วันพุธที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2554

จำไว้นะ หน้าที่ต้องมาก่อนสิทธิ เสมอ!!






(บทความนี้ ขอแนะนำให้พ่อแม่ทุกคนจำไว้เพื่อสอนลูกหลานนะครับ)

มเขียนเสมอในบทความหลายบทความของผมว่า คนไทยชอบเรียกร้องแต่สิทธิ แต่คนไทยกลับละเลยการทำหน้าที่พลเมืองที่ดี

เพราะถ้าคุณยังไม่ทำหน้าที่ในฐานะประชาชนที่ดีของประเทศ คุณก็ไม่มีความชอบธรรมที่จะเรียกร้องสิทธิ!!


หน้าที่ หมายถึง สิ่งที่บังคับให้มนุษย์ในสังคมต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ทางสังคมหรือกฎหมาย บัญญัติไว้ จะไม่ปฏิบัติตามไม่ได้ ส่วนสิทธิและเสรีภาพเป็นสิ่งที่มนุษย์มีอยู่แต่จะใช้หรือไม่ก็ได้

แปลความง่ายๆว่า หน้าที่คือสิ่งทุกคนต้องทำ แต่สิทธิและเสรีภาพจะใช้หรือไม่ใช้ก็ได้


ทีนี้จงดูและจำไว้ ว่าหน้าที่ของประชาชนที่ดี คืออะไรบ้าง

หน้าที่ของประชาชนชาวไทยตามรัฐธรรมนูญ

1. บุคคลมีหน้าที่รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

2. บุคคลมีหน้าที่ปฏิบัติตามกฎหมาย

3. บุคคลมีหน้าที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง บุคคลซึ่งไม่ไปเลือกตั้ง โดยไม่แจ้งเหตุผลอันสมควร ย่อมเสียสิทธิตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ การเลือกตั้งเป็นเรื่องเดียวที่หน้าที่และสิทธิต้องอยู่ควบคู่กัน

4. บุคคลมีหน้าที่ป้องกันประเทศ รับราชการทหาร

5. บุคคลมีหน้าที่เสียภาษีให้รัฐ!!

6. บุคคลมีหน้าที่ช่วยเหลือราชการ รับการศึกษาอบรม ปกป้องและสืบสานวัฒนธรรมของชาติ ภูมิปัญญาท้องถิ่น รวมถึงการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

7. บุคคลผู้เป็นข้าราชการ พนักงาน หรือลูกจ้างหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ ราชการส่วนท้องถิ่น มีหน้าที่ดำเนินการให้เป็นไปตามกฏหมายเพื่อรักษาประโยชน์ส่วนรวมอำนวยความ สะดวกและให้บริการแก่ประชาชน

ส่วนรายละเอียดเรื่องสิทธิ หน้าที่ และเสรีภาพของคนไทย ไปอ่านได้ที่ 
http://www.trueplookpanya.com/true/knowledge_detail.php?mul_content_id=2147

------------------------

ขอยกตัวอย่าง เสรีภาพในการแสดงออกของคนไทย ในข้อ3

3. เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นผ่านการพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณาและการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น จะจำกัดแก่บุคคลชาวไทยมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายเฉพาะเพื่อความมั่นคงของรัฐ เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน

ส่วนรายละเอียดเรื่องสิทธิ หน้าที่ และเสรีภาพของคนไทย ไปอ่านได้ที่ 
http://www.trueplookpanya.com/true/knowledge_detail.php?mul_content_id=2147

---------------------

ฉะนั้นหน้าที่ของประชาชนที่สำคัญที่สุด อันดับแรกก็คือ


คนไทยต้องปกป้องสถาบันหลักของชาติ!!

(มาตรา112 มีไว้ปกป้องสถาบันกษัตริย์ ใครคิดล้มล้าง มันไม่ใช่พลเมืองที่ดี ถ้าไม่เข้าใจ แนะนำอ่าน มาตรา112 ที่รัก!!)

หน้าที่ลำดับต่อมาก็คือ ต้องปฏิบัติตามกฎหมายบ้านเมือง  

เคยมีคนถามผมว่า เอาจากไหนมาอ้างว่า หน้าที่ต้องมาก่อนสิทธิ?

ผมจึงตอบไปว่า กฎหมายกำหนดให้คุณมีหน้าที่ต้องไปทำบัตรประชาชนตอนอายุ 15 ปี 

แต่ถ้าคุณไม่ทำบัตรประชาชน คุณไม่มีบัตรประชาชน คุณก็ย่อมขาดสิทธิขั้นพื้นฐานต่าง ๆ ในฐานะการเป็นคนไทย ถูกต้องไหม ?

ถ้าไม่มีบัตรประชาชน ไม่เคยทำบัตรประชาชนตามหน้าที่ของพลเมือง คุณจะมีสิทธิเลือกตั้งตอนอายุ 18 ปีมั้ย?

ถ้าคุณไม่ทำหน้าที่ประชาชนที่ดี ด้วยการไม่เคารพรักษากฏหมาย คุณละเมิดกฎหมาย จนคุณต้องติดคุก คุณก็ขาดสิทธิและเสรีภาพจริงไหม?


ฉะนั้น จงจำไว้นะครับ

หน้าที่ ต้องมาก่อน สิทธิ เสมอ

เพราะ หน้าที่ ก่อกำเนิดระเบียบวินัยของคนในชาติ

หากประเทศชาติมีพลเมืองที่ดีมีระเบียบวินัย ชาติย่อมเจริญ

ส่วนสิทธิเสรีภาพใด ๆ หากขัดต่อการทำหน้าที่พลเมืองไทยที่ดี

สิทธินั้น เป็นสิทธิที่เกินขอบเขต และไม่เป็นประชาธิปไตยแห่งผู้เจริญ

แต่เป็นประชาธิปไตยของผู้เสื่อม ที่เรียกง่าย ๆ ว่า กฏหมู่อยู่เหนือกฏหมาย ครับ

การที่ประชาธิปไตยไทยล้มเหลว เพราะคนไทยส่วนใหญ่ไม่รู้จักหน้าที่!!

ฉะนั้นกระทรวงศึกษาควรทบทวนการสอน คือต้องสอนให้นักเรียนรู้จักและเข้าใจในหน้าที่พลเมืองเสียก่อน แล้วค่อยสอนเรื่องสิทธิในระบอบประชาธิปไตย


-----------------

หัวใจของความเจริญของญี่ปุ่น

อย่างเช่น การที่ประเทศญี่ปุ่นเจริญและบ้านเมืองเป็นระเบียบเรียบร้อยนั้น เพราะวัฒนธรรมของคนญี่ปุ่นเขาจะสอนให้คนรู้จักการทำหน้าที่เป็นเรื่องสำคัญที่สุด




"สวรรค์จึงบัญชาให้ทุกคนเกิดมาพร้อมกับหน้าที่ ที่ต้องทำให้สำเร็จเพื่อให้โลกดีขึ้น" ท่านเท็นโชอิน ภริยาท่านโชกุนคนที่ 13 แห่งตระกูลโทกุกาวะ เคยกล่าวไว้


ที่ประเทศไทยไม่เจริญเพราะคนไทยสนใจแต่สิทธิของตัวเอง โดยไม่สนใจทำหน้าที่ให้ดีพอ

ส่วนประเทศญี่ปุ่นเจริญเพราะคนญี่ปุ่นสนใจทำหน้าที่มากกว่าสนใจเรื่องสิทธิ

---------------------

ส่วน พวกคิดล้มเจ้า คือพวกที่ไม่ทำหน้าที่พลเมืองที่ดีตามข้อ 1

เมื่อพวกคุณไม่ทำหน้าที่พลเมืองที่ดี พวกคุณก็ไม่มีสิทธิอันชอบธรรมที่จะมาอ้างคำว่า ประชาธิปไตยและสิทธิเสรีภาพบนแผ่นดินผืนนี้ที่บรรพบุรุษผู้จงรักภักดีสร้างไว้!!

คลิกอ่าน ประธานาธบดีสหรัฐฯ ฐานันดรเท่านายกฯ


วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ประธานาธิบดีสหรัฐฐานันดรเท่านายกฯ





คือถ้าเราไปถามคนอเมริกัน คนอเมริกันก็ย่อมเชื่อว่า ประธานาธิบดีของคนอเมริกัน ย่อมสูงสุดเทียบเท่าผู้นำประเทศและประมุขทั่วโลก แต่นั่นคือความคิดของคนอเมริกัน

แต่ถ้าไปถามคนอังกฤษ ถ้าตอบแบบไม่เกรงใจใคร คนอังกฤษส่วนใหญ่ให้เกียรติและศักดิศรีของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเทียบเท่าแค่ผู้นำฝ่ายบริหารของอังกฤษเท่านั้น นั่นคือ นายกรัฐมนตรี

ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?

ก็เพราะสหรัฐอเมริกา เคยเป็นอาณานิคมของอังกฤษ ยังใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักอย่างเป็นทางการ

ฉะนั้น ชาติที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการ เป็นภาษาหลักของชาติ นั่นแปลว่า ชาตินั้นเคยเป็นเมืองขึ้นของสหราชอาณาจักรมาก่อน

4 กรกฎาคม ค.ศ.1776 คึอวันชาติสหรัฐ เป็นวันที่สหรัฐอเมริกาประกาศเอกราช เป็นอิสรภาพจากอังกฤษได้

ฉะนั้น ประมุขของชาติอดีตอาณานิคมอังกฤษ จะมาเทียบเท่ากษัตริย์อังกฤษได้ไง?

ประเทศอย่างออสเตรเลีย แคนาดา นิวซีแลนด์ มีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้บริหารประเทศ ก็ยังต้องก้มหัวให้ควีนอังกฤษ เพราะเป็นประเทศในเครือจักรภพ

ซึ่งแต่ละประเทศในเครือจักรภพมีราชินีองค์เดียวกัน แต่เรียกต่างกัน ตามประเทศนั้นเช่น ควีนอลิซาเบธที่2 ที่ออสเตรเลียก็จะเรียกว่า ควีนแห่งออสเตรเลีย เป็นต้น

ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาจึงมีฐานันดรเท่าระดับนายกรัฐมนตรีในเครือจักรภพอังกฤษเท่านั้น

แม้แต่สมเด็จพระรามาธิบดีแห่งมาเลเซีย ถึงมาเลเซียจะเคยเป็นอาณานิคมอังกฤษก็ตาม แต่พระรามาธิบดีแห่งมาเลเซียก็ยังมีฐานันดรศักดิ์สูงกว่าประธานาธิบดีสหรัฐด้วยซ้ำ เพราะราชวงศ์อังกฤษให้เกียรติพระรามาธิบดีแห่งมาเลเซียเทียบเท่าเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงสุดของอังกฤษ


ตัวอย่างเช่น ถ้าเจ้าหญิงแห่งเวลล์หรือเจ้าหญิงไดอาน่าเข้าเฝ้ากษัตริย์และราชินีของชาติใดๆ ก็จะต้องทรงถอนสายบัวให้กษัตริย์และราชินี อย่างเช่นรูปนี้

เจ้าหญิงไดอาน่าถอนสายบัวให้พระจักรพรรดิ์และพระจักรพรรดินีแห่งญี่ปุ่น



แต่ถ้าเจ้าหญิงไดอาน่าพบกับประธานาธิบดีสหรัฐ เจ้าหญิงไดอาน่าจะไม่ทรงถอนสายบัวให้ประธานาธิบดีสหรัฐอย่างแน่นอน


------------------------

ตัวอย่างที่คนอังกฤษไม่ค่อยพอใจนางมิเชลโอบามา

นั่นคือ ในการประชุทG20 ปธน.โอบามาและนางมิเชลภรรยา ได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระราชินีอลิซาเบธที่ 2 ซึ่งในขณะทักทายกัน นางมิเชลได้เอามือโอบไปที่พระวรกายของควีน

Whatever you do, don't touch the Queen.


ผู้คนในสถานที่นั้นต่างตกตะลึง เพราะค่อนข้างผิดมารยาทที่ใคร(สามัญชน) จะมาแตะพระวรกายของสมเด็จพระราชินี โดยเฉพาะในสายตาของคนอังกฤษที่ยังเทิดทูนราชวงศ์ เห็นว่าไม่สมควรอย่างยิ่ง โดยเฉพาะโอบพระราชินีสูงเกือบถึงไหล่

ส่วนคนที่แอนตี้ราชวงศ์อังกฤษและคนอเมริกัน ก็ย่อมเห็นว่า นางมิเชลก็สามารถโอบพระราชินีได้ ไม่เห็นแปลก


------------------------

ทีนี้มาดูคนอเมริกันไม่พอใจโอบามา บ้าง

อเมริกัน เขาแซวว่า โอบามาไม่ได้ก้มหัวสักหน่อย แค่มีเหรียญเพนนีตกที่พื้น ซึ่งมุขนี้ของฝรั่งเขาลึกครับ อาจแปลได้2ทางคือ โอบามากระจอกขนาดเห็นเหรียญเล็กๆบนพื้นต่อหน้า ก็รีบก้มเก็บทันที หรืออาจแปลว่า โอบามาให้ความสำคัญกับเหรียญที่ตกก่อนจะไปจับพระหัตถ์กษัตริย์(เหรียญสำคัญกว่าk.ซาอุ) ประมาณว่ากระทบคนทั้งคู่ ใครเข้าใจสำนวน there is penny on the floor ช่วยชี้แนะด้วย

เมื่อโอบามา ก้มหัวขณะสัมผัสพระหัตถ์กษัตริย์ซาอุ

คนอเมริกันไม่ค่อยพอใจท่าทีของปธน.โอบามา ที่ก้มหัวให้กษัตริย์ซาอุฯ เพราะคนอเมริกันเห็นว่า ปธน.สหรัฐมีศักดิ์ศรีสูงเท่ากับกษัตริย์ซาอุ การที่โอบามาก้มหัวขนาดนั้น จึงเหมือนเป็นการลดเกียรติและศักดิ์ศรีของปธน.สหรัฐที่ยิ่งใหญ่ลงไป เพราะธรรมเนียมปฏิบัติของประธานาธิบดีสหรัฐ จะต้องไม่ยอมก้มหัวให้ใครครับ



เมื่อโอบามาไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระจักรพรรดิญี่ปุ่น โอบามาก็ยังแสดงความเคารพด้วยการก้มหัวอย่างนอบน้อมให้สมเด็จพระจักรพรรดิอีก



ทำให้ชาวอเมริกันจำนวนมากไม่ค่อยพอใจท่าทีการแสดงออกด้วยการก้มหัวของประธานาธิบดีสหรัฐต่อประมุขของชาติอื่นๆ

แต่ถ้าเรามองด้วยสายตาของคนเอเซีย เราจะมองว่าโอบามามีมารยาทที่ดี ให้เกียรติแก่ผู้หลักผู้ใหญ่ อาจเพราะโอบามาเคยใช้ชีวิตอยู่ในอินโดนีเซียหลายปีในสมัยเด็ก จึงได้รับการอบรมวัฒนธรรมเคารพผู้ใหญ่มาอย่างดี

แต่คนอเมริกันเขาไม่เข้าใจวัฒนธรรมเอเซียครับ ได้มีการถกเถียงกันระหว่างคนอเมริกันกับคนญี่ปุ่นในเรื่องนี้ในหลายเว็บ เช่นคนญี่ปุ่นเขาก็ยกย่องสถาบันกษัตริย์ของเขาว่า มีมาไม่ต่ำกว่า600ปีก่อนคริสตกาล เป็นสถาบันที่ยิ่งใหญ่มีประวัติศาสตร์ กว่าสถาบันประธานาธิบดีของคนอเมริกัน

ส่วนคนอเมริกัน ก็มองว่า ปธน.สหรัฐคือชาติที่ยิ่งใหญ่ ชนะสงครามโลก เหนือญี่ปุ่น อะไรไปนั่น

------------------------------

สรุปว่า เพราะอเมริกันชนรับไม่ค่อยได้ ที่เห็นปธน.สหรัฐของพวกเขา ไปก้มหัวเคารพใคร ทั้งๆที่เป็นการก้มหัวในเชิงวัฒนธรรมการเคารพนบนอบต่อผู้อาวุโสกว่า  ไม่ใช่ก้มหัวสิโรราบแบบนั้นสักหน่อย

หรือในทัศนะของชาติที่ยังมี king ก็จะมองว่าตำแหน่งประธานาธิบดีอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าตำแหน่งking การแสดงความเคารพต่อkingเช่นนี้คือสิ่งที่ถูกต้อง

โดยเฉพาะชาวเอเซีย จะยิ่งมองว่า โอบามานอบน้อม และน่ายกย่องด้วยซ้ำ เปรียบประดุจเล่าปี่ ผู้ยอมก้มหัวให้คนได้ทั้งโลกเลย

ซึ่งเท่าที่ผมเช็คกระแสความเห็น คนที่ไม่ใช่อเมริกาก็จะโจมตีคนอเมริกันว่า หลงตัวเอง และนึกว่าตัวเองดีเลิศกว่าคนอื่น การก้มหัวเป็นวัฒนธรรมที่ดีของคนเอเซียมีต่อผู้อาวุโสกว่า

เพียงแต่คนอเมริกันดิบๆแท้ๆ จำนวนมากที่ไม่เคยเรียนรู้วัฒนธรรมชาติอื่น ก็ย่อมไม่เข้าใจ

ส่วนชาติที่มีวัฒนธรรมเก่าแก่ทั้งในเอเซียและยุโรป ที่มีธรรมเนียมการเคารพผู้อาวุโสกว่าหรือสูงศักดิ์กว่า จะเข้าใจวัฒนธรรมที่โอบามาแสดงออก แต่ชนชาติอเมริกันเขาไม่เคยมีวัฒนธรรมแบบนี้

ตัวอย่างชาติหนึ่งที่ในเอเซียที่รับวัฒนธรรมของอเมริกันมามาก ก็คือฟิลิปปินส์

อย่างช่วงภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นในชนบทของฟิลิปปินส์ จากข่าว เมื่อมีคนนำถุงยังชีพไปแจก ชาวฟิลิปปินส์ก็เดินเข้ามารับของไปดื้อๆ ไม่เห็นมีใครขอบคุณเวลาที่ได้รับของเลย

การรับของบริจาคแบบนี้ บก.ลายจุด เขาชอบครับ เพราะมันดิบดี ช่างงดงามในความคิดของบก.ลายจุด เพราะเขาบอกแบบนี้ไม่ถูกกดให้ต่ำต้อย

ผมเลยถือโอกาสขออวยพรให้ ชาติหน้าบก.ลายจุด รีบๆได้ไปเกิดที่ฟิลิปปินส์เร็วๆนะครับ จะได้สมใจความเท่าเทียมกัน!!


-------------------------





วันอังคารที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2554

มาตรา112 ที่รัก !!






มั้ยครับ กับชื่อบทความของผมในตอนนี้?

ผมแนะนำคุณผู้อ่านว่า ยังไม่ต้องไปยึดติดกับความหมายชื่อบทความตอนนี้มากนัก

แต่ก่อนจะเข้าเรื่องมาตรา112 ผมมีเรื่องนึงอยากจะเขียนอยากจะเล่านานแล้ว

นั่นคือเรื่อง หญิงสาวมาเลเซีย ดื่มเบียร์ในที่สาธารณะ โดนศาลสั่งเฆี่ยน!!

ผมขออนุญาตเล่าคร่าวๆเท่าที่พอจะจำได้นะครับ

เมื่อ2-3ปีก่อนที่มาเลเซีย นางการ์ติก้า ซารี เดวี ซูการ์โน ถ้าจำไม่ผิดเธอได้ไปแต่งงานกับคนสิงคโปร์และใช้ชีวิตทำมาหากินที่สิงคโปร์อยู่หลายปี

พอผ่านไป5ปี เธอกลับมาเลเซีย ทีนี้เธอเกิดลืมตัว ลืมกฎหมายบ้านเกิดคือมาเลเซียไปชั่วคราว เธอดันเผลอตัวดื่มเบียร์ในที่สาธารณะคือที่โรงแรมแห่งหนึง ซึ่งกฎหมายมาเลเซียอิงจากกฎหมายอิสลาม มีกฎหมายห้ามผู้หญิงดื่มแอลกอฮอล์ในที่สาธารณะ เธอเลยโดนศาลตัดสินให้ถูกเฆี่ยน6ที แถมโดนปรับอีก5พันริงกิต

ทีนี้ปัญหาก็คือ เธอเคยเป็นนางแบบมีชื่อเสียงในสิงคโปร์ ข่าวมันเลยดังไปทั่วโลก

ทำให้พวกองค์กรสิทธิเสรีภาพสากล องค์กรนิรโทษกรรมสากล หรือพวกปกป้องสิทธิมนุษยชนอะไรพวกนี้ทั้งหลาย พอได้ข่าวเรื่องที่เธอจะโดยเฆี่ยนเพราะเหตุจากดื่มเบียร์ พวกสิทธิมนุษยชนทั้งหลาย ก็ไม่พอใจ หาว่าางการมาเลเซียละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน

แต่เรื่องนี้ที่ไม่ธรรมดา และเจ๋งมากๆ!! ทำให้ผมอยากเล่าให้คุณผู้อ่านของผมฟังก็คือ

นางการ์ติก้า เธอออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อเผยแพร่ไปทั่วโลกว่า องค์กรสิทธิมนุษยชนทั้งหลาย พวกคุณกรุณาอย่าเสือกเรื่องกฎหมายอิสลามของมาเลเซีย เพราะเธอเคารพกฎหมายของประเทศเธอ

นางการ์ติก้า เธอยอมรับผิดและพร้อมรับการลงโทษด้วยการเฆี่ยนจากทางการมาเลเซียด้วยความเต็มใจ เพื่อรักษากฎหมายอิงหลักอิสลามที่เธอเองก็เคารพให้ศักดิ์สิทธิ์ต่อไป

แม้แต่พ่อของเธอ ก็ออกมาปกป้องกฎหมายของประเทศเช่นเดียวกัน โดยพ่อของเธอบอกว่า เขาเลี้ยงลูกมาให้เป็นคนที่เคารพกฎหมาย เคารพหลักศาสนา เมื่อลูกของเขาทำผิด ลูกเขาควรได้รับการลงโทษ

ฉะนั้นพวกองค์กรสิทธิมนุษยชนต่างๆที่พยายามจะช่วยลูกของเธอ กรุณาอย่าเสือก!!

ทีนี้ทางการมาเลเซีย ปกติก็ลงโทษประชาชนตามกฎหมายอิสลามมาหลายคดีจวบจนบัดนี้ แต่พอคดีของนางการ์ติก้า เกิดดังไปทั่วโลก มาเลเซียก็เกิดอาการหน้าบางจากเหตุผลอะไรไม่แน่ใจ เกิดกลัวเสียงวิจารณ์จากนานาชาติขึ้นมา เลยตัดสินใจยกเลิกการเฆี่ยนนางการ์ติก้าไปแบบกะทันหัน!!

ตามข่าวนี้ครับ ลองอ่านดู

มติชนออนไลน์

มาเลย์ปล่อยตัวหญิงดื่มเบียร์ดื้อๆไม่ยอมเฆี่ยน-เจ้าตัวไม่ยอม

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 24 ส.ค.ว่า รัฐปาหังของมาเลย์ได้ปล่อยตัวนางการ์ติก้า ซารี เดวี ซูการ์โน วัย 32 ปี ซึ่งถูกตัดสินโทษจากศาลศาสนาให้ถูกเฆี่ยน 6 ที จากกรณีดื่มเบียร์ โดยรถที่นำเธอไปเรือนจำนอกกรุงกัวลาลัมเปอร์เมืองหลวง เพื่อส่งตัวให้เธอรับโทษโบย ได้หยุดนิ่งเป็นเวลานับชม.ก่อนจะเปลี่ยนเส้นทางส่งเธอกลับบ้าน ขณะที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐปาหังเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า ทางการไม่สามารถทำตามหมายจับและคำสั่งศาลได้ในขณะนี้ และว่าทางการได้ปล่อยตัวเธออย่างเป็นทางการแล้ว

อย่างไรก็ตาม นางการ์ติก้ายังไม่ยอมลงจากรถ โดยเจ้าตัวบอกว่า เธอต้องการให้ทางการตัดสินออกมาว่า เธอผิดหรือถูกแน่ ซึ่งก่อนหน้านี้ เธอได้ปฎิเสธที่จะอุทธรณ์คดี และท้าให้ทางการรัฐปาหังลงโทษโบยเธอต่อหน้าสาธารณชน

ด้านนายชูการ์โน มูตาลิบ บิดานางการ์ติก้า วัย 60ปี แสดงปฎิกิริยาไม่พอใจต่อการปล่อยตัวลูกสาวของเขาโดยไม่ให้รับโทษ บอกว่า ลูกสาวของเขาต้องการรับโทษตามคำตัดสิน และเขาคิดว่าหากรัฐปาหังไม่ยอมทำ เรื่องนี้จะกระทบต่อศาสนา พร้อมทั้งเตือนว่าอย่าเอาลูกสาวของเขามาเป็นเครื่องเล่นทางศาสนา

รายงานระบุว่า ก่อนหน้านี้ ทางการรัฐปาหังได้ควบคุมตัวนางการ์ติก้าที่บ้านพัก ท่ามกลางปฎิกิริยาประท้วงของผู้เห็นใจนางการ์ติก้ากว่า 50 คน ที่ชุมนุมหน้าบ้านเธอ

---------------------------

จากข่าวหญิงมาเลย์คนนี้ เราได้ข้อคิดอะไรครับ?

สำหรับผมได้ข้อคิดมากๆ และเอามาเปรียบเทียบกับกรณีมาตรา112 ได้พอควร

คือบ้านเมืองแต่ละประเทศ เขาก็มีกฎหมาย มีจารีตประเพณีที่แตกต่างกันไป หากเราไปบ้านเมืองใด เราก็ควรให้ความเคารพกฎหมายของบ้านเขา จริงมั้ยครับ?

แบบนี้ถึงจะเรียกได้ว่า เราเป็นผู้มีวัฒนธรรมที่ดี เคารพในความเชื่อ เคารพศรัทธาในศาสนาวัฒนธรรมประเพณีของคนอื่น

อย่างบ้านเราเองก็มีจารีตประเพณีเช่นกัน เราเองก็อยากให้ใครที่มาเที่ยวบ้านเรา ให้ความเคารพประเพณีและวัฒนธรรมของเราจริงมั้ยครับ

อย่างในมาเลเซียยังมีกฎหมายแปลกๆที่เราคาดไม่ถึงอีกหลายอย่าง อย่างเช่น ห้ามเด็ดทำลายดอกชบา ในที่สาธารณะ ห้ามเหยียบดอกชบาที่ตกลงบนพื้น เพราะดอกชบา (บุหงารายา) เป็นดอกไม้ประจำชาติของมาเลเซีย ถ้าใครฝ่าฝืนอาจโดนจำคุกได้เลยนะครับ

------------------------

ห้ามขายหมากฝรั่งในสิงคโปร์

กรณีห้ามขายหมากฝรั่งในสิงคโปร์ คือตัวอย่างที่ยกแล้วจะเห็นภาพมากที่สุด

ถ้าคุณชอบเคี้ยวหมากฝรั่ง เป็นชีวิตจิตใจ ก็ไม่ควรไปสิงคโปร์นะครับ เพราะหมากฝรั่งเป็นสินค้าต้องห้ามในสิงคโปร์

แบบนี้เราจะไปบอกว่า สิงคโปร์ละเมิดสิทธิเสรีภาพก็ไม่ได้ เพราะนี่คือกฎหมายบ้านเขา ซึ่งเราต้องเคารพ ถ้าคุณไม่ชอบกฎหมายของเขา ก็อย่ามาบ้านเขา ก็อย่ามาเที่ยวบ้านเขา อย่ามาอยู่บ้านเขาสิครับ จริงมั้ย?

(สิงคโปร์ กับมาเลเซีย มีกฎหมายห้ามคนในประเทศ แต่งตัวเป็นกระเทย หรือรักร่วมเพศด้วยครับ มีโทษรุนแรงมากด้วย)

---------------------------



กฎหมายหมิ่นประมาท เมื่อเทียบกับ กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

ประชาชนทุกคนยังมีกฎหมายหมิ่นประมาท เพื่อปกป้องชื่อเสียงและสิทธิเสรีภาพของตัวเอง ใครมาด่าเรา ทำให้เราเสียหาย เราก็ฟ้องร้องดำเนินคดีคนๆนั้นไป

ก่อนอื่นเราต้องดูกฎหมายหมิ่นพระบรมเดาชานุภาพกันก่อน

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒ บัญญัติว่า ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี

องค์ประกอบความผิด
หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์โดยเจตนา

ที่สำคัญที่อยากจะให้ทุกคนรู้ก็คือ ยังมี มาตรา 133 ใช้คุ้มครองพระมหากษัตริย์ พระราชินี และรัชทายาทต่างประเทศ ที่เสด็จฯ มาเยือนประเทศไทยด้วยนะครับ  ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงเจ็ดปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงหนึ่งหมื่นสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา 134 ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายผู้แทนรัฐต่างประเทศซึ่งได้รับแต่งตั้งให้มาสู่พระราชสำนัก ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงห้าปี หรือปรับตั้งแต่หนึ่งพันบาท ถึงหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

เช่น ถ้าจักรพรรดิญี่ปุ่น หรือมกุฏราชกุมารของญี่ปุ่น มาเยือนไทย แล้วใครก็ตามมาดูหมิ่น แสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระองค์ ก็จะโดนมาตรา 133 เอาผิดเช่นกันครับ

ดังนั้น กฎหมายไทยไม่ได้คุ้มครองเฉพาะองค์พระประมุขของไทยเท่านั้น แต่ยังคุ้มครองประมุขและผู้แทนรัฐจากต่างประเทศด้วย แต่พวกล้มเจ้าก็จะเลี่ยงไม่ยอมพูดถึงมาตรา 133 และ 134 นี้


ทีนี้มาดูกฎหมายหมิ่นประมาทของประชาชนบ้าง

1.การหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดา แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ

1.1หมิ่นประมาท มาตรา 326 โทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
1.2.หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา มาตรา 328 ระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปีและปรับไม่เกินสองแสนบาท
1.3. หมิ่นประมาทซึ่งหน้า มาตรา 393 ซึ่งอยู่ในหมวดลหุโทษ เป็น "การดูหมิ่นผู้อื่นซึ่งหน้าหรือด้วยการโฆษณา" มีโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

2. การหมิ่นประมาทเจ้าพนักงาน มาตรา 136 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

3.การหมิ่นประมาทศาล มาตรา 198 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงเจ็ดปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงหนึ่งหมื่นสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

------------------

แค่หมื่นประมาทบุคคลธรรมดาทั่วไป ยังมีโทษถึงขั้นติดคุกได้

แล้วถ้าหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ พระราชินี องค์รัชทายาท หรือหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามมาตรา112 จะไม่ให้มีติดคุกหรืออย่างไร?

ถ้าเราคนไทยยังปล่อยให้ไอ้พวกชั่วและพวกโง่ มายกเลิกมาตรา112 ไปแล้ว พระมหากษัตริย์ก็จะไม่มีอะไรคุ้มครองพระองค์

หรือถ้าจะให้พระมหากษัตริย์ มาใช้กฎหมายหมิ่นประมาทแบบเดียวกับประชาชน คุณผู้อ่านว่า มันถูกต้องสมควรแล้วเหรอ?

ถ้าใครด่า อาฆาต มาดร้าย ใส่ความ ป้ายสี พระมหากษัตริย์ จะต้องให้พระองค์ต้องทรงมาลงสู้คดีเองหรือครับ?

ยิ่งพวกล้มเจ้ามันมีมากมายในยุคนี้ เพราะสัตว์นรกมันกลับชาติมาเกิดกันเยอะ มันจะหมิ่นพระบรมเดชานุภาพกันเป็นพันเป็นหมื่นคดี แล้วเราจะให้ในหลวงต้องทรงลงมาปกป้องพระองค์ ด้วยการสู้คดีทุกคดีเหรอครับ?

และถึงแม้จะเปิดโอกาสให้ สำนักพระราชวังส่งตัวแทนมาสู้คดีแทนพระองค์ก็ตาม แต่คุณผู้อ่านคิดว่า มันสมควรให้มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นหรือครับ?

-----------------------

สถาบันพระมหากษัตริย์ คือสถาบันหลักของชาติ แม้แต่ธงชาติไทย เรายังไม่ยอมให้ใครมาลบหลู่เลยครับ

ฉะนั้น ก็มีแต่พวกเลวอ้างสิทธิเสรีภาพบ้าบอคอแตกเท่านั้น เอามาใช้หลอกคนไทยโง่ๆ เพื่อให้เรียกร้องสิทธิชั่ว ๆ แต่พวกเลวมันไม่เคยบอกเรื่องหน้าที่พลเมืองให้คนไทยโง่ ๆ ได้รู้เลยว่า

หน้าที่พลเมืองที่ดี ต้องปกป้องสถาบันหลักของชาติ คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

ถ้าการเรียกร้องสิทธิเสรีภาพใดๆ หากเป็นการละเมิดหน้าที่พลเมืองที่ดี สิทธิเสรีภาพนั่นคือสิ่งที่ผิด เป็นสิทธิเสรีภาพที่เกินขอบเขตครับ

คนไทยส่วนใหญ่มักไม่รู่ว่า หน้าที่ต้องมาก่อนสิทธิเสมอ หากยังไม่ทำหน้าที่พลเมืองที่ดี ก็ย่อมไม่มีความชอบธรรมที่จะมาเรียกร้องขอสิทธิ

พวกบัฟฟาโร่แดง ส่วนใหญ่มันไม่รู้ว่าพวกมันกำลังเป็นเหยื่อของไอ้พวกล้มเจ้า พวกคอมมิวนิสต์หลงยุค พวกสังคมนิยม ที่แอบอ้างประชาธิปไตยมาบังหน้าหากินเท่านั้น

ถ้าการวิจารณ์ในหลวงอย่างสร้างสรรค์ มีเหตุผล ในหลวงท่านทรงเคยตรัสว่า สมควรทำด้วยซ้ำ

ปัญหาก็คือ พวกเลวสันดานชั่ว มันใส่ร้ายป้ายสี หยาบคาย เหยียบย่ำสถาบันนี่แหล่ะครับ พวกมันถึงคิดจะล้มมาตรา112

แต่เป้าหมายของพวกมันจริงๆแล้ว สูงกว่ามาตรา112 เพราะพวกมันต้องการเปลี่ยนระบอบเลยครับ

------------------------

มาตรา112 ปกป้องสถาบันที่เราเคารพรักและเทิดทูน

ขนาดคนธรรมดายังมีกฎหมายหมิ่นประมาทคุ้มครอง

แล้วพ่อเจ้าอยู่หัวอันเป็นที่รักของข้าแผ่นดินลูกแผ่นดินอย่างพวกเรา จะมีกฎหมายปกป้องคุ้มครองพระองค์ท่านไม้ได้เชียวรึ ?

สถาบันกษัตริย์ คือสถาบันหลักสูงสุด 1 ใน 3 ของชาติ การมีกฎหมายทีมีบทลงโทษแรงกว่าสามัญชน ก็เป็นเรื่องธรรมดา

หากใครไม่ชอบกฎหมายมาตรา112 นี้ ไม่ชอบสถาบันกษํตริย์ วิธีง่าย ๆ คุณก็แค่ออกไปจากแผ่นดินนี้สิครับ จะหน้าด้านทนอยู่ในประเทศนี้ ทำไม เพราะ...

-------------------------

โปรดทราบ!!

คลิกที่รูปเพื่อขยาย!!

http://imgur.com/KE5pbCm

คลิกอ่าน ประธานาธิบดีสหรัฐฐานันดรเทียบเท่านายกรัฐมนตรีอังกฤษ!!


วันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2554

คนไทยชอบเป็นลูกที่ดื้อของในหลวง







คนไทยต่างบอกว่า รักในหลวง แต่รักในหลวงแล้ว คุณทำตามคำสอนที่ในหลวงทรงชี้แนะหรือไม่?

ประเทศไทยที่ประสบมหาอุทกภัยหนักในปี54นี้ ประเด็นสำคัญที่สุดก็คือ พวกคุณ พวกเรา รวมทั้งผมด้วย ต่างละเลยคำสอนของพระองค์ท่านมานาน



ถ้าคุณลองค้นหาพระราชดำรัสเนื่องในวันเฉลิมฯ ทุกวันที่4ธันวาคมของทุกๆปีที่ผ่านมาๆ ในหลวงทรงตรัสถึงแนวคิดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง มานานกว่า30ปีมาแล้ว แต่คนไทยก็ฟังแบบได้ยินผ่านๆไป

ก่อนวิกฤติต้มยำกุ้งเมื่อปี 2540 คนส่วนใหญ่ไม่มีใครสนใจคำสอน เรื่องเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงเท่าที่ควร แค่ได้ฟัง แต่ไม่ได้เข้าใจ

เช่นเดียวกันพวกฝรั่งต่างชาติเอง แต่ก่อนก็ไม่ค่อยสนใจแนวคิดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง จนกระทั่งเกิดวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ พวกฝรั่งถึงได้ถึงบางอ้อว่า แนวคิดทุนนิยมแบบบริโภคนิยมสไตล์อเมริกันหรือทุนนิยมแบบตะวันตกนั้น คือหายนะของโลก

ทุกวันนี้ชาวอเมริกันก็เพิ่งจะตาสว่างถึงความน่ากลัว ความเอารัดเอาเปรียบของระบบทุนนิยมแบบบริโภคนิยม ที่ธุรกิจมุ่งแต่แสวงหากำไรสูงสุดมาก่อน นึกถึงสังคม

การประท้วงต่อต้านความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยกับคนจน ที่หน้าวอลสตรีท "Occupy Wall Street"


--------------------------

ในหลวงทรงเน้นเรื่องน้ำ

เพราะน้ำคือชีวิต ถ้าประเทศไทยมีน้ำกินน้ำใช้ตลอดปี ในทุกพื้นที่ คนไทยจะไม่ยากจน

ในหลวงจึงทรงงานอย่างหนักตลอดเวลาที่ทรงครองราชย์ ในหลวงจะทรงเน้นเรื่องระบบชลประทาน

เพราะทรงเน้นว่าประเทศไทยจะไปรอด คนไทยจะไม่อดอยาก ถ้าไทยเราเน้นทำเกษตรแบบพอเพียง เกษตรแบบผสมผสาน หรือที่เรียกว่า เกษตรทฤษฎีใหม่ ที่แบ่งพื้นที่ทำเกษตรแบบผสม มีพื้นที่สำหรับกักเก็บน้ำไว้ใช้ยามแล้ว ไม่ใช่เอาแต่ทำเกษตรพืชเชิงเดี่ยวแบบที่รัฐบาลในทุกยุคทุกสมัยส่งเสริม

โดยเฉพาะเกษตรกรยุคนี้ ต่างละทิ้งบ่อเก็บน้ำ คูน้ำประจำบ้าน หรือร่องน้ำในสวน เพราะมัวแต่หวังพึ่งแต่ระบบชลประทานอย่างเดียว แล้วพอเกิดปัญหาภัยแล้ง เมื่อเขื่อนมีน้ำน้อยจนไม่พอมาหล่อเลี้ยงระบบชลประทาน สุดท้ายความยากจนและภาวะขาดทุนก็มาซ้ำเติมเกษตรกรพวกนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล้า

เกษตรกรไทยอย่าทำตัวเหมือนนายแดง ในคลิปนี้



ในหลวงทรงเน้นให้ประชาชนทำให้พอกินก่อน เหลือกินจึงเก็บขาย พึ่งพาตนเองได้ แต่รัฐบาลไทยที่ผ่านๆมาพยายามส่งเสริมให้เกษตรกรทำเพื่อส่งออก ทำเพื่อขาย 

จนวันนี้ชาวนาขายข้าวเปลือกแล้วไปซื้อข้าวสารกิน นี่แหละความโง่ที่ละทิ้งภูมิปัญญาชาวนาไทยในอดีต

แล้วสุดท้ายทุกรัฐบาลก็ต้องเข้าไปอุ้มราคาพืชผลเชิงเดี่ยวให้เกษตรกร ทำให้เกษตรกรไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน แต่พ่อค้าคนกลางรวย!!

นหลวงทรงให้ความสำคัญเรื่องระบบชลประทาน ส่วนนักการเมืองมุ่งแต่สร้างถนนหรือสร้างอะไรก็ได้ที่ได้ค่าคอมมิสชั่นสูง



เมื่อคนไทยก็รักความสบายเกินไป พอพวกนักการเมืองเอาถนนมาล่อเข้าหน่อย ก็เฮ เลือกนักการเมืองพวกนี้เข้ามาโกงกินในโครงการถนน!!

ดูตัวอย่างง่าย ๆ คนไทยขี่มอเตอร์ไชค์มากกว่าขี่จักรยาน ทั้ง ๆ ที่ขี่จักรยานอาจช้าหน่อย แต่ประหยัดปลอดภัย ไม่เป็นหนี้!!

สมัยก่อนเราใช้แม่น้ำคลองในการคมนาคมเป็นหลัก แต่พวกเราละทิ้งแม่น้ำลำคลอง จนกระทั่งต้องมาหัดพายเรือกันบนถนน !! (น้ำท่วม)

-----------------------


ในหลวงทรงเน้นความพอเพียง

เพราะความพอเพียง คือความพอดี เป็นทางสายกลาง เช่น ถ้าเป็นพ่อค้าก็เอากำไรแต่พอควร ไม่ขูดรีดกำไรเกินควร ถ้าเป็นประชาชนก็อยู่อย่างสมดุลระหว่างรายได้กับรายจ่าย

พอเพียงไม่ใช่ตระหนี่ พอเพียงของคนรวยย่อมไม่เท่ากับคนจน

คนรวย 100 ล้านบาท จะมีรถคันละ 10 ล้าน ก็เรียกพอเพียงได้

คนจนมี 1 แสนบาท อยากมีมอไซค์สักคัน ก็เรียกพอเพียงได้

พอเพียงไม่ใช่ห้ามกู้เงิน แต่ต้องกู้เงินอย่างฉลาด กู้โดยที่ไม่ทำให้ตัวเองและครอบครัวเดือดร้อนเกินไป ต้องกู้ให้พอเหมาะกับฐานะตัวเอง ไม่เกินฐานะ

การกู้ ต้องกู้มาเพื่อสร้างงานสร้างเงินจะดีที่สุด ไม่ใช่กู้เพื่อความอยากมีอยากได้ เช่นกู้เงินมาซื้อทีวี LCD ทั้ง ๆ ที่ทีวี21นิ้วธรรมดาที่บ้านก็ยังดีอยู่ เป็นต้น

ระบบเศรษฐกิจแบบพอเพียง ก็คือทุนนิยมพอเพียง ไม่ใช่มุ่งแต่แสวงหากำไรเพื่อความร่ำรวยของตัวเองเป็นหลัก จนลืมนึกถึงสังคมและผู้อื่น

------------------------------------

แนวทางของในหลวงคือทางรอดของชาติ

อุทกภัยปี 2554 คราวนี้ ทำให้พวกเราได้รู้แล้วว่า พวกเราละเลยคำสั่งสอนของในหลวงมากเพียงใด ไม่ต้องไปถามหาฝรั่งผู้เชี่ยวชาญที่ไหน แค่หันกลับมาศึกษาสิ่งที่ในหลวงเคยบอก เคยแนะ แล้วทำตาม เราก็จะรอดได้ด้วยทุนที่ไม่มากเกินไป

ที่ผ่านมา นายทุนมุ่งแต่กำไร นักการเมืองมุ่งแต่หาผลประโยชน์จากชาติ ประชาชนก็หวังแต่อยากจะรวยทางลัดมากกว่าตั้งใจทำมาหากิน หวังพึ่งนักการเมืองเกินไป แทนที่จะพึ่งตัวเองให้มากที่สุด

ในหลวงทรงมองการณ์ไกลว่า ประเทศไทยจะอยู่รอดได้ด้วยการเกษตร แต่นักการเมืองเอาแต่มุ่งเน้นแต่อุตสาหกรรม เพราะนักการเมืองได้ผลตอบแทนทางอ้อมสูง!!

เศรษฐกิจพอเพียงไม่ได้ปฏิเสธอุตสาหกรรม ไม่ได้ปฏิเสธเทคโนโลยี แต่ให้เราเน้นว่า ประเทศไทยเรามีชัยภูมิที่เหมาะกับการทำเกษตรมากกว่า ต้องพัฒนาเกษตรกรรมให้พึ่งพาตนเองได้ ทำการเกษตรแบบชาญฉลาดบนเทคโนโลยีที่เหมาะสมและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

เกษตรกรสมัยใหม่ เอาแต่พึ่งยา พึ่งเคมี พึ่งเครื่องทุนแรงเกินไปโดยละเลยแรงงานของตัวเอง เน้นแต่ปริมาณโดยละเลยความปลอดภัย

ถ้าเกษตรกรทำปุ๋ยใช้เอง แม้จะเหนื่อยหน่อย แต่ประหยัด แต่เกษตรกรส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยทำกัน

ทุกวันนี้ เกษตรกรที่หลุดวงจรอุบาทว์จากหนี้ได้ ก็เพราะพึ่งพาตัวเองให้มากกว่าพึ่งสิ่งอำนวยความสะดวกในการทำการเกษตรที่ต้องซื้อหามาด้วยเงิน

วันนี้ยังไม่สายเกินไป หันกลับมาดูคำสอนของในหลวง แล้วนำมาปฏิบัติ แล้วพวกเราคนไทยจะรอดจากภัยพิบัติอย่างยั่งยืน

------------------------

ในหลวงทรงงานอย่างยาวนาน มีข้าราชการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมารับใช้เบื้องพระยุคลบาทมากมาย แต่ข้าราชการมาทำแป๊บๆเดี๋ยวก็ย้าย เดี๋ยวก็เกษียณไป แต่ในหลวงไม่เคยเกษียณ

ในหลวงทรงเสด็จไปในถิ่นธุรกันดาร ถิ่นที่ๆข้าราชการท้องที่ไม่เคยไปถึงเลยด้วยซ้ำ ทรงไปพบราษฎรที่ห่างไกล ถนนหนทางเมื่อหลายสิบปีก่อนก็ไม่มี ถึงมีก็หนทางลำบากมากกว่าจะไปถึง แต่ในหลวงก็ทรงเสด็จไปทุกที่

พระราชภารกิจที่ทรงทำนั้น ทรงมีเจตนาก็เพื่อให้รัฐบาลรับแนวทางของพระองค์นำไปสานต่อ แต่ที่แล้ว ๆ มารัฐบาลทุกรัฐบาลต่างไม่สนใจแนวทางของพระองค์เท่าที่ควร

ถ้ารัฐบาลเข้าใจเจตนาในสิ่งที่ทรงทำให้เห็น ในหลวงก็จะไม่ทรงเหนื่อยมากขนาดนี้

ที่พระองค์ทรงพระประชวร อาจเพราะในหลวงทรงงานหนักอย่างยาวนานเกินไป

ที่พระองค์ต้องทรงงานหนัก ก็เพราประชาชนของพระองค์ ดื้อ ไม่สนใจทำตามที่พระองค์ทรงชี้แนะนั่นเอง

ถ้าคนไทยฉลาดและรู้เจตนาของพระองค์ให้เร็วมากกว่านี้ พระองค์ก็คงจะพระเกษมสำราญ อาจไม่ประชวรเหมือนทุกวันนี้ก็ได้ (ผมว่านะ)



-->

วันเสาร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2554

เฟซบุ๊กยิ่งลักษณ์ทำมิบังควรแบบไม่น่าให้อภัย





คุณผู้อ่านครับ ท่านนายกหญิงคนแรกได้ผิดพลาดแบบไม่ควรจะพลาด อีกแล้ว

เพราะเฟซบุ๊กของนายกยิ่งลักษณ์ Yingluck Shinawatra facebook ได้โพสพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผิดรูป ผิดพระองค์!!

เพราะเฟซบุ๊กท่านนายกยิ่งลักษณ์ โพสไว้ว่า 

"5 ธันวารวมพลังคนไทย รวมหัวใจถวายพระพรชัยมงคล"

แต่เฟซบุ๊ก ของท่านนายก กลับโพสพระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่8 แทน

ตามลิงค์นี้ (แต่ที่หน้าเพจแรกกลับถูกลบออกไปแล้ว)
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=286716118039517&set=a.106877456023385.4057.105044319540032&type=1&theater


คลิกที่รูปเพื่อขยาย!! รูปจากหน้าเพจแรกก่อนโดนลบไป


เมื่อขยายรูปนี้ดูที่เฟซบุ๊กท่านนายก จะเห็นได้ว่ารูปนี้เป็นรูปของรัชกาลที่8




ซึ่งรัชกาลที่8 พระองค์จะไม่ทรงฉลองแว่นตลอด แต่รัชกาลที่9 พระองค์ทรงฉลองแว่นตลอด

และส่วนรูปของรัชกาลที่9 น่าจะเป็นรูปนี้ครับ

คลิกที่รูปเพื่อขยาย!!


ความผิดพลาดหลายครั้งที่ผ่านๆมาของนายกยิ่งลักษณ์ยังพอให้อภัยได้ แต่คราวนี้ ถือว่า ไม่เหมาะไม่ควร มิบังควรอย่างยิ่ง!!

เพราะเรื่องนี้เป็นประเด็นอ่อนไหวมาก ต้องรอบคอบให้มากสำหรับคนเป็นผู้นำประเทศ เป็นถึงนายกรัฐมนตรี เรื่องนี้ไม่ควรผิดพลาดเลย เพราะในกลุ่มเสื้อแดงล้มเจ้า มักนำเรื่องรัชกาลที่8 มาบิดเบือนเสมอ

ฉะนั้นความผิดพลาดของนายกหญิง ครั้งนี้ถือว่า ผิดอย่างใหญ่หลวงครับ


ล่าสุด หน้าเพจเฟซบุ๊กนายกยิ่งลักษณ์ ได้ลบรูปและโพสดังกล่าวออกไปแล้วเมื่อกี้นี่เอง


ก่อนจบ ผู้เริ่มต้นพบข้อมูลรูปที่ผิดพลาดนี้ คือน้องเด็กปากดี แห่งเสรีไทย และหลังจากเฟซบุ๊กนายกฯลบรูปดังกล่าวออกไปแล้ว น้องภักดี หรือเด็กปากดี ก็ได้โพส กระทู้ชี้แจงถึงที่มาที่ไป ว่าทำไมเฟซบุ้คนายกถึงได้ลบออกไปแล้ว และใครเป็นคนลบ?

ไปอ่านตามนี้ http://bit.ly/uiHlFD

------------------------

อัพเดท ล่าสุดหลังจากลบโพสที่ผิดพลาดออกไป 

ทางเฟซบุ๊กนายกยิ่งลักษณ์ ก็โพสข้อความ ตามนี้

คลิกที่รูปเพื่อขยาย!!


----------------------

ล่าสุด ณ.เวลา18.00น. (4 ธ.ค.54)

ผมได้พบว่า เฟซบุ้คเครือข่ายยิ่งลักษณ์ หรือเฟซบุ๊กแฟนๆยิ่งลักษณ์ ที่ใช้ชื่อ Yingluck (ไม่มีนามสกุล) ก็ได้โพสรูปร.8 เช่นกัน และยังไม่ยอมลบออก ตามลิงค์นี้ https://www.facebook.com/photo.php?fbid=299067623460059

คลิกอ่าน จำคุกอากง20ปี แผนชั่วของพวกล้มเจ้า!!


วันอังคารที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

กรณีประทัวงเปิดประตูน้ำพระยาสุเรนทร์






เมื่อเช้าวันจันทร์ที่29 พ.ย. 54 ผมก็ดูเรื่องเล่าเช้านี้เหมือนทุกวัน แต่เช้านี้คุณสรยุทธนำเสนอ ความเป็นอยู่ของชาวรามอินทราฝั่งเลขคี่ เช่นรามอินทราซอย5 ที่ออกมาประท้วงเขตบางเขนเมื่อหลายวันก่อนว่า อย่าเอาพวกเขาเป็นแก้มลิงรับน้ำจากทางเหนือบิ๊กแบค ทำไมเขตไม่ระดมเครื่องสูบมาสูบช่วยเหลือเขาเยอะๆ เขาทนน้ำเน่ามานานแล้วเหมือนกัน

พวกเขาอยู่ใต้บิ๊กแบคแท้ๆ แต่กลับท่วมหนักไม่ต่างจากคนเหนือบิ๊กแบค?

เรื่องเล่าเช้านี้ของคุณสรยุทธ จึงพาไปตระเวนย่านรามอินทราหลายต่อหลายซอย น้ำเน่ามากๆ ยุงก็เยอะ แถมหารถเข้าออกก็ยาก และถึงจะมีแต่ก็แพงมากๆ รถทหารที่เข้ามาช่วย รถการไฟฟ้าที่เข้ามาช่วยขนส่งคน ก็โดนวางเรือใบตลอด

-----------------------

ชมคุณสรยุทธตะลุยดูความทุกข์ยากของชาวบ้านย่านรามอินทรา เมื่อคืนวันที่27พ.ย.54

คลิปแรก ให้ดูตั้งแต่นาทีที่6.40 เป็นต้นไป




------------------------

กรณีชาวลำลูกกาประท้วงขอเปิดประตูน้ำพระยาสุเรนทร์

ทีแรกชาวลำลูกกาและชาวสายไหมที่อยู่เหนือประตูน้ำได้ประท้วงขอให้กทม. เปิดประตูระบายน้ำเพิ่มจาก80ซม.เพิ่มเป็น1เมตร ซึ่งกทม.ก็ตกลงยอมทำตามข้อเรียกร้องเมื่อหลายวันก่อนแล้ว

แล้วก็ทำให้สถานการณ์บนถนนลำลูกกาน้ำลดลงอย่างมาก แต่แล้วคืนวันที่27พ.ย.54 เวลา22.00น. ได้มีชาวลำลูกกาบางส่วนนำโดยนายตำรวจคนหนึ่งได้คืบจะเอาศอก แอบไปเปิดประตูเพิ่มจาก1เมตร เป็น1.50เมตร โดยอ้างว่า ศปภ.ได้สั่งให้กทม.เปิดแล้ว

แต่หลังจากเปิดประตูน้ำไม่กี่ชั่วโมง ย่านสายไหมใต้บิ๊กแบคและบางเขนแถวย่านรามอินทราก็กลับมีน้ำเพิ่มสูงขึ้นเฉลี่ย3ซม. ทำให้ผู้ว่าฯกทม.ต้องไปสั่งปิดประตูให้เหลือ1เมตรเท่าเดิม ตามข่าวนี้

ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์กล่าวว่า เสียใจที่เมื่อเวลา 22.00 น.ของคืนที่ผ่านมา ประชาชนได้เปิดประตูระบายน้ำพระยาสุเรนทร์โดยพลการเป็น 1.50 เมตร ซึ่งผ่านมา 6 ชั่วโมงระดับน้ำหลังประตูเพิ่มขึ้น 3 ซม. ซึ่งปกติพื้นที่บริเวณนี้น้ำยังท่วมสูง รถเล็กยังไม่สามารถสัญจรได้ ซึ่งมีชุมชนและหมู่บ้านอยู่ประมาณ 4,500 ครัวเรือน ประชาชนอาศัย 37,000 คน ดังนั้น การเปิดประตูระบายน้ำคลองพระยาสุเรนทร์แบบก้าวกระโดดจะทำให้เขตสายไหมและบางเขนได้รับผลกระทบ จึงได้สั่งการให้หรี่ประตูลงมาที่ 1 เมตรเช่นเดิม และได้สั่งการให้เปิดประตูระบายน้ำที่ประตูระบายน้ำคลองสองเพิ่มอีก 30 ซม. จาก 1.20 เมตร เป็น 1.50 เมตร และเปิดประตูระบายน้ำมีนบุรีเพิ่มอีก 30 ซม. จาก 1 เมตร เป็น 1.30 เมตรทดแทน ซึ่งจะสามารถช่วยระบายน้ำจากพื้นที่ด้านเหนือได้เป็นอย่างดีขึ้น

"อยากขอร้องให้ประชาชนอย่าเปิดประตูระบายน้ำโดยพลการ เพราะจะทำให้เกิดความเสียหาย ต้องมีการหารือกันด้วยเหตุด้วยผล ทั้งนี้ การเปิดประตูระบายน้ำยังคงเป็นอำนาจของ กทม. จึงขอความร่วมมือประชาชนให้ กทม.ได้ประเมินสถานการณ์ และ กทม.ไม่ใช่จะไม่ฟังใคร ยืนยันการเปิด-ปิดประตูได้ดำเนินการตามสถานการณ์มาโดยตลอด และที่ผ่านมา กทม.ได้ทำหนังสือถึง พลต.อ.ประชา พรหมนอก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) ว่ายังไม่พร้อมเปิดประตูระบายน้ำคลองพระยาสุเรนทร์ ขอดูสถานการณ์ 1-2 วัน และขอประเมินสถานการณ์ตามเหตุผลทางเทคนิค"


-----------------------------

รายงานข่าว3มิติเมื่อคืนวันที่ 28พ.ย.54 ที่ผ่านมา

ข่าว3มิติได้สัมภาษณ์คนลำลูกกาบางส่วนก็พอใจแล้วที่กทม.ได้เปิดประตูน้ำพระยาสุเรนทร์เพิ่มเป็น 1เมตรแล้วเมื่อหลายวันก่อน เพราะทำให้ถนนลำลูกกาลดลงเรื่อยๆอย่างมาก ทำให้รถเล็กวิ่งได้แล้ว จะมีขังบ้างบางช่วงเท่านั้น แต่ก็ไม่เกิน15-20ซม.

แต่กลุ่มชาวบ้านลำลูกกาที่นำมาโดยพ.ต.ต.เสงี่ยมเท่านั้นที่ไม่พอใจ ต้องการให้เปิดประตูน้ำเพิ่มขึ้นอัก50ซม. เมื่อกทม.ไม่ได้เปิดให้ก็แอบมาเปิดเอง โดยอ้างว่าศปภ.ได้มีคำสั่งแล้ว

จากรายงานข่าว3มิติ รายงานว่า ผู้ว่าฯกทม.ยืนยันว่า ศปภ.ยังไม่เคยมีคำสั่งให้เปิดประตูเพิ่มเป็น1.50เมตร

ซึ่งผู้ว่ากทม. ยืนยันจะเอาผิดทางกฏหมายกลุ่มคนที่มาบุกรุกมาเปิดประตูเพิ่ม

คลิป สัมภาษณ์ผู้นำชาวบ้านทีมาปิดประตูน้ำครับ และสัมภาษณ์ชาวลำลูกกาที่พอใจแล้วที่กทม.เปิด1เมตร


พอกทม.ปิดประตูน้ำแล้ว ก็ยังมีชาวบ้านสายไหมช่วงใต้ประตูน้ำ ก็มาคอยเฝ้าระวังประตู เพราะกลัวชาวบ้านอีกฝั่งจะมาแอบเปิดประตูน้ำอีก


------------------------

ชาวบ้านเปิดประตูน้ำโดยพลการ ผิดกฏหมายนะครับ

ถ้าสิ่งที่ผู้ว่ากทม.ยืนยันว่า ศปภ.ไม่เคยมีคำสั่งอย่างเป็นทางการให้กทม.เปิดประตูน้ำพระยาสุเรนทร์เพิ่มขึ้นจริงๆ ฉะนั้นชาวบ้านที่นำโดยนายตำรวจคนนี้ที่บุกรุกมาเปิดประตูน้ำเพิ่มเป็น1.50เมตรโดยพลการ จะถือว่าทำผิดกฏหมายครับ

เพราะกรณีประตูน้ำต่างจากการรื้อบิ๊กแบค หรือรื้อกระสอบทราย เพราะประตูน้ำเป็นทรัพย์สินของทางราชการภายใต้การดูแลของกทม. ใครมาเปิดโดยพลการเข้าข่ายบุกรุกแน่นอนครับ

และการเปิดประตูระบายน้ำพระยาสเรนทร์ หรือการรื้อบิ๊กแบคที่ผ่านๆมา ผลกระทบจะไปหนักที่ย่านรามอินทราที่คุณสรยุทธไปตระเวนนี่แหล่ะครับ

ผมอยากบอกชาวลำลูกกาบางส่วนที่ยังไม่พอใจว่า พวกคุณควรใจเย็นลงบ้าง น้ำกำลังค่อย ๆลดอยู่แล้ว ถ้าคุณดูเรื่องเล่าเช้านี้ ที่คุณสรยุทธไปเยี่ยมชาวรามอินทรา คุณจะเห็นว่า ยังมีชาวรามอินทราเดือดร้อนหนักหนาสาหัสอยู่เลย เพราะรามอินทราเป็นย่านที่ต่ำกว่าถนนพหลโยธินมาก

ขอให้ชาวลำลูกกาจงรับรู้ไว้ว่า การที่คุณอยากจะเปิดประตูระบายน้ำมากขึ้นมากเท่าไหร่ คนรามอินทราก็เดือดร้อนหนักขึ้นเท่านั้น ใจเย็น ๆครับ สถานการณ์กำลังค่อย ๆดีขึ้น

กทม.ก็เปิดให้1เมตรแล้วแถมเปิดประตูอื่นเพื่มช่วยแล้ว ถ้าเปิดมากกว่านี้คนรามอินทราก็โดนหนักอีก พวกคุณควรเห็นใจคนรามอินทราบ้างนะครับ ยังไงก็หัวอกเดือดร้อนเดียวกัน

แนะนำให้คนลำลูกกา ลองไปดูภาพความยากลำบากของชาวรามอินทราซอย39 จากข่าวของวันที่29พ.ย.54 ดูสิครับ ว่าพวกเขาลำบากสุดๆขนาดไหน? แล้วพวกคุณยังจะอยากไปเพิ่มทุกข์ให้พวกเขาเพิ่มอีกเหรอครับ

ดูรูป คลิกที่นี่!!


หมายเหตุ นายตำรวจที่เป็นแกนนำชาวบ้านมาเปิดประตูน้ำโดยพลการ ทำงานอยู่ที่สำนักนายกฯ และศปภ.ก็ยังไม่มีคำสั่งให้ กทม.เปิดประตู ศปภ.เพียงแต่ขอความอนุเคราะห์จากกทม.เท่านั้น ไม่ได้บังคับ ซึ่งผู้ว่ากทม.ได้ทำหนังสือชี้แจงไปแล้วว่า ยังเปิดเพิ่มทันทีไม่ได้ ขอดูสถานการณ์อีก2-3วันก่อนตามความเหมาะสม

v

v
รายงานข่าวล่าสุด เมื่อคืนวันที่28พ.ย.54 ชาวบ้านลำลูกกาได้นำมวลชนไปกดดันเจ้าหน้าที่เปิดประตูน้ำเพิ่มเป็น1.50เมตรอีกแล้ว


คลิกอ่าน ประตูน้ำพระยาสุเรนทร์แผนชั่วของเสื้อแดง!!

วันเสาร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

กรณีชาวนนทบุรีฟ้องผู้ว่าฯกทม.(ฟ้องผิดคนแล้ว)





วันนี้ผมเข้ามาดึกมาก ทีแรกตั้งใจจะทิ้งช่วงไม่เขียนบทความสักหลายวัน แต่ผมเช็คข่าวว่า คนเมืองนนท์จะฟ้องกทม. ข้อหาบริหารน้ำไม่มีประสิทธิภาพ?

แม้ผมเองจะไม่ใช่คนเชี่ยวชาญเรื่องการระบายน้ำ แต่อาศัยติดตามข่าวและหาข้อมูลในเว็บเท่าที่จะหาได้ ผมมองว่า เรื่องนี้คนเมืองนนท์คงฟ้องผิดหน่วยงานแล้วมังครับ?

ถ้าผู้ว่าฯกทม.บริหารน้ำไม่มีประสิทธิภาพจริงๆ คนที่จะฟ้องผู้ว่ากทม. ก็น่าจะเป็นคนกรุงเทพฯจริงมั้ย? คนเมืองนนท์เกี่ยวอะไร?

ผมว่า คนนนทบุรีควรต้องทราบเรื่องบทบาทหน้าที่ของแต่ละหน่วยงานก่อนนะครับว่า ใครมีหน้าที่อย่างไร?

ที่น้ำท่วมปทุมธานีหนักแล้วทะลักมาท่วมนนทบุรีหนัก นั่นเกิดจากกรมชลประทานบริหารผิดพลาดมากกว่านะครับ ไม่ใช่กทม. น้ำที่ท่วมนนทบุรี ไม่ใช่น้ำที่มาจากทม. แต่เป็นน้ำเหนือที่มาจากปทุมธานี

และถ้าจะบอกว่า หน่วยงานที่คุมการระบายน้ำทั้งประเทศ ก็คือศปภ. ครับ แถมนายกยิ่งลักษณ์ก็ประกาศใช้มาตรา31คุมอำนาจเบ็ดเสร็จแล้ว การระบายน้ำในภาพรวมเป็นหน้าที่ของรัฐบาลโดยศปภ.ครับ

เพราะผู้ว่าฯกทม. มีหน้าที่ปกป้องกทม.เท่านั้น ซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่ที่ระบุในกฏหมาย มีเท่านั้นจริงๆ ท่านผู้ว่าฯถึงได้บอกแล้วไงครับว่า

ท่านนายกหญิงจะมาพูดลอยหน้าลอยตาบอกให้กทม.ดูภาพรวมแค่นั้นไม่ได้ ถ้านายกหญิงอยากให้ผู้ว่าฯกทม.ดูภาพรวมการระบายน้ำนอกเหนือพื้นที่กทม. ท่านนายกก็ทำหนังสือมอบอำนาจมาให้สิครับ?!

---------------------------------


หน้าที่ผู้ว่ากทม.

ผู้ว่ากทม. มีหน้าที่ปกป้องกรุงเทพฯ จากน้ำเหนือที่ไหลมาจากนนทบุรี โดยทำคันกั้นน้ำบนคลองทวีวัฒนา และคลองมหาสวัสดิ์ เป็นคลองที่ตัดขวางจากตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาไปทางตะวันตกลงแม่น้ำท่าจีน

ดูแนวคลองต่างๆที่ลงแม่น้ำท่าจีน เช่นคลองมหาสวัสดิ์ คลองทวีวัฒนา คลองภาษีเจริญ

คลิกที่รูปเพื่อขยาย!!


หรือคลิกที่นี่เพื่อดูรูปที่ใหญ่กว่า

ต่อมาน้ำเหนือจากนนทบุรีสูงเลยคันกั้นน้ำของคลองทวีวัฒนาจนทะลักเข้าท่วมฝั่งธน แถมน้ำจากนนทบุรียังตีโอบอ้อมหลังเข้าท่วมกทม.อีกด้วย

ทีนี้เมื่อน้ำเหนือเริ่มลดลง ก็ข้ามคันกั้นน้ำคลองมหาสวัสดิ์และคลองทวีวัฒนาไม่ได้อีก นี่คือระบบการป้องกันตนเองของกรุงเทพฯ ซึ่งก่อนหน้านี้นนทบุรีและปทุมธานีก็กั้นแบบนี้เช่นกัน แต่เอาไม่อยู่ จนท่วมหนัก!!

ทีนี้พอน้ำเหนือข้ามคันกั้นน้ำทวีวัฒนาและคลองมหาสวัสดิ์ไม่ได้แล้ว ทำไมคนนนทบุรีต้องมากดดันให้รื้อคันคลองทวีวัฒนาของกทม.ออกล่ะครับ มันไม่สมเหตุสมผลเลย

เมื่อน้ำไม่สามารถไหลข้ามคันได้อีก ก็จะไหลไปตามแนวคลองทวีวัฒนาและคลองมหาสวัสดิ์เพื่อลงแม่น้ำท่าจีนทางฝั่งตะวันตก ส่วนด้านตะวันออกก็ลงคลองต่างๆที่ต่อเชื่อมกันเพื่อลงแม่น้ำเจ้าพระยา นี่คือระบบระบายน้ำที่ถูกต้อง นี่แหล่ะที่เขาเรียกว่าการบริหารจัดการน้ำให้อยู่ในระบบ

ถ้าเอาคันกั้นน้ำคลองทวีวัฒนาและคลองมหาสวัสดิ์ออก มันก็จะท่วมกรุงเทพฯอีก นี่เขาเรียกว่า ปล่อยน้ำไหลแบบไม่เป็นระบบ

เมื่อชาวเมืองนนท์เรียกร้องให้เปิดประตูน้ำในคลองมหาสวัสดิ์หลายคลอง ผู้ว่าฯกทม.ก็ยอมเปิดให้แล้ว แต่ชาวนนท์ซึ่งไม่รู้เป็นใครเพราะข่าวไม่ได้แจ้ง กลับไม่พอใจจนคิดจะฟ้องผู้ว่าฯ กทม.อีก ผมว่าระบบความคิดของคนที่คิดจะฟ้องผู้ว่าฯ กทม.คงเพี้ยนแล้วครับ

ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ พอผู้ว่าฯกทม.ยอมเปิดประตูน้ำเพิ่ม ก็เห็นมีข่าวเครือข่ายเฟซบุ๊คคนเมืองนนท์ขอบคุณผุ้ว่าฯกทม.แล้วนี่ ตามข่าวนี้ http://astv.mobi/AV77Uie

-----------------------------

ปัญหาของเมืองนนท์คืออะไร?

สิ่งหนึ่งที่ทำให้เมืองนนท์ท่วมมาก นอกจากน้ำท่วมทุ่งแล้ว อีกสาเหตุนึงคือ จังหวัดนนทบุรีไม่มีคันกั้นน้ำตามแนวพระราชดำริ ทำให้น้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาข้ามไปท่วมเมืองนนท์ได้ ซึ่งวิธีที่คนเมืองนนท์ควรคิดแก้ปัญหาตัวเองคือ

ต้องเรียกร้องให้ทำคันกั้นแม่น้ำเจ้าพระยาชั่วคราว เช่นขอให้ศปภ.มาวางบิ๊กแบคตามแนวแม่น้ำเจ้าพระยา แล้วเร่งสูบน้ำจากนนทบุรีออกทางแม่น้ำเจ้าพระยาให้มากขึ้น ไม่ใช่คิดปล่อยให้น้ำไหลเข้ากรุงเทพฯมหานครอย่างเดียว เพราะยังมีคลองในเขตนนทบุรีอีกหลายคลองที่ผันลงแม่น้ำท่าจีนได้

ผมเคยบอกแล้วว่า การปล่อยให้น้ำไหลเข้ากรุงเทพฯไม่ใช่การแก้ปัญหาที่รวดเร็ว ใครไม่เข้าใจกลับไปอ่านบทความเก่า เรื่อง ถ้าฉลาด!! ต้องไม่ให้น้ำเหนือเข้ากรุง

ทีนี้คนนทบุรีอาจมองเห็นว่า ย่านบางพลัดน้ำแห้งแล้ว แต่ทำไมนนทบุรีน้ำยังไม่แห้ง

คำตอบก็คือ ย่านบางพลัดเขาไม่ได้ท่วมจากน้ำท่วมทุ่ง แต่เขาท่วมจากคันกั้นน้ำของเอกชนที่เป็นแนวฟันหลอ ที่ไม่ยอมให้กทม.เข้ามาสร้างคันกั้นน้ำตามแนวพระราชดำริเกิดพังหลายจุด

ทีนี้พอย่านบางพลัดเขาซ่อมคันกั้นน้ำที่แตกเสร็จ เขาก็เร่งสูบน้ำลงเจ้าพระยา บางพลัดจึงแห้ง แต่คนเมืองนนท์เห็นบางพลัดแห้งก็คิดว่า ทำไมบางพลัดที่อยู่ต่ำกว่านนท์ทำไมแห้ง แล้วก็โทษว่ากทม.กั้นไม่ให้น้ำจากนนทบุรีไหลเข้ากรุงเทพฯ

-------------------------

ทุกคนมีสิทธิป้องกัน แต่ทุกคนไม่มีสิทธิทำลาย

ตอนน้ำเหนือไหลมาปทุมธานี ปทุมธานีก็กักน้ำไม่ให้เข้า นนทบุรีก็กักน้ำไม่ให้เข้า นั่นเพราะทุกจังหวัดมีสิทธิปกป้องพื้นที่ตัวเอง

ทีนี้เมือปทุมเอาไม่อยู่ นนท์เอาไม่อยู่ จนท่วมหนัก แล้วฝ่าด่านมาเรื่อยๆจนเข้าถึงกรุงเทพฯ

กรุงเทพฯเขาก็ป้องกันพื้นที่เขาแบบที่ปทุมธานี และนนทบุรีเคยทำนั่นแหล่ะ ซึ่งเขาก็เอาไม่อยู่ น้ำข้ามคันกั้นน้ำได้

แต่ตอนนี้น้ำเหนือลดลง ไม่สามารถข้ามคันกั้นน้ำของกรุงเทพฯได้ อยู่ๆชาวนนท์จะมาบอกให้กทม.รื้อออก ผมว่านี่คือความคิดผิดแล้วครับ

เพราะถ้ารื้อออก ก็ท่วมคนทวีวัฒนาหนักอีก ซึ่งตอนนี้ก็ยังท่วมแต่เบาลงแล้ว และเมื่อกทม.เปิดประตูน้ำทวีวัฒนาเพื่ม เพื่อช่วยระบายน้ำให้นนทบุรี นี่คือน้ำใจของผู้ว่าฯกทม.แล้วครับ

แต่การปล่อยให้น้ำเข้ากทม. ก็ต้องให้กทม.ควบคุมจัดการได้ด้วย แบบนี้แหล่ะครับ ที่เรียกว่า บริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ

ถ้าผู้ว่ากทม.เชื่อคนนทบุรีทุกอย่าง กทม.ก็จะไม่สามารถควบคุมปริมาณน้ำที่ไหลบ่าเข้ามาได้ คนกทม.ในฝั่งธนก็จะท่วมหนักอีกครั้ง

แบบนี้แหล่ะครับ ที่คนฝั่งธนจะฟ้องผู้ว่าฯกทม. ว่าบริหารน้ำไม่มีประสิทธิภาพ เพราะเอาแต่กลัวคนนทบุรี จนทำให้คนฝั่งธนท่วมหนักอีก!!

คนนนทบุรีมีสิทธิสร้างคันกั้นน้ำปกป้องนนทบุรีฉันใด กทม.ก็มีสิทธิสร้างคันกั้นน้ำปกป้องกทม.เช่นกันฉันนั้น

คนนนทบุรีไม่มีสิทธิบุกเข้ามารื้อทรัพย์สินของกทม. ไม่มีสิทธิเข้ามาทำลายคันกั้นน้ำในฝั่งกทม.

เฉกเช่น ทุกคนมีสิทธิปกป้องบ้านของตัวเองด้วยกำแพงบ้าน คนข้างนอกไม่มีสิทธิมาทำลายกำแพงบ้านของคนอื่นครับ

ถ้าคนนนทบุรีอยากฟ้อง โน่นครับไปฟ้องศปภ.โน่นครับ ที่กักน้ำ เอาอยู่ๆ มาตลอดทาง จนสุดท้ายท่วมหนักนั่นแหล่ะครับ

ผมมั่นใจว่า คดีนี้ชาวนนทบุรีคนนั้นไม่น่าจะชนะผู้ว่าฯกทม.ครับ!!

-----------------------

ก่อนจบ ผมอยากเล่าเล็กน้อย

น้าสาวผม คนนึงอยู่บางใหญ่ นนทบุรี หนีน้ำจากบางใหญ่ไปที่บ้านน้าสาวอีกคนที่พระราม2

ส่วนอาผม อยู่ริมคลองภาษีเจริญ กระทุ่มแบน ท่วมไปแล้ว หนีไปราชบุรีแล้วเช่นกัน

ผมจึงอยากบอกว่า ท่วมที่ไหนก็กระทบญาติพี่น้องของผมทุกที่ ฉะนั้นที่ผมเขียนบทความผมไม่เข้าข้างใครครับ

ถามว่าทำไมเมืองนนท์ และแถบรังสิตถึงท่วมเป็นเดือน? คำตอบก็คือ ตอนนี้พื้นที่ส่วนใหญ่ในอยุธยาก็ท่วมเกิน1เมตรครับ ในมื่ออยุธยายังไม่แห้ง นนทบุรีและรังสิตก็จะไม่แห้งง่ายๆเช่นกัน

คนที่นนทบุรี และปทุมธานี ต้องใจเย็นๆ พวกคุณท่วม1เดือนและก็ลดลงเรื่อยๆ แต่อยุธยาเขาท่วมกว่า2เดือนแล้วครับ

นักวิชาการอิสราเอลที่มากับอาจารย์เสรี ยังพูดเลยว่า วิธีเดียวที่จะทำให้แห้งได้อย่างเร็วคือ ต้องล้อมพื้นที่แล้วสูบออก โดยที่ต้องเลือกว่า พื้นที่ไหนสำคัญกว่า ก็ให้ล้อมพื้นที่นั้นแล้วสูบออกก่อน ซึ่งต้องสื่อสารให้มวลชนในพื้นที่เข้าใจ

แต่ถ้าทุกคนเห็นแต่พื้นที่ตัวเองสำคัญที่สุด ก็จะไม่มีพื้นที่ไหนรอดง่ายๆครับ เพราะจะท่วมเท่าเทียมกัน

อย่างเช่น ปทุมธานีคิดจะกู้ตลาดรังสิตก่อน ด้วยการล้อมพื้นที่แล้วสูบออกไปที่พื้นที่อื่นๆ เพราะตลาดรังสิตเป็นพื้นที่ค้าขายธุรกิจ ทำให้คนปทุมมีที่จับจ่ายซื้อของ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อคนรังสิตส่วนรวม  แต่คนหมู่บ้านรัตนโกสินทร์200ปีกลับไม่ยอม แบบนี้แหล่ะครับ ที่เขาเรียกว่า ท่วมเท่าเทียมกัน ก็จมไปด้วยกันทั้งหมด!!



กทม.เฝ้าระวังระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นจากการเปิดปตร.คลองมหาสวัสดิ์
คลิกอ่าน หัวอกคนดอนเมือง กรณีบิ๊กแบค ใครผิด?

วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

หัวอกคนดอนเมืองกับกรณีบิ๊กแบคใครผิด?






มตั้งใจว่าจะเขียนบทความเรื่องนี้มาหลายวัน แต่อย่างที่เคยบอก หลังๆบล็อคนี้เน้นสาระมากขึ้น ผู้เขียนก็เลยชักเหนื่อย!! ^^

ก่อนอื่นผมต้องเท้าความประวัติส่วนตัวเท่าที่พอจะเปิดเผยได้สักเล็กน้อย เพื่อให้ผู้อ่านได้รู้ว่า ผมจะเขียนบทความอย่างไม่เอนเอียงให้คนเหนือบิ๊กแบค และใต้บิ๊กแบค

-------------------

ผมผูกพันธ์กับย่านดอนเมืองที่สุด

ตอนเด็กๆบ้านผมอยู่ปากทางลาดพร้าว อยู่ลาดพร้าวซอย1 หรือซอยสังขะวัฒนะ ผมอยู่ปากทางลาดพร้าวมา21ปี ตั้งแต่เกิดจนอายุ21 ฉะนั้นเมื่อปากทางลาดพร้าวน้ำท่วม ผมย่อมเสียใจ คนที่ผมรู้จัก เพื่อนฝูงของผมที่คุ้นเคย เพื่อนบ้านของผม ก็คงได้รับความเดือดร้อน

ซึ่งถ้าผมยังอยู่ที่ปากทางลาดพร้าวจนถึงปัจจุบัน ผมก็คงเป็นผู้ประสบภัยเช่นกัน

พ่อผมเป็นทหารอากาศ ผมไปเล่นที่กองทัพอากาศดอนเมือง ในกรม ในกองร้อย ที่พ่อทำงานอยู่มาตั้งแต่เด็กๆ ผมขี่จักรยานไปทั่วกองทัพอากาศตั้งแต่9ขวบ บ่อยครั้งผมนอนค้างในกองทัพอากาศในยามที่พ่อผมต้องเข้าเวร ผมแก้ผ้าอาบน้ำกับทหารเกณฑ์มาตั้งแต่เด็ก

ผมเติบโตมาทันเห็นถนนพหลโยธินหน้ากองทัพอากาศ ยังมีแค่2เลน มีร่มไม้จากต้นก้ามปูทั้ง2ฝั่ง เป็นถนนที่ร่มรื่น แต่โดนตัดทิ้งเพื่อขยายถนน

ผมได้ทันขูดสลากคุ้มเกล้า ได้เห็นอาคารคุ้มเกล้าของโรงพยาบาลภูมิพลตั้งแต่เริ่มสร้างจนสร้างเสร็จ กลายเป็นตึกโรงพยาบาลที่ทันสมัยมากๆในสมัยนั้น บรรยากาศตึกคุ้มเกล้าหลังสร้างเสร็จใหม่ๆ นึกว่าโรงแรม5ดาวเสียอีก

เมื่อปี2540 ผมได้ไปซื้อบ้าน เพื่อทำธุรกิจในย่านดอนเมืองร่วมๆ5ปี ตอนนั้นผมอยู่ที่ซอยพหลโยธิน64 หรือที่เขาเรียกกันว่า ซอยกม.27 ซึ่งอยู่เหนือคันบิ๊กแบค ซึ่งทราบว่าน้ำท่วมมิดหัว ซอยนี้มีบ้านอดีต ผบ.ทอ.อยู่หลายคน

ผมคุ้นเคยกับซอย39 หรือซ.พหลโยธิน62 (อดีตซอยอู่รถเมล์สาย39) เพราะผมไปเหมาเบียร์ เหมาเหล้ายามต้นเดือนจากยี่ปั๊วในซอยนั้นเป็นประจำ และปากซอย39มีหาบเร่ข้าวเหนียวหมูปิ้ง เจ้าอร่อยที่สุดในปฐพีอยู่2เจ้า

ผมคุ้ยเคยกับซอยจามร เพราะพ่อผมได้ซื้อที่ดินทิ้งไว้ เพื่อนพ่อผมหลายคนอยู่ในซอยจามร หรือซ.พหลโยธิน66

ผมคุ้ยเคยกับซอยหมู่บ้านการ์เด้นโฮม หรือซ.พหลโยธิน60 เพราะผมไปฝาก-ถอนเงินที่ธนาคารเอเซียตรงการ์เด้นโฮมทุกเดือน 10กว่าปีที่แล้วผมแวะกินก๋วยเตี๋ยวหน้าปากซอยการ์เด้นโฮม และข้าวขาหมูในซอยนั้นบ่อยมาก ๆ  หมู่บ้านการ์เด้นโฮม เป็นหมู่บ้านคนรวย เพราะจะมีหมอและพยาบาลจากร.พ.ภูมิพลฯ มีนักบิน สจ๊วตและแอร์โฮสเตส ไปซื้อบ้านที่หมู่บ้านนี้กันมาก

ผมคุ้ยเคยกับร้านแหนมฉายรังสีกม.26 เพราะซื้อประจำ (แกล้มเบียร์)

ซอยแอนเน็กซ์ ผมไม่ค่อยคุ้นเท่าไหร่ แต่เด็กผู้หญิงแสนน่ารักข้างบ้านผมเรียนชั้นประถมในโรงเรียนที่อยู่ในซอยนี้

เพื่อนสนิทแม่ผม อยู่หมู่บ่านวังทองติดกับเซียร์รังสิต ซึ่งท่วมหนักมากๆ ผมคุ้ยเคยเพราะผมไปส่งแม่ที่นี่เป็นประจำ

ที่่เล่ามาคร่าวๆ พอจะเห็นภาพแล้วใช่มั้ยครับ ว่าผมผูกพันธ์กับย่านดอนเมืองมากแค่ไหน?

ซึ่งจนทุกวันนี้ก่อนน้ำท่วม ผมก็ยังไปย่านดอนเมืองอยู่เป็นประจำ แต่ปัจจุบันบ้านผมอยู่โชคชัย4ครับ

-----------------------

ศปภ.วางบิ๊กแบคผิดจุด

ผมเคยอธิบายหน้าที่ศปภ. กับหน้าที่กทม.ในบล็อคเซียนแซวการเมืองไปหลายครั้ง และผมเคยเขียนเรื่องทำไมจำเป็นต้องอุดคันเมืองเอก(คลิก!!) ด้วยการวางบิ๊กแบค เพราะก่อนหน้านั้นผมเข้าใจว่า ศปภ.จะไปวางบิ๊กแบคตรงหลักหกและเมืองเอกเรื่อยไปตามแนวคลองรังสิต เช่นตรงใต้สะพานกลับรถข้ามคลองรังสิต (สะพานแก้ว)

แต่กลายเป็นว่า ศปภ.ดันมาวางกั๊กตัดตอนเหนือกทม. เช่นตรงแยกคปอ. , หัวถนนวิภาวดี ทำให้คนกรุงเทพฯถูกแบ่งเป็นคนเหนือคันบิ๊กแบค และคนใต้คันบิ๊กแบค

ทั้งๆที่จริงควรวางตามแนวคลองรังสิต แม้จะมีปัญหากับคนย่านฝั่งรังสิต แต่มันจะทำให้อธิบายความให้ชาวบ้านได้ง่ายกว่า และเป็นระบบที่ถูกต้อง ในการระบายน้ำตามแนวคลองรังสิตไปซ้ายและขวา โดยไม่ให้น้ำพุ่งเข้ากลางกรุงมากเกินไป และควรทำฝายน้ำล้นเสียตั้งแต่แรก ไม่ใช่อุดจนหมด!!

ถามว่า ถ้าไปกั้นน้ำตามแนวคลองรังสิต ผมเดือดร้อนมั้ย? 

ผมเดือดร้อนเช่นกันครับ เพราะน้องชายผมไปซื้อบ้านที่ถนนรังสิต-นครนายก ตรงช่วงคลอง3 ในบ้านน้องชายผม ท่วมถึงเข่า หน้าบ้านน้องชายก็ถึงอก แต่ดีที่น้องชายผมยังไม่ได้ย้ายเข้าไป และบ้านก็เสียหายพอควร ซึ่งคงไม่ได้เงินช่วยเหลือจากรัฐบาล เพราะยังไม่ได้ย้ายทะเบียนบ้านเข้าไป แต่ทราบมาว่าน้ำเริ่มลงมากพอควรแล้ว

ถ้าศปภ.วางแนวบิ๊กแบคที่เมืองเอก และเรื่อยไปตามแนวคลองรังสิต ศปภ.ก็ต้องบริหารจัดการน้ำด้วยการสูบน้ำออกไปทางตะวันตกลงเจ้าพระยา เร่งสูบไปทางตะวันออก ผ่านทางคลอง13อย่างเต็มที่

แต่ศปภ.ก็ไม่ได้วางตามแนวนี้ ดันไปวางแบ่งแยกคนกรุงให้ออกจากกัน ซึ่งอย่างซอยพหลโยธิน64 ที่ผมเคยอยู่ หน้าปากซอยเป็นเขตสายไหม แต่พอเข้าไปในซอยสัก150เมตร กลับกลายเป็นเขตลำลูกกาไปแล้ว

นั่นจึงทำให้ คนสายไหมนอกบิ๊กแบค และคนลำลูกกา ต.คูคต คือหัวอกของคนจมน้ำเน่านานเหมือนกัน จากการที่ถูกบิ๊กแบคขวางทางน้ำไหลลงใต้เอาไว้

--------------------------

ความผิดอยู่ที่ศปภ.เจ้าเดียว

เพราะศปภ.มีหน้าที่ป้องกันน้ำไหลเข้ากรุงเทพ มีหน้าที่ระบายน้ำทั่วประเทศ ยกเว้นกรุงเทพฯที่เดียว

เมื่อศปภ.วางบิ๊กแบคแล้ว ก็ต้องรีบระบายน้ำที่คลองรังสิตอย่างเต็มที่ แต่พอชาวบ้านเหนือคันบิ๊กแบคไปสำรวจที่ประตูน้ำจุฬาลงกรณ์ กลับพบว่า เครื่องสูบมีน้อย แถมมีเสียอีกด้วย ทำให้น้ำในพื้นที่เหนือบิ๊กแบคเลยไม่มีทางไป น้ำแทบไม่ลดลง เพราะ ศปภ.กักน้ำไว้ในพื้นที่ของเขา

นี่จึงเป็นความผิดของศปภ.ที่ชัดเจน เพราะในเมื่อคุณไม่ให้น้ำไหลลงใต้เข้ากรุงเทพฯชั้นในเพิ่ม ศปภ.ก็ต้องไประบายน้ำให้คนที่อยู่เหนือคันบิ๊กแบค ผ่านคลองรังสิตอย่างเต็มที่ให้มากที่สุด

แต่ในความเป็นจริง ศปภ.กลับระบายน้ำได้น้อยมาก ทำงานแบบเช้าชามเย็นชาม จนชาวบ้านเหนือคันบิ๊กแบคเขาทนไม่ไหว เพราะเขาไม่เคยได้รับความช่วยเหลือเรื่องถุงยังชีพจากศปภ. ทั้งๆทีศปภ.เคยอยู่ที่ดอนเมืองแท้ๆ อยู่ใกล้พวกเขา แต่กลับไม่เคยเหลียวแลพวกเขา

ถ้าชาวดอนเมืองไม่ประท้วง ไม่ไปกระทุ้ง ศปภ.มันก็คงไม่ซ่อมเครื่องสูบน้ำอย่างรวดเร็ว!!

-----------------------------

ศปภ. เท้าไม่เคยเปียก

ปัญหาคลอง8 9 10ลำลูกกาก็เช่นกัน ศปภ.ไม่เคยไปเหลียวแล ไม่เคยไปอธิบายให้เขารู้ ไม่เคยไปช่วยเหลือพวกเขา

ชาวคลอง8 9 10 เขาบอกว่า มีคนด่าเขาว่าทำไมไม่เสียสละเพื่อส่วนรวม ทำไมต้องทำให้คนไทยแตกแยกเพราะเรื่องประตูน้ำ

ชาวคลอง8 9 10 เขาตอบให้คุณสรยุทธฟังว่า พวกเขาน่ะเสียสละท่วมมาตั้งนานแล้ว แต่ไม่เคยมีใครมาช่วยเขาบ้าง ที่อยุธยาแตกเพราะเมืองหลวงไม่ส่งกำลังไม่ส่งปืนใหญ่ไปช่วยชาวบางระจัน พวกเขาก็เหมือนชาวบางระจันนี่แหล่ะ ที่เสียสละจมน้ำมาร่วมเดือนแล้ว อยู่ๆจะมาปิดประตูน้ำลงไปอีก ซึ่งจะทำให้เขาท่วมจนมิดหลังคา จะไม่มีที่อยู่

ไม่ช่วยเขาเขาไม่ว่า แต่อย่ามาทำลายจนเขาจะไม่มีที่ซุกหัวนอน นี่คือหัวอกคนคลอง8 9 10

แล้วทำไมรัฐบาลไม่ไปเยียวยาพวกเขาบ้าง ทั้งชุมชนมีส้วมใช้ได้แค่ห้องเดียว ไม่เคยมีหน่วยงานไหนมาแจกส้วมลอยน้ำให้พวกเขาเลย

สุดท้ายช่อง3 โดยคุณสรยุทธที่ไปช่วยไกล่เกลี่ย ก็ได้ส่งถุงยังชีพ เอาส้วมลอยน้ำไปให้ชาวคลอง8 9 10 ก่อนศปภ.เสียอีก ทำให้ต่อมาชาวบ้านก็ยอมเจรจาเรื่องประตูระบายน้ำอย่างสันติมากขึ้น

ศปภ. มันหายหัวไปไหน?

คลิปคนลำลูกกาคลอง8 อธิบายให้สรยุทธฟัง




----------------------------------

คนดอนเมืองอยากฟ้องศปภ. ต้องอดทน

ผมเห็นคนดอนเมืองไปรื้อบิ๊กแบคกันหลายครั้ง ผมอยากบอกว่า ถ้าพวกคุณคิดจะฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากรัฐบาลและศปภ.อย่างเต็มที่

แต่คุณไปรื้อบิ๊กแบค จะทำให้รูปคดีของคุณอ่อนลง อาจชนะแต่จะได้เงินน้อยลง เพราะพวกคุณได้รื้อบิ๊กแบคแล้ว ซึ่งถือว่าพวกคุณได้ทำความเสียหายให้กับคนใต้บิ๊กแบคมากขึ้น

ผู้ว่าฯกทม. มีหน้าที่ปกป้องกทม. ผู้ว่าฯกทม.มีหน้าที่ระบายน้ำแค่ในกทม. เท่านั้น

แต่เมื่อศปภ.วางบิ๊กแบคห้ามน้ำไหลลงใต้ ฉะนั้น ศปภ.ก็ต้องไประบายน้ำที่คลองรังสิตอย่างเต็มที่ และต้องเยียวยาช่วยเหลือคนเหนือคันบิ๊กแบคอย่างเต็มที่เช่นกัน

เพราะศปภ.มีงบประมาณ มีการรับของบริจาคทั่วประเทศ โดยมีนายกยิ่งลักษณ์ยืนยิ้มรับมอบของบริจาค

แต่เรากลับไม่เคยเห็นผู้ว่าสุขุมพันธุ์ยืนยิ้มรับของบริจาค จริงมั้ย?

ซึ่งถ้าศปภ.ไม่ทำ นั่นคือความผิดของศปภ.

คนดอนเมืองต้องอย่าลืมว่า ดอนเมืองคือที่สูง แต่วันนี้ที่ดอนเมืองกลับจม แต่พื้นที่ฟลัดเวย์ด้านตะวันออกส่วนใหญ่กลับรอด!? นี่คือความไม่ชอบมาพากลของรัฐบาลนี้

ผมแนะนำให้คนดอนเมืองไปหาข้อมูลเรื่องการระบายน้ำทางตะวันออกทำไมถึงล่าช้า? ใช้ฟ้องศปภ.ครับ

ประเด็นนี้แหล่ะที่คุณจะชนะคดีต่อศปภ. เพราะที่ดอนอย่างดอนเมืองกลับจม แต่ที่หนองอย่างหนองงูเห่ากลับรอด!!

หมายเหตุ เมื่อคนเหนือบิ๊กแบครื้อบิ๊กแบค ผลกระทบก็จะไปหนักที่ย่านรามอินทรามากกว่าที่อื่น จึงทำให้คนรามอินทราเลยออกมาประท้วงกล่าวหาว่า กทม.จะให้รามอินทราเป็นแก้มลิงรับน้ำจากคนเหนือบิ๊กแบค?? 

---------------------------------

ทำไมรื้อคันบิ๊กแบคแล้วน้ำเหนือคันก็ยังลดลงไม่มาก

ก็เพราะตอนวางบิ๊กแบค น้ำจะเกิดอั้นบ้าง แต่จะไม่ท่วมเท่าจุดที่เคยสูงสุด เพียงแต่น้ำจะลดลงช้ากว่าเดิม

เมื่อคนดอนเมืองเหนือคันบิ๊กแบคไปรื้อคันบิ๊กแบค ก็ทำให้น้ำเหนือที่เคยหาทางไหลไปตะวันตกและตะวันออกมากขึ้น ก็กลับกลายจะพุ่งทะลุเข้ากลางมากขึ้น น้ำเหนือจึงมาเติมในพื้นที่พวกคุณอยู่เรื่อยๆ ทำให้น้ำในพื้นที่คุณก็ลดลงเร็วแค่วันแรกที่รื้อบิ๊กแบคเท่านั้น วันต่อมาก็ลงช้าเหมือนเดิม

แต่กรุงเทพฯชั้นใน กลับต้องแบกภาระในการระบายน้ำมากขึ้น คนใต้บิ๊กแบคบริเวณที่ติดบิ๊กแบคก็ท่วมนานต่อไป ไม่มีทางลดลงเร็ว เพราะมีน้ำมาเติมตลอด กำลังสูบกรุงเทพฯให้แห้ง ก็จะช้าลงเพราะต้องสู้กับน้ำที่ไหลบ่าเข้าจากตรงแยกคปอ.มากขึ้น

และอยากบอกคนหนือบิ๊กแบคว่า นอกจากพวกคุณจะใช้แรงไปรื้อบิ๊กแบคแล้ว พวกคุณน่าจะใช้แรงไปโกยขยะที่ขวางคลองเปรมประชากรออกด้วยจะมีประโยชน์มาก

ดูนาที่ที่3.50เป็นต้นไป ขยะในคลองเปรม เยอะและหนามากๆ



---------------------------

ถ้าผมยังอยู่เหนือคันบิ๊กแบค

ผมจะไม่มีทางรื้อบิ๊กแบค ผมจะไม่เอาความเดือดร้อนของคนอีกฟากเป็นตัวประกัน ถ้าผมจะประท้วงรัฐบาล ผมจะไปปิดถนนที่หน้าศปภ. ดีกว่ามารื้อบิ๊กแบค เพราะผมไม่ต้องการซ้ำเติมให้กรุงเทพฯชั้นใน ต้องท่วมเหมือนผมอีก

เพราะผมคือคนไทย ซึ่งมีหน้าที่ต้องปกป้องเมืองหลวงของชาติครับ เพราะผมคิดเหมือนชาวบ้านบางระจันที่ต้องปกป้องไม่ให้ข้าศึกเข้าเมืองหลวงได้โดยง่าย แม้เมืองหลวงจะไม่ช่วยเหลือผมก็ตาม

ถ้าใครไม่เข้าใจที่ผมบอก ให้ไปอ่านได้ที่ ทางเลือกบุญกับบาป ในภาวะน้ำท่วม คลิก!!

ผมกลับคิดว่า ถ้ากรุงเทพฯชั้นในค่อยๆแห้งขึ้นมาเรื่อยๆ แห้งไล่จากจตุจักร ขึ้นมาห้าแยกลาดพร้าว ขึ้นมาแยกเกษตร ขึ้นมาแยกวงเวียนบางเขน ขึ้นมาที่สะพานใหม่ ขึ้นมาที่กองทัพอากาศ และโรงพยาบาลภูมิพล

ก็จะแห้งขึ้นมาเรื่อยๆจนถึงแยกคปอ. ถ้าถึงตรงนี้ กทม.ชั้นในก็รอด ทุกอย่างจะเริ่มเข้าภาวะปกติ ผู้ว่าฯ กทม.จะได้ส่งกำลังมาช่วยเร่งสูบน้ำพื้นที่เหนือบิ๊กแบคได้มากขึ้น ก็จะแห้งในที่สุด

แต่ถ้าคนที่อยู่เหนือบิ๊คแบค เอาแต่รื้อบิ๊กแบคอยู่เรื่อยๆ กทม.ชั้นในก็ไม่รอดซักที ในเมื่อกทม.ยังเอาตัวไม่รอด แล้วเขาจะมาช่วยคุณให้รอดก่อนได้ยังไง?

ผมเองมีเพื่อน มีคนรู้จัก มีผู้มีพระคุณ อยู่ในพื้นที่เหนือบิ๊กแบค ผมได้ติดตามข่าวสารแทบทุกช่อง เห็นความยากลำบากอย่างสาหัสของชาวเหนือคันบิ๊กแบค

ถ้าผมยังอยู่ที่ซอยกม.27 ผมก็จะเป็นผู้ประสบอุทกภัยเช่นกัน ผมใช้หลักใจเขาใจเรา ถ้าบ้านผมน้ำท่วมแบบพวกเขา ผมคงทุกข์มากๆเช่นกัน แต่ผมจะอดทน จะไม่ทำให้ใครท่วมแบบผม

----------------------------

ข้าศึกบุกกรุงศรีอยุธยา

เมื่อข้าศึกบุกกรุงศรีอยุธยา ก็ต้องผ่านเมืองหน้าด่านมาก่อน กว่าจะถึงกรุงศรี

ถ้าเมืองหน้าด่านที่พ่ายแพ้ กลับมาบอกว่า กรุงศรีอยุธยาต้องเจอข้าศึกยึดอย่างเท่าเทียมกัน มันก็จะไม่มีทางรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทยจนเป็นประเทศไทยได้ในวันนี้หรอกครับ

ทำไมพระเจ้าตากต้องไปตีเมืองจันทบูร? ก็เพราะเจ้าเมืองจันทบูรคิดแตกแยกกับอยุธยา ไม่คิดช่วยเหลือเมืองหลวง กระด้างกระเดื่อง!!

แล้วพระเจ้าตากก็ทรงกอบกู้เอกราชได้ที่กรุงศรีอยุธยา เพราะชาติจะเป็นเอกราชได้ เมืองหลวงต้องเป็นเอกราชก่อน

เช่นเดียวกัน จะกอบกู้บ้านเมืองได้ เมืองหลวงต้องปลอดภัยก่อน เพราะจุดยุทธศาสตร์ในการทำสงครามตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันอยู่ที่เมืองหลวง

เราคนไทยอยากเห็นกรุงเทพฯเป็นดั่งกรุงศรีอยุธยาเหรอครับ ที่แม้จะกอบกู้บ้านเมืองคืนมาได้ แต่ก็เสียหายจนยากเกินจะเยียวยา จนต้องย้ายเมืองหลวง

ผมคนนึงล่ะ ไม่ต้องการเห็นเช่นนั้น เพราะในหลวงของผมอยู่ที่นี่ พระบรมมหาราชวังของผม บรรพบุรุษผู้จงรักภักดีของผมสร้างกรุงเทพฯขึ้นมา ผมต้องปกป้องให้ถึงที่สุดครับ

จงอย่ามองที่คน เช่นคนกรุงเทพท่วมไม่ได้เหรอ? (คนดอนเมือง คนสายไหมนอกคันก็คนกรุงเทพ แต่ก็ท่วมไปแล้ว)

แต่ให้มองที่กรุงเทพฯ ว่าเป็นเมืองหลวงของเราครับ เมืองหลวงย่อมสำคัญที่สุดครับ จำไว้นะครับ

แนะนำให้ใครที่ไม่เข้าใจว่า ทำไมต้องปกป้องกรุงเทพฯ ผมขอแนะนำให้ไปอ่านอีก2บทความ คือ

ทำไมต้องรักษากรุงเทพฯให้รอดจากน้ำท่วม? (คลิก!!)

ถ้าฉลาด!!ต้องไม่ให้น้ำเหนือเข้ากรุง? (คลิก!!) (บทความนี้จะชี้ความเชื่อผิดๆของคนจำนวนมากที่คิดว่า ปล่อยน้ำไหลตามธรรมชาติผ่านกรุงเทพจะแก้ปัญหาได้เร็วขึ้น)



สรุปสุดท้าย นายกยิ่งลักษณ์เป็นผู้นำชาติไม่ได้ ไม่กล้าตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ในเมื่อวางบิ๊กแบกแล้ว ก็ต้องเด็ดขาด ต้องเยียวยาผู้เดือดร้อนจากการวางบิ๊กแบค และต้องป้องกันไม่ให้คนทำลายบิ๊กแบค (อันนี้ถ้าไม่ใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินก็เอาผิดคนรื้อไม่ได้เพราะเขาปกป้องบ้านเขา) เพราะคนในกรุงเทพฯชั้นในมีหลายล้านคน แต่คนเหนือคันบิ๊กแบคมีไม่กี่แสนคน

ต้องเลือกว่าจะรักษาอะไร ถ้ามัวแต่ยึกยัก ไอ้โน่นก็ไม่ได้ ไอ้นี่ก็กลัว เยียวยาก็ไม่ทำ เด็ดขาดก็ไม่กล้า สุดท้ายก็แย่ทั้งสองฟาก

 นี่แหล่ะคือความผิดพลาดของการไร้ภาวะผู้นำ!!

v

v

ผมขอแนะนำให้ค่อยๆรื้อบิ๊กแบคแนวเดิมออกให้หมด แล้วไปวางบิ๊กแบคใหม่ตามแนวคลองรังสิตจะดีกว่าครับ

(ทราบข่าวมาว่าได้เริ่มวางบิ๊กแบคตามแนวใหม่แล้ว ซึ่งน้ำบริเวณนั้นก็ลดลงมากแล้ว จากเดิมถ้าคิดจะวางต้องใช้บิ๊กแบคเกิน2ชั้น แต่ตอนนี้ใช้แค่ชั้นเดียวก็พอ)


คลิกอ่าน กรณีชาวนนทบุรีฟ้องผู้ว่าฯ กทม.



วันพุธที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เรืองไกรไม่มีทางชนะ กรณีฟ้องมาร์คกักน้ำ




คุณผู้อ่านครับ ผมได้เขียนอธิบายเรื่องการบริหารจัดการน้ำในเขื่อนมาตลอดเดือนตุลาคม จนถึงพฤศจิกายน ในหลายบทความมากๆ ผมอธิบายไปแล้วว่า ทำไมน้ำในเขื่อนในแต่ละช่วงถึงได้มากกว่าทุกปีที่ผ่านมาอย่างไร และผมไม่เชื่อเรื่องการกักน้ำเพื่อแกล้งรัฐบาลนี้ และไม่อยากให้ใครเอาประเด็นนี้มาใส่ร้ายกัน

นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ แต่ก่อนก็ดูดีนะครับ แต่พักหลังๆดูท่านเรืองไกรจะเข้าข้างแม้วมากขึ้น หรือเพราะแอบไปรับใต้โต๊ะที่ดูไบแอนด์มอนเตรเนโกรรึเปล่า? ใครจะไปรู้?

ในเมื่อยังจะมีคนอยากเล่นประเด็นกักน้ำแกล้งยิ่งลักษณ์นี้ต่ออีก ผมจึงขอมาสรุปคร่าวๆให้คุณเรืองไกรหายโง่!! 

การที่คุณเรืองไกร บอกว่าการบริหารน้ำในเขื่อนสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ผิดพลาดนั้น ไม่น่าจะจริงครับ เพราะรัฐมนตรีที่คุมกรมชลประทานก็คือรมว.เกษตรและสหกรณ์ในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ และรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ก็คือคนๆเดียวกัน คือนายธีระ วงศ์สมุทร จากพรรคชาติไทยพัฒนา

ฉะนั้น ตัวเลขน้ำในเขื่อนตั้งแต่รัฐบาลอภิสิทธิ์จนถึงรัฐบาลยิ่งลักษณ์นั้น คนที่รู้เรื่องดีที่สุดก็คือ นายธีระ วงศสมุทร

ซึ่งต่อมานายธีระ ได้ออกมายอมรับในสภาเองว่า ได้เคยสั่งชะลอน้ำเพื่อไม่ต้องการซ้ำเติมพื้นที่อุทกภัยใต้เขื่อน และต้องการช่วยเหลือชาวนาให้ได้เก็บเกี่ยวข้าวก่อน คลิกอ่านข่าวนี้

จึงสรุปว่า ในเมื่อรมว.เกษตรและสหกรณ์เป็นคนๆเดียวกัน ทำให้ย่อมรู้สภาพน้ำในเขื่อนมาก่อนดีอยู่แล้ว แล้วที่เสื้อแดงจะมากล่าวหาว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์วางยารัฐบาลยิ่งลักษณ์จึงเป็นข้อกล่าวหาของพวกแถ!!

-------------------------

รัฐบาลอภิสิทธิ์ไม่ได้บกพร่องในการจัดการน้ำ

เพราะเขื่อนมีหน้าที่หลักคือ กักเก็บน้ำในหน้าฝน เพื่อเอาน้ำไว้ใช้ยามแล้ง ซึ่งตามปกติฤดูฝนก็เริ่มจากกลางเดือนพฤษภาคม มิถุนายน กรกฎาคม นี่คือช่วงต้นฤดูฝน ซึ่งรัฐบาลอภิสิทธิ์ก็มีอำนาจอยู่แค่ในช่วงต้นฤดูฝนเท่านั้น การกักเก็บน้ำในหน้าฝนของเขื่อนใน3เดือนนี้จึงถือว่าเป็นเรื่องปกติ

เพราะหลักการบริหารเขื่อนคือ กักน้ำในหน้าฝน เพื่อใช้ยามแล้ง

แต่ที่มันผิดปกติคือ ปี54นี้หน้าฝนมาเร็วและชุกมาก แค่เดือนพฤษภาคมก็เริ่มมีอุทกภัยในหลายพื้นที่แล้ว แถมปี54มีพายุเข้าไทยตั้งแต่ปลายเดือนมิถุนายน ต่อต้นเดือนกรกฎาคมติดกัน2ลูก ตามที่ผมเคยอธิบายรายละเอียดในบทความ การบริหารน้ำในเขื่อนภูมิพลไม่ผิดพลาด

เขื่อนใหญ่ทั้งเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ก็ได้พยายามชะลอน้ำเพื่อไม่ไปซ้ำเติมพื้นที่ใต้เขื่อนที่กำลังประสบอุทกภัยอย่างดีที่สุดแล้ว โดยเฉพาะเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม เขื่อนจึงได้พยายามรับน้ำไว้เพื่อไม่ปล่อยน้ำไปท่วมพื้นที่ใต้เขื่อน

รัฐบาลอภิสิทธิ์ได้ประชุมครม.นัดสุดท้ายในวันที่1ส.ค.2554 นั้น ปริมาณน้ำในเขื่อนภูมิพลในวันที่1ส.ค.54 มีปริมาณ 8,531.04 ล้านลบ.ม. หรือ 63.37%ของความจุเท่านั้น ซึ่งถือว่ายังเป็นภาวะปกติ!!

เพราะขนาดมีพายุเข้ามาหลายลูก น้ำก็ยังมีเกินครึ่งเขื่อนมานิดหน่อย แถมเข้าฤดูฝนมาแล้วร่วมๆ 3 เดือน

และเมื่อรัฐบาลยิ่งลักษณ์เข้ามาในเดือนสิงหาคม เป็นช่วงกลางฤดูฝน ซึ่งมีภาวะน้ำท่วมหนักในหลายจังหวัดอยู่แล้ว ยิ่งลักษณ์ได้รับโปรดเกล้าในวันที่8สิงหาคม แม้จะยังไม่ตั้งรัฐบาล แต่นายกฯสามารถใช้อำนาจฉุกเฉินเพื่อเข้าแก้ปัญหาน้ำท่วมได้ทันที ถ้าคิดจะทำ!!


ในวันที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ประชุมครม.ยิ่งลักษณ์ นัดแรกคือวันที่ 11สิงหาคม2554 นั้น

น้ำในเขื่อนภูมิพล มีปริมาณน้ำ 70.50%ของเขื่อน หรือ 9,490ล้านลบ.ม.
น้ำในเขื่อนสิริกิติ์ มีปริมาณน้ำ 86.38% ของเขื่อน หรือ8,214ล้านลบ.ม

มีการรายงานปริมาณน้ำในเขื่อนให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ทุกครั้งในการประชุมครม. เมื่อรัฐบาลยิ่งลักษณ์เห็นปริมาณน้ำในเขื่อนทั้งสองแห่งมีปริมาณเริ่มสูงขึ้น เพราะรับพายุมาแล้วถึง2ลูก ถ้าหากรัฐบาลยิ่งลักษณ์ฉลาดจริงๆ ก็ควรจะเริ่มพร่องน้ำได้แล้วใช่มั้ย?

แล้วทำไมรัฐบาลยิ่งลักษณ์ถึงไม่เคยพร่องน้ำในเดือนสิงหาคมเลยล่ะ? อ๋อ!! มัวแต่ยุ่งเรื่องช่วยพี่ชายเข้าญี่ปุ่นอยู่ มัวแต่ยุ่งเรื่องนโยบายประชานิยมอยู่

-------------------------

ขอยกตัวอย่างปริมาณการรับน้ำและการปล่อยน้ำของเขื่อนภูมิพล ในช่วงรัฐบาลยิ่งลักษณ์

(ข้อมูลจาก ศูนย์ข้อมูลโรงไฟฟ้าพลังน้ำ (กฟผ.) รายงานสภาพน้ำและการระบายน้ำ)

ผมคงไม่ยกมาทุกวันเพราะจะยาวมาก แต่ขอยกมาเฉพาะหลังวันประชุมครม. ก็แล้วกัน

หลังประชุมครม.วันที่11สิงหาคม2554

สถานการณ์เขื่อนภูมิพลวันที่12สิงหาคม /2554
น้ำเข้าเขื่อนภูมิพล 67.61ล้านลบ.ม. น้ำไหลออก 18.74 ล้านลบ.ม.
น้ำในเขื่อนภูมิพลมีปริมาณรวม 9,539.53ลบ.ม. หรือ70.86%ของความจุ


หลังการประชุมครม.วันที่16สิงหาคม2554

สถานการณ์เขื่อนภูมิพลวันที่17สิงหาคม2554
น้ำเข้าเขื่อนภูมิพล 54.40 ล้านลบ.ม  น้ำไหลออก 33.00ล้านลบ.ม.
น้ำในเขื่อนภูมิพลมีปริมาณรวม 9,730.04ล้านลบ.ม. หรือ72.28%ของความจุ


หลังการประชุมครม.วันที่25สิงหาคม2554

สถานการณ์เขื่อนภูมิพบวันที่26สิงหาคม2554
น้ำเข้าเขื่อนภูมิพล 75.44 ล้านลบ.ม. น้ำไหลออก 28.97 ล้านลบ.ม.
น้ำในเขื่อนภูมิพลมีปริมาณ 10,116.74ล้านลบ.ม. หรือ 75.15%ของความจุ


หลังการประชุมครม.วันที่30สิงหาคม2554

สถานการณ์เขื่อนภูมิพลวันที่31สิงหาคม2554
น้ำเข้าเขื่อนภูมิพล 81.06 ล้านลบ.ม. น้ำไหลออก 33.32 ล้านลบ.ม.
น้ำในเขื่อนภูมิพลมีปริมาณรวม 10,483.38 ล้านลบ.ม. หรือ 77.87%ของความจุ

คำถาม ทำไมในเดือนสิงหาคม รัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็ยังให้เขื่อนรับน้ำเข้ามากกว่าน้ำไหลออกต่อไป?

--------------------

ทีนี้มาดูในเดือนกันยายน54กันต่อครับ ซึ่งเดือนนี้กลับปล่อยน้ำออก น้อยกว่า น้ำเข้ามาก

หลังการประชุมครม.วันที่6ก.ย.2554

สถานการณ์เขื่อนภูมิพลวันที่7ก.ย.2554
น้ำเข้าเขื่อนภูมิพล 84.19 ล้านลบ.ม. น้ำไหลออกแค่ 10.06 ล้านลบ.ม.
น้ำในเขื่อนภูมิพลมีปริมาณรวม 10,864.00 ล้านลบ.ม. หรือ 80.70%ของความจุ


หลังการประชุมครม.วันที่13ก.ย.2554

สถานการณ์เขื่อนภูมิพลวันที่14ก.ย.2554
น้ำเข้าเขื่อนภูมิพล 138.35 ล้านลบ.ม. น้ำไหลออกแค่ 20.00 ล้านลบ.ม.
น้ำในเขื่อนภูมิพลมีปริมาณรวม 11,557.69 ล้านลบ.ม. หรือ 85.85%ของความจุ


หลังการประชุมครม.วันที่20ก.ย.2554

สถานการณ์เขื่อนภูมิพลวันที่21ก.ย.2554
น้ำเข้าเขื่อนภูมิพล 73.44 ล้านลบ.ม. น้ำไหลออกแค่ 28.24 ล้านลบ.ม.
น้ำในเขื่อนภูมิพลมีปริมาณรวม 11,994.65 ล้านลบ.ม. หรือ 89.10%ของความจุ


หลังการประชุมครม.วันที่27ก.ย.2554

สถานการณ์เขื่อนภูมิพลวันที่28ก.ย.2554
น้ำเข้าเขื่อนภูมิพล 117.99ล้านลบ.ม. น้ำไหลออกแค่ 20.00 ล้านลบ.ม.
น้ำในเขื่อนภูมิพลมีปริมาณรวม 12,381.60 ล้านลบ.ม. หรือ 91.97%ของความจุ

-------------------------

ทำไมเดือนกันยายนน้ำเข้ามาก แต่กลับปล่อยน้ำน้อย

คุณผู้อ่านสังเกตมั้ยครับว่า ทำไมในเดือนกันยายนน้ำในเขื่อนไหลเข้ามาก แต่น้ำไหลออกกลับน้อยผิดปกติไปหน่อย?

ผมจะเฉลยให้  ก็เพราะ ชาวนาเริ่มปลูกข้าวนาปีในเดือนพฤษภาคม และจะไปเก็บเกี่ยวในเดือนกันยายน ไงครับ

เมื่อเดือนกันยายนคือฤดูเก็บเกี่ยว ถ้าปล่อยน้ำออกจากเขื่อนมาก ชาวนาจะอดเก็บเกี่ยวข้าวไงครับ ซึ่งเดือนตุลาคมรัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็ได้เปิดโครงการรับจำนำข้าวราคาสูงกว่าตลาดโลกไงครับ

ถึงบางอ้อมั้ยครับ?

นี่ถ้าผมเอาตัวเลขตั้งแต่เดือนสิงหาคมจนถึงกันยายนมาให้ดูทุกวัน ก็จะยิ่งเห็นการปล่อยน้ำออกน้อยกว่าน้ำไหลเข้าทุกวัน!!

----------------------

ทีนี้มาดูในเดือนตุลาคม54กันต่ออีกสักวันครับ

หลังการประชุมครม.วันที่4ต.ค.2554

สถานการณ์เขื่อนภูมิพลวันที่5ต.ค.2554
น้ำเข้าเขื่อนภูมิพล 248.85 ล้านลบ.ม. น้ำไหลออกรวม 98.59 ล้านลบ.ม.(และมีการปล่อยน้ำผ่านสปิลเวย์เป็นวันแรก 39.14ล้านลบ.ม.)

น้ำในเขื่อนภูมิพลมีปริมาณรวม 13,229.12 ล้านลบ.ม. หรือ 98.27%ของความจุ

คุณผู้อ่านครับ ในวันที่5ต.ค.2554 เป็นวันแรกที่เขื่อนภูมิพลต้องปล่อยน้ำผ่านสปิลเวย์ เพื่อป้องกันเขื่อนเต็มครับ

(หมายเหตุ เขื่อนภูมิพลสามารถระบายน้ำในช่องทางปกติได้สูงสุดวันละ60ล้านลบ.ม.เท่านั้น ถ้าปล่อยเพิ่มทางสปิลเวย์ จะปล่อยน้ำได้เพิ่มอีก40ล้านลบ.ม. ทำให้การปล่อยน้ำออกจากเขื่อนทำได้มากที่สุด อยู่ที่วันละ100ล้านลบ.ม.เท่านั้น)


ถ้าเราดูจากกราฟย้อนหลัง10ปีจากเว็บรายงานระดับน้ำในเขื่อนภูมิพลย้อนหลังของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตและในปี2554 ตั้งแต่เดือนมกราคมจนถึงต้นเดือนสิงหาคม ซึ่งยังเป็นช่วงรัฐบาลอภิสิทธิ์ จะเห็นได้ว่า ยังอยู่ในช่วงปกติ



แต่กราฟได้เริ่มผิดปกติตั้งแต่เดือนสิงหาคม จนถึง ตุลาคม ซึ่งเป็นช่วงรัฐบาลยิ่งลักษณ์แล้ว ซึ่งสาเหตุที่ทำไมเดือนสิงหาคม ถึง ตุลาคม ผิดปกตินั้น

ขอเชิญคุณผู้อ่าน ย้อนกลับไปฟังคลิป โพยที่ดีที่สุดนายกยิ่งลักษณ์ คลิกที่นี่!!

-----------------------

ไม่ควรกล่าวหาเรื่องกักน้ำ!!

จากข้อมูลตัวเลขที่ผมนำมาให้ดู จะเห็นได้ว่า การปล่อยน้ำจากเขื่อนภูมิพลในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ก็ไม่ได้มีการพร่องน้ำแต่ประการใด จนในที่สุดเขื่อนภูมิพลก็เต็มในที่สุด

ผมถึงว่า อย่าเอาประเด็นนี้มาโจมตีกัน เพราะสุดท้ายมันก็เข้าตัวรัฐบาลยิ่งลักษณ์เอง เพราะรัฐบาลอภิสิทธิ์ มีอำนาจในช่วงต้นฤดูฝน การกักน้ำในช่วงต้นฤดูฝนไม่ใช่เรื่องผิดปกติแต่อย่างใด

แต่ในเมื่อรัฐบาลยิ่งลักษณ์เข้ามารับงานต่อในช่วงกลางฤดูฝน น้ำในเขื่อนเริ่มสูงแล้วก็จริงจากอิทธิพลพายุในเดือนมิถุนายนและกรกฎาคม ทำไมรัฐบาลยิ่งลักษณ์ไม่เริ่มคิดพร่องน้ำล่ะครับ จากตัวเลขที่นำมาให้ดู ผมก็ยังเห็นกักน้ำต่อไปเหมือนเดิม

นั่นเพราะประเด็นน้ำท่วมหนักไม่ได้อยู่ที่เขื่อนกักน้ำ เพราะทางเหนือมีแม่น้ำ4สาย แต่มีเขื่อนใหญ่รองรับแม่น้ำ2สาย เขื่อนทดน้ำรองรับแม่น้ำอีก1สาย  และแม่น้ำยมไม่มีเขื่อนเลย!!

แต่ประเด็นอุทกภัยหนักมันอยู่ที่ การบริหารน้ำในบริเวณที่เกิดอุทกภัยให้ไหลลงทะเลโดยเร็วมากกว่า

รัฐบาลยิ่งลักษณ์ควรหาช่องทางระบายน้ำไหลไปในทางอื่นๆมากขึ้นเพื่อแบ่งเบาภาระจากแม่น้ำเจ้าพระยา แต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์กลับไม่คิดทำเลย จนสถานการณ์วิกฤติแล้วในเดือนตุลาคม

ผมจึงขอย้ำ!! อีกครั้งว่า ถ้ายิ่งลักษณ์มีการบริหารจัดการการไหลของน้ำลงทะเลอย่างเต็มที่ตั้งแต่เริ่มเข้ามาเป็นรัฐบาล ผมมั่นใจว่า ปัญหาอุทกภัยจะไม่รุนแรงมากเท่านี้แน่นอน

(และแนะนำให้ใครที่ยังไม่ได้อ่านบทความในเดือนตุลาคมของผม ควรไปอ่านนะครับ แล้วคุณจะรู้จักเขื่อนในมุมที่ถูกต้อง!!)


คลิกอ่าน หัวอกคนดอนเมืองกับกรณีบิ๊กแบคใครผิด?




ผู้ติดตาม