วันจันทร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2559

30 บาทรักษาทุกโรค ในยุคทักษิณห่วยที่สุด




ก่อนอื่นผมต้องบอกก่อนว่า ผมชื่นชมนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค เพราะเป็นนโยบายที่คนจนได้ประโยชน์มากที่สุด

แน่นอน นโยบายนี้ได้ทำให้ทักษิณได้คะแนนนิยมมากที่สุด ซึ่งเราต้องยอมรับว่า ในเมื่อรัฐบาลทักษิณเป็นคนเริ่มนโยบายนี้ ก็ย่อมต้องได้เครดิตในฐานะผู้กล้าเริ่มทำนโยบายนี้เป็นการตอบแทน

แต่ทักษิณเริ่มนโยบายที่ดีก็จริงแต่บริการแสนห่วยทิ้งเอาไว้

แต่ผู้ที่แก้ปัญหาให้นโยบายที่และมีการบริการที่ดีขึ้นตามลำดับ ก็คือ บุคลากรทางการแพทย์ที่เสียสละอย่างอดทน ไม่ลาออกหนีไปโรงพยาบาลเอกชนเพราะงานหนักขึ้นหลายเท่า รวมถึงรัฐบาลสมัยต่อมา เช่น รัฐบาลสุรยุทธ์ และรัฐบาลอภิสิทธิ์ ต่างหากที่พยายามเพิ่มการบริการในโครงการนี้ให้ดีขึ้น จนประชาชนได้รับสิทธิที่ดีขึ้นกว่าในยุคทักษิณทั้ง 2 สมัย

เพราะใน 2 สมัยของรัฐบาลทักษิณ ตั้งแต่เริ่มโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคก็แทบไม่ช่วยพัฒนาการบริการและสิทธิให้ดีขึ้นกว่าตอนแรกเริ่มประกาศใช้โครงการเลย

การที่ทุกคนรู้สึกว่า โครงการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (ชื่อปัจจุบัน) หรือ สิทธิ สปสช. ดีขึ้นมากในปัจจุบันนี้นั้น ควรจะต้องขอบคุณรัฐบาลสุรยุทธ์ กับ รัฐบาลอภิสิทธิ์ มากกว่ารัฐบาลใด ๆ

เพราะสิทธิของผู้ป่วยได้รับการปรับปรุงมากที่สุดใน 2 ยุคนี้ เพราะรัฐบาลทั้งสองยุคนี้ เป็นยุคที่เศรษฐกิจไทยดีมาก

ในขณะช่วงรัฐบาลยิ่งลักษณ์กลับไม่ค่อยพัฒนาหรือปรับปรุงคุณภาพสิทธิของผู้ป่วย สปสช. สักเท่าไหร่นัก เหตุเพราะรัฐบาลเอางบประมาณไปทุ่มกับโครงการรับจำนำข้าวมากเกินไป จนงบประมาณชาติต้องขาดทุนเสียหายย่อยยับสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์


ส่วนสิ่งที่ยังผิดพลาดในนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรคคือ ทำเป็นประชานิยมมากไป ซึ่งแตกต่างจากรัฐสวัสดิการ ที่รัฐจะเก็บภาษีจากประชาชนค่อนข้างสูงมากเพื่อนำมาสนับสนุนโครงการรัฐสวัสดิการ ในขณะที่การจัดเก็บภาษีของไทยได้น้อยกว่าที่ควรจะเป็น

และนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค ก็ไม่กำหนดวิธีการหาเงินเข้ารัฐให้ชัดเจนว่า จะนำเงินจากตรงไหนมาอุดหนุน นี่คือจุดบกพร่อง

เพราะถ้าให้ดีควรกำหนดไปเลยอย่างเช่น อาจกำหนดภาษีมูลค่าเพิ่มจำนวนที่กี่เปอร์เซนต์ว่า จะนำมาใช้อุดหนุนโครงการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเท่าไหร่

หรือเช่นกำหนดไปเลยว่า ภาษีสรรพสามิตของเหล้า บุหรี่ ภาษีจากน้ำมันซึ่งก่อมลพิษในอากาศ ว่าจะนำมาอุดหนุนโครงการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติกี่เปอร์เซนต์

หรือเช่น ปฏิรูปการจัดเก็บภาษีที่ดินที่ไร้ประโยชน์จากพวกเศรษฐีที่ดินทั้งหลายในอัตราก้าวหน้า เพื่อมาอุดหนุนรัฐสวัสดิการด้านสุขภาพประชาชน เป็นต้น

ซึ่งจะทำให้รัฐเห็นรายได้ชัดเจนที่จะนำมาใช้เพื่อรัฐสวัสดิการเพื่อสุขภาพประชาชน

------------------

และที่ผมบอกว่า 30 บาทยุคทักษิณห่วยสุด เพราะตอนนั้นทำโฆษณาประชาสัมพันธ์ว่า รักษาทุกโรค

เคยมีคุณหมอท่านนึงลุกขึ้นถาม นายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงษ์ลี ซึ่งเป็นรัฐมนตรีสาธารณสุขในยุครัฐบาลทักษิณ 1 ในการสัมนาเรื่อง 30 บาททุกโรคก่อนที่จะออกเป็นนโยบายจริง ๆ ในเวลาต่อมาที่โรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่งว่า แล้วการล้างไตทางช่องท้อง และการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมนั้น บัตรทอง 30 บาทรักษาทุกโรคครอบคลุมการรักษาโรคไตวายหรือไม่

นพ.สุรพงษ์ ตอบทันทีว่า ไม่ครอบคลุมโรคไตวาย รวมถึงการผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะทุกชนิด (แม้กระทั่งผ่าตัดหัวใจ และโรคทันตกรรม ในตอนนั้นก็ไม่ครอบคลุม)

แต่ในยุคต่อมาในรัฐบาลสุรยุทธ์ ก็ได้พัฒนาบริการ 30 บาทรักษาทุกโรคให้ดีขึ้น จนครอบคลุมหลาย ๆ โรค เช่น รวมการรักษาโรคไตวายทั้งการล้างไตทางช่องท้อง การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม รวมถึงการผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะต่าง ๆ และบัญชียาหลักแห่งชาติก็ปรับให้ดีขึ้นมาก

ค่าหัวโครงการบัตรทองในยุคทักษิณ พ.ศ.2544 มีงบประมาณ 48,000 ล้านบาท ในยุคนั้นจะตกหัวละประมาณ 1,100 บาทต่อปีเท่านั้น

แต่ใน พ.ศ. 2558 งบประมาณบัตรทองหรือ 30 บาท อยู่ที่ 153,151.66 ล้านบาท (อ่านว่า หนึ่งแสนห้าหมื่นสามพันหนึ่งร้อยห้าสิบเอ็ดล้านหกแสนหกหมื่นล้านบาท) หรือตกหัวละ 2,895 บาทต่อคนต่อปี

และในปี 2559 คาดว่างบประมมณก็จะเพิ่มขึ้นเป็นหัวละ 3 พันกว่าบาท

เพราะงบประมาณมีแต่เพิ่มขึ้น การบริหารจัดการในปี 2558 - 2559 ก็ย่อมต้องยากขึ้นกว่ายุคทักษิณ

-----------------------

ในยุคทักษิณเริ่ม 30 บาทรักษาทุโรค ได้ก่อปัญหาทางการแพทย์มากมาย ทำให้แพทย์และพยาบาลสมองไหลออกไปอยู่โรงพยาบาลเอกชนที่พรรคพวกของทักษิณ รวมทั้งทักษิณเองถือหุ้นในโรงพยาบาลเอกชนหลายโรงพยาบาล

เพราะงบประมาณเพื่อรองรับการเจ็บป่วยประชาชนมันไม่สมดุลกัน แพทย์ที่มีน้อยไม่พอแก่ความต้องการอยู่แล้ว ก็ยิ่งไม่พอมากขึ้น เพราะแพทย์หนีออกจากระบบ 30 บาทรักษาทุกโรค ไปเป็นหมอโรงพยาบาลเอกชนเพื่อสนองนโยบายฮับทางการแพทย์ ที่เริ่มขึ้นในสมัยทักษิณนั่นแหละ


พวกเสื้อแดงมักอวยทักษิณแบบไม่รู้ที่มาที่ไป มักอ้างว่า ทำไมทักษิณถึงบริหารจัดการงบประมาณ 30 บาทรักษาทุกโรคได้

ขอตอบว่า ก็ตอนนั้นประเทศไทยเริ่มมีเงินมากขึ้น ผ่านวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 มาได้แล้ว และที่ผ่านมาได้ก็เพราะรัฐบาลชวนได้แก้ปัญหาเศรษฐกิจเอาไว้ก่อน แต่ทักษิณมาได้หน้าในยุคต่อมาแทน แล้วแอบอ้างว่าเป็นผลงานของตนเองคนเดียวที่ทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น

รวมทั้งอ้างเอาหน้าว่าใช้หนี้ไอเอ็มเอฟก่อนกำหนด ทั้ง ๆ ที่ใช้หนี้ได้ก่อนกำหนดเพราะรัฐบาลชวนไม่กู้เงินไอเอ็มเอฟจนเต็มวงเงินที่เคยทำเรื่องขอกู้ไว้ในยุครัฐบาลชวลิต

รายละเอียดเรื่อง ไอเอ็มเอฟ ผมได้เขียนไว้แล้วในบทความเรื่อง ใครกู้ไอเอ็มเอฟ ใครปลอดแอกไอเอ็มเอฟ ใครผลาญเงินเอาหน้า


ที่ว่าเศรษฐกิจดีขึ้น แม้แต่ในยุครัฐบาลสุรยุทธ์ เศรษฐกิจก็ดีขึ้นกว่ายุคทักษิณ เพราะการส่งออกยุคสุรยุทธ์ทำลายสถิติสูงสุด เหตุเพราะสถานการณ์เศรษฐกิจโลกเอื้ออำนวยด้วยนั่นแหละ

ในยุครัฐบาลสุรยุทธ์ ก็เลยยกเลิกการจัดเก็บเงิน 30 บาทรักษาทุกโรค ให้เป็นรักษาฟรีเลย เพราะเงินในคลังเริ่มมีมากขึ้น

แล้วโครงการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติก็พัฒนาขึ้นเรื่อยมา งบก็มากขึ้นเรื่อยมา

-------------------------

จนกระทั่งมาถึงรัฐบาลยิ่งลักษณ์นี่แหละ ที่ใช้เงินผิดพลาดไปกับโครงการรับจำนำข้าวทุกเมล็ดราคาสูงกว่าตลาดโลกกว่า 50 % จนข้าวไทยขายไม่ออกเหลือค้างโกดังกว่า 18 ล้านตัน เสียหายขาดทุนกว่า 5 แสนล้านบาท

ซึ่งความเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ต้องกลายเป็นภาระหนี้ที่รัฐบาลต่อ ๆ มา ต้องชดใช้หนี้ปีละไม่ต่ำกว่า 6 หมื่นล้านบาทไปร่วม ๆ 20 ปี กว่าจะหมด

ลองคิดดูเงินจำนวน 5 แสนล้านบาท (ยังไม่รวมดอกเบี้ยเงินกู้) สามารถสร้างโรงพยาบาลดี ๆ หรือ สามารถซื้ออุปกรณ์ทางการการแพทย์ที่ขาดแคลนไปให้โรงพยาบาลในชนบทที่ห่างไกลจะได้มากขนาดไหน

รวมทั้งนโยบายรถยนต์คันแรก ที่เสียเงินภาษีเข้ารัฐโดยใช่เหตุ ทำอุปสงค์อุปทานตลาดรถยนต์ปั่นป่วนไปหมด กระทบไปถึงตลาดรถมือสองด้วย

จนถึงขนาดที่ว่า ค่ายรถยนต์ทุกค่าย ต้องออกมาขอร้องว่า ต่อไปรัฐบาลกรุณาอย่าทำโครงการรถยนต์คันแรกอีกเลย เพราะมันกระทบอุตสาหกรรมรถยนต์โดยรวม มีผลเสียมากกว่าผลได้

และยุคยิ่งลักษณ์นี่แหละที่งบประมาณเริ่มขาดมือ จนต้องกลับมาเก็บเงิน 30 บาทรักษาทุกโรคอีกครั้ง แถมเริ่มมีแนวคิดที่จะให้ผู้ใช้สิทธิ สปสช. ต้องร่วมจ่ายสมทบค่ารักษาพยาบาลด้วย 

เพราะงบประมาณประเทศเริ่มขาดสภาพคล่อง จนผมต้องเขียนบทความเรื่อง "ปฏิรูปหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ต้องสอนให้คนไทยรู้ทันประชานิยมชั่ว" ขึ้นมาว่า สาเหตุเพราะรัฐบาลเอาเงินไปใช้ในประชานิยมแบบผิด ๆ จนมากระทบสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนทั้งประเทศ

คลิกอ่าน ปฏิรูปหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ต้องสอนให้คนไทยรู้ทันประชานิยมชั่ว ๆ

---------------------------

ผมเองเขียนบทความเรื่อง จะปฏิรูปหลักประกันสุขภาพ ต้องสอนให้คนไทยรู้ทันประชานิยมชั่ว ๆ

ซึ่งในบทความดังกล่าวได้อธิบายเหตุผลที่ ทำให้หลักประกันสุขภาพมีปัญหาสภาพคล่อง ก็เพราะรัฐบาลยิ่งลักษณ์นี่แหละ

แน่นอน โครงการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเป็นนโยบายที่ดี ห้ามยกเลิกเด็ดขาด แต่ต้องปรับปรุงและพัฒนาการใช้จ่ายงบให้รอบคอบมากขึ้น

อย่างเช่น พวกเมาแล้วขับจนเกิดอุบัติเหตุ กรณีนี้แม้แต่การประกันภัยทุกประเภทตั้งแต่ประเภทที่ 1 ไปถึงประเภทที่ 3 บริษัทประกันจะไม่จ่ายสินไหมกรณีเมาแล้วขับที่มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 150 มก.% จนก่อให้เกิดอุบัติเหตุ สุดท้ายภาระค่ารักษาพยาบาลทั้งหมดก็ตกมาเป็นภาระที่งบ สปสช.แทน

ดังนั้นกรณีเมาแล้วขับสมควรร่วมจ่ายค่ารักษาพยาบาลสมทบด้วย


หรืออย่างเช่น พวกอันธพาลตีกัน ก็สมควรต้องร่วมจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลสมทบด้วย

หรืออย่างเช่น พวกขับรถแต่ไม่ทำพ.ร.บ.ประกันภัยบุคคลที่ 3 พวกนี้พอไปทำให้คนอื่นบาดเจ็บ หรือตัวเองบาดเจ็บเอง แทนที่จะเบิกเงินค่ารักษาพยาบาลจาก พ.ร.บ.ฯ ได้ แต่กลับเบิกไม่ได้ เพราะไม่ทำประกันไว้ ก็ต้องให้โครงการ สปสช.มาแบกรับภาระไว้อีก

หรืออย่างเช่น พวกโจรไปปล้นเขา ทำผิดกฎหมายเองจนตัวเองถูกยิงบาดเจ็บเอง ก็ต้องมาเปลืองค่ารักษาพยาบาลจาก สปสช. ด้วย

นี่คือตัวอย่างที่น่าจะนำไปพิจารณาว่า คนที่กระทำผิดกฎหมายเหล่านี้ สมควรได้รับค่ารักษาพยาบาลฟรีทั้งหมดหรือไม่ ? หรือสมควรร่วมจ่ายสมทบ ?

-----------------

แนะนำอ่านบทความที่เกี่ยวข้อง

คลิกอ่าน วิเคราหะ์คำว่า "โกงแต่ให้ประชาชน"

คลิกอ่าน จากลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีกอังกฤษ ถึง 30 บาทรักษาทุกโรค

ดูทักษิณมันทำ ถวายบัตร 30 บาทให้ในหลวง





ผู้ติดตาม