วันพฤหัสบดีที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2556

เหตุผลตอแหลของโจรแบ่งแยกดินแดนภาคใต้




พวกโจรแบ่งแยกดินแดงภาคใต้ มักอ้างเหตุผลโง่ ๆ ว่าจะทวงอาณาจักรปัตตานีคืนจากชาวสยาม และกล่าวหาว่าชาวสยามรุกรานอาณาจักรปัตตานี

ซึ่งมันเป็นเหตุผลที่พวกโจรชั่วอ้างบ้งหน้าเท่านั้น

โดยเฉพาะประเด็นที่ควรรู้คือ สยามไม่ได้รุกรานอาณาจักรปัตนานีก่อน แต่อาณาจักรปัตตานีต่างหากที่เริ่มหาเรื่องทำสงครามกับสยามก่อน

คลิกอ่าน ปัตตานีรุกรานสยามก่อน


หากใครยังยึดถือเรื่องอาณาจักรโบราณมาอ้างความชอบธรรมในดินแดนอีก โลกนี้คงวุ่นวายเดือดร้อนเข่นฆ่ากันไม่รู้จบ

เพราะในยุคโบราณ แต่ละอาณาจักรต่างก็รุกรานกันไปมาทั้งนั้น  เพราะนั่นคือการพยายามดิ้นรนดำรงอยู่ของแผ่นดินและผู้คน ซึ่งในปัจจุบันสมัยใหม่เราต้องมองว่านั่นถือเป็นเรื่องปกติแห่งยุคสมัย

หากยังบ้ายึดติดเรื่องโบราณกาเล คนไทยกับคนพม่าก็ต้องอาฆาตแค้นกันไม่เลิกรา เป็นต้น

--------------

และแท้จริงแล้วพวกโจรใต้ไม่ได้ต้องการทวงคืนเอกราชให้อาณาจักรปัตตานีตามที่พวกมันอ้างหรอก

คลิกอ่าน เราต้องการเขตปกครองพิเศษปัตตานี แต่เราต้องการเอกราช

แต่เหตุผลที่จริงของพวกโจรแบ่งแยกดินแดนต้องการก็คือ มันต้องการนำแผ่นดินไทยไปประเคนให้มาเลเซียต่างหาก

เพราะถ้าหากพวกโจรต้องการทวงคืนเอกราชให้อาณาจักรปัตตานีจริง ๆ มันก็ต้องทวงคืนอาณาจักรปัตตานีส่วนที่อยู่ของประเทศมาเลเซียด้วย

เพราะดินแดนอาณาจักรปัตตานีมีทั้งที่อยู่ในแผ่นดินไทย และอยู่ในแผ่นดินมาเลเซีย

แต่ที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้คือ พวกแกนนำโจรใต้หลายกลุ่มต่างก็อาศัยอยู่ในมาเลเซียแทบทั้งนั้น และไม่เคยก่อการร้ายทวงคืนอาณาจักรปัตตานีจากมาเลเซียเลย

แต่กลับก่อการร้ายเฉพาะในส่วนที่อยู่ในแผ่นดินไทยเท่านั้น

ฉะนั้น ถ้าอยากจะขโมยแผ่นดินไทยไปให้มาลเซียก็กล้า ๆ หน่อย อย่าทำเป็นพวกโจรหน้าตัวเมีย หน้าด้าน โกหกตอแหล นำอาณาจักรปัตตานีมาอ้างบังหน้า


"ชีวิตผู้บริสุทธิ์นับพันนับหมื่น ต้องมาตายเพื่อสังเวยความโลภของมาเลเซียที่ต้องการแผ่นดินไทย"

คลิกอ่าน รวมบทความแฉปัญหา3จังหวัดใต้ทุกตอนที่ผ่านมา



วันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ตรรกะโง่ชั่วของพวกโจรแบ่งแยกดินแดนใต้




ตัวการใหญ่ปัญหาความรุนแรงภาคใต้ ตอน 6


ไอ้พวกโจรหน้าตัวเมียใน 3 จังหวัดใต้ หรืออาจพ่วงบางส่วนในจังหวัดสงขลานั้น พวกมันหลงตัวเองนึกว่าพวกมันเก่งเหลือเกิน ที่ฆ่าทหารไทย ฆ่าเจ้าหน้าที่ ฆ่าครู ฆ่าประชาชนได้อย่างเมามันส์

แค่มันหลงคิดแบบนี้ก็เท่ากับว่า พวกมันทั้งโง่ทั้งเลวแล้วล่ะ

เพราะที่มันยังฆ่าคนไทย ทหารไทยอยู่ได้ทุกวันนี้ เพราะคนไทยเขาไม่อยากเข่นฆ่าพวกมันเป็นการตอบโต้ต่างหาก ลองถ้าคนไทยไปคิดชั่ว ๆ แบบพวกมัน ป่านนี้คนไทยคงตั้งกองกำลังใต้ดินไปเข่นฆ่าโคตรพ่อโคตรแม่พวกโจรใต้หมดสิ้นไปแล้ว ตามหลักการที่่ว่า ตาต่อตาฟันต่อฟัน

หากพวกโจรใต้มีงแน่จริง ๆ มันก็ต้องสู้กันซึ่งหน้า แต่ที่มันใช้ยุทธวิธีกองโจร ไม่สิ ยุทธวิธีหมาลอบกัด หรือจะเรียกว่า ยุทธวิธีของพวกหน้าตัวเมีย ที่มันแอบลอบฆ่าคนที่เขาอยู่ในที่แจ้ง มันอยู่ในที่ลับ แบบนี้ถ้าพวกโจรมันนึกว่าพวกมันเก่ง แม่งก็ควายแดงแล้วครับ

หากคนไทยคิดใช้วิธีการต่ำทรามแบบที่พวกมันใช้ ป่านนี้ญาติพี่น้องลูกเมียพวกมันตายห่าหมดแล้ว แต่เราคนไทยเลือกที่จะไม่ทำ เพราะคนไทยเราไม่ได้สารเลวเหมือนพวกโจรหน้าโง่หน้าตัวเมียใน 3 จังหวัดใต้

และที่แน่ ๆ คนไทยเก่งและฉลาดกว่าแน่นอน ไม่งั้นคนไทยคงไม่ยึดอาณาจักรปัตตานีมาเป็นเมืองขึ้นได้หรอก ยึดเพื่อสั่งสอนที่บังอาจมารุกรานสยามก่อน

-------------

ตรรกะสยามรุกรานปัตตานี

ไอ้เรื่องนี้พวกโจรใต้มันก็โง่ในเรื่องประวัติศาตร์ เพราะตามจริงแล้ว สยามกับปัตตานีเดิมมีมิตรไมตรีที่ดีต่อกัน แต่พวกอาณาจักรปัตตานีเกิดคิดคดรุกรานสยามก่อน เลยโดนสยามตอบโต้คืน จนต้องมาเป็นเมืองขึ้นของสยาม

คลิกอ่าน แท้จริง อาณาจักรปัตตานีรุกรานสยามก่อน 

การที่พวกโจรใต้อ้างเรื่องโบราณนมนานกาเล มาอ้างเรื่องความเป็นเจ้าของแผ่นดิน มันอ้างบนหลักที่ขัดกับโลกสมัยใหม่ไปแล้ว อ้างแบบแถ ๆ ของพวกปัญญาสวะ ที่โลกยุคนี้เขาไม่ยอมรับ

อย่างเช่น สุลต่านแห่งซูลูจากฟิลิปปินส์ ที่จะมายึดแผ่นดินคืนจากมาเลเซีย ทางมาเลเซียยังบอกเลยว่า การอ้างเรื่องโบราณมันใช้ไม่ได้แล้ว

อยากให้ดูที่อินโดนีเซียเป็นตัวอย่าง เกาะบาหลี ผู้คนส่วนใหญ่นับถือฮินดู เกาะนี้ผู้คนส่วนใหญ่จึงกินหมู แต่พวกเขาก็ยอมรับการเป็นชาติอินโดนีเซีย ไม่ได้ออกมาเรียกร้องเป็นเอกราชจากรัฐมุสลิมอย่างอินโดนีเซียเลย ก็อยู่ร่วมกันโดยสงบสุข

ไอ้พวกโจรใต้หน้าตัวเมียเอ๋ย พวกมึงน่ะ หน้าด้านจะมาเอาแผ่นดินไทยไป โดยฆ่าพี่น้องไทยพุทธ ไทยมุสลิม ทหาร ครูไปมากมาย พวกมึงมันฆ่าคนเพราะความโง่และชั่ว นรกที่อัลเลาะห์จัดเตรียมไว้รอพวกมึงไปชดใข้แน่นอน

ซึ่งพวกมึงไม่มีสิทธิอ้างเรื่องศาสนาหรอก เพราะทั้งโลกมุสลิมที่เจริญไม่มีใครเขาคิดแบบนั้นกันแล้ว เว้นแต่นายใหญ่ที่บงการพวกมึงซึ่งก็คือ มาเลเซียน่ะสิ ที่หลอกให้พวกมึงมาทำชั่ว เพื่อต้องการแผ่นดินของไทยไปแบบหน้าด้าน ๆ

นายใหญ่มาเลเซียของพวกมึงน่ะมันหน้าด้าน หน้าตัวเมียที่สุด สร้างกลุ่มก่อการร้ายขึ้นมามากมาย ปากก็ว่าจะช่วยไทยสร้างสันติ แต่ลับหลังสนับสนุนผู้ก่อการร้าย

อยากจะบอกพวกมึงว่า พวกมึงไม่มีทางได้แผ่นดินไทยไปด้วยวิธีชั่ว ๆ เช่นนี้หรอก เว้นแต่จะมีนักการเมืองชั่วของไทยมันจะยกให้พวกมึงตามแผนที่นายใหญ่พวกมึงพยายามจะซื้อ


แต่กูว่ายากว่ะ เพราะพระเจ้าหรือพระอัลเลาะห์จะไม่เข้าข้างพวกชั่วอย่างพวกมึงและไอ้สันดานชั่วมาเลเซียหรอก ทุกวันนี้พวกมึงฆ่าคนไทยเป็นรายวัน แต่สักวันนึงพวกมึงก็ต้องถูกฆ่าเช่นกันแน่นอน

จำไว้ พวกมึงอย่าหลงคิดว่าพวกมึงเก่ง เพราะพวกมึงมันแค่หมาลอบกัดหน้าตัวเมียเท่านั้น

หากคนไทยคิดใช้ตาต่อตาฟันต่อฟันจริง ๆ เช่น พวกมึงฆ่าทหารไทย กองกำลังใต้ดินของคนไทยก็ไปฆ่าทหารมาเลเซียบ้าง พวกมึงเผาโรงเรียนไทย ก็มีกองกำลังใต้ดินของคนไทยไปเผาโรงเรียนในมาเลเซียบ้าง

ถ้าถึงขึ้นนั้นพวกมึงจะรู้สึกว่า ที่ผ่านมาพวกมึงน่ะมันชั่วเพียงใด

แต่ที่วันนี้คนไทยยังไม่อยากทำ เพราะคนไทยไม่สารเลวเหมือนพวกมึงที่ทั้งโง่ ทั้งเลว ทั้งหน้าตัวเมีย ขอบอก 555555

หากรัฐปัตตานีไปเป็นส่วนหนึ่งของมาเลเซีย สงครามเต็มรูปแบบไทยกับมาเลเซียจอมหน้าด้าน ต้องเกิดขึ้นแน่นอน กูฝากทิ้งไว่นะไอ้โจรหน้าตัวเมีย 3 จังหวัดใต้ทั้งหลาย

อ้อ!! ไอ้มาเลเซีย ไอ้ประเทศเนรคุณ นายกรัฐมนตรีคนแรกของมาเลเซีย แม่มันก็คนไทย ตัวมันก็เคยมาเรียนหนังสือที่โรงเรียนวัดเทพศิรินทร์ ฯ

ส่วนประเทศไทยก็เคยช่วยปราบโจรจีนคอมมิวนิสต์มลายู ให้ประเทศพวกมึงได้อยู่อย่างสงบ แต่ไอ้มาเลเซียมึงกลับเนรคุณประเทศไทย สัส !!



คลิกอ่านเหตุผลตอแหลของโจรแบ่งแยกดินแดงใต้



วันเสาร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

สันดานมาเลเซียกับแผนแบ่งแยกดินแดน





ตัวการใหญ่ปัญหาความรุนแรงภาคใต้ ตอน 5 สันดานมาเลเซียกับแผนแบ่งแยกดินแดน


นายนาจิบ ราซัค นายกรัฐมนตรีมาเลเซียได้ปาฐกถาในงามสัมมนา "อิสลามและศักราชใหม่ของชาติอาเซียน" ซึ่งประเด็นสำคัญที่นายนาจิบ พูดถึงคือ

1. ชาวมุสลิมส่วนน้อยในฟิลิปปินส์ พม่า และไทยต้องลืมความคิดแยกดินแดนตั้งเป็นรัฐอิสระอย่างสิ้นเชิง (อ๋อเหรอ)

2. ไทยควรเปิดโอกาสให้ชาวมุสลิมใน 3 จังหวัดใต้ ได้อยู่ในเขตปกครองพิเศษภายใต้รัฐธรรมนูญของไทย

ผู้นำมาเลเซีย บอกให้ไทยให้ปัตตานีเป็นเขตปกครองพิเศษ !!

เริ่มเผยความต้องการที่แท้จริงแล้วล่ะสิ รัฐบาลมาเลเซีย

แล้วรู้ไหมที่พูดน่ะ คือการแทรกแซงกิจการภายในไทย ที่มิตรประเทศที่อ้างว่าเป็นคนกลางไม่พึงกระทำ โดยผู้นำมาเลเซียได้กล่าวว่า

"กลุ่มชาวมุสลิมในประเทศอย่างฟิลิปปินส์ ไทย และพม่า ต้องเข้าใจว่าพวกเขาอยู่ภายใต้รัฐบาลแห่งชาติปัจจุบันของแต่ละประเทศ พวกเขาต้องลืมความคิดที่จะเป็นรัฐมุสลิมอิสระ เพราะมันไม่ตั้งอยู่บนความเป็นจริง แต่ควรเป็นเขตปกครองตนเองที่มีความหมาย ไม่ใช่รัฐอิสระ ชนกลุ่มน้อยมุสลิมควรได้รับการรับรองเป็นเขตปกครองตนเอง 

และรัฐต้องให้ความปกป้องในด้านศาสนา ภาษา และอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม และมุสลิมก็ต้องเข้าใจในความรับผิดชอบที่ตัวเองมีต่อผู้อื่นที่ไม่ใช่มุสลิมด้วย การร่วมมือกันอย่างสงบสันติก็จะเกิดขึ้น ทั้งนี้ที่ผ่านมามาเลเซียได้รับเกียรติเป็นตัวกลางในการลงนามสันติภาพระหว่างรัฐบาลฟิลิปปินส์และแนวร่วมมุสลิมโมโรมาแล้ว และขณะนี้กำลังช่วยเหลือรัฐบาลไทย โดยทำหน้าที่เป็นเพียงแค่คนกลางในกระบวนการสร้างสันติภาพ แต่ไม่ได้เข้าไปแทรกแซงการทำงานภายในของรัฐบาล” นายราจิบ ราซัค กล่าว


ซึ่งจากบทความทั้ง 4 บทความของผมที่ผ่านมาเกี่ยวกับปัญหาชายแดนภาคใต้ 3 จังหวัด คือบทความ




ตอน 1. ตัวการใหญ่ปัญหาความรุนแรง 3 จังหวัดใต้


ตอน 2. แผนชั่วของมาเลเซียใน 3 จังหวัดใต้ไทย


ตอน 3. ทำไมปัญหา 3 จังหวัดใต้ ยิ่งเจรจายิ่งรุนแรง


ตอน 4. ปัญหาโจรใต้ มาเลเซีย คนกลาง หรือ ตัวการ


ผมขอสรุป แผนการแบ่งแยกดินแดนอย่างย่อ ๆ จากทั้ง 4 บทความที่ผ่านมาว่า

1. สร้างความรุนแรงในพื้นที่ ฆ่าไม่เลือกหน้า เพื่อกดดันคนในพื้นที่รู้สึกเบื่อหน่ายและหวาดกลัว จนคนในพื้นที่เกิดความรู้สึกว่า ไม่อยากให้เกิดความรุนแรงอีกแล้ว จะเป็นคนชาติไหนก็ได้ จะไทยก็ได้ จะมาเลเซียก็ได้ ขอเพียงยุติความรุนแรงให้หมดสิ้น

2. หลังจากนั้นจะมีการเสนอให้ไทยตั้งเขตปกครองพิเศษปัตตานี เพื่อลดความรุนแรงในพื้นที่ แต่จะยังไม่หมดไปโดยสิ้นเชิงเพราะนั่นยังไม่ใช่เป้าหมายสูงสุดของกลุ่มก่อการร้าย

ต่อมา

3. เมื่อพวกมันได้เป็นเขตปกครองพิเศษปัตตานีแล้ว (รวมยะลา นราธิวาสด้วย และอีก 5 อำเภอในสงขลา) ก็จะเรียกร้องให้สหประชาชาติ หรืออาจเป็นองค์กรอิสลามระดับโลก เข้ามาแทรกแซง เพื่อขอให้ช่วยสนับสนุนเขตปกครองพิเศษได้มีโอกาสจัดทำประชามติของคนในพื้นที่เพื่อแยกตัวออกจากรัฐไทย

ต่อมา

4. เมื่อชาวปัตตานี ยะลา และนราธิวาส มีประชามติแยกตัวออกจากไทยได้สำเร็จ ก็จะขอไปรวมเป็นประเทศเดียวกับมาเลเซีย จะขอเป็นรัฐหนึ่งในมาเลเซีย


ต่อมา

เมื่อปัตตานีเป็นส่วนหนึ่งของมาเลเซียแล้ว เส้นแบ่งเขตแดนก็จะต้องเปลี่ยน ผลประโยชน์จากทรัพยากรบนบกและในทะเล ก็จะเปลี่ยนไปด้วย

และพรรคพวกคนไทยที่เซ็นตั้งเขตปกครองปัตตานีในตอนแรก ก็จะไปรับผลประโยชน์ร่วมกับมาเลเซียต่อไป /@akecity


------------------------


รัฐไทยอย่าลงคิดว่า เขาแค่ต้องการแค่เขตปกครองพิเศษ

เป้าหมายสูงสุดของกลุ่มก่อการร้ายใน 3 จังหวัดใต้ทุกกลุ่ม คิดหรือว่า เขาแต่ต้องการแค่เขตปกครองพิเศษปัตตานีเท่านั้น

การฆ่าอย่างโหดเหี้ยมตลอดช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา ถ้าแค่ต้องการเขตปกครองพิเศษเท่านั้น ก็โง่แล้วครับ

เพราะสิ่งที่โจรแบ่งแยกดินแดนต้องการสูงสุดคือ แยกตัวออกจากรัฐไทยโดยสิ้นเชิง และเขาคงปกครองตนเองไม่ได้ราบรื่นแน่ ๆ หากไม่มีมาเลเซียคอยหนุนหลัง

ดังนั้น เป้าหมายที่ทำให้พวกนี้แยกจากรัฐไทยได้อย่างเด็ดขาดและปลอดภัยที่สุด คือ แยกดินแดนไปเป็นส่วนหนึ่งของประเทศมาเลเซีย

การที่นายนาจิบ ราซัค นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เคยกล่าวว่า มาเลเซียไม่สนับสนุนการแบ่งแยกดินแดนออกจากรัฐไทย มันก็แค่ปาหี่ของนายกรัฐมนตรีมาเลเซียเท่านั้น

เพราะในปาฐกถาของนายราจิบ ในวันนั้น ก็ได้กล่าวว่า มาเลเซียจะไม่ให้ที่อยู่ที่หลบซ่อนกับขบวนการก่อการร้ายในประเทศไทย

ขำไหมครับ ที่นายราจิบพูด ?

เพราะสิ่งที่นายราจิบ พูดนั้น เห็นได้ชัดว่า เป็นคำโกหกคำโตอย่างหน้าด้าน ๆ เพราะแม้แต่ผู้นำกลุ่ม BRN นายฮัสซัน ตอยิบ ก็ยังอาศัยในมาเลเซียอย่างสุขสบายกว่า 30ปีมาแล้ว

ก่อนช่วงเข้าเดือนรอมฎอน นายฮัสซัน ตอยิบ ก็ได้ออกมายอมรับเองว่า ถ้าไทยยอมรับข้อเสนอของ BRN ทางกลุ่มจะลดการก่อการร้ายในพื้นที่ลงในช่วงเดือนถือศีลอด

นั่นแสดงว่า พวกมันยอมรับอย่างเต็มตัวว่า คือกลุ่มก่อการร้ายในประเทศไทย

แล้วทำไมวันนี้ มาเลเซียถึงไม่ส่งผู้นำกลุ่มก่อการร้าย BRN มาให้ไทยดำเนินคดีล่ะ ?



ดาโต๊ะ สรี อาห์มัด ซัมซามิน ฮาซิม

แถมล่าสุด 12 ก.ค. 2556 ดาโต๊ะ สรี อาห์มัด ซัมซามิน ฮาซิม อดีตผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติมาเลเซีย ในฐานะผู้อำนวยความสะดวกในกระบวนการพูดคุยสันติภาพชายแดนใต้ระหว่างตัวแทนรัฐบาลไทยกับตัวแทนกลุ่มผู้เห็นต่างจากรัฐ นำโดยขบวนการบีอาร์เอ็น ได้เปิดแถลงข่าวแทนกลุ่ม BRN เอง ในเรื่องการลดความรุนแรงในช่วงเดือนรอมฎอน

อีกทั้ง นายซัมซามิน ได้พูดมาตรการลดความรุนแรงในช่วงเดือนรอมฎอน โดยพ่วงเอาหลายอำเภอในจังหวัดสงขลาไปอยู่ในพื้นที่ลดความรุนแรงด้วย ประกอบด้วย

1. อำเภอสะเดา 
2. อำเภอจะนะ  
3. อำเภอ เทพา 
4. อำเภอสะบ้าย้อย 
5. อำเภอ นาทวี

ซึ่งทั้งหมดเป็น 5 อำเภอในจังหวัดสงขลา จึงทำให้ชาวสงขลา ต่างตกใจมากที่นำอำเภอของพวกเขาไปรวมอยู่ในพื้นที่ก่อการร้าย นั่นแสดงว่า นายซัมซามิน อดีดข้าราชการมาเลเซียคนนี้ซึงเป็นตัวแทนมาเลเซีย กำลังบอกว่า มันต้องการมากกว่าพื้นที่ 3 จังหวัดใต้ แต่มันต้องการอีก 5 อำเภอในสงขลาอีกด้วย

ฉะนั้น ห้วหน้าใหญ่โจรก่อการร้ายตัวจริง ก็คือ รัฐบาลมาเลเซียนั้นเอง

-------------

สรุปง่าย ๆ ว่า มาเลเซียคือตัวการสำคัญในการก่อการร้าย 3 จังหวัดใต้ของไทย และบางอำเภอในสงขลา ขนาดให้ที่อยู่ผู้นำการก่อการร้ายทุกกลุ่มอาศัยอย่างสุขสบาย แถมยังให้ข้าราชการระดับสูงของมาเลเซียเอง ออกมาแถลงการณ์แทนกลุ่ม BRN อีกด้วย

ปัญหาความรุนแรงในภาคใต้ไม่มีทางจบหรอกครับ เชื่อผม ?

ถ้าตราบใด มาเลเซียยังไม่ได้ 3 จังหวัดใต้ของไทยไปยึดครอง!!


คลิกอ่าน ตรรกะโง่ชั่วของโจรแบ่งแยกดินแดนใต้





วันพฤหัสบดีที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ผมไม่เชื่อเรื่องข้าวไทยไร้สารพิษ ที่ฟ้าหญิงเล็กตรัส




สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เสด็จเยือนสวีเดน และทรงตรัสเรื่องข้าวไทยว่า ข้าวไทยไม่มีสารพิษนั้น



ผมเชื่อพระองค์ว่า ทรงเคยวิจัยทดสอบข้าวไทยแน่นอน และผมเชื่อว่าผลการวิจัยเป็นเช่นนั้นจริง

เพียงแต่ที่พระองค์ทรงตรัส ไม่ได้ระบุลงไปในรายละเอียดว่า ข้าวที่นำมาวิจัยเป็นข้าวที่ไหน และทำการวิจัยเมื่อไหร่

ซึ่งหากเป็นข้าวที่เกษตรกรดำเนินวิถีพอเพียงตามแนวทางพระราชดำริ ผมก็มั่นใจว่า ไม่มีสารพิษตกค้างแน่นอน

และสิ่งที่ฟ้าหญิงตรัส ทรงหมายถึง สารหนูในธรรมชาติ เช่นในลำน้ำโขง

แต่ผมไม่เชื่อถือ ข้าวในโครงการจำนำข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ครับ ซึ่งไม่ใช่เรื่องสารหนูในธรรมชาติ เหมือนที่ฟ้าหญิงตรัส

แต่ผมสงสัยคาใจการรมสารเคมีเพื่อไล่หนู มอด และแมลง ในโกดังข้าวต่างหากครับ

และผมเชื่อว่า พระองค์ก็ทรงงยังไม่ได้ทดสอบวิจัยผลผลิตข้าวที่เข้าได้โครงการรับจำนำข้าว หรือทรงยังไม่ได้ทดสอบวิจัยข้าวที่ยังค้างในโกดังโครงการจำนำข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์แน่นอน

เพราะระยะหลัง ๆ เวลาผมซื้อข้าวถุง เวลาเปิดถุงครั้งแรก กลิ่นก็แปลกไปจากเดิม

ประเทศไทยมีการนำเข้าสารเคมีเพื่อการเกษตรมากที่สุดในโลก (ค่าโดยเฉลี่ยปริมาณสารเคมีต่อจำนวนไร่) โดยเฉพาะสารเคมีในนาข้าวมากขึ้นอย่างผิดปกติในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา

แม้อาจมีสถาบันอื่น ๆ ที่ทดสอบต่างยืนยันว่าข้าวไทยไม่สารเคมีตกค้าง แต่นั่นมันคือ ผลทดสอบที่ไม่ลึกซึ้ง

เพราะข้าวออแกนิค ที่ต่างประเทศต้องการรับซื้อ เขาต้องไม่ให้ใช้สารเคมีในนาข้าวเป็นเวลาอย่างน้อย 3 ปี ทำไมถึงต้องเป็นเช่นนั้น ?

เพราะผมว่า การที่สารเคมีมันจะฝังลึกลงในข้าว มันคงยากที่การทดสอบทั่วไปจะพบได้ เรียกว่า มันฝังลึกลงในระดับโมเลกุลและ DNA ในข้าวไปแล้ว

หรือเหมือนกับ คนที่ติดเอดส์วันแรก ย่อมไม่มีทางตรวจเจอ แต่ไม่ได้หมายความว่า เขาจะไม่เป็นเอดส์

เช่นเดียวกัน อาจตรวจไม่เจอสารเคมีตกค้างในข้าว แต่ในระดับที่ลึกละเอียดกว่านั้น ผมว่ามีแน่ ด้วยเหตุนี้คนจึงเป็นมะเร็ง และโรคต่าง ๆ มากขึ้น

ที่สำคัญ ฟ้าหญิงทรงตรัสถึงข้าวไทยที่ส่งออกไปแล้ว ซึ่งมาตรฐานข้าวไทยที่ส่งออก กับข้าวไทยที่ขายในประเทศไทย มีมาตรฐานไม่เท่ากัน

สาเหตุเพราะ ค่ามาตรฐานสารตกค้างในข้าว ในต่างประเทศจะกำหนดค่าที่ต่ำกว่าของไทย (คุณภาพชีวิตชาวต่างชาติสูง)

ส่วนมาตรฐานข้าวไทยให้ค่าสารตกค้างในข้าวสูงกว่าในหลายประเทศ (คุณภาพชีวิตคนไทยต่ำกว่า)

เช่น ไต้หวันให้ค่าสารตกค้างไม่เกิน 1  ส่วนไทยให้ค่าสารตกค้างไม่เกิน 50

แปลความง่าย ๆ ว่า ฟ้าหญิงทรงตรัสเรื่องข้าวส่งออกไปแล้ว ส่วนที่ผมไม่เชื่อถือ คือข้าวที่ขายในประเทศ 

แม้ผมจะโปรเจ้า แต่ผมก็ไม่เชื่อทุกเรื่องที่พระองค์ทรงตรัส (หากทรงหมายถึงข้าวไทยในโครงการจำนำรัฐบาลยิ่งลักษณ์ แต่พระองค์ก็ทรงไม่ได้ระบุ)

ขอพระราชทานอภัย ที่ผมไม่เชื่อเรื่องข้าวไทยไร้สารพิษที่ฟ้าหญิงตรัสครับ


คลิกอ่าน เรื่องเล่าในอดีตเกี่ยวข้าวแอมเวย์กับสารพิษ ของผมในเฟซบุ้ค


ใหม่เมืองเอก.


โปรดคลิกอ่าน ฟ้าหญิงเล็กเจตนาดีเรื่องข้าวไทยตือคนไทยในต่างประเทศ


-------------------

เพิ่มเติม

ใครคิดยังไงไม่รู้ แต่ผมคิดว่า การที่นำสารเคมีอบข้าวเพื่อไล่มอด หนู แมลงต่าง ๆ แม้จะปล่อยให้สารเคมีสลายตัวไปแล้วก็ตาม

ผมก็ยังเชื่อว่า มันไม่ใช่ข้าวที่ไร้สารแล้วล่ะ ต่อให้ตรวจสอบไม่เจอสารเคมีตกค้างก็ตาม

แต่ผมก็กินข้าวพวกนี้นะ เพราะมันเลือกไม่ได้นี่ แต่ถ้ารมสารเคมีกันหนัก ๆ ผมว่า มันต้องมีการเปลี่ยนสภาพข้าวไปบ้างแหละ แม้เทคโนโลยีในปัจจุบันนี้จะยังตรวจหาสารตกค้างไม่เจอก็ตาม

มันก็คล้ายเรื่อง GMO นั่นแหละ ตอนนี้อาจไม่มีการพิสูจน์แน่ชัดว่ามันอันตรายจริงหรือไม่

แต่อะไรที่มันฝืนธรรมชาติมาก ๆ ผมว่า มันต้องไม่น่าไว้ใจอยู่ดี


คลิกอ่าน ข้าวรมควันพิษเป็นอย่างไร

วันพฤหัสบดีที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2556

พระแก้วมรกต ของไทย หรือของลาว ?






จริง ๆ แล้วถ้าดูตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ชัดเจน พระแก้วมรกตถูกค้นพบครั้งแรกในจังหวัดเชียงราย ที่วัดพระแก้ว ตามรูปข้างล่าง


วัดพระแก้วเชียงราย


แต่ถ้าจะอ้างตำนานซึ่งไม่อาจอ้างอิงเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ได้ ก็พบว่า พระแก้วมรกตได้ปรากฏในหลายประเทศ อาทิ ลังกาทวีป กัมโพชะศรีอโยธยา โยนะวิสัย ปะมะหละวิสัย และ สุวรรณภูมิ

แต่ตามหลักการที่ถูกต้อง ตำนานในแต่ละท้องถิ่นย่อมไม่อาจใช้ยืนยันเป็นหลักฐานที่ถูกต้องได้ เพราะแต่ละท้องถิ่นก็มักอ้างว่า ตนเป็นเจ้าของที่แท้จริงพระแก้วมรกตทั้งนั้น

ตำนานประวัติพระแก้วมรกตแบบย่อ ที่นักประวัติศาตร์เชื่อว่ามีการแต่งเติมขึ้นมา

ตำนานประวัติพระแก้วมรกตได้ถูกจารึกไว้บนแผ่นทองเหลืองภายในวัดพระแก้ว เชียงราย ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษดังนี้ (เฉพาะภาษาไทย)

"ตำนานรัตนพิมพ์วงศ์ กล่าวไว้ว่า เมื่อประมาณ พ.ศ. 300 เทวดาได้สร้างพระแก้วมรกต ถวายพระนาคเสนเถระที่เมืองปาฎลีบุตร (ปัจจุบันเรียก ปัตนะ) ประเทศอินเดีย ต่อมาได้อัญเชิญไปไว้ที่เมืองลังกา (หรือประเทศศรีลังกาในปัจจุบัน)


ในสมัยพระเจ้าอโนรธามังฉ่อ (พระเจ้าอนุรุทธะ) แห่งเมืองพุกาม ได้ส่งพระสมณทูตไปขอจากเจ้าเมืองลังกา ซึ่งถูกพวกทมิฬรุกราน จึงมอบพระแก้วมรกต และพระไตรปิฎกให้ แต่สำเภาที่บรรทุกพัดหลงไปเกยอยู่ที่อ่าวเมืองกัมพูชา พระแก้วมรกตจึงตกเป็นของกัมพูชา และต่อมาได้ถูกนำไปไว้ ที่เมืองอินทาปัฐ(นครวัด) ต่อมาก็ไปประดิษฐานที่กรุงศรีอยุธยา และที่เมืองกำแพงเพชร ตามลำดับ


วัดพระแก้ว จ.กำแพงเพชร


เมื่อประมาณพ.ศ. 1933 พระเจ้ามหาพรหม เจ้าเมืองเชียงราย ได้ไปอัญเชิญพระแก้วมรกตมาจากเมืองกำแพงเพชร และนำพระแก้วมรกตมาซ่อนไว้ที่เจดีย์วัดป่าเยียะ เมืองเชียงราย (วัดพระแก้ว เชียงรายในปัจจุบัน) ด้วยการนำปูนปิดทับองค์พระแก้วมรกตไว้


กระทั่ง พ.ศ. 1977 อสนึบาต (ฟ้าผ่า)เจดีย์ จึงได้ค้นพบพระแก้วมรกตที่ถูกปูนปิดทับไว้ปูนได้เริ่มกระเทาะออก จึงพบว่าเป็นพระแก้วมรกตองค์เขียว ซึ่งต่อมาได้ถูกอัญเชิญไปไว้เมืองต่างๆ ดังนี้

เมืองเชียงราย พ.ศ. 1934-1979
เมืองลำปาง พ.ศ. 1979-2011
เมืองเชียงใหม่ พ.ศ. 2011-2096
เมืองลาว พ.ศ. 2096-2321
กรุงรัตนโกสินทร์ พ.ศ. 2321-ปัจจุบัน"


เดิมพระแก้วมรกตเป็นของเมืองไหนกันแน่

ผมแนะนำให้อ่านเรื่องประวัติพระแก้วอย่างพอสังเขป ได้ที่ วิกิพีเดีย

ถ้าอ่านจากตำนานพระแก้วมรกตอย่างย่อ ที่ผมแปะลิงค์ให้อ่านด้านบนนั้น เราก็จะเห็นว่า

พระแก้วมรกตถือกำเนิดที่อินเดีย ย้ายไปลังกา ต่อมาไปขึ้นฝั่งกัมพูชา ประดิษฐานที่นครวัด แล้วนครวัดเกิดอุทกภัยใหญ่ จนมีพระเถระอัญเชิญพระแก้วมรกตจากกัมพูชา มายังอาณาจักรละโว้หรือเมืองลพบุรี เมืองหลวงเก่าก่อนที่พระเจ้าอู่ทองจะย้ายราชธานีมาที่กรุงศรีอยุธยา แล้วพระแก้วมรกตก็ประดิษฐานอยู่กรุงศรีอยุธยาอยู่นาน แต่ไม่ได้เป็นพระพุทธรูปที่สำคัญนัก

จนเมื่อมีพระญาติสนิทของกษัตริย์อยุธยา ทูลขอพระแก้วมรกตไปประดิษฐานที่กำแพงเพชร โดยประดิษฐานที่วัดพระแก้วกำแพงเพชร (ปัจจุบันอยู่ในอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร)

ต่อมาพระเจ้ามหาพรหม เจ้าเมืองแห่งเชียงรายที่ลี้ภัยสงครามกับเมืองเชียงใหม่ได้หนีไปอยู่กำแพงเพชร ได้ทูลขอพระแก้วมรกตจากพระเจ้ากำแพงเพชรมาประดิษฐานที่วัดพระแก้ว เชียงราย


จากที่ยกประวัติคร่าว ๆ มาให้อ่าน ก็จะเห็นว่า พระแก้วมรกตเดินทางไปทั่ว ถ้าเฉพาะในแผ่นดินไทย ก็เคยประดิษฐานที่ลพบุรี อยุธยา กำแพงเพชร เชียงราย ลำปาง เชียงใหม่ แนะนำดูแผนที่เส้นทางเดินทางของพระแก้วมรกตด้านล่างบทความ

ถ้าตามตำนานเป็นเรื่องจริง พระแก้วมรกตก็อยู่ในแผ่นดินไทยมานมนานกว่าชาติใด ๆ ในแถบนี้ทั้งสิ้น

แต่ถ้าจะเอาตามประวัติศาสตร์ที่ชัดเจนจริง ๆ ไม่อิงตำนานก็คือ พระแก้วมรกตเคยประดิษฐานที่วัดพระแก้ว เชียงราย อยู่นานหลายปีเป็นที่ชัดเจน !!


ซึ่งจังหวัดเชียงใหม่ และ จังหวัดเชียงราย ก็คืออาณาจักรล้านนาในอดีต ซึ่งปัจจุบันเราถือว่า ทั้งสองจังหวัดได้เป็นส่วนหนึ่งของประเทศไทยแล้ว

ฉะนั้น พระแก้วมรกต เราก็ต้องถือว่า เป็นพระพุทธรูปของไทยครับ

(แต่ถ้าปัจจุบันเชียงใหม่ เชียงรายเป็นส่วนหนึ่งของประเทศลาว ก็ต้องนับว่าเป็นพระของลาว ทั้งหมดนั้นก็ขึ้นอยู่กับเขตแดนประเทศในปัจจุบัน)


ส่วนถ้าใครจะบอกว่า ไทยไปชิงพระแก้วมรกตมาจากลาว ก็ต้องบอกว่า อาณาจักรธนบุรีได้ไปชิงคืนมาจากอาณาจักรล้านช้างหรือลาว เพราะพระแก้วมรกตกำเนิดดั้งเดิมเป็นของอาณาจักรล้านนามาก่อนครับ

หรือจะพูดอีกแบบก็คือ ไทยเรานำพระแก้วมรกตกลับมาสู่ฝั่งอีกแม่น้ำโขง เพราะประเทศลาวปัจจุบันอยู่คนละฝั่งโขง ซึ่งไม่ใช่ถิ่นฐานเดิมของพระแก้วมรกต

การพูดว่า ไทยไปแย่งพระแก้วมาจากลาว จึงถูกแค่ครึ่งเดียว เพราะแท้จริงแล้ว พระแก้วมรกตแต่เดิมไม่ใช่ของลาว แต่เดิมเป็นพระพุทธรูปของเมืองเชียงราย ซึ่งปัจจุบันเชียงรายก็ได้เป็นส่วนหนึ่งของประเทศไทยแล้ว

เมื่อสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก (ร.1) ไปตีเวียงจันทร์จนชนะ จึงได้อัญเชิญพระแก้วมรกต พระแก้วขาว และพระบาง กลับมาถวายให้พระเจ้าตากสิน


พระแก้วขาว วัดเชียงมั่น จ.เชียงใหม่


ส่วนสาเหตุที่ พระเจ้าตากสินทรงให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกไปทำศึกที่เวียงจันทร์นั้น คลิกอ่านที่นี่

ซึ่งต่อมาเมื่อสมเด็จพระยามหากษัตริย์ศึก ได้ทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ และทรงครองราชย์เป็นรัชกาลที่ 1 ก็ได้ทรงคืนพระบางคืนแก่อาณาจักรล้านช้างกลับไป เพราะถือว่า "พระบาง" เดิมเป็นของอาณาจักรล้านช้าง หรือประเทศลาวในปัจจุบัน

แต่ที่ไม่ทรงคืนพระแก้วมรกต เพราะทรงถือว่าพระแก้วมรกตเดิมเป็นของอาณาจักรล้านนา ซึ่งอาณาจักรล้านนาถือเป็นเมืองขึ้นของกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งพระองค์ไปรบชนะจึงอัญเชิญพระแก้วมรกตกลับมา

ส่วนพระบาง ก็คือต้นกำเนิดชื่อเมือง หลวงพระบาง

จริงๆ ถ้าไทยไม่คืนพระบางก็ทำได้ แต่เราก็ไม่ทำเพราะพระบางไม่ใช่ของไทยแต่ดั้งเดิม ประเด็นนี้คนลาวควรขอบคุณเราด้วยซ้ำ

----------------------

ทำไมลาวยังอ้างพระแก้วมรกตเป็นของลาว

สาเหตุเพราะ ตอนที่พระแก้วมรกตได้ถูกอัญเชิญไปอยู่ที่ลาวนั้น เริ่มจากที่เมื่อพระเจ้าไชยเชษฐา แห่งล้านช้างซึ่งเป็นญาติกับราชวงศ์ล้านนา ได้เคยถูกเชิญมาครองเมืองเชียงใหม่

จนเมื่อพระเจ้าไชยเชษฐาเสด็จกลับหลวงพระบาง ก็เชิญพระแก้วมรกตไปด้วยพร้อมกับพระพุทธสิหิงค์


พระไชยเชษฐาธิราช แห่งอาณาจักรล้านช้าง


ต่อมาทางเชียงใหม่ได้ขอพระพุทธรูปทั้งสององค์คืนจากอาณาจักรล้านช้าง 

แต่ทางอาณาจักรล้านช้างก็ได้คืนแต่พระพุทธสิหิงค์ กลับมาให้เมืองเชียงใหม่เท่านั้น แต่ยังยึดพระแก้วมรกตไว้ไม่ยอมคืน

ซึ่งเมื่ออาณาจักรล้านช้างได้ย้ายเมืองหลวงจากเมืองเชียงคำ (จ.พะเยา) มาอยู่ที่เมืองเวียงจันทน์ ก็ได้อัญเชิญพระแก้วมรกตลงมาที่เวียงจันทร์ด้วย

-----------------

ความเดิมก่อนหน้าที่อาณาจักรล้านช้าง จะได้พระแก้วมรกต

ใน พ.ศ. 2088 อาณาจักรล้านนาได้มีกษัตริย์หญิง ชื่อ พระนางจิรประภามหาเทวี ซึ่งเดิมเป็นพระอัครมเหสีในพระเมืองเกษเกล้า พระมหากษัตริย์ลำดับที่ 12 แห่งอาณาจักรล้านนา พระนางทรงสืบราชสมบัติต่อจากพระราชสวามี

ซึ่งในรัชกาลของพระนางจิรประภามหาเทีวี หัวเมืองฝ่ายเหนือเกิดการระส่ำระสายเนื่องจากบ้านเมืองเกิดการแย่งอำนาจระหว่างขุนนางกับเจ้านาย บ้านเมืองอ่อนแอมีศึกสงครามขนาบทั้งทิศเหนือและใต้ ทั้งกองทัพพม่า และอยุธยา ซึ่งตรงกับรัชสมัย สมเด็จพระไชยราชาธิราชแห่งกรุงศรีอยุธยาที่ยกทัพมาถึงเชียงใหม่

พระนางจิรประภามหาเทวี ทรงปกครองบ้านเมืองเพียงแค่เพียงปีเศษ ก็ได้สละราชบัลลังก์แก่ สมเด็จพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช พระราชนัดดา (หลานยาย) ซึ่งเป็นพระราชโอรสของกษัตริย์โพธิสารราชแห่งอาณาจักรล้านช้าง

เมื่ออาณาจักรล้านนาได้ไปอัญเชิญเจ้าไชยเชษโฐหรือ เชษฐวังโส พระโอรสของพระเจ้าโพธิสาร ไปครองนครล้านนา เมื่อปีพ.ศ. 2089 แล้ว

ต่อมาพระเจ้าโพธิสาร กษัตริย์ล้านช้างได้เสด็จสวรรคต พ.ศ. 2090  พระโอรสทั้งหลายต่างแย่งชิงราชสมบัติกัน จนอาณาจักรล้านช้างได้แตกเป็น 2 ฝ่าย คือ อาณาจักรฝ่ายเหนือ และฝ่ายใต้

พระเจ้าไชยเชษโฐแห่งล้านนาจึงยกทัพจากล้านนา กลับมาตีกรุงล้านช้าง และได้อัญเชิญพระแก้วมรกตที่ประดิษฐานอยู่ที่วัดบุปผาราม เชียงใหม่ รวมทั้งพระพุทธสิหิงค์ (พระสิงค์) และพระแก้วขาว (พระเสตังคมณี) ไปด้วย

เมื่อเสด็จถึงล้านช้าง ทรงยึดราชสมบัติจากเจ้าครองนครทั้งสองได้  พระไชยเชษฐาจึงทรงครองนครทั้งสองเองซึ่งเรียกว่า กรุงศรีสัตนาคนหุต พระองค์จึงขึ้นครองราชสมบัติ นับเป็นมหาราชองค์ที่ 2 ของลาว ที่ทรงพระปรีชาสามารถ ทรงพระนามว่า "พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช"

ซึ่งต่อมาพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชได้ทรงย้ายเมืองหลวงจากเมืองเชียงคำ (อำเภอเชียงคำ จ.พะเยา) กลับไปอยู่ที่เวียงจันทน์ ได้อัญเชิญพระแก้วมรกต และพระแซกคำ (พระพุทธสิหิงค์ หรือพระสิงค์) มาประดิษฐานไว้ที่เวียงจันทน์ เรียกว่า เวียงจันทน์ล้านช้าง

ส่วนพระบางประดิษฐานไว้ที่เมืองเชียงทอง จึงได้ชื่อว่าหลวงพระบางมาจนถึงบัดนี้

ซึ่งบางครั้งก็เรียกชื่อว่า ล้านช้างหลวงพระบาง และได้สร้างวัดเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตขึ้นเป็นพิเศษ พระองค์ได้ทรงสร้างพระธาตุหลวง ซึ่งถือเป็นสถาปัตยกรรมชิ้นยอดเยี่ยมของลาวเมื่อ พ.ศ. 2109

------------------------

สาเหตุที่คนลาวยังยึดว่า พระแก้วมรกตเป็นของลาว เพราะตอนที่พระแก้วมรกตถูกนำไปฝั่งลาวโดยพระไชยเชษฐาได้นำไปโดยสันติ ไม่ได้แย่งชิงไป

คนลาวจึงถือว่า พระแก้วมรกตได้มาเป็นของคนลาวแล้ว เพราะอาณาจักรล้านนา และอาณาจักรล้านช้าง ได้เคยรวมกันเป็นอาณาจักรเดียวกัน โดยใช้ชื่อใหม่ในตอนนั้นว่า กรุงศรีสัตนาคนหุต

คนลาวจึงถือว่า เป็นความชอบธรรมที่พระแก้วมรกตได้เป็นของคนลาวไปแล้ว แต่ภายหลังเจ้าเมืองเชียงใหม่ได้เคยขอพระแก้วมรกตคืน แต่ทางลาวไม่ยอมคืนให้

ส่วนตอนที่พระแก้วมรกตกลับมาอยู่ที่ไทย คนลาวถือว่า เพราะพระแก้วมรกตได้ถูกแย่งชิงจากอาณาจักรธนบุรี เพราะเวียงจันทร์แพ้สงครามแก่สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก (รัชกาลที่ ๑)

คนลาวจึงไม่ยอมรับว่า พระแก้วมรกตเป็นของไทยมาจนบัดนี้ เพราะถือว่าถูกแย่งชิงไป

------------

สรุปอย่างง่าย

ผมขอสรุปคร่าว ๆ ว่า พระแก้วมรกตกำเนิดเกิดขึ้นบนแผ่นดินไทยในอาณาจักรล้านนา ในเมืองเชียงราย หรือจังหวัดเชียงราย ในปัจจุบัน

ดังนั้นบรรพบุรูษคนเชียงรายคือเจ้าของพระแก้วมรกต แต่ดั้งเดิม

แต่ต่อมาเจ้าลาวได้อัญเชิญพระแก้วมรกตไปอยู่ที่ฝั่งลาว แล้วรัชกาลที่ 1 ได้ไปรบชนะอาณาจักรเวียงจันทร์ ก็เลยอัญเชิญพระแก้วมรกตกลับมาฝั่งไทยตามเดิม

แล้วอาณาจักรล้านช้างเอง ก่อนที่จะถูกพระเจ้ากรุงธนบุรีให้เจ้าพระยามหากษัตริย์ศีกหรือรัชกาลที่1 ยกทัพไปปราบนั้น อาณาจักรล้านช้างเองก็เคยแตกแยกออกเป็น 3 อาณาจักร คือ 

อาณาจักรล้านช้างเวียงจันทร์ อาณาจักรล้านช้างหลวงพระบาง และอาณาจักรล้านช้างจำปาศักดิ์

แต่พอพระเจ้ากรุงธนบุรีให้ยกทัพไปปราบ ก็ทำให้อาณาจักรล้านช้างที่เคยแตกแยกกลับมารวมเป็นอาณาจักรเดียวกันอีก กลายเป็นอาณาจักรลาว และได้เป็นเมืองขึ้นต่อสยามประเทศมาจนถึงสมัยรัชกาลที่ 5 จนต่อมาถูกฝรั่งเศสยึดเอาไปปกครองเป็นอาณานิคม

หากไม่มีประเทศฝรั่งเศสมายึดเอาอาณาจักรลาวไปเป็นอาณานิคม ปัจจุบันอาณาจักรลาว ก็คงเป็นส่วนหนึ่งของประเทศไทยไปแล้วจริงไหมครับ 

---------------------

อาณาจักรโบราณ ไม่อาจอ้างสิทธิเป็นเจ้าของได้ในเขตประเทศปัจจุบัน

หากยังยึดถือเรื่องอาณาจักรโบราณเป็นสรณะ ไม่ปล่อยวาง โลกนี้คงวุ่นวาย

เพราะปัจจุบันได้มีการแบ่งเขตเป็นประเทศในโลกปัจจุบันแล้ว ฉะนั้นก็ต้องปล่อยวางเรื่องอาณาจักรโบราณลง เพราะไม่มีประโยชน์ที่จะกล่าวอ้างเพื่อเรียกร้องสิทธิความเป็นเจ้าของเดิมอีก

เพราะถ้ายังอ้างสิทธิของอาณาจักรโบราณอยู่ โลกนี้ก็คงมีแต่สงครามและการฆ่าฟันกัน

เช่นเผ่าอะบอริจิ้น เรียกร้องขอคืนความเป็นเจ้าของประเทศออสเตรเลีย อินเดียแดงเรียกร้องขอเป็นเจ้าของประเทศอเมริกา

และยังอีก ๆ หลายแห่งในโลก ถ้ายังจะยึดติดความเป็นเจ้าของในอาณาจักรโบราณไว้ ก็จะไม่มีสันติสุขที่แท้จริงแน่นอน

ปัจจุบันอาณาจักรล้านนาได้เป็นส่วนหนึ่งของประเทศไทยแล้ว พระแก้วมรกตจึงต้องเป็นของไทยตามหลักสากลประเทศในปัจจุบันครับ

(อย่าให้เหมือนพวกโจรใต้ ที่ยังคลั่งอ้างอาณาจักรปัตตานีโบราณบังหน้า แต่แอบแฝงการยกแผ่นดินให้มาเลเซีย)


-------------------------

ภาพเส้นทางพระแก้วมรกต และจำนวนปีที่ประดิษฐาน ทั้งตามตำนานและประวัติศาสตร์




1. ไชยา ( ปาฏลีบุตร ) พ.ศ. 1260 – 1400 รวม 140 ปี
2. นครศรีธรรมราช ( ตามพรลิงค์ ) พ.ศ.1400 – 1432 รวม 32 ปี
3. นครวัด ( เขมร ) พ.ศ. 1432 – 1545 รวม 113 ปี
4. ลพบุรี ( ละโว้ ) พ.ศ. 1545 – 1592 รวม 47 ปี
5. อโยธยา ( อู่ทอง ) พ.ศ. 1592 – 1730 รวม 138 ปี
6. กำแพงเพชร พ.ศ. 1730 – 1900 รวม 170 ปี
7. เชียงราย พ.ศ. 1900 – 2019 รวม 119 ปี
8. ลำปาง พ.ศ. 2019 – 2022 รวม 4 ปี
9. เชียงใหม่ พ.ศ. 2022 – 2095 รวม 73 ปี
10. หลวงพระบาง ( ลาว ) พ.ศ. 2095 – 2107 รวม 12 ปี
11.เวียงจันทน์ ( ลาว ) พ.ศ. 2107 – 2322 รวม 215 ปี
12. ธนบุรี พ.ศ. 2322 – 2327 รวม 5 ปี
13. กรุงเทพฯ พ.ศ. 2327 – ปัจจุบัน

เรียบเรียงโดย พล.อ.ต. วินิจ หุตะเจริญ

ส่วนรายละเอียดตำนานและประวัติศาสตร์ ได้ที่นี่ คลิก !!

(ก่อนอื่นเราต้องแยกแยะคำว่า ตำนาน กับ ข้อเท็จจริงประวัติศาสตร์ให้ถูกต้องเสียก่อนว่า แตกต่างกัน เพราะตำนานคือความเชื่อเฉพาะถิ่นเท่านั้น)

แต่สรุปได้ง่าย ๆ ว่า พระแก้วมรกตไม่ได้ถือกำเนิดเกิดบนแผ่นดินลาวแน่นอนครับ

--------------------

คลิปใครสร้างพระแก้ว




คลิกอ่าน พระพุทธรูปประจำชาติไทยคือองค์ไหน ?

คลิกอ่าน จุดกำเนิดการดูถูกผู้อื่น ด้วยคำว่า "ลาว"


วันพฤหัสบดีที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2556

อุทาหรณ์คดีฆ่าน้องยิ้ม กับความห่วยกระบวนการยุติธรรมไทย





จากคดีปล้นแล้วฆ่า น้องยิ้ม สาววัย 23 ปีพนักงานเลขานุการบริษัทชื่อดังแห่งหนึ่ง เธอถูกจี้จากลานจอดรถห้างโลตัสย่านบางกะปิ แต่เธอขัดขืนจนถูกคนร้ายฆ่าปาดคอเธออย่างโหดเหี้ยมนั้น


ชุดที่เห็นในรูป เป็นชุดที่น้องยิ้มสวมใส่ภายใน โดยมีชุดทำงานทับอีกชั้น


ผมบอกตามตรง ผมสลดใจมาก และไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมสลดใจ เพราะคดีทำนองนี้มันเกิดขึ้นซ้ำซาก ๆ ในสังคมไทยนับครั้งไม่ถ้วน

จนประเทศไทยได้ชื่อว่า เป็นประเทศที่มีคดีอาชญากรรมรุนแรงอันดับต้น ๆ ของโลก

ผมคิดแล้วผมไม่โทษใครมากไปกว่า โทษรัฐบาล และโทษกระบวนการยุติธรรมในคดีอาญา ประเภทอาชญากรรมรุนแรงของไทย ว่า ทั้งสองหน่วยงานนี้ห่วยจริง ๆ

คือห่วยทั้งรัฐบาล ตำรวจ อัยการ ไปจนถึงศาล และเรือนจำ

เพราะรัฐบาลมีหน้าที่ต้องดูแล ปกป้อง รักษาความปลอดภัยให้ประชาชนคนดีทุกคน

ในเมื่อคนไทยที่เป็นพลเมืองดี โดยเฉพาะอย่างเช่นกรณีน้องยิ้ม ทำงานมีรายได้ เสียภาษีให้รัฐ รัฐก็ต้องมีหน้าที่ดูแลความสงบสุข ความปลอดภัยให้พวกเขา

ไม่ใช่ปล่อยให้คนดีต้องมาตายฟรีแบบซ้ำซาก ๆ ทุกวี่วันแบบนี้

กว่าพ่อแม่จะฟูมฟักเลี้ยงดูมาจนโต กว่าจะเรียนจบ กว่าจะมาเป็นพลเมืองที่ดีของชาติ กลับต้องมาตายเพราะไอ้พวกสวะสังคมชั่ว ๆ พวกนี้ได้ง่าย ๆ

คนดีตายฟรี ตายไปแล้ว ก็ไม่ได้รับการเยียวยาอะไรจากภาครัฐเท่าไหร่เลย แปลง่าย ๆ คือ ตายฟรี ทั้ง ๆ ที่เป็นความผิดของภาครัฐทั้งระบบแท้ ๆ

(ภายหลังเริ่มมีการเยียวยาเหยื่ออาชญากรรม จากกองทุนเยียวยาฯ จากกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม ร่วมกับกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์แล้ว ภายใต้ พ.ร.บ.การตอบแทนผู้เสียหายและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ.2544 แต่มันก็จำนวนน้อยนิดเท่านั้น)

----------------

ส่วนพวกคนเลว พวกฆาตกร พวกมันกลับได้รับความเมตตาจากกระบวนการยุติธรรม เพราะแค่ไม่กี่ปี ไอ้พวกเศษสวะพวกนี้ก็ได้ออกจากคุกมาแล้ว

เพราะทุกวันนี้คุกมันล้น คุกมันไม่พอขังพวกชั่ว แถมพวกเจ้าหน้าที่เรือนจำทำตัวเป็นขี้ข้าไอ้พวกขี้คุกเสียด้วย

แถมรัฐบาลชั่ว ก็ยังเมตตาไอ้พวกขี้คุกคดีรุนแรงต่างๆ  ไปเมตตาให้มันว่า ต่อไปพวกขี้คุกพวกนี้จะไม่ต้องโดนตีตรวนล่ามโซ่อีก เอ้า ! เมตตาไอ้พวกชั่วมันเข้าไป

จนพวกขี้คุกมันสร้างคุกให้กลายเป็นกองบัญชาการขายยาเสพติดไปแล้ว แทบทุกคุก !!

และพอคุกไม่พอจะขังคนชั่ว นอกจากทางเรือนจำจะรับสินบนชงเรื่องให้พวกพ่อค้ายาเสพติด ได้กลายเป็นนักโทษชั้นดี ทำเรื่องของพระราชทานอภัยโทษให้นักโทษคดีหนัก ๆ คนนึงได้ไงตั้งหลาย ๆ ครั้ง ?!


คุกล้น ก็รีบ ๆ ประหารไปสิครับ จะให้พวกค้ายาล้านเม็ดอยู่เปลืองภาษีชาติทำซากอะไร !!


ความห่วยของกระบวนการชงเรื่องขอพระราชทานอภัยโทษโดยเรือนจำ เช่นจากโทษประหารชีวิต ต่อมาได้เหลือติดคุกตลอดชีวิต ต่อมาเหลือโทษ 30 ปี ต่อมาเป็นนักโทษชั้นดี เหลืออีกไม่กี่ปีออกจากคุกอีกแล้ว เพราะพวกพัสดีชงเรื่องให้ทั้งนั้น !

เป็นแบบนี้มากมายหลายคน จนพวกมือปืนรับจ้างฆ่าคนตายหลายสิบราย สุดท้ายแทบไม่มีใครโดนประหารชีวิตสักกี่ราย จนพวกค้ายาเสพติด เข้า ๆ ออก ๆ คุกเป็นว่าเล่น

ตามหลักที่ถูกต้อง คดีรุนแรง เช่นมือปืนรับจ้างฆ่าคนมาหลายสิบราย ข่มขืนฆ่า ค้ายาเสพติดนับพันนับหมื่นเม็ดขึ้นไป คดีโกงกินคอรัปชั่น คดีฆาตกรรมเลือดเย็น คดีตัดไม้ทำลายป่า ล่าสัตว์สงวน คดีแบบนี้ต้องไม่มีการอภัยโทษ

แต่ระบบยุติธรรมไทยมันห่วย สามารถขอพระราชทานอภัยโทษแม่งได้ทุกคดี แถมนักโทษคนนึงสามารถขอได้หลายครั้งอีกต่างหาก

สังคมที่คนดีอยู่ยาก คนชั่วอยู่ง่ายจริง ๆ !!

----------------------

และตอนนี้รัฐบาลชั่ว อ้างคุกไม่พอขัง กำลังจะอนุญาตให้นักโทษกลับออกมาอยู่บ้านได้โดยติดเข็มขัดอิเลคโทรนิคติดตัวไว้

โถ ๆ ขนาดอยู่ในคุก มันยังเป็นเจ้าพ่อสั่งการค้ายาได้เลย นี่ถ้าให้นักโทษไม่ว่าจะคดีไหนก็ตาม ออกจากคุกมาได้ บ้านเมืองนี้ก็จัญไรแล้วครับ

เพราะประเทศที่เขาใช้วิธีแบบนี้ได้ เขาต้องมีการบังคับกฎหมายที่เข้มแข็งอยู่แล้ว

ในขณะที่ประเทศไทยกับการบังคับใช้กฎหมายยังไม่ได้เรื่อง กลับเสร่อไปใช้วิธีการแบบที่ประเทศที่เขาเจริญแล้วในทุกด้านใช้

แบบนี้เขาเรียกว่า ยังไม่ทันได้ดี ก็เริ่มเหลวแหลกซะแล้ว

----------------

ในต่างประเทศ คดีรุนแรง แม้แต่เด็กก่ออาชญากรรมรุนแรง เขาก็ลงโทษเด็กให้มีโทษเท่าเทียมผู้ใหญ่โดน

ส่วนไทยน่ะเหรอ แม่งเมตตาเด็กเลว ๆ จนปัญหาเด็กอาชีวะยิงกันตายถึงได้ไม่มีปัญญาแก้ไขได้ไง 

เพราะมันเมตตาพวกเด็กเลว แต่ปล่อยให้เด็กดีๆ ตายฟรี !!

พอกันเสียทีกับคดีอาชญากรรมรุนแรง พอกันที่กับการเมตตาคนชั่วแต่ปล่อยให้คนดีตายฟรีแบบนี้

ประเทศไทยมันจะพังเพราะปัญหาสังคมและอาชญากรรมรุนแรงที่เพิ่มขึ้นทุกวันไม่มีลดลง

และไอ้พวก NGO นักสิทธิมนุษยชนทั้งหลายที่ออกมาคัดค้านบทลงโทษที่รุนแรง เช่น โทษประหารชีวิต น่ะ

พวกมึงคงรับเงินต่างชาติมาเพื่อทำลายประเทศไทยให้กฎหมายไทยหย่อนยานใช่ไหม ? ด้วยการอ้างหลักสิทธิมนุษชนบังหน้า ให้ประเทศไทยพังเพราะปัญหาสังคมและอาชญกรรมที่แก้ไม่ตก

ทีสหรัฐอเมริกาเขาลงโทษประหารชีวิต ลงโทษเด็กที่ก่ออาชญากรรมรุนแรงเทียบเท่าโทษผู้ใหญ่ พวกมึงไม่เห็นเสือกไปคัดค้าน ??

ประเทศที่ยิ่งมีคนชั่วก่อคดีมาก กฎหมายมันต้องยิ่งเข้มข้นรุนแรงขึ้น หากประเทศเริ่มมีคนดี มีคดีอาชญากรรมน้อย เมื่อนั้นถึงจะหันมาพิจารณาลดโทษให้ลดลงกัน

ไม่ใช่ปัญหาอาชญากรรมยิ่งรุนแรงมากขึ้น เสือกปล่อยคนดีตายฟรี แต่กลับใช้ภาษีที่คนดีจ่าย เอาไปเลี้ยงดูไอ้พวกเลวให้มีชีวิตอยู่ แล้วออกมาฆ่าคนดี ๆ ไม่สิ้นสุดอีก

ที่จริงไอ้พวกเลวในคดีรุนแรง มันเสียคนไปแล้ว แบบที่ในต่างประเทศเขาฆ่าหมาที่เคยกัดคน เพราะเขาถือว่ามันเสียหมาไปแล้ว

หรือถ้าไม่ฆ่าก็ต้องทำหมันไอ้พวกเลวพวกนี้ไม่ให้แพร่เชื้อเลวๆ ใน DNA ต่อไปที่ลูกหลานอีก

-----------------

คลิปสุดท้ายของน้องยิ้นก่อนตาย !!

พี่สาวน้องยิ้ม ได้โพสคลิปที่น้องยิ้มได้โพสล่าสุดก่อนเสียชีวิต ผมเพิ่งได้ดูคลิปจากรายการครอบครัวข่าวเช้าเมื่อกี้

น้องยิ้มได้พูดถึงเรื่อง คนดีอยู่ยาก คนชั่วอยู่ง่าย




ผมดูแล้วบอกตามตรงที่น้องยิ้มพูด มันใช่เลยครับ เพราะประเทศนี้มันเป็นเยี่ยงนี้จริง

จากข่าวไทยรัฐ 

พี่สาวของน้องยิ้มเปิดเผยคลิปที่น้องสาวถ่ายตัวเองโดยโทรศัพท์มือถือ ขณะขับรถกลับบ้าน ซึ่งเป็นคลิปสุดท้ายก่อนที่น้องจะไปพบจุดจบ ความยาว 40.04 วินาที ซึ่งในภาพแสดงให้เห็นชุดที่น้องใส่เป็นชุดที่ใส่ทำงาน ซึ่งไม่ได้ล่อแหลมแต่อย่างใด

โดยในคลิปดังกล่าว น้องยิ้มได้พูดว่า

"สวัสดีค่ะ ตอนนี้ก็กำลังขับรถกลับบ้าน ขอบอกว่าปวดหัวเหม่งมาก รถก็ติดพอสมควร วันนี้กลับบ้านเร็ว เพราะว่ามีอะไรที่ทำให้รู้สึกแย่มากๆ ทำไมชีวิตคนเรามันดูยากเหมือนกันนะ การที่เป็นคนดีบางทีมันก็ไม่ได้รับความดีเสมอไป เขาบอกว่าคนดีอยู่ยาก คนชั่วอยู่ง่าย ยิ้มเริ่มเชื่อเข้าไปทุกวันทุกวันแล้ว ก็ไม่รู้เหมือนกันนะ ถ้าวันหนึ่งเกิดทำความชั่วบ้าง อาจจะได้รับสิ่งดีๆ ขึ้นมา ถามว่าอยากทำไหม ไม่เคยคิดเลยค่ะ"


ตราบใดที่กระบวนยุติธรรมไทย ยังเมตตาคนชั่ว ปัญหาความอาชญากรรมรุนแรงจะไม่มีวันลดลง และคนดีก็จะตายฟรีต่อไปไม่มีสิ้นสุด

เพราะสักว้นอาจเกิดขึ้นกับคุณ กับญาติของคุณ หรือกับคนที่คุณรักก็ได้






วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

พม่า โชคดีที่ไม่มีบริษัทชั่ว ๆ อย่าง ปตท.



วันก่อนผมนั่งดูรายการ เปิดปม ทางทีวีไทย ว่าด้วยเรื่องน้ำมันคนไทยใช้แพงเพราะอะไร ?

รายการเขาก็นำการโต้ตอบระหว่าง 2 ฝ่ายคือ ฝ่ายนักวิชาการและเจ้าหน้าที่พลังงานที่เกี่ยวข้องกับ ปตท. กับ นักวิชาการที่ต่อต้าน ปตท. ขูดรีด มาให้คนดูได้ชม

แต่เป็นการตอบโต้กันคนละสถานที่นะครับ เพราะฝ่ายปตท.ไม่กล้ามาดีเบตกับฝ่ายนักวิชาการต่อต้าน ปตท. หรอกครับ

มันมีประเด็นเห่ย ๆ ที่นักวิชาการด้านน้ำมันคนนึงที่ชื่อ นายมนูญ ศิริวรรณ ที่ออกมาคอยปกป้อง ปตท. อย่างสม่ำเสมอ สงสัยมันคงได้ค่าตอบแทนเยอะจากการปกป้อง ปตท. ทุกครั้ง


(บ.น้ำมันบางจาก คือ บริษัทที่ ปตท. ถือหุ้นใหญ่อยู่ด้วย)


นายมนุญ ศิริวรนณ อดีตกรรมการบริษัทบางจาก และอดีตผู้อำนวยการอาวุโสสายการตลาดและน้ำมันหล่อลื่น ได้อ้างว่า ที่โรงกลั่นน้ำมันในไทย (ที่ผูกขาดโดย ปตท. 5 แห่ง) ต้องคิดราคาน้ำมันโดยอิงราคาตลาดที่สิงคโปร์ บวกค่าขนส่งสมมุติจากสิงคโปร์มาไทย เพื่อคิดราคาขายให้คนไทยนั้น

ก็เพราะถ้ากำหนดราคาน้ำมันขายต่ำกว่าราคาสิงคโปร์ โรงกลั่นจะไม่อยากขายให้คนไทย แต่อยากส่งน้ำมันไปขายต่างประเทศมากกว่า !!

ตรรกะมันเพี้ยนไหมครับ ปตท. มันเกิดจากภาษีของคนไทย มันมีสิทธิอะไรมาอ้างว่าไม่อยากขายให้คนไทยถูกกว่าราคาตลาดสิงคโปร์ มึงอ้างได้เหรอ ?

แต่พอถูกถามว่า ทำไม ปตท. ขายส่งน้ำมันให้ประเทศเพื่อนบ้าน อย่าง พม่า ลาว เขมร ถูกกว่าที่ขายให้คนไทย ?

ไอ้มนูญ ศิริวรรณ มันกลับตอบว่า เพราะถ้าขายแพงกว่าเจ้าอื่น เดี๋ยวพม่า ลาว เขมรเขาจะไม่ซื้อจาก ปตท. เพราะการขายน้ำมันในต่างประเทศมีคู่แข่งเยอะ เลยต้องขายให้ราคาถูก เพื่อจูงใจให้ประเทศเพื่อนบ้านไทยอยากซื้อน้ำมันจาก ปตท. 

ดู ๆ ดูมันตอบ หากพิจารณาดี ๆ มันมีความขัดแย้งกันเองในคำตอบของมัน คือ ต้องขายคนไทยแพง เพราะถ้าขายคนไทยถูก โรงกลั่นมันไม่อยากขายให้ สู้ส่งไปขายต่างประเทศดีกว่า

แต่พอถามว่า ทำไม ปตท. ถึงขายน้ำมันให้ พม่า ลาว เขมร ถูก ?

มันกลับตอบว่า ถ้าขายแพงกลัวเขาจะไม่ซื้อมัน เพราะภาวะการแข่งขันในต่างประเทศสูง (นั่นไง แสดงว่าถ้าในไทย ไอ้ ปตท. มันผูกขาด !!)

ไอ้สัส!!

แล้วทำไมมึงไม่คิดบ้างว่า ทำไมมาเลเซียเขากล้าขายน้ำมันราคาต่ำกว่าราคาตลาดสิงคโปร์ให้คนมาเลย์ใช้ ??


(ส่วนเรื่องที่มาที่ไปว่า ทำไมไทยถึงอนุญาตให้โรงกลั่นน้ำมันอิงราคาสิงคโปร์ได้ เชิญไปอ่านรายละเอียดที่บทความเก่าเมื่อปี 2552 เรื่อง นโยบายน้ำมันไทยห่วยจริง ๆ )

--------------------------

น้ำมันพม่าราคาถูกกว่าไทยจริงเหรอ ?

เมื่อสักปีที่แล้ว ช่อง 7 สี ได้มีข่าวรายงานราคาน้ำมันเบนซิน95 ในพม่าว่า ขายถูกกว่าน้ำมันเบนซิน 95 ของไทยเยอะ



ซึ่งในรายการ "เปิดปม" เมื่อวันจันทร์ที่ 27 พ.ค. 56 ที่ผ่านมา ไอ้นักวิชาการคนเดิม นายมนูญ ศิริวรรณ ก็ออกได้มาตอแหลว่า ฝ่ายต่อต้าน ปตท. เอาแต่พูดถึงราคาน้ำมันเบนซิน 95 ไทยแพงกว่าพม่าอยู่อย่างเดียว ทำไมไม่พูดถึงราคาน้ำมันดีเซลของพม่าบ้าง เพราะดีเซลของไทยน่ะขายถูกกว่าเพื่อนบ้านแทบทุกประเทศ ยกเว้นแค่มาเลเซียเท่านั้นที่ถูกกว่าไทย

ไอ้มนูญ แม่ง พูดได้อย่างหน้าด้าน ๆ นะว่า น้ำมันดีเซลเพื่อนบ้านแพงกว่าของไทย

แถมนายมนูญ ยังอ้างอีกว่า ที่เบนซิน 95 ของไทยแพง เพราะจะได้ไปช่วยอุ้มราคาดีเซลของไทยให้ถูกกว่าดีเซลของเพื่อนบ้าน !!


ผมเลยขอนำราคาน้ำมันในพม่า ณ.วันที่ 29 พ.ค. 2556 มาให้ดู เพื่อให้เห็นชัดว่า ไอ้มนูญ ศิริวรรณ ผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำมันเห่ย ๆ คนนี้มันตอแหลเพียงใด

ราคาน้ำมันขายปลีกในพม่า ณ.วันที่ 29 พ.ค. 2013



มาดูราคาน้ำมันของรัฐบาลพม่า ขาย

ดีเซลพม่า ราคา3,870-3,915 จ๊าดต่อแกลลอน (4.5ลิตรอังกฤษ) หรือ 27.66บาท -27.89บาทต่อลิตร

แต่ราคาน้ำมันดีเซลในไทย ราคาลิตรละ 29.99 บาท !! (พม่าขายดีเซลถูกกว่าไทย โดยที่ไม่ต้องให้เบนซินแพงเพื่อมาอุดหนุนราคาดีเซลด้วย)

ส่วนน้ำมันเบนซิน95 ราคา 3,713 จ๊าดต่อแกลลอน หรือ 26.45 บาทต่อลิตร

ในขณะที่น้ำมันเบนซิน 95 ของไทยคือ 45.15 บาทต่อลิตร


เห็นไหมครับ คนพม่าซื้อน้ำมันราคาถูกกว่าคนไทย ทั้งดีเซลและเบนซิน และรัฐบาลพม่าเขาก็ได้กำไรแล้ว โดยที่ไม่ต้องมีบริษัทชั่ว ๆ อย่างปตท. มาขูดรีดประชาชนเหมือนคนไทยมี


-----------------------

สหรัฐอเมริกา เขาเก็บน้ำมันไว้ให้ลูกหลาน สำรองไว้เพื่อความมั่นคงของประเทศ 

สหรัฐอเมริกาจึงซื้อน้ำมันจากที่อื่นมาใช้ให้หมดไปก่อน แถมขายในราคาตลาดโลกด้วย แถมมีหลายบริษัทน้ำมันแข่งขันราคากันด้วย เขาก็ยังมีกำไร และน้ำมันในอเมริกาก็ยังขายถูกกว่าที่คนไทยซื้อ

ส่วนประเทศไทยเอาน้ำมันจากทรัพยากรของคนไทยมาถลุง แล้วขายคนไทยในราคาแพง ๆ แทนที่จะเก็บไว้ให้ลูกหลานไว้ใช้ในอนาคต โดยไม่มีส่วนลดราคาในส่วนที่เป็นทรัพยากรของชาติให้คนไทยเลยสักนิด

เพราะในเมื่อคนไทยต้องซื้อน้ำมันในราคาตลาดโลกอยู่แล้ว ก็น่าจะเก็บน้ำมันของเราไว้สำรองเพื่อความมั่นคงของประเทศและให้ลูกหลานไม่ดีกว่าเหรอ ?

จะมี ปตท. ไว้ทำ เ..ย อะไร ??

--------------------

เชื่อไหม ปตท. กำไรมากกว่าที่คนไทยได้รับรู้

จากที่ผมได้ติดตาม สว.รสนา และกลุ่มนักวิชาการที่ต้องการทวงคืน ปตท. ได้พบว่า มีตัวเลขเกี่ยวกับพลังงานหลายด้านที่ถูกบิดเบือนโดย ปตท. และกระทรวงพลังงานมากมาย

ผมจึงมีความเชื่อว่า ปตท. ต้องมีกำไรมากกว่าที่แจ้งให้สาธารณะรับรู้ ไม่ต่ำกว่า 2 -3 เท่า

เพราะข้าราขการที่ถูกส่งเข้าไปกำกับดูแล ปตท. ก็เข้าไปเสวยสุขบนความทุกข์ของคนไทยร่วมกับ ปตท. จึงร่วมกันปกปิดกำไรที่แท้จริงของ ปตท. ด้วย

ผมเชื่อว่า แม้แต่ กลต. คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ไทย ก็ไร้ความน่าเชือถือ เพราะ ปตท. สามารถซื้อพวกเห็นแก่เงินพวกนี้ได้ทั้งหมดนั่นแหละครับ (นายกิตติรัตน์ ณ. ระนอง ก็เติบโตมาจากแถว ๆ นี้แหละ)

ทั้งสื่อ ทั้งนักวิชาการมากมาย ที่ถูกปตท. ซื้อได้ทั้งนั้น เพื่อร่วมกันปกปิดความชั่วของ ปตท.

ที่สำคัญเงินกำไรที่ถูกปกปิด ผมเชื่อว่า ต้องส่งส่วยให้นักการเมืองที่เป็นตัวการแปรรูป ปตท. แน่นอน ปีละหลาย....ล้านบาทด้วย เชื่อมะ ?

ไม่ต้องมีใบเสร็จหรอก เพราะกำไรที่ว่า มันอยู่ในที่มืดอยู่แล้ว ก็ขนาดไอ้ทนายตาเหล่ของผู้มีอำนาจนอกคุกคนนั้น มันเคยบอกว่า ถ้าตระกูลชั่วจนชิน มีหุ้นในปตท. แม้แค่นิดเดียว มันจะจ่ายให้ 100 ล้าน

แล้วเป็นไง ตามนิติกรรม มันมีหุ้นใน ปตท. จริง ๆ แม้จะตัวเลขน้อยนิดก็ตาม

สุดท้ายมันก็โกหกตอแหลเหมือนเดิม ทั้งนายและขี้ข้า !!





วันจันทร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2556

ปัญหาโจรใต้ มาเลเซีย คนกลางหรือตัวการ






ตัวการใหญ่ปัญหาความรุนแรงภาคใต้ ตอน 4 ปัญหาโจรใต้ มาเลเซีย คนกลางหรือตัวการ


ก่อนที่ผมจะวิเคราะห์ข้อเสนอของบีอารืเอ็นในบทความนี้  ในบทความเกี่ยวกับปัญหาความรุนแรงภาคใต้ ทั้ง 3 ตอนที่ผ่านมา คือ
ตัวการใหญ่ปัญหาความรุนแรงภาคใต้
แผนชั่วมาเลเซียใน3จังหวัดใต้
ทำไมปัญหาภาคใต้ ยิ่งเจรจายิ่งรุนแรง


ผมได้มุ่งประเด็นไปที่ มาเลเซียคือผู้อยู่เบื้องหลังในการสนับสนุนกลุ่มโจรใต้ เพื่อหวังผลในการครองครองดินแดน 3 จังหวัดของไทย ไปเป็นส่วนหนึ่งของมาเลเซีย

และข่าววานนี้ได้เริ่มปรากฎภาพชัดเจนแล้วว่า นายฮาซัน ตอยิบ แกนนำ BRN ที่กำลังเจรจากับรัฐบาลไทยโดย สมช. ได้เปิดเผยท่าทีและความต้องการของพวกโจรชัดเจนแล้วว่า คืออะไร ในข้อเรียกร้อง 5 ประการ ตามนี้

นายฮัสซัน ตอยิบ กล่าวว่า "องค์กร บี.อาร์.เอ็น. คือแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติของชาวมลายูปาตานี ก่อตั้งโดยมีจุดประสงค์เพื่อป็นแนวร่วมแห่งชาติมลายูปาตานี้ เพื่อให้ชาวมลายูปาตานีจากทุกชนชั้นในสังคมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันภายใต้หนึ่งแนว เป็นนักต่อสู้เพื่อประชาชนปาตานี เพื่อที่จะชาวมลายูปาตานีเป็นอุมมะห์ (ประชาชาติ) ที่มีความสามัคคีและมีความแข็งแกร่ง หลังจากนั้นเราจะได้อิสรภาพ (หรือเสรีภาพ) และสามารถมีการปกครองของพวกเราที่มีความยุติธรรมสูงที่สุด

ด้วยเหตุนี้ สำหรับประชาชนปาตานีทุกท่าน ไม่ว่าจะเป็นเชื้อสายสยาม (ไทย) เชื้อสายมลายู หรือเชื้อสายจีนก็ตาม ประชาชนทุกคนที่อยู่ในแผ่นดินปาตานี กระผมขอเรียกร้องว่า ทุกท่านไม่จำเป็นต้องตั้งข้อสงสัยหรือเป็นห่วงเกี่ยวกับเรื่องความยุติธรรมนี้"


นายอับดุลกาลิม คาลิบ สมาชิกกลุ่มบีอาร์เอ็น ระบุว่า "ถ้าจะพูดถึงสถานการความรุนแรงที่เกิดขึ้นในปาตานี เราจำเป็นต้องอ้างอิงประวัติศาสตร์ เมื่อปาตานีตกเป็นอานานิคมของสยามเมื่อ ค.ศ. 1785 ระบบการ (ปกครองที่) กดขี่ชาวมลายูอย่างโหดร้ายก็เกิดขึ้น ตั้งแต่บัดนั้น ขบวนการปลดปล่อยชาว (bangsa) ปาตานีก็เกิดขึ้น เพื่อปลดปล่อยชาวมลายูปาตานีที่ถูกกดขี่และใช้ชีวิตอย่างทรมานจากการปกครองแบบอานานิคมของสยาม (ขบวนการเหล่านี้เกิดขึ้น) เพื่อมุ่งไปสู่สันติภาพที่แท้จริง"

ส่วนประเด็นและมุมมองต่อการหารือสันติภาพระหว่างฝ่ายบีอาร์เอ็นกับตัวแทนรัฐบาลไทย นายคาลิบ กล่าวว่า "เราจะดำเนินการต่อสู่จนถึงกำจัดการปกครองแบบอาณานิคมและการกดขี่ของชาวมลายูปาตานี การพูดคุยก็จะยังคงดำเนินต่อไปภายใต้เงื่อนไข 5 ประการ กล่าวคือ


1. Penjajahan Siam mesti menerima Malaysia sebagai mediator, bukan fasilitator.
๑. นักล่าอานานิคมสยามต้องยอมรับให้ประเทศมาเลเซียเป็นคนกลางผู้ไกล่เกลี่ย (mediator) ไม่ใช่แค่ผู้ให้ความสะดวก (facilitator)

2. Pembicaraan berlaku di antara bangsa Patani yang dipimpin oleh BRN dengan penjajahan Siam.
๒. การพูดคุยเกิดขึ้นระหว่างชาว (bangsa) ปาตานี ที่นำโดย บี.อาร์.เอ็น. กับนักล่าอาณานิคมสยาม

3. Dalam pembicaraan, mesti ada saksi dari negara ASEAN, OIC dan NGO.
๓. ในการพูดคุย จำเป็นต้องมีพยานจากประเทศอาเซียน องค์กร OIC และองค์กร NGO

4. Penjajah Siam mesti membebaskan semua tahanan dan menghapuskan semua waran tangkap tanpa syarat.
๔. นักล่าอานานิคมสยามต้องปล่อยผู้ที่ถูกควบคุมตัวทุกคนและยกเลิกหมายจับทั้งหมด (ที่เกี่ยวข้องกับคดีความมั่นคง) โดยไม่มีเงื่อนไข

5. Penjajah Siam mesti mengakui bahawa BRN adalah gerakan pembebasan bangsa Patani, bukan pemisah.
๕. นักล่าอาณานิคมสยามต้องยอมรับว่า องค์กร บี.อาร์.เอ็น. เป็นขบวนการปลดปล่อยชาว (bangsa) ปาตานี ไม่ใช่กลุ่มแบ่งแยกดินแดน

------------------------

มาเลเซีย ประเทศที่มีการแบ่งชนชั้นทางเชื้อสายชนชาติ


ก่อนอื่น ผมเชื่อว่า นายฮาซัน ตอยิบ ไม่ได้ใช่ตัวแทน BRN หรอก แต่เป็นตัวแทนของมาเลเซียมากกว่า การเป็นตัวแทน BRN เป็นแค่ฉากบังหน้าเพื่อไม่ให้กระทบกระเทือนถึงตัวการใหญ่ตัวจริงคือ มาเลเซีย !!

ในช่วงที่การเจรจาระหว่างตัวแทนรัฐบาลไทยกับโจร BRN ครั้งแรก ๆ ทางมาเลเซียได้หน้าได้ตาว่า เป็นผู้ที่เข้ามาช่วยไทยเพื่อแสวงหาสันติภาพในพื้นที่ภาคใต้ ประหนึ่งมาเลเซียคือผู้รักสันติภาพพร้อมช่วยเพื่อนบ้านที่มีปัญหาขัดแย้งเรื่องดินแดนเสมอ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มกบฏแบ่งแยกดินแดนในฟิลิปปินส์ ก็มีมาเลเซียเป็นคนกลางเจรจา

หรือจะเป็นกลุ่มกบฎอาเจะห์ ที่อินโดนีเซีย ก็มีมาเลเซียเป็นคนกลางเจรจา แต่จริง ๆ ลึก ๆ แล้ว ทุกประเทศต่างรู้ดีว่า ไอ้คนกลางนี่แหละที่มีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับกลุ่มกบฎแบ่งแยกดินแดนทุกกลุ่มในหลายประเทศ

เพราะแนวคิดของผู้นำมาเลเซียตั้งแต่ได้รับเอกราชจากอังกฤษ ได้สืบทอดกันต่อ ๆ กันมาทุกคนว่า มาเลเซียจะต้องผนวกดินแดนที่มีชาวมลายูในประเทศต่าง ๆ รวมกับมาเป็นมาเลเซียให่ได้ (เช่นประเทศบรูไน เป็นชาวมลายู ก็กลัวเสียดินแดน จึงขออยู่ใต้อาณัติของอังกฤษต่อมาเป็นเวลานาน)

(หรือเมื่อไม่กี่ปีก่อน มาเลเซียก็ฟ้องศาลโลกได้เกาะเล็กๆ จากอินโดนีเซียมาแล้วเช่นกัน แล้วปรากฎว่าบริเวณเกาะที่ มาเลเซียได้มา มีน้ำมันเยอะ !!)

อีกทั้งมาเลเซียมีการแบ่งชนชั้นทางสังคม โดยกำหนดในรัฐธรรมนูญไว้ด้วย ที่เรียกว่า "ภูมิปุตรา" ซึ่งชาวมาเลเซียแท้ นับถือศาสนาอิสลาม ใช้ภาษามลายู ประพฤติปฏิบัติตามประเพณีมลายู จะได้รับสิทธิพิเศษในฐานะชนชาติเจ้าของประเทศดั้งเดิม มีสิทธิเหนือกว่าชาวจีน และชาวอินเดีย หรือชาวไทย ที่อยู่ในมาเลเซีย

แนวคิดแบ่งชนชั้นแบบนี้ ทำให้นายลีกวนยู ไม่พอใจ อีกทั้งนายลีกวนยู กำลังได้รับความนิยมอย่างสูงในมาเลเซีย จนมีข่าวลือว่า นายลีกวนยู จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป

ด้วยเหตุนี้ทำให้ ตนกูอับดุล ราห์มาน นายกรัฐมนตรีคนแรกของมาเลเซีย ผู้นำเรียกร้องเอกราชของมาเลเซีย จึงเสนอให้ลีกวนยู แยกสิงคโปร์ออกจากมาเลเซีย ไปดีไหม เพราะคนในสิงคโปร์เองก็เป็นคนจีนมากกว่าคนมลายู

ซึ่งนายลีกวนยู ก็เริ่มไม่พอใจสิทธิพิเศษของคนมลายูแท้ที่มีมากกว่าชนชาติจีนอยู่แล้ว  จึงยอมตกลงแยกสิงคโปร์ออกจากประเทศมาเลเซีย

การแบ่งชนชั้นแบบนี้ ทำให้คนใน 3 จังหวัดใต้ของไทยจำนวนมากถูกสอนสั่งจนเชื่อว่า การเป็นคนไทยเชื้อสายมลายูอยู่ใน 3 จังหวัดภาคใต้ของไทย เปรียบเสมือนพลเมืองชั้นสอง มีสิทธิไม่เท่ากับคนไทยพุทธ แต่ถ้าหากดินแดน 3 จังหวัดใต้กลับมาผนวกเป็นดินแดนมาเลเซีย สิทธิพิเศษในฐานะชาวมลายูแท้จะกลับคืนมา

ซึ่งจริง ๆ แล้ว แนวคิดนี้เป็นการหลงผิดโดยแท้ เพราะความจริงแล้ว คนไทยไม่เคยแบ่งแยกชนชั้นกับคนไทยเชื้อสายมลายู แต่เพราะการได้รับปลูกฝังจากพวกไม่หวังดีต่อไทย จนเกิดความเชื่อว่าตนเองไม่ใช่คนไทย แต่เป็นคนมลายูต่างหาก ที่ทำให้เกิดอคติต่อรัฐบาลไทย ต่อข้าราชการไทย ต่อระบบการศึกษาของไทย

ทั้ง ๆ ที่ ความจริงแล้ว ในอดีต การที่ข้าราชการไทยรังแกชาวบ้าน ทำตัวเป็นเจ้าใหญ่นายโตมันเกิดขึ้นในทุกจังหวัด แต่เพราะชาว 3 จังหวัดใต้โดนยุยงจากพวกแบ่งแยกดินแดมาตลอด จึงทำให้เกิดความเกลียดชังเจ้าหน้าที่รัฐแบบผิดปกติมากกว่าคนไทยทั่วไปจะเป็น

---------------

นายกรัฐมนตรีมาเลเซีนคนปัจจุบัน สนับสนุนใช้นโยบาย ภูมิปุตรา


ข่าวไทยรัฐ

------------

มาเลเซียตี  2 หน้า

ในช่วงเวลาเดียวกันกับที่มาเลซียกำลังได้หน้าในการเป็นคนกลางเจรจรโจรใต้กับรัฐบาลไทย ได้เกิดกลุ่มติดอาวุธของสุลต่านซูลู จากฟิลิปปินส์เรียกร้องดินแดนรัฐซาบาร์คืนจากมาเลเซีย จนทำให้ทางการมาเลเซียส่งกองกำลังไปปราบพวกแบ่งแยกดินแดนอย่างรุนแรง จนมีผู้เสียชีวิตหลายสิบคน

เห็นรึยีงว่า ? เวลามาเลเซียเกิดปัญหาแบ่งแยกดินแดนกับตัวเอง มาเลเซียก็ได้ใช้วิธีการรุนแรงเฉียบขาดในการปราบพวกแบ่งแยกดินแดนทันที !!

แม้ทายาทสุลต่านซูลู จะอ้างข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ว่า รัฐซาบาห์ควรเป็นของพวกเขา ไม่ควรเป็นดินแดนของมาเลเซียก็ตาม

แต่ผู้นำมาเลเซียได้ตอบโต้กลับไปว่า "ถ้าอ้างเรื่องประวัติศาสตร์ แบบนี้ก็วุ่นวาย เพราะเรื่องอาณาจักรโบราณในอดีตมันจบไปแล้ว"  (ผมเคยอ่านคำตอบโต้ของนายกมาเลย์ในประเด็นนี้ เมื่อไม่นานนี่เอง แต่ผมพยายามหาอยู่หลายชั่วโมงยังหาไม่เจอครับ ไว้ถ้าหาเจอจะนำมาลงอีกที)

---------------------

วิเคราะห์ข้อเสนอของนายฮาซัน ตอยิบ

นายฮาซัน ตอยิบ มันอ้างประวัติศาตร์อาณาจักรปัตตานีโบราณ เพียงแค่นี้ก็ฟังไม่ขึ้นแล้ว เพราะนี่โลกยุคใหม่ที่แบ่งเป็นประเทศไปแล้ว ไม่มีอาณาจักรโบราณอีกแล้ว

และเมื่อวานนี้ ผมได้อ่านเรื่อง พยานปากสำคัญคดีกรือเซะ เขาได้เล่าว่า เขาและเพื่อน ๆ วัยหนุ่ม โดนครูสอนศาสนาปลุกฝังให้เกลียดประเทศไทย อ้างเรื่องรัฐปัตตานี คนปัตตานีโดนทารุณจากรัฐไทย แล้วสุดท้ายพวกเพื่อน ๆ ของเขาหลายคนก็ไปตายในกรือเซะ หลายคนก็บุกจู่โจมหน่วยทหารจนถูกยิงตาย แต่ไอ้ครูสอนศาสนาคนนั้นหายหัวไปไหนไม่รู้ ไม่ได้อยู่ร่วมสู้ด้วย 

เท่ากับพวกเขาและเพื่อนโดนหลอก แต่โชคดีเขาเกิดปัญหาทางบ้านก่อนวันเกิดเหตุ เลยแยกตัวออกมาก่อน ไม่งั้นคงตายในกรือเซะเหมือนเพื่อน ๆ เช่นกัน

คลิกอ่าน พยานปากเอกกรือเซะ ขบวนการหลอกชาวบ้าน


ในข้อเสนอข้อที่ 1 มันต้องการให้มาเลเซียเป็นคนกลางในการเจรจาไกล่เกลี่ย นี่ก็ชัดเจนว่า มันเปิดโอกาสให้มาเลเซียเข้ามามีบทบาทจัดการในดินแดนของราชอาณาจักรไทย เท่ากับให้มาเลเซียแทรกแซงกิจการภายในของไทยได้

ในข้อเสนอที่ 2 มันเรียกประเทศไทยว่า นักล่าอาณานิคมสยาม ซึ่งจริง ๆ แล้ว หากศึกษาประวัติศาสตร์จริง ๆ ปัตตานีต่างหากที่รุกรานสยามก่อน จนสยามต้องยกไปปราบ และไม่ใช่เฉพาะชาวสยามเท่าน้น แม้แต่อาณาจักรมะละกาก็เคยรุกรานปัตตานี เพียงแต่พวกโจรมันอยากจะอ้าง และมันอยากจะไปเป็นมาเลเซีย จึงไม่โทษมะละกา หรือมาเลเซียในปัจจุบัน

คลิกอ่าน แท้จริงอาณาจักรปัตตานีรุกรานชาวสยามก่อน 


ในข้อเสนอที่ 3 มันต้องการให้ประเทศในอาเซียน ซึ่งก็คือมาเลเซีย และ OIC หรือองค์กรความร่วมมืออิสลาม เข้ามาแทรกแซง เพื่อหวังให้เกิดการยกระดับปัญหาให้สู่ระดับนานาชาติ จนอาจถึงให้นานาชาติร่วมกดดันไทย เพื่อให้ไทยต้องจัดทำประชามติกับคนใน 3 จังหวัดใต้ว่า ต้องการแยกตัวไปตั้งรัฐอิสระจากราชอาณาจักรไทยหรือไม่

ในข้อเสนอที่ 4 ให้ปล่อยตัวนักโทษก่อการร้ายทั้งหมด นี่เท่ากับมันต้องการทำลายอำนาจกฎหมายของรัฐไทยลง เพราะพวกมันฆ่าเจ้าหน้าที่รัฐ และผู้บริสุทธิ์มากมาย แต่มันต้องการให้ปล่อยพวกมันให้พ้นผิดง่าย ๆ ประหนึ่งรัฐไทยต้องตกเป็นเบี้ยล่างพวกมันไปแล้ว

ในข้อเสนอที่ 5 มันอ้างว่า พวกมันไม่ใช่กลุ่มแบ่งแยกดินแดน แต่เป็นผู้ปลดแอกชาวปัตตานี นั่นแสดงว่า มันกำลังบอกว่า ดินแดน 3 จังหวัดใต้ไม่เคยเป็นของราชอาณาจักรไทย ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของแผ่นดินไทยมาแต่แรกอยู่แล้ว แต่เป็นดินแดนที่ถูกนักล่าอาณานิคมสยามยึดครองไปต่างหาก




ป้ายผ้าที่เขียนด้วยภาษามาเลเซีย ติดไปทั่วใน 3 จังหวัดใต้ และบางอำเภอในสงขลา เมื่อวันที่ 22 เมษายนที่ผ่านมา

ซึ่งแปลความได้ว่า "สันติภาพจะไม่เกิดขึ้น ตราบใดที่สิทธิการเป็นเจ้าของยังไม่ได้รับการยอมรับ"

ความหมายน่าจะหมายถึง ความรุนแรงจะไม่จบ ตราบใดที่รัฐไทย( สิทธิการเป็นเจ้าของ) ยังปกครองรัฐปัตตานี

นี่คือการปฏิเสธความเป็นรัฐไทยโดยแท้

-------------------------

จากที่ผมเล่ามาทั้งหมดนี้ มันทำกันเป็นกระบวนการ และต้องมีตัวการใหญ่ที่ชักใยอยู่เบื้องหลัง ไม่งั้นพวกมันไม่กล้าหาญทำได้ถึงขนาดนี้หรอกครับ

และตัวการนั้น ผมยังยืนยันว่าเป็น มาเลเซีย เท่านั้น ที่จะคอยรับผลประโยชน์จากการแยกตัวของรัฐปัตตานีออกจากราชอาณาจักรไทย

หากรัฐบาลไทยไม่มุ่งเป้าไปที่ตัวการใหญ่อย่างมาเลเซีย ก็ไม่มีทางแก้ปัญหานี้ได้สำเร็จหรอกครับ เพราะมาเลเซียมันทำตัวลอยเหนือปัญหา ทั้ง ๆ ที่ตัวมันเองคือตัวการใหญ่แห่งปัญหาแท้ ๆ


คลิกอ่าน สันดานมาเลเซียกับแผนแบ่งแยกดืนแดน


วันพฤหัสบดีที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2556

ทำไมปัญหา 3 จังหวัดภาคใต้ยิ่งรุนแรงมากขึ้น








ตัวการใหญ่ปัญหาความรุนแรงภาคใต้ ตอน 3 ทำไมปัญหา 3 จังหวัดใต้ยิ่งรุนแรงมากขึ้น

เกริ่น

ในพ.ศ.2554 มาเลเซียมีรายได้จากการส่งออกอาหารฮาลาลสู่โลกมุสลิม มูลค่ากว่า 340,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นผู้ค้าอาหารฮาลาลรายใหญ่ที่สุดของโลก นั่นเพราะมาเลเซีย กำหนดนโยบายทำให้มาเลเซียเป็นศูนย์กลางอาหารฮาลาลของโลก

แล้วอยู่ๆ ถ้าประเทศไทยไปกำหนดให้ 3 จังหวัดใต้เป็นศูนย์กลางการผลิตอาหารฮาลาลของโลกบ้างล่ะ ?

นั่นคือที่มาของข้อสันนิษฐานของผมที่ว่า ทำไมความรุนแรง 3 จังหวัดใต้ ได้เริ่มรุนแรงขึ้นแบบผิดปกติในพ.ศ.2547 ตามที่ผมเขียนไว้ในบทความแรก เรื่อง ตัวการใหญ่ปัญหาความรุนแรงภาคใต้


คลิกที่รูปเพื่อชมเว็บหน่วยงานพัฒนาอาหารฮาลาลของมาเลเซีย


--------------------------------


และหลังจากที่ผมได้เขียนทความเกี่ยวกับปัญหาความรุนแรงภาคใต้มาแล้ว 2 บทความ ได้มีเพื่อนในเฟสบุ๊คที่อาศัยอยู่ในมาเลเซีน ได้แสดงความเห็นมาตามรูปนี้



จากความเห็นของเพื่อนในเฟสบุ๊ค ได้ชี้ให้เราได้เห็นภาพชัดเจนขึ้นว่า มาเลเซียไม่มีความจริงใจในการช่วยแก้ปัญหาความรุนแรง 3 จังหวัดใต้ของไทยเลย

เพราะแม้แต่สื่อในมาเลเซียก็มักนำเสนอภาพความรุนแรงเพียงด้านเดียว นั่นคือภาพความรุนแรงในสถานการณ์กรือเซะ และตากใบ มานำเสนอซ้ำๆ โดยที่ไม่นำเสนอความสูญเสียของเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยเลย

-----------------

จาก 2 บทความที่ผ่านมา ผมเสนอทฤษฎีที่ว่า มาเลเซียมีส่วนสนับสนุนกลุ่มผู้ก่อการร้ายทั้งทางตรงทางอ้อมอย่างลับ ๆ มา ตลอด

แต่ก็ใช่ว่า มาเลเซียจะสามารถควบคุมเหล่าผู้ก่อการร้ายพวกนี้ได้ เพราะพวกนี้ปฎิบัติการอย่างอิสระ ไม่ขึ้นตรงกับใคร จนกว่าจะบรรลุเป้าหมายเท่านั้น อีกทั้งกลุ่มก่อการร้ายได้ใช้การปลูกฝังความเชื่อผิด ๆ ปลูกฝังให้เยาวชนมุสลิมที่เกิดในแผ่นดิน 3 จังหวัดใต้ ว่าพวกเขาไม่ใช่คนไทย แต่เป็นคนมลายู ที่ต้องการแยกตัวเป็นอิสระไม่ขึ้นตรงกับประเทศไทยอีกต่อไป

ดังนั้นขบวนการก่อการร้ายหลาย ๆ กลุ่มนั้น จึงมีจุดประสงค์ร่วมกันคือ ต้องการแยกดินแดนออกจากราชอาณาจักรไทย โดยใช้รัฐปัตตานีเป็นโมเดลในการเรียกร้อง

ซึ่งผู้ที่จะได้ปกครองดินแดนรัฐปัตตานีต่อไป ก็ต้องเป็นมาเลเซียเท่านั้นที่รอเก็บตกผลประโยชน์ในตอนสุดท้าย นั่นคือรัฐปัตตานีในส่วนที่อยู่ในดินแดนไทยจะกลับไปรวมกับรัฐปัตตานีในส่วนที่อยู่ในประเทศมาเลเซีย ซึ่งก็คือรัฐกลันตัน ตรังกานูในปัจจุบัน

นั่นเพราะผู้นำกลุ่มก่อการร้ายต่าง ๆ ก็ล้วนแต่พำนักพักพิงอาศัยในมาเลเซียทั้งสิ้น ก็ในเมื่อไปอาศัยมาเลเซียเขาอยู่ แล้วจะไม่ยกดินแดนให้มาเลเซียได้ไง จริงไหม ?

ที่สำคัญ ถ้าต้องการพัฒนารัฐปัตตานีแบบก้าวกระโดด ได้งบประมาณมาพัฒนาพื้นที่โดยเร็ว ก็ต้องอาศัยงบจากมาเลเซียเท่านั้น เพราะมาเลเซียเขาได้วางระบบราชการ และการจัดการสาธารณูปโภคได้อย่างดี และสามารถจัดการได้รวดเร็ว (มาเลเซียเขาพร้อมเข้ามาจัดการได้ทันทีนานแล้ว)

ตัวอย่างเช่น เกาะลังกาวี แค่เวลาไม่กี่ปีมาเลเซียสามารถพัฒนาเกาะลังกาวีเป็นเมืองท่องเที่ยวชื่อดังได้อย่างรวดเร็ว มีความเจริญก้าวหน้าอย่างก้ามกระโดด

และยุทธวิธีก่อการร้ายในวันนี้ทุกวันนี้เขาเรียกว่า แยกกันตีแบบกองโจร แต่ไม่ปรากฏผู้นำโจรตัวจริงออกหน้า

-------------------

ตัวอย่างบุคคล 2 สัญชาติ ฮาซัน ตอยิบ



นายฮาซัน ตอยิบ ผู้นำขบวนการ BRN ที่กำลังเจรจากับฝ่ายรัฐบาลไทย เป็นคนที่เกิดในแผ่นดินไทย จังหวัดนราธิวาส แล้วก็หนีคดีเข้าไปอยู่ในมาเลเซียมากว่า 30 ปี เป็นบุคคล 2 สัญชาติ

ถามว่า ทำไมมาเลเซียถึงยอมให้ผู้นำขบวนการก่อการร้ายอย่าง นายฮาซัน ตอยิบ พำนักอาศัยในมาเลเซียได้อย่างสุขสบายมากว่า 30 ปี ?

ทั้ง ๆ ที่ ทางฝ่ายไทยขอร้องทางการมาเลเซียให้ช่วยแก้ปัญหาบุคคล 2 สัญชาติมาตลอด ว่า กลุ่มคนเหล่านี้จำนวนมากคือพวกผู้ก่อการร้ายแบ่งแยกดินแดง แต่มาเลเซียก็ไม่เคยช่วยไทยแก้ปัญหาบุคคล 2 สัญชาติอย่างจริงจังและจริงใจ แถมกลับให้ที่หลบซ่อนพวกผู่ก่อการร้ายทุกกล่มได้พำนักอาศัยทั้งสิ้น



แม่ของนายฮาซัน ตอยิบ ก็ยังอาศัยในจังหวัดนราธิวาสมาจนวันนี้ แม่ของนายฮาซัน ตอยิบ บอกว่า ไม่ได้เจอลูกชายคนนี้มากว่า 30 ปี ? คุณเชื่อหรือ ?

----------------

ทำไมปัญหา 3 จังหวัดใต้ยิ่งรุนแรงมากขึ้น หลังรัฐบาลเจรจา BRN

ตอบง่ายๆ เลยก็คือ การเจรจากับ BRN เป็นการจัดฉากที่ทักษิณจ่ายเงินให้แกนนำ BRN ที่เกษียณอายุแล้ว มานั่งเจรจากำมะลอสร้างภาพเท่านั้น เพราะความเป็นจริงแกนนำที่ปฏิบัติการณ์จริงในพื้นที่ กระทำการแบบยุทธวิธีกองโจรแบบไร้ผู้นำตัวจริงมานานแล้ว เพื่อจะได้สาวถึงตัวการใหญ่อย่างมาเลเซียได้ยากขึ้น

หรืออย่างเวลาผู้ก่อการร้ายคนไหน ที่คดีเริ่มติดตัวมากขึ้น ก็จะเสแสร้งเข้ามอบตัวต่อทางการไทย เพื่อขอเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย เพื่อหวังให้ตัวเองรอดความผิดเก่าๆ ส่วนทางการไทยก็ใจดีรับมาไว้พัฒนาชาติไทย อภัยโทษความผิดให้พวกมีคดีติดตัวที่เข้ามามอบตัวทั้งหมด

ซึ่งลึกๆ ในใจพวกนี้ทุกคนไม่เคยมีเปลี่ยนแปลงอุดมการณ์แบ่งแยกดินแดง แถมยังแอบสนับสนุนลับ ๆ แก่ผู้ก่อการร้ายรุ่นใหม่ที่ขึ้นมาทดแทนพวกตน (ที่พวกตนฝึกขึ้นมาทดแทน)


ตัวอย่างเช่นเมื่อเดือนสิงหาคม 2555 ก็มีการเผาธงชาติไทย แล้วติดธงมาเลเซียแทนหลายจุด ตามคลิปข่าวนี้


หรือแม้แต่เมื่อวันที่ 16 เมษายา ที่ผ่านมา ก็มีป้ายต่อต้านการเจรจาสันติภาพของรัฐบาลไทยกับ BRN พร้อมติดธงชาติมาเลเซียไว้ด้วยตามนี้


ภาพข่าวจากสปริงนิวส์

ทั้งหลายทั้งปวงก็คือ พวกผู้ก่อการร้ายมีจุดประสงค์เดียวกันคือ ต้องการให้แผ่นดิน 3 จังหวัดใต้เป็นส่วนหนึ่งของมาเลเซีย

และที่ความรุนแรงเพิ่มขึ้นก็อาจเพื่อบีบให้ทางฝ่ายไทยเป็นฝ่ายเอ่ยปากเรื่อง เขตปกครองพิเศษรัฐปัตตานีขึ้นก่อน หรืออาจให้รัฐไทยยอมรับข้อเสนอของพวกมันเรื่องรัฐปัตตานีได้ง่ายขึ้น หรือถ้าให้ดีที่สุดก็คือ ต้องการให้ไทยยกแผ่นดินให้มาเลเซียไปเลย

พวกเขาไม่ต้องการสันติภาพ ไม่ต้องการเป็นคนไทย ไม่ต้องการอยู่ภายใต้การปกครองของประเทศไทย เป้าหมายมุ่งตรงไปเพียงจุดเดียวเท่านั้น คือ ต้องการให้ 3 จังหวัดใต้ไปเป็นส่วนหนึ่งของประเทศมาเลเซีย

พวกผู้ก่อการร้ายจึงพยายามติดธงมาเลเซียไปทั่ว 3 จังหวัดใต้หลายครั้ง เพื่อบอกในเชิงสัญลักษณ์ว่า พวกเขาต้องการให้แผ่นดินนี้ควรเป็นของประเทศมาเลเซียเท่านั้น

ตราบใดที่พวกเขายังไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ ตราบนั้นก็จะฆ่าต่อไปไม่จบสิ้น!!


------------------

หมายเหตุ กรณียิง M79 ใส่บ้านนายนัจมุดดิน ผมมั่นใจว่านี่คือการจัดฉาก 100% เพราะกลุ่มผู้ก่อการร้ายใต้ไม่เคยมีคำว่าขู่ คือถ้าจะฆ่าก็คือฆ่าจริงเล่นงานจริง

นายนัจมุดดีน เป็นผู้เห็นด้วยกับ การตั้งเขตปกรองพิเศษรัฐปัตตานี กลับโดยยิงด้วย M79 ทุกปี แต่กลับไม่เคยมีใครในครอบครัวของเขาตายหรือบาดเจ็บสักคน !!


คลิกอ่าน มาเลเซียคนกลาง หรือตัวการ ? (พร้อมวิเคราะห์ข้อเสนอของBRN)



วันพุธที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2556

แผนชั่วของมาเลเซียใน 3 จังหวัดใต้ไทย







ตัวการใหญ่ปัญหาความรุนแรงภาคใต้ ตอน 2 แผนชั่วของมาเลเซียใน 3 จังหวัดใต้ไทย

เกริ่น

จากบทความที่แล้ว ผมได้เขียนถึงมูลเหตุจูงใจให้ มาเลเซียหันกลับมาเริ่มแผนก่อการร้ายในประเทศไทยอย่างรุนแรงครั้งใหญ่ใน 3 จังหวัดใต้อีกครั้งภายหลังปี 2547 เป็นต้นมา

แน่นอนในการก่อการร้ายทั้งหมดที่เกิดขึ้น ย่อมมีพวกขบวนการค้ายาเสพติด ขบวนการขนของหนีภาษี ขบวนการค้าของเถื่อน ขบวนค้าผู้หญิงส่งไปมาเลเซียและตะวันออกกลาง ขบวนการเรียกค่าคุ้มครอง ได้ร่วมสวมรอยในการก่อความรุนแรงใน 3 จังหวัดใต้ด้วย

เพราะการก่อความรุนแรงทุกครั้งจะสามารถเบี่ยงเบนความสนใจเจ้าหน้าที่รัฐได้เสมอ

-------------------------------

มาเลเซีย ปากปราศัย น้ำใจเชือดคอ

นโยบายตี 2 หน้าของมาเลเซีย นั่นคือ

ต่อหน้า มาเลเซียจะแสดงบทเป็นเพื่อนบ้านที่ดีกับประเทศไทย แต่อีกด้านคือ ให้การสนับสนุนพวกผู้ก่อการร้ายใน 3 จังหวัดใต้ ทั้งสนับสนุนที่พักอาศัยหลบซ่อน แก่กลุ่มผู้ก่อการร้ายในไทยทุกกลุ่ม

นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ว่า ทำไมรัฐบาลไทยที่ผ่านๆ มาหลายรัฐบาลต้องไปเจรจาขอความร่วมมือแก้ปัญหากับนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย 

และเพราะมาเลเซียรู้ดีว่า รัฐธรรมนูญของไทยไม่อาจแบ่งแยกดินแดนได้ และคนไทยไม่เคยรังเกียจผู้ที่นับถือต่างศาสนา คนไทยไม่รังเกียจคนไทยมีเชื้อชาติแตกต่างกัน ไม่ว่า จะชาวไทยซิกส์ ไทยมลายู ไทยเชื้อสายจีน หรืออื่นๆ ต่างร่วมอยู่บนแผ่นดินไทยได้อย่างมีความสุข

ชาวไทยมุสลิมใน3 จังหวัดภาคใต้ส่วนใหญ่ก็รักที่จะเป็นคนไทย ถึงแม้ตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา จะมีการยุยงว่า อยู่เป็นคนของประเทศไทยจะไม่เจริญเท่าไปเป็นคนมาเลเซีย ประเทศมาเลเซียเจริญกว่า เป็นคนมาเลเซียจะร่ำรวยกว่า สุขสบายกว่าก็ตาม

และพวกยุยงพยายามจะชี้ให้เห็นเสมอว่า เป็นคนไทยมุสลิมใน 3 จังหวัดใต้ ไม่มีความเท่าเทียมกับเป็นชาวไทยพุทธ

แต่ในความเป็นจริง จังหวัดที่มีชาวไทยมุสลิมมากกว่า90% อย่างเช่น ในจังหวัดสตูล กลับไม่ได้เชื่อตามเช่นนั้น จึงทำให้จังหวัดสตูลจึงมีความสงบสุขเพราะพวกเขายอมรับความเป็นคนไทย

และความจริง ชาวมาเลเซียเชื้อสายไทยที่อยู่ในมาเลเซีย กลับได้รับความไม่เท่าเทียมในการดำเนินชีวิตเหมือนคนมาเลเซียแท้ๆ ซึ่งในประเด็นนี้ ข่าว9 อสมท. เพิ่งจะนำเสนอสกู๊ปข่าวนี้ไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมานี่เอง

คลิกดูข่าว สิทธิภูมิบุตรคนมาเลเซียเชื้อสายไทย

--------------------

ที่ผ่านมาตลอดระยะเวลาหลายสิบปี แม้มีปัญหาก่อการร้ายเกิดขึ้นใน3 จังหวัดใต้มาโดยตลอด แต่คนไทยทุกเชื้อสายในพื้นที่ก็ยังอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข เพราะทุกคนรู้ดีว่า พวกแบ่งแยกดินแดนเป็นแค่พวกส่วนน้อยที่หลงผิดเท่านั้น

อย่างก๋งของผม เมื่อประมาณ 60-70 ปีก่อน ก๋งก็เคยไปทำงานที่ยะลาอยู่หลายปี ก๋งผมพูดให้ฟังเสมอว่า ยะลาคือจังหวัดที่อากาศดีที่สุดในประเทศไทย ถ้าเลือกได้ก๋งผมอยากอยู่ที่ยะลาตลอดชีวิต

ฉะนั้นเมื่อมาเลเซียต่อหน้าจึงแสดงความเป็นมิตรกับไทย  แต่อีกหน้าก็ยังอยากได้ดินแดนในส่วนที่เคยเป็นรัฐปัตตานีให้ไปเป็นส่วนหนึ่งของมาเลเซียเช่นกัน (อังกฤษตัดแบ่งดินแดนรัฐปัตตานีส่วนหนึ่งให้มาเลเซีย อีกส่วนยังอยู่กับไทยในสมัยรัชกาลที่ 5 )

เพราะทรัพยากรทั้งบนแผ่นดินและทางทะเลของ 3 จังหวัดใต้นั้นอุดมสมบูรณ์มาก และหาก 3 จังหวัดใต้ไปเป็นส่วนหนึ่งของประเทศมาเลเซียเมื่อไหร่ การลากเส้นทรัพยากรทางทะเลก็ต้องเปลี่ยนไปจากเดิมด้วยเช่นกัน

(ดูรูปประกอบแหล่งน้ำมัน ปัตตานี มาเลเซีย ด้านล่างบทความ)

-------------------

เมื่อการใช้ขบวนการก่อการร้ายกลุ่มต่างๆ ปฏิบัติการณ์ก่อการร้ายในไทย อย่างโจ่งแจ้งและอาจเป็นผลเสียต่อมาเลเซียเอง

มาเลเซียจึงต้องใช้ขบวนการก่อการร้ายที่เปิดเผยตัวตนไม่ได้อีกแล้ว เพราะมันชัดเจนเกินไป และหน่วยข่าวกรองไทยก็รู้ว่า พวกขบวนการก่อการร้ายหลายกลุ่มนั้น ก็ล้วนแต่มีมาเลเซียแอบหนุนหลังให้ทั้งสิ้น

ดังนั้น วิธีที่จะทำให้ 3 จังหวัดใต้แยกตัวจากไทยออกมาได้ ต้องทำด้วยวิธีดังต่อไปนี้

เริ่มจาก 4 ขั้นตอนแรก

1. การก่อการร้ายแบบไม่แสดงตัวตน

ทุกครั้งที่ก่อการร้าย จะต้องไม่มีการประกาศความรับผิดชอบ เพื่อที่จะไม่มีใครรู้ว่า กลุ่มไหนเป็นผู้กระทำ ซึ่งเมื่อไม่รู้ว่ากลุ่มไหนเป็นผู้ก่อการร้ายกันแน่ การโยงไปถึงต้นตอผู้สนับสนุนอย่างมาเลเซียก็จะยากขึ้น หรือจะโทษมาเลเซียก็คงไม่มีหลักฐานชัดเจน


2. เมื่อโจรไม่มีตัวตนแน่นอน ก็ก่อการร้ายได้ไม่เลือก

เราจึงได้เห็นการฆ่าแบบไม่เลือกของผู้ก่อการร้าย ที่ฆ่าได้แม้กระทั่งผู้หญิงและเด็ก ฆ่าชาวมุสลิมด้วยกันที่ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่รัฐ ฆ่าโดยไม่เลือกอาชีพ เช่นฆ่าได้แม้กระทั่งพระ หมอ และครู

พวกนี้มักอ้างว่า พระ และครูไทย จะมาปลูกฝังความเชื่อผิดๆ ให้คนในพื้นที่


3. สร้างความหวาดกลัวด้วยวิธีการป่าเถื่อนโหดร้าย

เมื่อโจรไม่มีตัวตน ไม่มีขบวนการแบ่งแยกดินแดนออกมาประกาศความรับผิดชอบในการกระทำในแต่ละครั้ง จึงสามารถกระทำการที่โหดเหี้ยมป่าเถื่อนได้มากขึ้นๆ เพื่อหวังสร้างความหวาดกลัวให้คนในพื้นที่

ถ้าเป็นคนไทยพุทธ หรือคนไทยเชื้อสายจีน ที่ปักหลักในพื้นที่มานาน ก็อาจทิ้งแผ่นดินออกจากพื้นที่ไปเพราะความหวาดกลัว ซึ่งในช่วงเกือบสิบปีที่ผ่านมา ได้มีคนไทยทิ้งแผ่นดินใน 3 จังหวัดใต้นี้เป็นจำนวนมากแล้ว


4. ฆ่าชาวมุสลิม ที่เอียงเข้าข้างฝ่ายรัฐไทย

การฆ่าของขบวนการแบ่งแยกดินแดนสมัยก่อน มักเลือกที่จะไม่ฆ่ามุสลิมด้วยกัน เพื่อหวังดึงมวลชนมาเป็นพวก แต่ตอนนี้พวกโจรรู้ว่า มุสลิมในพื้นที่ส่วนใหญ่รักความสงบ และไม่เข้าข้างพวกโจร

พวกโจรเลยฆ่าชาวมุสลิมด้วยกัน โดยเฉพาะมุสลิมที่ร่วมมือกับเจ้าหน้าที่รัฐไทย แถมบางครั้งพวกโจรยังใส่เสื้อเลียนแบบชุดทหาร เพื่อหวังใส่ร้ายเจ้าหน้าที่รัฐว่าฆ่าชาวมุสลิมอีกด้วย

เดี๋ยวนี้พวกโจรใต้ต้องใช้วิธีรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อให้คนในพื้นที่เกิดความหวาดกลัวมาก ๆ เพื่อหวังว่า สุดท้ายแม้ชาวมุสลิมที่ไม่เคยคิดอยากจะแบ่งแยกดินแดน ก็จะเริ่มทนไม่ไหวกับสถานการณ์ที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ  สุดท้ายก็จะต้องยอมแพ้แก่พวกโจรในที่สุด


เพราะสิ่งที่พวกผู้ก่อการร้ายหวังผลก็คือ

ให้คนในพื้นที่เริ่มยอมรับว่า  "จะเป็นคนบนแผ่นดินของชาติไหนก็ได้ ขอให้ความรุนแรงยุติลงโดยเร็วก็พอ"

นี่คือแผน 4 ขั้นแรก ที่พวกโจรใต้มุ่งหมาย ถ้าได้ตามนี้แล้ว แผนขั้นต่อไปที่พวกโจรต้องการก็คือ ... ?

------------

นครรัฐปัตตานี 



มาเลเซียจะแอบเจรจาลับๆ กับเจ้าของพรรคการเมืองชั่วๆ ที่ได้มาเป็นรัฐบาลไทย แล้วหวังผลประโยชน์ทับซ้อนลับ ๆ กับมาเลเซีย (ผลประโยชน์ทั้งทางบกและทางทะเล)

โดยรัฐบาลไทยชั่วๆ นั้นจะเสนอหน้าไปขอเจรจากับขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่มีตัวตน!! โดยจะมีมาเลเซียเป็นตัวกลางในการเจรจา และจะเรียกร้องให้รัฐบาลไทยเปิดโอกาสให้ 3 จังหวัด ยกระดับเป็นเขตปกครองพิเศษปัตตานี แล้วขอให้มี

1. ให้รัฐปัตตานีมีการเลือกผู้บริหารกันเองเช่นเดียวกับกรุงเทพมหานคร

2. ขอมีการเก็บภาษีรายได้ในท้องที่ของตัวเอง และขอแบ่งผลประโยชน์ต่างๆ ในพื้นที่คนละครึ่งกับรัฐบาลไทย

นี่คือหลักการขั้นต้นที่ กลุ่มก่อการร้ายจะเสนอ 

และหากได้เป็นเขตปกครองพิเศษนครรัฐปัตตานีได้แล้วเมื่อไหร่ จงเชื่อเถอะว่า ความรุนแรงในพื้นที่จะยังคงมีอยู่ แต่อาจน้อยลงบ้าง แต่ระดับความรุนแรงจะไม่น้อยลง

เพราะสิ่งที่มาเลเซียหวังลึกๆ ที่สุด ก็คือ ต้องการให้รัฐบาลไทยยอมให้นครรัฐปัตตานีสามารถทำประชามติว่า คนในเขตปกครองพิเศษปัตตานีต้องการจะแยกตัวออกมาจากประเทศไทยหรือไม่ ? 

โดยผู้บริหารรัฐปัตตานีจะยื่นเรื่องขอให้องค์การสหประชาชาติเข้าแทรกแซงร่วมกดดันรัฐบาลไทยด้วย

ซึ่งหากเขตปกครองนครรัฐปัตตานีแยกตัวออกจากประเทศไทยได้สำเร็จเมื่อไหร่ ?

และหลังจากนั้น อีกนาน  ผู้นำรัฐปัตตานีจะมีการขอให้ปัตตานีกลับไปเป็นส่วนหนึ่งของประเทศมาเลเซียแน่นอนครับ

-------------------

ข้อสังเกต

ที่ผ่านมาในการก่อความรุนแรงแต่ละครั้ง จะไม่มีขบวนการก่อการร้ายใดๆ แสดงความรับผิดชอบ เพราะถ้าแสดงตัวออกมา ก็คือจะถูกประณาม!!

และรัฐบาลไทยก็ไม่รู้ชัดเจนว่า กลุ่มไหนก่อการร้ายในเหตุการณ์ใดๆ บ้างชัดเจน

ตามหลักแล้ว ไทยเราก็ไม่ควรจะขอเจรจากับขบวนการแบ่งแยกดินแดนใดๆ ทั้งสิ้น จนกว่าจะรู้ว่า เหตุการณ์ไหน มีกลุ่มไหนเป็นผู้ก่อการ

ในเมื่อไม่เคยมีการประกาศความรับผิดชอบจากขบวนการก่อการร้ายกลุ่มใด ๆ เลย

แล้วเหตุไฉน รัฐบาลยิ่งลักษณ์ถึงคิดไปเจรจากับขบวนการก่อการร้ายเหล่านั้น ?



น.ส.ยิ่งลักษณ์ นายกรัฐมนตรีไทย และนายนาจิบ ราซัค นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย แถลงข่าวที่กัวลาลัมเปอร์ เรื่องการลงนามเพื่อเปิดการเจรจากันระหว่าง “บีอาร์เอ็น” กับทางการไทย โดยที่มีรัฐบาลมาเลเซียเป็นคนกลาง


ในเมื่อไม่มีกลุ่มไหนกล้าแสดงตัวรับผิดชอบ นั่นย่อมไม่มีประโยชน์ที่จะไปเจรจากับพวกที่ไร้ความรับผิดชอบ และไร้ความกล้าหาญเหล่านั้น

ฉะนั้น ถ้าจะเจรจาก็ต้องถามพวกมันก่อนว่า พวกมึงฆ่าผู้หญิง พระ ครู และเด็ก ทำไม ??

แล้วเหตุการณ์ไหนที่พวกมึงคือผู้กระทำ ??

ถ้าไม่มีกลุ่มไหนออกมาตอบในคำถามเหล่านี้ให้ได้ก่อน ก็ไม่มีประโยชน์ในการเจรจา เพราะพวกนี้ก็เป็นแค่พวกแอบอ้างมาสวมรอย เพื่อใช้ในการจัดฉากเจรจาเท่านั้น

หรือแม้แต่รัฐบาลไทยจะได้เจรจากับกลุ่มใดๆ แล้วก็ตาม รัฐบาลไทยก็ต้องไม่ยอมรับข้อเสนอจากกลุ่มใดๆ ทั้งสิ้น จนกว่าจะสามารถยุติความรุนแรงในพื้นที่ให้สงบอย่างน้อย 1 ปี เสียก่อน จึงจะมาเจรจากันใหม่ได้

เว้นแต่พวกคิดคดต่อชาติเท่านั้นแหละ ที่ไปยกระดับพวกขบวนการก่อการร้ายให้มันสำคัญขึ้นมาบนเวทีระดับนานาชาติ เพื่อหวังยกดินแดนให้พวกมันปกครอง


-----------------

ถาม เขตปกครองพิเศษปัตตานีจะมีได้ไหม ?

ตอบว่า สามารถมีได้แน่นอน แต่...

โดยหลักการแล้ว รัฐไทยไม่ควรยอมให้มีการแยกตัวออกมาเป็นเขตปกครองพิเศษปัตตานีเด็ดขาด จนกว่าปัญหาการก่อการร้ายและความรุนแรงในพื้นที่จะต้องสงบลงไม่ต่ำกว่า 20 ปีแล้วเท่านั้น

หากรัฐบาลไทยยุคไหน ไปยินยอมให้มีการแยกตัวเป็นรัฐปัตตานีก่อนที่เหตุการก่อการร้ายจะสงบเป็นเวลาอย่างน้อย 20ปี เมื่อไหร่ล่ะก็

ผมฟันธงได้เลยว่า รัฐบาลนั้นๆ ตั้งใจสวมรอยขายชาติ ยกแผ่นดินไทยให้มาเลเซียแน่นอน !! 


(หมายเหตุ กลุ่มก่อการร้ายใหม่ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับมาเลเซียเลย แต่หวังแบ่งแยกดินแดน หวังออกจากการเป็นคนไทยจริง ๆ ก็ยังมีอยู่ในพื้นที่ 3 จังหวัด หรือแม้แต่พวกค้ายาเสพติด ที่หลอกใช้วัยรุ่นในพื้นที่ ด้วยอ้างหลักศาสนาผิด ๆ ก็มี)


---------

3 ขั้นตอนทำลายล้างประเทศไทย เพื่อการแก้แค้นสาสม ! 

"เมื่อผมอยู่ไม่เป็นสุข ใครก็อย่าได้เป็นสุข"

1. ยกแผ่นดินซีกขวาของไทยให้เขมร (ซึกขวาเมื่อมองจากแผนที่โลกลงไป)
2. ยกแผ่นดินปลายด้ามขวานของไทยให้มาเลเซีย เพื่อแลกผลประโยชน์ทางทะเล
3. ให้คนไทยเป็นหนี้หัวโตไปทั้งชาติ

คลิกที่รูปเพื่อขยาย !!

http://imgur.com/8fZ8iqg

น้ำมันในน่านน้ำปาตานี-กลันตัน-ตรังกานู ซึ่งมาเลเซียเขาเรียกแหล่งน้ำมันตรงนี้ว่า แหล่งทาปิสซึ่งอยู่นอกชายฝั่งรัฐตรังกานูไป 200 กิโลเมตรเป็นน้ำมันที่คุณภาพดีที่สุดในโลก  เนื่องจากมีมลภาวะต่ำ จึงแพงที่สุดในโลกด้วย แพงกว่าน้ำมันที่เรียกว่าเบรนท์ ทะเลเหนือที่อังกฤษถึง 7 เหรียญต่อบาร์เรล ซึ่งข้อมูลตรงนี้ตรวจสอบได้จากหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็น บลูมเบิร์ก สถาบันปิโตรเลียมออสเตรเลีย (Australia Institute of Petroleum) ซึ่งมันก็ตรงข้ามกับที่กระทรวงพลังงานพูดทั้งหมด และเป็นเรื่องที่น่ากังขา"

บ่อนี้อยู่กึ่งระหว่างชายแดนปาตานี-มาเลเซีย ซึ่งมาเลย์มาขอเจรจาว่าเป็นพื้นที่ทัพซ้อนสมัยพล.อ.เกรียงศักดิ์ ขณะที่คนไทยที่ไปเจรจา(พล.ร.อ.....)ยอมรับว่าไม่ทราบว่ามีอะไรใต้ทะเล!!! ท่านดูแผนที่กันเองละกัน

(ขอบคุณรูปและข้อมูลจากแอ่งปิโตรเลียมจาก Patani forum)


คลิกอ่านตอน 3 ทำไมปัญหาภาคใต้ ยิ่งเจรจายิ่งรุนแรง



วันศุกร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2556

ตัวการใหญ่ปัญหาความรุนแรงภาคใต้







ปัญหาความรุนแรงใน 3 จังหวัดภาคใต้ของไทย แก้ไม่สำเร็จเพราะใคร ?

ก่อนอื่น ผมต้องขอบอกไว้ก่อนว่า ในบทความนี้ผมจะไม่ย้อนไปถึงที่มาที่ไปแห่งความขัดแย้งในอดีตจนเกิดขบวนการแบ่งแยกดินแดนนะครับ ผมจะขอเริ่มตรงจุดที่ความรุนแรงใน 3 จังหวัดใต้ เริ่มปะทุหนักเมื่อปี 2547 เรื่อยมา

----------------

เกริ่นเล็กน้อย

แม้ใน3จังหวัดใต้ จะมีความรุนแรงเช่นเผาโรงเรียน ยิงทหาร วางระเบิด เป็นระยะ ๆ มาตลอดช่วงเวลาหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง2475 เรื่อยมา

แต่คนไทยพุทธ คนไทยเชื้อสายจีน และพี่น้องมุสลิมใน 3 จังหวัดใต้ ก็ยังสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างดี และไม่ค่อยรู้สึกเป็นปัญหาความแตกแยกเท่าไหร่

เหตุการณ์สังหารในกรือเซะ และเหตุการณ์ที่ตากใบ ทางการทหารมารับรู้ทีหลังว่า นั่นคือหลุมพรางของผู้ก่อความไม่สงบ เพื่อหวังจุดชนวนความเกลียดชังในหมู่ชาวมุสลิมให้รู้สึกว่า มีการฆ่าชาวมุสลิมในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์

ซึ่งทหารและภาครัฐก็ตกหลุมพรางของพวกนี้ โดยที่มารู้ตัวว่าตกหลุมพรางเมื่อเหตุการณ์มันบานปลายไปแล้ว

และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นแรก ที่เริ่มเกิดความรุนแรงแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในประวัติศาสตร์การเรียกร้องแบ่งแยกดินแดน นั่นคือ การฆ่าแบบไม่สนใจว่าจะเป็นฝ่ายไหน ฆ่าทั้งไทยพุทธ ไทยมุสลิม ฆ่าแม้กระทั่งครู และผู้บริสุทธิ์มากมาย

ซึ่งแต่เดิมการต่อต้านรัฐไทย ฝ่ายแบ่งแยกดินแดนมักจะละเว้นผู้บริสุทธิ์ ละเว้นชาวมุสลิมด้วยกัน ละเว้นอาชีพหมอ พยาบาล ผู้พิพากษาและครู  เอาไว้ เพื่อดึงมวลชนสนับสนุน

แต่มาระยะหลังเกือบ10ปีมานี้ พวกเขาฆ่าอย่างโหดเหี้ยมโดยไม่เลือกหน้า ไม่สนว่าจะมีคนเกลียดชัง แต่ต้องการให้เกิดความหวาดกลัวของคนในพื้นที่เป็นหลัก

นี่จึงผิดวิสัยแห่งผู้ต่อสู้อย่างมีอุดมการณ์แท้จริง แต่เป็นการฆ่าอย่างเลือดเย็น แล้วเอาศาสนามาบังหน้าแบบผิดๆ เท่านั้น แต่เจตนาจริงๆ คือ ต้องการทำลายทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับรัฐไทย เพื่อ... ???

---------------

เชื่อหรือไม่ชนวนเหตุความรุนแรงหลังปี47 อาจมาจากเรื่องอาหารฮาลาล

เพราะประเทศมาเลเซีย คือผู้ผลิตอาหารฮาลาลรายใหญ่ของโลก และมาเลเซียต้องการเป็นศูนย์กลางอาหารฮาลาลที่สำคัญที่สุดของโลก (คลิกอ่านข้อมูล)

งานฮาลาลเอ๊กโป 2013 ที่กัวลาลัมเปอร์



แต่เมื่อปี พ.ศ. 2546 ตามที่คณะรัฐมนตรีในรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีมติเมื่อวันที่ 13 ส.ค. 2546 เห็นชอบให้มีการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารฮาลาล เพื่อการส่งออกทั่วโลก โดยให้ จ.ปัตตานีเป็นศูนย์กลางนิคมอุตสาหกรรมอาหารฮาลาล ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้

จนถึงขนาดอนุมัติงบประมาณสร้างนิคมอุตสาหกรรมอาหารฮาลาลในพื้นที่ไปหลายร้อยล้านบาท แต่ ณ:วันนี้กลายเป็นนิคมล้าง สร้างไม่เสร็จ

(หมายเหตุ แต่เดิมเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2544 คณะรัฐมนตรีก็เคยมีมติเห็นชอบแผนปฏิบัติการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารฮาลาลในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แผนพัฒนาการตลาด และแผนปรับปรุงกลไกการรับรองฮาลาล ซึ่งได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารฮาลาล โดยมีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา เป็นประธานกรรมการ มีหน้าที่สำคัญ คือ การพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารฮาลาลของประเทศไทยตามนโยบายของรัฐบาล)

ภายหลังจากที่มีมติครม.ทักษิณ เกี่ยวกับอาหารฮาลาลไปไม่กี่เดือน

ความรุนแรงใน3 จังหวัดใต้ก็เริ่มปะทุขึ้นอย่างรุนแรง โดยเริ่มจาก ในวันที่ 28 เมษายน 2547 ได้เกิดเหตุการณ์ที่มัสยิดกรือเซะ จะยะลา จนถึงขั้นเจ้าหน้าที่สังหารหมู่ผู้ก่อความไม่สงบในมัสยิด

ต่อมาเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2547 ก็เกิดกรณีตากใบ จ.นราธิวาส จนมีชาวไทยมุสลิมเสียชีวิต 85 คน

นี่คือข้อสันนิษฐานส่วนตัวของผม ที่ว่า เป็นไปได้หรือไม่ ที่มาเลเซียหวั่นเกรงว่าไทยจะมาเป็นคู่แข่งแย่งการค้าในเรื่องอาหารฮาลาลโลก

เพราะมาเลเซียเหมือนรู้ตัวว่า ถ้าเป็นเรื่องการแข่งขันอาหารกับคนไทย ไม่ว่าจะไทยพุทธหรือไทยมุสลิม คนไทยจะมีความเชี่ยวชาญด้านอาหารที่เหนือกว่ามาเลเซียแน่นอน

หากมาเลเซียต้องมาแข่งขันกับไทยในเรื่องศูนย์กลางอาหารฮาลาลโลก มาเลเซียคงคาดการณ์ว่า อาจจะสู้ไทยไม่ได้ จึงรีบตัดไปเสียแต่ต้นลม

โดยไม่ให้โครงการศูนย์กลางอาหารฮาลาลโลกของไทยได้ผุดได้เกิดขึ้นเลย ด้วยการเริ่มวางแผนและสนับสนุนกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบเพื่อการก่อการร้ายครั้งใหม่ใน 3 จังหวัดใต้ของไทย ในปี 2547 เรื่อยมาจนวันนี้

---------------------

เมื่อไม่มีขบวนการแย่งแยกดินแดนประกาศตัวชัดเจน

ตามปกติหากจะคิดขอแบ่งแยกดินแดน ก็ต้องมีการประกาศตัวว่า ใครคือผู้ก่อเหตุ ต้องแสดงความรับผิดชอบหลังการก่อเหตุร้ายต่างๆ เหมือนดั่งที่ขบวนการแบ่งแยกดินแดนของแท้ในประเทศอื่น ๆ เขาปฏิบัติกัน

และจะต้องมีการประกาศว่า ใครคือผู้นำขบวนการขอแบ่งแยกดินแดน เพื่อว่า หากรัฐไทยมีอยากเจรจาเพื่อจะยกดินแดนให้จริงๆ รัฐไทยก็ควรต้องรู้ว่า ใครจะมาเป็นผู้ปกครองในดินแดนที่แยกตัวนั้นๆ ดั่งที่เกิดขึ้นในหลายๆ ประเทศทั่วโลก

แต่ในกรณีความรุนแรง 3 จังหวัดใต้ กลับไม่มีใครที่ไหนออกมาประกาศความรับผิดชอบในการก่อเหตุ

เมื่อไม่มีใครออกมาแสดงตัวว่า คือผู้นำขอแบ่งแยกดินแดนตัวจริง ซึ่งทุกครั้งที่เกิดเหตุความรุนแรงในพื้นที่ ไม่เคยมีขบวนการใดๆ มาอ้างตัวเพื่อแสดงความรับผิดชอบในการก่อเหตุ

เหตุที่เกิดขึ้นล้วนแต่เป็นกรณีหมาลอบกัด สังหารผู้บริสุทธิ์ ซึ่งขัดกับหลักสันติภาพอย่างรุนแรง แม้แต่โลกมุสลิมก็ไม่อาจยอมรับได้

ฉะนั้น เมื่อผู้ก่อความไม่สงบไม่มีตัวตนแท้จริง และไม่มีผู้นำตัวจริงที่สามารถควบคุมสถานการณ์ความรุนแรงได้ เช่นนั้นแล้ว รัฐไทยถ้าอยากจะยกดินแดนให้ ก็ไม่รู้จะยกให้ใครที่เป็นผู้นำตัวจริง

ซึ่งวิธีพิสูจน์ว่า ใครคือผู้นำก่อความไม่สงบตัวจริง ก็คือ ต้องสามารถสั่งให้หยุดความรุนแรงให้ได้อย่างน้อย 1 ปี ขึ้นไป

เมื่อหยุดความรุนแรงได้อย่างน้อย 1 ปีได้แล้ว รัฐไทยถึงจะยอมเจรจาสันติภาพด้วยได้

แต่หากผู้ก่อความไม่สงบยังไร้มโนธรรม ยังสังหารผู้บริสุทธิ์อยู่แทบทุกวัน มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่รัฐไทยจะต้องไปขอเจรจากับพวกชั่วไร้อุดมการณ์ที่ฆ่าผู้บริสุทธิ์อย่างเลือดเย็นเหล่านั้นด้วย

เว้นแต่ว่า รัฐบาลไทยที่คิดไปเจรจาปาหี่กับผู้ก่อการร้ายตัวปลอม จะคิดไม่ซื่อต่อประเทศไทยเสียเอง!!

ฉะนั้น ในเรื่องขอแบ่งแยกดินแดนคราวนี้ มันจึงมีอะไรที่ซับซ้อนกว่า แค่ขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่ผ่านมาในอดีตแน่นอน

และใครคือตัวการสำคัญ ในการสนับสนุนพวกชั่วเหล่านี้ ??

-----------------------

เมื่อผู้ก่อการร้ายไม่ประกาศตัวชัดเจน แล้วพวกนี้หวังอะไร ?

ตามรัฐธรรมนูญไทย ย่อมไม่อาจแบ่งแยกดินแดนได้ เพราะราชอาณาจักรไทยเป็นอันหนึ่งอันเดียวแบ่งแยกมิได้ และหากจะใช้การต่อสู้ด้วยกำลังและสงครามเปิดเผยเพื่อขอแบ่งแยกดินแดน พวกขบวนการแบ่งแยกดินแดนก็รู้ดีว่า สู้รัฐไทยไม่ได้เช่นกัน

ถามว่า ในอดีตจนปัจจุบัน เวลาเจ้าหน้าที่ตามจับพวกผู้ก่อการร้าย ทำไมมักจับไม่ได้ ?

คำตอบคือ พวกผู้ก่อการร้ายใต้ และผู้นำขบวนการแบ่งแยกดินแดน มักหลบหนีเข้าไปในมาเลเซีย และเพราะมาเลเซียไม่เคยมีความจริงใจที่จะช่วยไทยในการแก้ปัญหาบุคคล2 สัญชาติ

มาเลเซียไม่เคยร่วมมือในการส่งผู้นำขบวนการแบ่งแยกดินแดนให้ไทย มาเลเซียมักเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น แต่แอบให้ที่หลบซ่อนแก่กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบในไทยมาโดยตลอดหลายสิบปี

ทำให้ปัญหาขบวนการแบ่งแยกดินแดนในไทย จึงไม่เคยแก้ได้จนวันนี้

ในขณะที่ไทยช่วยปราบจีนคอมมิวนิสต์มลายู ที่ต้องการแบ่งแยกดินแดนกับมาเลเซียจนสำเร็จ จนมาเลเซียมีความสงบมาจนวันนี้ แต่ในทางกลับกัน มาเลเซียกลับไม่เคยช่วยไทยอย่างจริงใจ และจริงจัง จึงทำให้ปัญหาผู้ก่อการร้ายหนีไปฝึก ไปกบดาน ไปซื้ออาวุธ ไปซื้อวัตถุระเบิดยี่ห้อของมาเลเซียเอง มาใช้ปฏิบัติการความรุนแรงในไทยได้อย่างสม่ำเสมอ

ฉะนั้นในเบื้องแรก ผมขอฟันธงไปว่า มาเลเซียคือตัวการสนับสนุนที่สำคัญที่สุด ในการช่วยเหลือกลุ่มขบวนการแบ่งแยกดินแดนในไทย (นอกเหนือจากกลุ่มเศรษฐีในแถบอาหรับที่อาจเคยให้เงินสนับสนุนขบวนการแบ่งแยกดินแดน)

เพราะถ้ามาเลเซียไม่ให้คนพวกนี้ได้มีที่หลบซ่อนอย่างจริงจัง ไมให้การช่วยเหลือพวกนี้อย่างลับๆ ป่านนี้ขบวนการแบ่งแยกดินแดนเหล่านี้ มันต้องตายไปจากไทยนานแล้ว

แต่เพราะมาเลเซียก็รู้ว่า ถ้าจะสนับสนุนลับๆ ให้พวกขบวนการแบ่งแยกดินแดนก่อการร้ายด้วยวิธีการเดิมๆ เหมือนในอดีตที่ผ่านมาหลายสิบปี ย่อมไม่มีทางสำเร็จแน่นอน จึงได้วางแผนที่ลึกซึ้งไปกว่านั้น นั่นคือ


คลิกอ่าน แผนชั่วของมาเลเซีย ใน 3 จังหวัดใต้ 



ผู้ติดตาม