วันอาทิตย์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2555

ราคาอาหารจานเดียวที่เป็นธรรมควรอยู่ที่เท่าไหร่?






ราคาอาหารจานเดียว อาหารสำเร็จรูป หรือราคาข้าวแกง ราคาก๋วยเตี๋ยว และอื่นๆ (ข้าวมันไก่, ข้าวหมูแดง ฯลฯ) ควรอยู่ที่เท่าไหร่? ถึงจะเหมาะสม และเป็นธรรมต่อผู้บริโภค

หลังจากผมได้ไปค้นข้อมูลอัตราค่าแรงขั้นต่ำย้อนหลังจากกระทรวงแรงงานมาแล้ว เพื่อการอ้างอิงที่ถูกต้องสำหรับบทความนี้

ผมจึงขอเล่าย้อนหลังกลับไป เมื่อสมัยผมยังเด็กๆ แล้วกัน

เมื่อวันที่ 1ตุลาคม พ.ศ. 2525  ค่าแรงขั้นต่ำในกรุงเทพฯ และปริมณฑล อยู่ที่  61 บาทต่อวัน

ในขณะนั้น ผมจำได้ว่า ผมกินก๋วยเตี๋ยวหมูแบบไทยๆ ที่เพิงของป้าปราณี ชามละ 5บาท น้ำเปล่าตักจากกระติกกินเอง 

ส่วนก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาและก๋วยเตี๋ยวเป็ดร้านอาแปะแถวบ้าน ชามใหญ่กว่าก๋วยเตี๋ยวร้านป้าปราณี ราคาชามละ 6 บาท อย่างอิ่มแปร้และอร่อยด้วย ส่วนน้ำแข็งเปล่า แก้วละ 50 สต. มีชาจีนในกา วางอยู่ทุกโต๊ะ มีให้เติมได้ตามสบาย 

ส่วนผม ลูกค้าประจำร้านอาแปะ น้ำแข็งเปล่าฟรี ตักเองเลย ^^

ส่วนราคาข้าวแกงโดยทั่วไป จานละ5บาท ถ้ากับ2อย่าง ก็ 6 บาท

อัตราส่วนค่าแรงขั้นต่ำต่ออาหารจานเดียวปี 2525 คือประมาณ 10 เท่า

---------

เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2530   ค่าแรงขั้นต่ำในกรุงเทพฯ และปริมณฑล อยู่ที่ 73 บาทต่อวัน

ผมจำได้ว่า ก๋วยเตี๋ยวร้านอาแปะ ร้านที่ผมกินประจำที่สุด ได้ขายในราคาขามละ 7 บาทแล้ว เพราะผมกลับจากโรงเรียนมักหิว ก็จะแวะซื้อเข้าบ้านกินรองท้องก่อนอาหารเย็น ข้าวแกงทั่วไปก็ จานละ 5-6 บาท


อัตราส่วนค่าแรงขั้นต่ำต่ออาหารจานเดียวปี 2530  ก็ยังประมาณ 10 เท่า


---------

เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธุ์ พ.ศ. 2534   ค่าแรงขั้นต่ำในกรุงเทพฯ และปริมณฑล อยู่ที่ 100 บาทต่อวัน

ผมจำได้ดีเลยว่า ช่วงนั้น ผมชอบกินข้าวมันไก่เจ้าอร่อยอยู่เจ้านึง ราคาจานละ 10 บาท 
ส่วนก๋วยเตี๋ยวร้านอาแปะ ก็ชามละ 10 บาทเหมือนกัน

ส่วนราคาข้าวแกงตอนนั้น จานละ 7-8 บาท 2 อย่าง 10

อัตราส่วนค่าแรงขั้นต่ำต่ออาหารจานเดียวปี 2534 ก็ประมาณ 10 เท่าเช่นกัน


----------

เมื่อวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ.2535   ค่าแรงขั้นต่ำในกรุงเทพฯ และปริมณฑล อยู่ที่ 115 บาทต่อวัน

ก๋วยเตี๋ยวเนื้อเจ้าอร่อยหน้าเซ็นทรัลลาดพร้าวตรงใต้สะพานวกเข้าถนนลาดพร้าว ผมแวะกินประจำตอนลงรถเมล์ ชามละ11บาท พิเศษ13บาท แต่ชามใหญ่จริงๆ (เจ้านี้จะขายแพงกว่าร้านทั่วไป1บาท)

ส่วนข้าวกะเพราหมูเจ้าอร่อยสุดในโลก ในซอยบ้านผม จานละ10บาท ถ้าเพิ่มไข่ดาวก็อีกฟองละ3บาท และข้าวขาหมูในซอยบ้าน ที่ผมชอบกินตอนเช้า ก็ยังจานละ10บาทเท่านั้น 


อัตราส่วนค่าแรงขั้นต่ำต่ออาหารจานเดียวปี 2535 ก็ยังเกือบ 10 เท่า คือไม่ถึง 10 เท่า แสดงว่ามีแนวโน้มเริ่มแพงกว่าในอดีตแล้ว


-------------------

อัตราค่าแรงขึั้นตำ / ราคาอาหารจานเดียวในอดีต

จากตัวเลขคร่าวๆ ในอดีตที่ผมนำมาให้ดูนั้น ได้ชี้ให้เห็นถึงอัตราค่าแรงขั้นต่ำ ต่อ ราคาอาหารจานเดียว ว่า จะอยู่ที่

อัตราค่าแรงขั้นต่ำ สามารถซื้ออาหารจานเดียวได้ 10 จาน โดยเฉลี่ย

แต่เมื่ออาหารจานเดียวส่วนใหญ่ ขึ้นไปที่ราคาจานละ หรือชามละ 15บาทแล้ว หลังจากนั้น แทบไม่มีการปรับราคาขึ้นทีละบาทสองบาท เหมือนดั่งในอดีต มักขึ้นราคาพรวดเดียวทีละ 5บาท กันทั้งนั้น

คุณแทบไม่เคยเห็น ก๋วยเตี๋ยวชามละ 17 บาท ข้าวมันไก่จานละ 22 บาท จริงมั้ย??

และก่อนที่ค่าแรงขั้นต่ำ จะอยู่ที่300บาทต่อวันในกรุงเทพและปริมณฑล ตั้งแต่เมื่อต้นเดือนเมษายน55 ที่ผ่านมา

จากปีที่แล้วถึงเดือนมีนาคม55 ราคาค่าแรงขั้นต่ำกรุงเทพฯ ยังอยู่ที่ 216 บาทต่อวัน แต่ราคาอาหารจานเดียวน่ะ ส่วนใหญ่ขายจานละ 30 บาทมานานแล้ว จริงมั้ย?

นั่นก็แปลว่า ค่าแรงขั้นต่ำ ไม่สามารถซื้ออาหารจานเดียว ได้10 จานเหมือนที่เคยซื้อได้ในอดีต

และเมื่อค่าแรงขั้นต่ำในกรุงเทพฯ มาอยู่ที่ 300บาทต่อวัน ตอนนี้ผมเห็นก๋วยเตี๋ยวหลายร้าน ทั้งข้าวขาหมู ราดหน้า อีกหลายร้านแถวบ้านผม ราคาจานละ 35บาท ถึง 40บาทไปแล้ว

เท่ากับว่า ค่าแรง 300บาท ที่รัฐบาลให้มา ก็ยังไม่สามารถซื้ออาหารจานเดียวได้10จานเหมือนที่เคยซื้อได้ในอดีต

-------------------------

ราคาอาหารจานเดียว ที่เหมาะสมควรอยู่ที่เท่าไหร่ ?

จริงๆแล้ว ถ้าเทียบกับเมื่อ20-30 ปีที่แล้ว ราคาอาหารจานเดียวจำนวน 10 จานรวมแล้วไม่ควรเกินอัตราค่าแรงขั้นต่ำ จึงจะพอจะเป็นธรรมขึ้นมาหน่อย 

** หรือถ้าคิดเป็นสูตรก็คือ ค่าแรงขั้นต่ำ หาร ราคาอาหารจานเดียว ต้องไม่เกิน 10 เท่า **

แต่ถ้าเทียบกับในประเทศอื่น ๆ ราคาอาหารจานเดียวของไทยยังถือว่าแพงกว่าประเทศอื่นๆ

เพราะถ้าจะให้อาหารจานเดียวราคาถูกและเป็นธรรมต่อผู้ได้ค่าแรงงานขั้นต่ำ นั้น

ค่าแรงขั้นต่ำ เมื่อหารด้วย ราคาอาหารจานเดียว ต้องประมาณ 12-15 เท่า 

หากน้อยกว่านี้ จัดว่าผู้ใช้แรงงานระดับล่างสุดกำลังถูกสังคมเอาเปรียบ

--------------------

ตัวอย่างเพื่อความเป็นธรรมเช่น 

เมื่อปีที่แล้วค่าแรงขั้นต่ำในกรุงเทพวันละ 216 บาท อาหารจานเดียวก็ไม่ควรเกินจานละ 20 บาท ถึงจะถือเป็นธรรมต่อประชาชนระดับล่างสุด 

แต่ความจริงราคาอาหารจานเดียวกลับขาย 30บาทกันมานานแล้ว นี่คือความผิดปกติในระบบการค้า หรือไม่ก็ในระบบค่าแรง ซึ่งรัฐบาลต้องหาสาเหตุนี้ให้ได้

ซึ่งความจริงแล้ว ตอนนี้คนไทยโดนเอาเปรียบมาก เพราะอาหารจานเดียวที่ขายในปัจจุบัน ทั้งราคาแพง แต่ปริมาณกลับน้อยลงกว่าในอดีตมากๆ

เมื่อก่อนก๋วยเตี๋ยวร้านอาแปะ ที่ผมเคยซื้อกินประจำ ชามใหญ่มาก กินชามเดียวอิ่มแปร้ แต่เดี๋ยวนี้หาก๋วยเตี๋ยวชามใหญ่แบบนั้นแทบไม่มีอีกแล้ว

ปัจจุบัน ถ้าคุณต้องกินให้อิ่ม ก็ต้องซื้อกินถึง 2ชาม ก็ปาเข้าไป 70 บาท แล้วใช่มั้ย??

ซึ่งผมถึงเคยเขียนไว้ในบทความเก่าๆ เมื่อปีที่แล้วว่า คนไทยกินอาหารจานเดียวแพงกว่าคนญี่ปุ่นด้วยซ้ำ เมื่อเปรียบเทียบต่ออัตราค่าแรงขั้นต่ำแล้ว

------------------------

ขอยกตัวอย่างอีกสักอย่าง

เมื่อปี2553 หอมแดงราคาดีมาก เกษตรกรหอมแดงที่ศรีสะเกศ รวยกันเป็นล้าน

พอปี2555 หอมแดงราคาตก ตกมากจนเกษตรกรต้องเอามาเททิ้งประท้วงรัฐบาล แต่ผมก็ไม่เห็นราคาขายปลีกหอมแดง ที่ผมไปซื้อตามตลาดจะถูกลงกว่าเมื่อปี 53 เลย??

นั่นเพราะอะไรล่ะ??

ปัญหาอาหารแพง แต่ผลผลิตการเกษตรราคาตกต่ำ สาเหตุอยู่ที่อะไร?! 

ผมเคยเขียนไว้แล้ว ในบทความเรื่อง ใครคือต้นเหตุความยากจนของเกษตรกรไทย

ส่วนเรื่องราคาอาหารจานเดียว ที่แพงเกินกว่าอัตราค่าแรงขั้นต่ำจะรับได้ นี่คือปัญหาที่พ่อค้า แม่ค้าควรถามใจตนเองแล้วว่า เพราะพวกคุณอยากจะรวยใช่มั้ย? ถึงได้ขายราคาแบบนี้กัน

ถ้าคุณคิดว่า เปล่าไม่ได้อยากรวย แค่ขายตามราคาวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้นต่างหาก

งั้นผมขอนำตัวอย่างจากรายการตลาดสดสนามเป้ามาให้พวกคุณได้ดู นี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะที่จริงแล้วรายการตลาดสดสนามเป้าได้พาเราไปดูแม่ค้าพ่อค้าอาหารจานเดียว ที่ขายราคาถูกมากๆ มา หลายครั้ง หลายร้าน และพาไปดูต่อเนื่องมาหลายปีแล้ว

ตัวอย่างเช่นล่าสุด ที่เพิ่งออกอากาศเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2555 ที่ผ่านมา

ข้าวแกง10บาท อยู่ก่อนถึงเซ็นทรัลแจ้งวัฒนะ ชามละ10บาท แถมมีที่จอดรถให้ลูกค้า 80 คัน จากรายการตลาดสดสนามเป้า



สรุปว่าที่จริงแล้ว ท่านพ่อค้าแม่ค้าไม่ต้องขายถูกมากขนาดร้านในคลิปก็ได้ ขอเพียงขายในราคาย่อมเยา เห็นใจคนจน เห็นใจผู้บริโภคบ้าง ไม่ควรตั้งเจตนาการขายไว้ที่หวังร่ำรวย แต่ให้่ตั้งเจตนาการขายที่เรียกว่า เห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกันจะดีกว่า

อย่างน้อย 1 จานที่พวกคุณขาย ก็ควรมีปริมาณมากพอที่จะให้คนทั่วไปได้กินได้พออิ่มจริงๆ ไม่ใช่แพงก็แพง อิ่มก็ไม่อิ่ม

และเมื่อใครๆต่างก็หวังรวย ก็จะเริ่มเห็นแก่ตัวมากขึ้น เอาเปรียบกันมากขึ้น สังคมจึงแย่ลงแบบที่เห็นในทุกวันนี้ สุดท้ายจะไม่มีใครรวย นอกจากพ่อค้าคนกลาง เพราะแพงทุกอย่างเหมือนกัน แต่ผู้ด้อยโอกาสระดับล่าง เช่นคนแก่ที่โดดเดี่ยว และคนพิการ จะยิ่งแย่ลงไปอีก และผลกระทบจะย้อนกลับมาสู่ประเทศชาติอีกทีหนึ่ง

ซึ่งสังคมจะดีขึ้นได้ หากทุกคนเห็นใจกันซึ่งกันและกัน

คลิกอ่าน น้ำใจคนไทยสู่ขอทาน และร้านอาหารเศรษฐีใจบุญ



วันศุกร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2555

ป๋าเปรม ถก ปู เรื่องอะไรหนอ?





หวัดดีครับ

ผมไม่ได้มาเขียนบล็อคมุมมองใหม่เมืองเอก มาหลายวัน ทั้งๆ ที่บล็อคนี้ ผมรักที่สุด และมีเรื่องอยากจะเขียนอีกเยอะ

แต่พอวางแผนในใจว่า บล็อคนี้จะเน้นสาระมากหน่อย เลยขี้เกียจเขียนซะดื้อๆ

วันนี้ เลยอยากมาแวะปรับบล็อคให้ไม่ล้าหลัง แต่ขอลงแต่รูปเท่านั้นนะครับ ถือว่า ขอมีบทความแบบสบายๆ บ้าง


----------------------

ข่าวทุกสำนัก ต่างพาดหัว

ป๋า ถก ปู ชื่นมื่น

ป๋า ถก ปู สองต่อสอง นานครึ่งชั่วโมง

ผมเลยนึกสนุก ทายเล่นๆ ว่า ป๋าเปรมคุยอะไรกับปู ตามนี้

คลิกที่รูปเพื่อขยาย!!







คลิกที่รูปเพื่อขยาย!!






คลิกที่รูปเพื่อขยาย!!

ป้ายนี้คืนสนอง
คือเพื่อไทยทำป้ายนี้ไว้เพื่อโจมตีรัฐบาลพรรคปชป.
สุดท้ายที่ว่าเขาไว้ กลับคืนสนองพรรคตัวเองยิ่งกว่า










ไทยขาดดุลสูงสุดเป็นประวัติการณ์!! ในยุคยิ่งลักษณ์ (คลิกที่รูปนี้เพื่อขยาย)







คลิกที่รูปเพื่อขยาย!!




ขอยกข้อความในเฟซผมมาเพื่ออธิบายเสริมนะครับ

ทำไมของแพง คำตอบง่ายๆ ก็คือ เพราะรัฐบาลใช้เงินสุรุ่ยส่ร่ายแจกสะบัด
แล้วรัฐเอาเงินจากไหนมาแจก ก็เงินภาษีประชาชนทั้งนั้น

เมื่อแจกมาก เปลืองมาก ถ้ามีเงินไม่พอ ก็ต้องกู้มาแจก เมื่อกู้มาแจกก็คือเอาเงินอนาคตมาใช้ ดอกเบี้ยที่ต้องเสียก็คือภาษีประชาชนอยู่ดี

ผลกระทบสุดท้ายก็สะท้อนกลับมาที่ข้าวของแพงขึ้นนั่นเอง เพราะเมื่อของแพง รัฐก็จะเก็บภาษีได้มากขึ้น

ฉะนั้น พวกเสื้อแดงที่ดีใจ รัฐแจกโน่นแจกนี่ ไม่รู้ตัวหรอกว่า โดนรัฐบาลเอาเงินของคนไทยทุกคนมาแจกทั้งนั้น

เพื่อนๆ เฟซรุ่นแรกๆ ของผมอาจจำได้ ผมเคยเขียนเรื่อง เคยมีข่าววัวโดนเชือดทั้งเป็น เพื่อเอาเนื้อไปทำลาบ แม่ค้าเชือดเนื้อวัวทั้งๆที่วัวยังไม่ตาย ระหว่างเชือดก็ให้หญ้ากับวัวกินไปด้วย

พวกเสื้อแดงที่หลงดีใจ ว่ารัฐบาลปูแจกของฟรี ก็คือวัว นั่นเอง
แต่ของฟรีที่ได้มา ไม่คุ้มกับเนื้อของตัวเองที่ถูกเชือดไปหรอก

เงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่รัฐบาลประชาธิปัตย์สะสมไว้ให้และส่งมอบให้รัฐบาลเพื่อไทยคือ ๑๘๙.๘๘๔ ล้านเหรียญสหรัฐ
แต่แค่ประมาณ ๖ เดือน ปรากฏว่า ณ วันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๕ มี ๑๘๐.๖๒๘ ล้านเหรียญสหรัฐ หายไป ไปแล้วเบาะๆ ๙,๒๕๖ ล้านเหรียญฯ


วันศุกร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2555

พระราชจริยานุวัตรต่อหน้าสาธารณชนที่เป็นเลิศของในหลวง





ผมสังเกตเห็นมาตั้งแต่ผมยังเด็กว่า

เวลาในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จฯ ไปเป็นองค์ประธานในงานใด ๆ บางงานพระองค์ทรงต้องประทับนานหลายชั่วโมง มีทั้งงานพระราชทานเพลิงศพของบุคคลสำคัญ ๆ ต่าง ๆ หรือในงานหลายงานที่ในหลวงเสด็จไป ก็ดูเป็นงานที่พวกเราดูถ่ายทอดสดแล้วรู้สึกว่าช่างน่าเบื่อ

แต่พวกเราก็จะเห็นในหลวงทรงวางพระองค์เป็นอย่างดี คนอื่นอาจหลับ อาจสัปหงก ง่วงนอน แต่ในหลวงทรงไม่เคยแสดงพระอากัปกิริยาเช่นนั้น

สมดั่งเป็นพระบุคคลิกแห่งองค์พระประมุขของประเทศโดยแท้ ทรงมีพระขันติอย่างสูง บางครั้งหลายงานใช้เวลานานมาก แต่ในหลวงก็ทรงอดทนอย่างไม่เสียบุคคลิกขององค์พระประมุข

ในอดีตในหลวงเสด็จทอดพระเนตร บางงานเป็นการแสดงตลก

ถามว่า ในหลวงทอดพระเนตรแล้วทรงขำมั้ย?

ผมมั่นใจว่า ในหลวงคงทรงขำอยู่ในพระราชหฤทัย แต่จะให้พระองค์ทรงยิ้มหรือทรงหัวเราะเฮฮาได้เหมือนคนทั่วไปก็คงไม่ได้

เพราะในฐานะทรงเป็นองค์พระประมุขของชาติ ในหลวงจึงทรงต้องรักษาพระกิริยาอาการและบุคคลิกที่สำรวมในความเป็นองค์พระประมุขของชาติไว้ให้เป็นที่น่าเคารพ

ถือเป็นหน้าที่ที่ต้องรักษาพระเกียรติในตำแหน่งองค์พระประมุขของชาติ ไม่ใช่รักษาพระเกียรติเพื่อพระองค์เอง แต่ทรงรักษาไว้เพื่อศักดิ์ศรีของคนไทยทั้งชาติ

ซึ่งถือเป็นพระหน้าที่ที่ทรงหนักมากขององค์พระประมุข ในความเห็นของผม

ในบางงานผมสังเกตว่า ในหลวงทรงไม่ได้เข้าห้องน้ำเลยหลายชั่วโมง พระองค์ก็ทรงอดทนอย่างเป็นเลิศ

จนเมื่อพระองค์ทรงเจริญพระชนมายุมากแล้ว เราถึงเพิ่งจะเห็นพระองค์ทรงยิ้ม เมื่อเวลาเสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรในงานสำคัญต่าง ๆ มากขึ้น

พวกล้มเจ้าพอเห็นในหลวงไม่ทรงยิ้มเมื่อเวลาเสด็จออกงานต่างๆ พวกนี้ก็เอาไปลบหลู่ "The king never smiles"

ทั้ง ๆ ที่จริงแล้ว เวลาในหลวงเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรในถิ่นธุรกันดาร ในหลวงเราจะทรงยิ้มให้กับราษฎรของพระองค์อยู่เสมอ

จะมีก็แต่งานหลวง งานที่เป็นพิธีการ งานพระราชพิธี  และงานสำคัญของบ้านเมืองต่าง ๆ ที่ในหลวงทรงต้องทำหน้าที่สมดั่งองค์พระประมุขของชาติไทย พระองค์ก็จะไม่ทรงแย้มพระสรวล(ยิ้ม) ไม่ทรงพระสรวล (หัวเราะ)

คลิกที่รูปเพื่อขยาย

แม้แต่พระพุทธเจ้าของเรา พระพุทธองค์ก็ไม่ทรงพระสรวล(หัวเราะ)พร่ำเพรื่อครับ ในพุทธประวัติพระพุทธเจ้าอาจแค่แย้มพระสรวล(ยิ้ม)เพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น ในพระไตรปิฎกระบุว่า พระพุทธเจ้าทรงเคยแย้มพระสรวล (ยิ้ม) เพียงแค่ 3 ครั้งเท่านั้น

ใหม่เมืองเอก..


ทีนี้ลองฟังเรื่องในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชจริยานุวัตรที่งดงามในมุมมองของอาจารย์ถวัลย์ ดัชนี ครับ




ความเห็นของเพื่อนคนนึงในเฟสของผม เกี่ยวกับบทความนี้คลิกที่รูปเพื่อขยาย!!


คลิกอ่าน Look The King never smiles



วันศุกร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2555

กรณีธุดงค์บนกลีบกุหลาบของธรรมกายเป็นบาป





เกริ่น หากคุณผู้อ่านได้อ่านบทความเรื่อง หากเป็นพระต้องไม่ทำให้ใครเดือดร้อน และ ตักบาตรกับพระปลอม ของผมแล้ว คุณผู้อ่านจะเข้าใจบทความนี้มากยิ่งขึ้น

----------------


ถ้าคลิปขึ้นช้า กรูณาrefresh อีกครั้ง


กรณีที่วัดธรรมกาย ได้จัดพระเดินเข้ากรุงเทพในวันธรรมดา หรือย้อนกลับไปอีกนิด คือปิดถนนตักบาตรพระกลางกรุง ที่เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันในโลกออนไลน์นั้น

สำหรับผม ผมจะอธิบายอย่างง่ายๆ เลยนะครับว่า เหมาะสม สมควรจัดงานแบบนี้หรือไม่?

คำตอบคือ ไม่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง โดยเฉพาะหากต้องมีการปิดการจราจรด้วยแล้ว ยิ่งไม่เหมาะสมเลยครับ

เพราะหากเป็นพระต้องไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ถ้ากิจกรรมใดๆ ที่พระต้องไปเบียดเบียนให้คนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องเขาต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย ย่อมไม่ใช่สิ่งที่สมณะพึงกระทำอย่างยิ่ง

การปิดถนน ถามว่า มีคนเดือดร้อนจากการปิดถนนหรือไม? คำตอบคือ มี

ถามว่าปิดถนนแล้วมีคนเดือดร้อนจำนวนมากหรือไม่? คำตอบคือ มีจำนวนมาก

เช่นคนที่เขาไม่รู้อิโหน่อิเหน่กับเรื่องกิจกรรมของพวกท่าน ถ้าเขาเผอิญสัญจรผ่านมาโดยไม่รู้มาก่อน เขาก็ย่อมเดือดร้อนจากการไม่สามารถเดินทางได้ และหากมีใครที่เจ็บป่วย กำลังจะเดินทางไปโรงพยาบาลด้วยแล้ว ก็ยิ่งเดือดร้อนกันใหญ่

คนในศาสนาอื่นๆ ที่เขาไม่ได้สนใจกุศลอะไรแบบนี้ เขาก็ต้องพลอยมาเดือดร้อนจากการกระทำของพระและวัดธรรมกายไปด้วย

เพราะบนหลักการที่ว่าเป็นพระจะต้องไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนนี่แหล่ะ ที่ทำให้กิจกรรมแบบนี้ไม่สมควรจัดกลางเมือง กลางกรุงเทพ เพราะพระสงฆ์จะต้องไม่เป็นผู้เบียดเบียน

ถ้าพวกท่านอยากจัด ควรไปจัดในที่ๆ ไม่มีคนเดิอดร้อน หรือเดือดร้อนน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ 

ทำไมไม่ไปเดินธุดงค์กลีบกุหลาบในถิ่นทุรกันดารล่ะ หรือว่า กลัวไม่เท่ กลัวไม่มีใครทำบุญซื้อกลีบดอกไม้เยอะ ๆ

---------------------------

อย่าเอาบุญใส่ตน เอาความเดือดร้อนใส่คนอื่น

ถ้าคนที่เขาผ่านมาเขาไม่ว่า เขาไม่เดือดร้อน พวกพระและวัดธรรมกายก็ไม่บาป

แต่ถ้าคนที่เขาผ่านมา เขาไม่สะดวก เขาเดือดร้อนจากความยากลำบากที่เกิดจากวัดธรรมกายและพระของท่าน วัดธรรมกายและพระก็จะบาปไปโดยไม่รู้ตัวเลยล่ะครับ

ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้ามีประชาชนคนหนึ่งเขาขับรถมาติด เขาก็ย่อมสูญเสียค่าน้ำมันเพิ่มขึ้นโดยมีสาเหตุจากที่พระเดิน ถามว่า มูลค่าน้ำมันที่เขาสูญเสียไปสาเหตุจากที่่พระเดินนั้น

ใครควรเป็นผู้รับผิดชอบ มูลค่าที่เสียไปนี้ ใช่วัดธรรมกายและพระวัดธรรมกายหรือไม่?

ถ้าใช่ ก็เท่ากับวัดธรรมกายและพระวัดธรรมกายเป็นเหตุ ทำให้พวกเขาสูญเสียทรัพย์เกิน 1 บาทแล้วหรือไม่?

โอเค แม้จะอ้างว่า ไม่ได้มีเจตนาให้เสียทรัพย์ แต่เมื่อรู้อยู่ก่อนแล้วว่าจะทำให้ผู้คนจำนวนมากเดือดร้อน ถ้าเป็นพระก็ไม่ควรกระทำ 

เว้นแต่ไม่ใช่พระ ?

ที่สำคัญเหตุที่ทำให้เสียทรัพย์นี้ ไม่ได้เกิดจากความไม่ตั้งใจ แต่เป็นความตั้งใจของวัดธรรมกายชัด ๆ เพราะมีการตระเตรียมในการปิดถนนไว้ก่อน เพราะไม่มีทางที่จะบอกให้ทุกคนทราบข่าวได้อย่างทั่วถึงกัน

และถึงบอกให้ทั่วถึงกันได้ แต่คนที่เขามีกิจธุระต้องไปทำ เขาก็ต้องเดือดร้อน ต้องเสียเวลาโดยใช่เหตุ

เราจะมาบังคับให้คนทุกคนเห็นด้วยการกิจกรรมแบบนี้ ก็คงเป็นไปไม่ได้

หากเป็นกิจกรรมของฆราวาส ก็คงไม่แปลกอะไร แต่นี่คือกิจกรรมที่เกิดจากพระ ย่อมไม่ถูกต้องแน่นอน เพราะหากเป็นพระต้องไม่ทำให้ใครเดือดร้อน นี่คือหัวใจสำคัญครับ

ลองนึกดู ถ้าวัดอื่นๆ เลียนแบบวัดธรรมกายบ้าง ขอปิดถนนบ้างได้มั้ย? ต้องใช้เส้นขออนุญาตหรือเปล่า?

--------------------------------

ส่งเสริมกิเลสแก่พระ

แม้วัดธรรมกายจะยกเอาเหตุการณ์ในสมัยพุทธกาลมาอ้างว่า สมัยพระพุทธเจ้าเสด็จก็เคยมีตามนี้



คือเรื่องนี้ผมก็ไม่รู้ข้อเท็จจริง ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่เอาเป็นว่า ถ้าเกิดเรื่องที่เล่านี้เป็นจริง

ถามว่า กรณีสมัยพุทธกาลมีความแตกต่างจากกรณีวัดพระธรรมกายอย่างไร?

ความแตกต่างก็คือ สมัยนั้นชาวเมืองไพศาลีคงไม่ได้ไปบอกกล่าวแก่พระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ทั้ง500รูป ล่วงหน้าก่อนหรอกว่า ถ้าพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์รับนิมนต์มาเมืองนี้ ชาวเมืองจะโปรยกลีบกุหลาบรอรับพระทุกรูปอย่างยิ่งใหญ่

พูดง่ายๆ คือ ประชาชนคิดจะทำกันเอง พระไม่เกี่ยวด้วย

แต่กรณีของวัดพระธรรมกาย ถามว่าประชาชนที่ไปโรยกลีบกุหลาบเป็นคนคิดโครงการหรือวัดคิดเอง?

ถามว่า พระในยุคนี้มีกิเลสมากหรือน้อยเมื่อเทียบกับพระสมัยพุทธกาล?

คำตอบคือ พระในสมัยพุทธกาลจำนวนมากล้วนได้รับการอุปสมบทจากพระพุทธเจ้าเป็นพระอุปัชฌาย์ให้แทบทุกรูป ผ่านขัดเกลากิเลสอย่างเข้มข้น แค่กลีบกุหลาบย่อมไม่ทำให้ท่านเกิดกิเลสใด ๆ ได้อย่างแน่นอน

เพราะพระส่วนใหญ่ที่ตามเสด็จพระพุทธองค์ ก็ล้วนแต่เป็นพระอริยะ ตั้งแต่ระดับโสดาบัน ขึ้นไปจนถึงอรหันต์ แทบทุกรูป

แต่กรณีของวัดธรรมกายนั้น วัดธรรมกายได้มีการโฆษณาประชาสัมพันธ์งานใหญ่โตเอิกเกริก ว่าจะมีการให้ประชาชนมาดักรอโรยกลีบกุหลาบตลอดเส้นทาง แถมโฆษณาว่าจะได้บุญกุศลมากมายอย่างนั้นอย่างนี้

แต่พระของวัดธรรมกายที่มาเดินบนกลีบกุหลาบ และมาให้ตักบาตรกลางเมืองนั้น ก็เป็นพระบวชใหม่เสียจำนวนมากเพราะต้องการปริมาณ กิเลสก็ยังแทบไม่ขัดเกลาอะไรเลย แถมพระทุกรูปก็ยังรู้ข่าวล่วงหน้าด้วยว่า พระจะได้มาเดินบนกลีบกุหลาบ แถมมีคนมารอปลาบปลื้มราวกับพบเจอดาราคนโปรด!!

ถามว่า นี่จะเป็นการบำรุงกิเลสให้พระ บำรุงการยึดมั่นถือมั่นให้แก่พระมากขึ้นหรือไม่?

ถ้าผมเป็นพระ ผมบอกได้เลยว่า ผมเกิดอีโก้ทันที เวลาเดินมีคนมากราบ มีคนคอยปลาบปลื้ม แถมได้เดินบนเส้นทางกลีบกุหลาบส่งตรงจากเมืองนอกก็มี โคตรเท่เลยว่ะ แต่ไม่ได้..เราต้องเก็กให้คนศรัทธาไว้ก่อน


-----------------------------------

สรุปง่ายๆ เลยนะครับว่า

ผมว่ากิจกรรมของวัดธรรมกาย เป็นกิจกรรมบำรุงกิเลสแก่พระ และประชาชน ส่งเสริมประชาชนหลงยึดติดบุญเกินไป หลงว่าถ้่าทำบุญมากๆจะได้วิมานสวยหรูให้อยู่ในภายภาคหน้า โลกหน้า คล้ายทำบุญสร้างวิมานไฮโซในอากาศรอไว้

ในหมู่ศิษย์ธรรมกายพูดคุยกันว่า ถ้าโรยกลีบกุหลาบให้พระเดิน บุญกุศลจะทำให้เส้นทางชีวิตของตัวเองสุขสบายเหมือนโรยด้วยกลีบกุหลาบ??

ทำบุญโดยไม่สนใจคนอื่นว่าเขาจะเดือดร้อนหรือไม่?
เพราะคิดแต่ เอาบุญของตนเองเป็นใหญ่

เหตุการณ์ที่ผ่านๆมา หลายต่อหลายครั้ง วัดธรรมกายมักจะยึดผลประโยชน์ของตัวเองเป็นใหญ่เสมอ โดยไม่สนใจว่าสังคมรอบข้างจะเดือดร้อนด้วยหรือไม่?

ตอนเด็กๆ ผมไปวัดธรรมกายครั้งแรกตั้งแต่8ขวบ และก็เคยศรัทธาวัดธรรมกายมากๆ

ครอบครัวผม เคยเป็นสายจัดหาในกฐินหลายครั้ง ผ้าป่าก็หลายครั้ง

แต่พอหมดเรื่องบุญนี้ ก็มีบุญใหม่มาอีกแล้ว ไม่มีว่างเว้น สอนให้เด็กหยอดกระปุกให้เต็มแล้วนำเงินมาถวายวัด ผมก็เคยทำมาแล้ว

แต่เมื่อมาถึงจุดนึง ผมว่า นี่ไม่ใช่หนทางที่ถูกต้องในความคิดของผม

ผมเลยห่างออกมา ครอบครัวผมก็ห่างออกมา จนถึงปัจจุบัน

ผมขอบอกว่า ประชาชนที่มาโรยกลีบกุหลาบไม่ผิดครับ เพราะเขาถูกโฆษณาชวนเชื่อ โดยไม่รู้เท่าทัน และประชาชนก็ได้บุญตามที่พวกเขาตั้งใจไว้เต็มที่ (เราต้องแยกบุญส่วนบุญ บาปส่วนบาป)

แต่ฝ่ายที่ผิดก็คือทีมคิดโครงการวัดธรรมกายและพระวัดธรรมกาย 

(ความเห็นพระเผด็จ ทัตตชีโว รองเจ้าอาวาสวัดธรรมกาย)



และสุดท้ายจำไว้นะครับ สิ่งใดที่พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงห้าม ก็ไม่ได้แปลว่าพระควรทำได้ทั้งหมด เช่น พระพุทธเจ้าไม่ได้ห้ามพระขับรถ พระก็เลยไปขับรถกันใหญ่

อย่างกรณีของกิจกรรมธุดงค์โรยกลีบกุหลาบกลางเมืองของวัดธรรมกายนั้น เราเรียกว่า โลกวัชชะ หรือ โลกติเตียน ครับ


คลิกอ่าน ธุดงค์ดอกดาวรวย สอนคนทำบุญเพิ่มกิเลสเพิ่มความโลภ




วันพฤหัสบดีที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2555

ใครคือตัวต้นเหตุความยากจนของเกษตรกรไทย?





บทความเกี่ยวกับสาเหตุความยากจนของเกษตรกรไทย ชาวนาไทย ผมได้เขียนไว้ในหลายๆบทความ แต่ที่ผ่านมาผมยังเขียนเพียงแค่สาเหตุทางสภาพแวดล้อม สภาพสังคมและแนวคิดการเกษตรที่ผิดๆ

ผมยังไม่ได้เจาะลงลึกถึงรากเหง้า และใครตือไอ้ตัวต้นเหตุจริงๆ ที่ทำให้เกษตรกรไทยส่วนใหญ่ยังยากจนอยู่ในทุกวันนี้

จากปัญหาราคาอาหารแพง แต่ทำไมเกษตรกรผู้ผลิตอาหารถึงยากจนอยู่ นั่นเพราะอะไร?

คำตอบก็คือ พ่อค้าคนกลางคือคนกำหนดราคาวัตถุดิบทั้งต้นทางและปลายทาง แต่ตัวพ่อค้าคนกลาง ก็ยังไม่ใช่สาเหตุที่แท้จริงของงวงจรอุบาทว์นี้

แล้วตัวการทำให้เกิดวงจรอุบาทว์นี้คือใคร?

คำตอบก็คือ นักการเมือง และพรรคการเมืองนั่นเอง!! แล้วทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?

ก็เพราะทิศทางของประเทศ นโยบายของประเทศ ที่จะนำพาให้ประชาชนทั้งประเทศเดินไปนั้น มาจากการกำหนดนโยบายของพวกนักการเมือง ก็คือแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับต่าง ๆ ที่ผ่านมา

อีกทั้งกฎหมายต่างๆ กฎระเบียบต่างๆ ก็ล้วนเริ่มต้นมาจากนักการเมืองทั้งสิ้นที่เป็นคนเขียน คนร่าง คนยกมือผ่านสภา

หากนักการเมืองเห็นใจเกษตรกรจริงๆ เกษตรกรไทยจะไม่ยากจนและลำบากแบบนี้หรอกครับ

แล้วทำไมนักการเมืองไทยถึงไม่เห็นใจเกษตรกร?

คำตอบก็คือ นักการเมืองกับพวกพ่อค้าคนกลาง คือกลุ่มที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน ที่เราอาจเรียกว่า กลุ่มทุนการเมือง

แนะนำอ่าน ความล้มเหลวของชาวนาไทยจากแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับที่1

-----------------------------

เมื่อพ่อค้า กลุ่มผู้มีอิทธิพล เข้าสู่ระบบการเมือง

เพราะนักการเมืองคือผู้กำหนดนโยบายประเทศ หากนักการเมืองกำหนดนโยบายเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรมากเท่าใด คนที่เสียประโยชน์มากที่สุด ก็คือพวกพ่อค้าคนกลาง

ฉะนั้นเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตน พวกพ่อค้าคนกลางจึงได้ส่งตัวเองบ้าง ส่งลูกหลานบ้าง ส่งคนของตัวเอง มาลงเล่นการเมืองตั้งแต่ระดับท้องถิ่น จนถึงระดับประเทศ ก็เพื่อเข้าปกป้องผลประโยชน์ของตนเองให้คงอยู่ต่อไป

คงไม่มีนักการเมืองหน้าโง่คนไหน จะออกกฎหมายไปทำลายผลประโยชน์ของธุรกิจตนเอง ของธุรกิจเครือญาติตนเอง จริงไหม ?

ฉะนั้นเมื่อพวกกลุ่มทุนคุมการออกกฎหมายได้ ประชาชนตาดำๆ จึงไม่มีทางรอดพ้นความยากจนไปได้หรอก

----------------------

ระบบสหกรณ์ คือหนทางแก้ปัญหาราคาสินค้าการเกษตรที่ไม่เป็นธรรม

หากเกษตรกรไทยทุกคน ในทุกท้องที่ รวมตัวกันเป็นกลุ่มสหกรณ์ ก็จะสามารถกำหนดราคาสินค้าเกษตรได้ หรือถ้ากลุ่มสหกรณ์เข้มแข็งมากๆ ก็อาจเป็นผู้ค้าโดยตรงถึงมือผู้บริโภคเลยก็ได้

ความจริงเรามีระบบสหกรณ์เข้ามาในประเทศไทยเกือบๆ จะร้อยปีแล้ว เข้ามาตั้งแต่ในสมัยไทยเรายังเป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชด้วยซ้ำ คือตั้งแต่สมัยรัชกาลที่6

แต่ทุกวันนี้เกษตรกรไทยส่วนใหญ่กลับไม่ได้อยู่ในระบบสหกรณ์ นั่นเพราะอะไร?

คำตอบก็คือ เพราะพอมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย พวกนายทุน พวกพ่อค้าคนกลาง ก็เข้ามาเล่นการเมืองหรือ สนับสนุนพรรคการเมืองก็เพื่อรักษาผลประโยชน์ของตน ทำให้รัฐบาลในระบอบประชาธิปไตย จึงไม่มีการส่งเสริมระบบสหกรณ์ให้จริงจังทั่วประเทศ เพราะจะกระทบกลุ่มทุนของตัวเอง

หากเราลองย้อนไปดูประวัติพื้นเพ สส.ไทยในทุกยุคทุกสมัยที่ผ่านๆ มา เราจะเห็นเลยว่า ล้วนจะมาจากตระกูลของพวกโรงสี พวกพ่อค้าขายปุ๋ยขายยาฆ่าแมลง พวกพ่อค้าคนกลาง แทบทั้งนั้น ที่เข้ามาเล่นการเมือง

แล้วแบบนี้ จะให้พวกสส.จากกลุ่มทุนเหล่านี้ เข้าไปแก้ไขให้เกษตรกรลืมตาอาปากได้อย่างไร ในเมื่อถ้าเกษตรกรยิ่งฉลาดมากเท่าไหร่ ยิ่งเข้มแข็งมากเท่าไหร่ พวกนี้ก็จะเสียผลประโยชน์

แต่สิ่งที่สำคัญมากในการพัฒนาระบบสหกรณ์คือ กฎหมายที่เข้มงวดและเอาจริงเพื่อที่จะป้องกันการโกงโดยผู้บริหารสหกรณ์ ซึ่งตัวอย่างก็มีให้เห็นหลายแห่ง เช่น สหกรณ์เครดิตยูเนียนคลองจั่น นั่นไง คือตัวอย่างทำลายระบบสหกรณ์ไทย

--------------------------------

ในหลวงทรงรักเกษตรกรดั่งลูกหลาน

ในหลวงของเราทรงพยายามส่งเสริมระบบสหกรณ์ ทรงทำระบบสหกรณ์ให้เห็นเป็นตัวอย่างในโครงการส่วนพระองค์ทุกโครงการ ในโครงการพระราดำริอีกหลายแห่ง เพื่อเป็นแบบอย่างให้เกษตรกรไทย ได้เห็นเป็นแนวทางตัวอย่าง และให้นำไปปฏิบัติตาม

ที่สำคัญในหลวงทรงทำเพื่อให้รัฐบาลทุกรัฐบาลได้เห็นเป็นตัวอย่าง เพื่อให้รัฐบาลไปส่งเสริมให้เกิดขึ้นกับเกษตรกรทั่วทุกครัวเรือน แต่รัฐบาลไทยมันกลับไม่นำพา ในหลวงดำริแค่ไหน มันก็ทำแค่นั้น แทนที่จะไปส่งเสริมระบบสหกรณ์มีมากๆ ให้ทั่วถึงทุกท้องถิ่น

ทำให้ในหลวงต้องทรงเหนื่อยยากมาตลอด60ปี เพราะนักการเมืองมันไม่นำพา!!

แม้กระทั่งหลักเศรษฐกิจพอเพียง รัฐบาลทุกรัฐบาลก็ทำแบบลูบหน้าปะจมูก ไม่ส่งเสริมจริงจังทั้งสิ้น เพราะถ้าแนวเกษตรพอเพียงสำเร็จทั้งประเทศ กลุ่มธุรกิจปุ๋ย ยาฆ่าแมลง ที่ให้เงินสนับสนุนพรรคการเมืองก็จะยิ่งเจ๊ง!!

แล้วนักการเมืองมันจะไปส่งเสริมเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ให้ประชาชนทำตามทำไม

----------------------

กองทุนหมู่บ้าน คือมายาลวงของนักการเมือง

ความจริงแล้ว กองทุนหมู่บ้านก็เอาแนวคิดเรื่องระบบสหกรณ์มาดัดแปล คือการให้ทุน เพื่อคนในแต่ละหมู่บ้านรวมตัวกันเพื่อกิจกรรมที่เป็นประโยชน์

แต่แทนที่ทักษิณจะให้เงินแต่ละหมู่บ้าน แล้วเจาะจงลงไปเลยว่าให้เป็นกองทุนสหกรณ์ประจำหมู่บ้าน แล้วส่งเจ้าหน้าที่ที่มีความรู้ไปอบรมเรื่องระบบสหกรณ์ให้ประชาชนเข้าใจและทำตาม

นโบายนี้ก็กลับโยนเงินไปเฉยๆ แล้วแต่ว่า แต่ละหมู่บ้านอยากจะเอาเงินไปทำอะไรก็ตามใจ ดังนั้น จึงมีทั้งกองทุนที่ประสบความสำเร็จ เพราะผู้นำหมู่บ้านมีความรู้และคุณธรรม

และก็มีกองทุนที่เจ๊ง เป็นหนี้มากขึ้น เพราะเอาเงินไปใช้ในทางที่ผิด

หรืออย่างเช่น โครงการศิลปาชีพของพระราชินี ก็เป็นตัวอย่างสหกรณ์งานฝีมือ เป็นต้นแบบโอทอปของทักษิณ เพราะทักษิณเอาไปดัดแปลงใหม่ ใช้ชื่อว่า โครงการ1ตำบล 1ผลิตภัณฑ์ ซึ่งอันนี้ผมยอมรับว่า ส่วนใหญ่ประสบความสำเร็จ

------------------------------

กลุ่มทุนมอมเมาเกษตรกร

เพราะกลุ่มบริษัทของพวกนายทุน ค้าปุ๋ย ค่ายา ที่มีพวกพ่อค้าคนกลางในพื้นที่เป็นผู้แทนจำหน่าย

ก็ล้วนแต่อยากให้เกษตรกรไทยซื้อปุ๋ย ซื้อยา มากๆ พวกนี้ก็จะทำการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ด้วยวิธีการต่างๆนานา เช่นทำรายการส่งเสริมความรู้การเกษตร แต่ตบท้ายด้วยโฆษณาปุ๋ย โฆษณายา ไปด้วย

ลงทุนจ่ายเงินรายเดือนให้เกษตรจังหวัด เกษตรอำเภอ เพื่อที่เวลาเกษตรกรไปขอคำแนะนำ พวกนี้ก็จะได้แนะนำสินค้าที่เป็นสปอนเซอร์ของตนเองให้เกษตรกรไปซื้อ

เกษตรกรไทย ทำลายสิ่งแวดล้อมด้วยการใช้ปุ๋ย ใช้ยาฆ่าแมลงมากเกินไป จนขาดความสมดุล ทำให้ต้องใช้ปุ๋ย ใช้ยามากขึ้นทุกปี

เช่น เพลี้ยกระโดดในนาข้าว พอเกษตรกรใช้ปุ๋ย ใช้ยามากๆ นอกจากทำให้ต้นทุนก็สูงขึ้น แถมไปทำลายศัตรูทางธรรมชาติของเพลี้ยอย่างเช่นแมลงช้างปีกใส ด้วงเต่า และแตนเบียน ไปด้วย ก็ยิ่งทำให้เพลี้ยระบาด เพราะดื้อยาฆ่าแมลง

--------------------

นักการเมืองไทยไม่เคยโทษตัวเอง

เพราะต้นเหตุตัวสำคัญของปัญหาประเทศมาจากนักการเมือง แต่นักการเมืองก็ฉลาดที่จะเบี่ยงเบนประเด็นให้ประชาชนหลงไปโทษสิ่งอื่น

เช่น โทษเพราะอำมาตย์บ้าง โทษเพราะรัฐธรรรมนูญบ้าง โทษเพราะประเทศไม่เป็นประชาธิปไตยบ้าง ต่อให้แก้รัฐธรรมนูญไปอีก100ครั้ง ถ้าไม่แก้ที่ตัวต้นเหตุ บ้านเมืองก็ไม่มีทางดีไปกว่านี้เท่าไหร่หรอก

พวกนี้ฉลาดที่จะสอนให้ประชาชนที่รู้ไม่เท่าทันนักการเมือง ประชาชนต่างเฮไปเรียกร้องอะไรๆ ที่ไกลจากตัวต้นเหตุอย่างนักการเมืองไปโน่น

สุดท้ายคนที่เป็นเหยื่อ คนที่ไปตายแทนนักการเมือง ก็คือประชาชนคนไทยที่บูชาประชาธิปไตยที่นักการเมืองชั่ว ใช้ลวงหลอกนั่นเอง 

---------------------

ดูการสอน การเรียนรู้ว่าทำที่ดิน1ไร่ ให้มีเงินแสนในระยะเวลาสั้นๆ ด้วยแนวคิดการเกษตรที่ฉลาดมากๆ ทุกอย่างในไร่เป็นประโยชน์ไม่มีทิ้ง แม้แต่คนที่เคยมีรายได้เดือนละเป็นแสน ยังลาออกมาเพื่อเป็นเกษตรกรจากแนวคิดนี้

1 ไร่ 1แสน






และดูคลิปนี้ครับ เกษตรกรที่ตาสว่างแล้ว

ลุงในคลิปคนนี้เคยมีหนี้เป็นล้าน แต่เขารอดจากการเป็นหนี้ท่วมหัวแล้ว โดยใช้วิธีนี้

มีที่ 5 ไร่ ทำเงิน 1ล้านบาท







คลิกอ่าน ทีวีสึถูกลง ข้าวเปลือกแพงขึ้น แต่ชาวนาไทยจนกรอบเหมือนเดิม




ผู้ติดตาม