันทึกเป็นวีดีโอเทป ภาพการแสดงก็เลยมีสีที่ผิดเพี้ยนไป จากสีขาวบนเวที ก็กลายเป็นสีออกแดงๆ และมืดๆไปหน่อย

แต่นี่คือการแสดงที่ผมประทับใจมาจนถึงวันนี้ครับ

ตามหาปู่ นำแสดงโดย เอ๋xyz สโมสรผึ้งน้อย

ซึ่งขณะเธอเดินตามหาคุณปู่ ที่2เมือง คือเมืองลายและเมืองจุด ความน่าสนใจของการแสดงนี้ ก็คือเมืองทั้งสองเมือง นิสัยของผู้คนในแต่ละเมืองต่างกันอย่างไร??

1



2



3



4



แต่เนื่องจากกาลเวลาทำลายความชัดของวีดีโอไป น่าเสียดายที่คุณผู้อ่าน ไม่ได้เห็นคุณเอ๋ xyz สวยน่ารักเหมือนที่ผมเคยเห็น

ขอบอกว่า การแสดงวันนั้น คุณเอ๋xyz เธอเหมือนนางฟ้าตัวน้อยๆ ที่โลดแล่นอยู่บนเวทีเลยครับ

ขนาดพ่อผมยังบอกว่า เด็กคนนี้สวยจริง สวยแท้ !!



วันจันทร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2555

เมื่อถึงวันที่ช่อง7 แพ้แก่ช่อง3





ลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ช่อง7 คือช่องที่มีคนดูมากที่สุด ทำรายได้มากที่สุดในบรรดาวงการโทรทัศน์ไทย

สาเหตุหลักๆ ที่ผมเข้าใจก็คือช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ช่อง7ได้เปรียบช่อง3 ในเรื่องสัญญาณภาพที่คมชัดกว่า ทั่วถึงกว่า 

ในขณะที่ช่อง3 ภาพคมชัดสู้ช่อง7ไม่ได้เลย ยิ่งในอดีต ในต่างจังหวัด คนส่วนใหญ่จะดูช่อง7ได้ แต่ช่อง3จะรับชมกันไม่ค่อยได้ หรือได้ก็ไม่ค่อยชัด ทำให้ช่อง7 เลยเป็นช่องที่มีคนดูมากที่สุด

ประกอบกับละครช่อง7 จะมีละครจักรๆวงศ์ๆ ที่เป็นขวัญใจคนต่างจังหวัดตลอดกาลด้วย

แต่หลายปีหลังมานี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในยุคที่เทคโนโลยีการสื่อสารทางภาพและเสียงดีขึ้น ช่อง3 ก็ภาพชัดไปไกลทุกจังหวัดเป็นส่วนใหญ่แล้ว ทำให้คนไทยทั่วประเทศไม่จำเป็นต้องดูช่อง7 ช่องเดียวเหมือนแต่ก่อนเสมอไป คนดูมีทางเลือกมากขึ้น

ผมคงไม่ต้องเท้าความมาก ว่าทำไมช่อง7 ถึงได้เริ่มแพ้ช่อง3 ตัวผู้บริหารช่อง7 เองทีแรกก็คงไม่เชื่อว่าจะแพ้ช่อง3ได้

มาถึงวันนี้ช่อง3 ทำรายได้และกำไรมากกว่าช่อง7ไปแล้ว



อ่านข่าวมติชน เทียบรายได้ช่อง7กับช่อง3 


---------------------


ที่สำคัญ ณ.วันนี้ พระเอกช่อง3 ได้โฆษณารถยนต์แทบทุกยี่ห้อในบ้านเรา ในขณะที่ช่อง7 ไม่มีพระเอกได้โฆษณารถยนต์เลยสักยี่ห้อในช่วง1-2 ปีมานี่

เพราะรถยนต์เป็นสินค้าที่ถือว่า ราคาสูงและเป็นที่นิยมของคนไทย หากดาราคนไหนได้โฆษณารถยนต์ นั่นแสดงว่า มีภาพลักษณ์ที่ดีมากพอสมควร

แม้แต่ป๋อ ณัฐวุฒิ ที่เคยเป็นพระเอกช่อง7 ก็เพิ่งได้โฆษณารถวีโก้ ก็เมื่อย้ายไปช่อง3แล้ว (โดยเฉพาะประโยคดังที่ป๋อตะโกน ในละครคู่เดือด ที่ถูกกล่าวขวัญถึงมาก)

ช่อง7 ในฝ่ายหญิงอาจจะยังพอสู้ช่อง3ได้บ้าง แต่ถ้าในฝ่ายชาย ความฮอตของพระเอกช่อง3 ในวันนี้ชนะช่อง7 ขาดลอยไปแล้ว

ดูได้จากงานโฆษณาต่างๆ ส่วนใหญ่มีแต่พระเอกช่อง3 แทบทั้งนั้น โดยเฉพาะโฆษณารถยนต์ แทบทุกยี่ห้อ เลือกใช้บริการของพระเอกช่อง3 ส่วนพระเอกช่อง7 มีโฆษณาทั่วๆไม่กี่ชนิดเท่านั้น

แค่ณเดชน์ คนเดียวก็กินขาดพระเอกช่อง7 ทั้งช่องได้เลย

ส่วนงานละคร ช่อง3 ได้รับการยอมรับจากคนดูแล้วว่า ละครช่อง3ส่วนใหญ่มีคุณภาพมากกว่าช่อง7 ที่มักซ้ำซาก จำเจ ดูถูกคนดูในหลายๆจุด  มีผู้จัดละครเพียงไม่กี่เจ้า มุมมองการนำเสนอเลยซ้ำซาก คนดูรู้ทาง

และที่สำคัญคือละครช่อง7 ถูกออกแบบมาเพื่อเน้นให้คนที่ไม่มีเวลาดูละครตลอดทุกตอน ได้ดูรู้เรื่องด้วย

เช่นแม่ค้าขายของไปด้วยดูละครไปด้วยรู้เรื่อง หรือเช่น มอไซค์วิน ขี่ไปส่งคนท้ายซอย กลับมาที่วินก็ยังดูละครช่อง7 รู้เรื่อง

นี่คือแนวทางการทำละครของช่อง7

แนะนำอ่าน เหตุผลที่ละครช่อง7ยืดเยื้อ

(หมายเหตุ ที่ผมวิจารณ์นี้ ไม่รวมละครค่ายโพลีพลัส ของคุณอรพรรณ นะครับ เพราะค่ายนี้ทำละครให้ทั้งช่อง3 และช่อง7)

และสถิติจนถึงปัจจุบัน บริษัทสินค้าต่างๆ เลือกที่จะใช้บริการดาราช่อง3 มากกว่าช่องอื่นๆ นั่นเพราะ มันทำให้สินค้าของเขาดูดีมีรสนิยมมากกว่าในตลาดกลางและตลาดบน!!

---------------------------------

ดาราย้ายค่าย

ทำไมช่อง7 ถึงไม่มีดาราดังๆ ที่อยู่คู่กับช่อง7 นานๆ มากมายเหมือนช่อง3

ดาราเก่าๆช่อง7 หลายต่อหลายคน เห็นหน้ามาตั้งนาน แต่คนดูกลับไม่รู้จักว่า ดาราคนนี้ชื่ออะไร?

ในขณะที่ช่อง3 มีดาราไปซบและปักหลักอยู่ช่อง3 หากินได้ยาวนานไปตลอด เช่น แหม่ม จินตหรา ก็ปักหลักช่อง3

พระเอกช่อง7 ที่เป็นดาวค้างฟ้ามีมั่งไหม? ไม่มี!!

ในขณะที่ นก ฉัตรชัย สามารถเป็นดาวค้างฟ้าได้ที่ช่อง3 หมิว ลลิตา ก็เป็นดาวค้างฟ้าที่ช่อง3

ซึ่งในระยะยาว ดาราส่วนใหญ่คงมองแล้วว่า ถ้าอยู่ช่อง3 มีโอกาสทำมาหากินได้ง่ายกว่า มีชื่อเสียงมากกว่า ในขณะที่ดาราเก่าๆช่อง7 เหมือนไม่ค่อยได้รับการเลี้ยงดูอุ้มชูเหมือนดั่งคนในครอบครัว ซึ่งต่างจากช่อง3 โดยสิ้นเชิง

หากผมจะเปรียบช่อง7 ก็เหมือนค่ายอาร์เอส นั่นแหล่ะ คือนักร้องจะมีค่าก็เมื่อตอนอายุยังน้อย แต่พอเริ่มแก่ ก็เริ่มหมดทางทำมาหากิน

ส่วนช่อง3 ก็เหมือนแกรมมี่ เพราะนักร้องแกรมมี่ระดับเก่าๆ ยังอยู่แกรมมี่อย่างยาวนาน และมีชื่อเสียงหากินได้จนปัจจุบัน เว้นแต่อยากแยกไปตั้งบริษัทเอง ในขณะที่อารฺ์เอส ไม่เหลือนักร้องเก่าๆ ที่อยู่ยาวนานเกิน20ปี สักกี่คนเลย ออกไปกันหมด!!

อย่างกรณีชมพู่ อารยา ในช่วงหลังๆ ที่ยังอยู่ช่อง7 ก็มักได้รับแต่บทรอง บทอกหักรักคุด ไม่ใช่นางเอกมาหลายเรื่องแล้ว ทั้งๆที่ ในวงการโฆษณา วงการงานอีเวนท์ วงการนิตยสาร ชมพู่ กลับยังฮอตฮิตติดลมบนอยู่

แต่ช่อง7 กลับรีบยัดเยียดบทรองๆให้ชมพู่ ก่อนเวลาอันควร สุดท้ายชมพู่เลยตัดสินใจย้ายค่ายมาช่อง3 ไปตายเอาดาบหน้าดีกว่า

และแล้วชมพู่ก็ดังเป็นพลุแตกในที่สุดที่ช่อง 3

ป๋อ ก็เช่นกัน แม้อยู่ช่อง7 อาจยังเป็นพระเอกเบอร์1อยู่ แต่ป๋อคงมองออกว่า อายุเริ่มมาก จะอยู่เป็นพระเอกช่อง7 นานๆ ก็คงยาก ย้ายช่องไป เป็นเฟรชชี่ที่ช่อง3ดีกว่า ซึ่งก็ได้ผล เล่นละครก็นับว่าประสบความสำเร็จพอควร

และถึงแม้ต่อไปอาจไม่ได้เป็นพระเอก แต่หนทางในการทำงานอย่างอบอุ่นเหมือนครอบครัวเดียวกัน ป๋อคงมองว่า มาช่อง3 น่าจะบรรเจิดกว่า เหมือนที่จินตหรา หรือสันติสุข ซึ่งแต่เดิมก็เคยเล่นให้ช่อง7 แต่สุดท้ายก็มาปักหลักที่ช่อง3 มาเป็นสิบปีแล้วเช่นกัน

(หมายเหตุ ฉัตรชัย เปล่งพานิช แรกเริ่มก็ดังมาจากช่อง7 เช่นกัน)

---------------------

ส่วนเรื่องข่าว

ผมขอละที่จะวิจารณ์แล้วกัน เพราะผมมองว่า จริงๆแล้ว เรื่องข่าว ช่อง3 อาจมีดีก็จริง ก็เพราะมีคุณสรยุทธ กับคุณกิตติ มาร่วม จึงทำให้ข่าวช่อง3โดดเด่นมาก  ซึ่งทั้งสองคนก็ไม่ใช่พนักงานช่อง3 แต่กลับเป็นแบบผู้ร่วมธุรกิจกับช่อง3มากกว่า

ส่วนข่าวช่องอื่นๆ ความจริงเขาก็มีดีไม่แพ้กัน เพียงแต่ว่า คนดูชอบดูรายการในช่องไหนมาก ก็มักจะดูข่าวช่องนั้นมากตามไปด้วย

สำหรับผม จะดูข่าวคละไปแทบทุกช่อง แต่จะชอบทีวีไทยมากๆ เพราะมีข่าวในสาระที่แตกต่างกว่าที่อื่นจริงๆ


คลิกอ่าน ประโยคเต็มๆ ที่ปลัดป๋อ ตะโกนในละครคู่เดือด



วันพฤหัสบดีที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2555

วิธีสร้างกำลังใจในยามทุกข์






ากคุณกำลังทุกข์ จงระลึกเสมอว่า นี่คือการชดใช้กรรมเก่าที่คุณได้เคยกระทำมา

ยิ่งทุกข์มาก ก็แสดงว่า ทำกรรมมามาก

ถ้าทุกข์น้อย แสดงว่า กรรมนั้นเริ่มเบาบาง

ในยามที่คุณทุกข์หนัก จนเริ่มท้อแท้

ขอให้คุณจงจำไว้ในใจและเตือนตนเสมอว่า เรากำลังชดใช้กรรมเก่า

ยิ่งทุกข์มาก แสดงว่าเรากำลังผ่อนใช้กรรมจำนวนมาก

ยิ่งผ่อนใช้กรรมเก่ามากๆ กรรมเก่าเรื่องนั้นๆ ก็จะได้หมดเร็วๆ (แต่จะต้องพยายามไม่สร้างกรรมชั่วเพิ่มขึ้นอีก)

เมื่อเรารู้เช่นนี้ ก็จงอย่าได้หมดกำลังใจ เพราะทุกข์แต่ละเรื่องๆ หากไม่สร้างกรรมชั่วเพิ่ม ทุกข์แต่ละเรื่องนั้นย่อมมีวันบางเบาลง

ทุกสิ่งไม่ว่าจะสุข จะทุกข์ ย่อมมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป




หากเราเข้าใจเช่นนี้ ก็จะทุกข์ใจน้อยลง เมื่อทุกข์ใจน้อยลง กุศลที่เกิดจากจิตก็จะลดลงด้วยเช่นกัน

การเข้าใจทุกข์ เป็นกุศลอย่างหนึ่ง เมื่อเข้าใจทุกข์ได้มากก็เท่ากับทำกุศลได้มาก

ในยามทุกข์ ถ้าเรายอมรับมัน และเข้าใจมัน แม้จะทุกข์จะสาหัสแค่ไหน เราก็ต้องไม่ท้อแท้

เพราะหากเราท้อแท้แก่ทุกข์ จนถึงขั้นทำร้ายตัวเอง หรือทำลายชีวิตตัวเองเพื่อหนีทุกข์

สุดท้าย เราจะยิ่งทุกข์ เพราะแม้ได้ตายจากโลกนี้ ก็จะไปอุบัติใหม่ยังโลกหน้าทันที แต่คุณกลับจะยิ่งทุกข์กว่าเดิม

เพราะคุณยอมแพ้แก่ทุกข์ จนสร้างวิบากกรรมจากการอัตวิบาตชีวิตตัวเอง บาปมหันต์ยิ่งนัก

แต่ถ้าเรายอมอดทนสู้กับทุกข์ที่กำลังเกิดแก่เรา

แม้ทุกข์นั้นอาจยาวนานไปตลอดอายุขัยของเราก็ตาม

แต่ถ้าเราทนอยู่กับทุกข์ไปได้โดยตลอด ไม่ทำร้ายตัวเอง ไม่ปลิดชีพตัวเองเพื่อหนีทุกข์

แม้เราจะตายไป ก็จะตายแบบชนะใจตัวเอง ตายอย่างผู้ชนะ!!

เกิดชาติหน้าฉันใด เราก็จะมีจิตใจเข็มแข็ง และอดทนได้ดียิ่งขึ้น

ถ้าจะตาย ก็จงตายอย่างผู้ชนะใจตนเอง

ไม่ใช่ตายอย่างผู้แพ้ ด้วยการทำลายชีวิตตัวเอง เพราะหากเป็นเช่นนั้น

เราจะเป็นผู้แพ้ไปตลอดทุกภพทุกชาติไม่สิ้นสุด ไม่มีวันหนีทุกข์ไปได้ แถมยิ่งทุกข์มากขึ้นเรื่อยๆ ไม่รู้จบ

แต่ถ้าเราเข้มแข็ง และสร้างกำลังใจให้ตัวเองอย่างสม่ำเสมอในการเผชิญกับทุกข์ เราจะยิ่งพ้นทุกข็ได้เร็วขึ้นกว่าเดิม

เพราะกำลังใจที่เข้มแข็ง เป็นกุศลจิตอย่างหนึ่ง


ท่องไว้ในใจเสมอว่า อดทน อดทน อดทน อดทน!!

เทพยดาฟ้าดิน หรือแม้แต่พระผู้เป็นเจ้าในทุกศาสนา ท่านจะเลือกช่วยคนที่อดทนเข้มแข็งก่อนช่วยคนที่ท้อแท้เสมอ




ผู้ติดตาม