วันพฤหัสบดีที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

คดีน้องโบว์ ตำรวจ ชงเอง ตบเอง สรุปเอง?

.
.
ข่าวสองวันมานี้ กองพิสูจน์หลักฐานได้ออกข่าวผลสอบสาเหตุการตายของน้องโบว์พันธมิตรออกมา ซึ่งมันน่าขำจริงๆที่ตำรวจออกสันดานเดิมๆจนได้

ตำรวจยิงเอง ตรวจเอง สรุปเอง ทั้งที่ตำรวจก็เป็นจำเลยเองเช่นกัน และผลชันสูตรก็ยังน่าสงสัยไม่น้อย ว่าทำไมเพิ่งจะตรวจสอบผลเสร็จ ใช้เวลานานมาก ทั้งๆที่ความจรืงถ้ามีสารซีโฟร์ติดอยู่จริง แค่ไม่ถึงอาทิตย์ก็ตรวจเสร็จแล้ว ไม่ได้ยากอะไร

ตำรวจออกข่าวทันทีหลังเหตุการณ์ว่า ปืนแก๊สน้ำตาไม่สามารถทำอันตรายอวัยวะได้ แต่พอคุณหญิงหมอพรทิพย์นำมายิงพิสูจน์ ก็แสดงให้เห็นได้ว่า แก็สน้ำตาจีนสามารถทำลายล้างได้เช่นกัน
.
และถ้าใครไม่เชื่อหมอพรทิพย์ก็ประกาศท้าให้คนที่ไม่เชื่อว่าอก๊สน้ำตาจีนทำร้ายคนได้ มาลองเป็นเป้าให้คุณหญิงหมอทดลองยิงให้ ก็ไม่มีใครกล้าลอง


ผลตรวจจากDSI และผลชันสูตรจากนิติเวชรามาธิบดีก็สรุปว่าไม่มีสารซีโฟร์ปนอยู่ แต่ไหนอยู่ดีๆตำรวจมาตรวจเจอเมื่อเวลาผ่านมาเนิ่นนานแล้ว

และน่าสงสัยว่า ทำไมตำรวจจึงพบสารซีโฟร์เพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่รอยไหม้ของเสื้อ เพราะหากน้องโบว์พกระเบิดอันตรายมาจริง และตายเพราะรเบิดของตัวเอง ทำไมจึงพบสารน้อยนัก? ควรจะเจอในปริมาณมากจนเห็นชัดมากกว่า และถ้าน้องโบว์พกระเบิดจริง บาดแผลก็ต้องแหลกละเอียดกว่านี้มาก

ที่สำคัญ ตำรวจไม่สามารถตรวจสารซีโฟร์เจอในวัตถุพยานอื่นๆจากผู้บาดเจ็บคนอื่นเลยแม้แต่ชิ้นเดียวกลับมาเจอที่ศพผู้หญิงธรรมดาๆคนนึง?
.
หรือแม้แต่ศพของสารวัตรจ๊าบก็ไม่พบสารซีโฟร์
.
หลักฐานทั้งหมดตำรวจก็เอาไปเองหมด ไม่มีใครรู้เห็น ไม่มีคนกลางเข้าไปร่วมตรวจสอบ แค่แอบเอาสารซีโฟร์เพียงเล้กน้อยป้ายบนเสื้อเองซะ ใครจะรู้!?

ที่จริงประเด็นน้องโบว์ตายเพราะอะไร ได้สรุปจากผู้ตรวจสอบที่เป็นกลางแล้ว ว่าอาจจะตายจากแก๊สน้ำตาจีนได้ จึงได้มีพิธีพระราชทานเพลิงศพน้องโบว์ไปแล้ว ประเด็นเรื่องสาเหตุการตายจึงจบไปนานแล้ว

ทุกวันนี้รอแค่ผลตรวจสอบว่าใครเป็นคนสั่งยิงประชาชนเท่านั้น เพราะไม่มีใครออกมายอมรับว่าเป็นคนสั่งการสักคน?

แต่พอปปช.กำลังจะชี้มูลความผิดให้เจ้าหน้าที่ตำรวจระดับผู้บังคบบัญชาในอีกไม่กี่วันนี้ ตำรวจก็รีบชิงออกมาแถลงผลชันสูตรในช่วงนี้

และหากพธม.มีระเบิดร้ายแรงจริงๆ ทำไมถึงไม่มีตำรวจได้รับบาดเจ็บจากระเบิดเลยแม้แต่ตัว เอ้ย! แม้แต่นายเดียว?ๆตำรวจไทยใครๆก็รู้ว่า เก่งเรื่องยัดข้อหาแค่ไหน ใครๆก็รู้ว่า มาเฟียสีกากีร้ายกาจแค่ไหน

ลองคิดดูสิว่า ตำรวจจะกล้าสรุปผลออกมาว่า ตำรวจผิดเองเหรอ

แล้วผู้หญิงตัวเล็กสวยๆความรู้ดี ครอบครัวดี จะมาพกอาวุธร้ายเหรอ ทำไมไม่มีการ์ดพันธมิตรเอาไปถือเสียเองล่ะ และระเบิดปิงปองที่ตำรวจอ้างหรือยึดได้จากเหตุการณ์ต่างๆก็ไม่เคยพบสารซีโฟร์เป็นส่วนผสมเลย

ทีเรื่องพันธมิตรถูกระเบิดยิงตายไปหลายคนในทำเนียบ ทำไมตำรวจไม่ไปสืบสักที ตำรวจเองก็เพิ่งมาเจรจาให้พ่อแม่น้องโบว์ถอนแจ้งความเอาเรื่องที่ตำรวจหมิ่นประมาทน้องโบว์ไปหยกๆ แต่พอไม่กี่วันก็มาแถลงหาเรื่องอีก?

แสดงให้เห็นสันดานการช่วยเหลือพวกพ้องเพื่อเอาพวกรอด เป็นเรื่องธรรมดาของตำรวจไทยจริงๆ
.
มีบางคนเขาตั้งข้อสังเกตว่า ตำรวจแถลงการณ์ผิดหรือเปล่า?
"
น้องโบว์ไม่น่าจะพกซีโฟร์ แต่น้องโบว์น่าจะพกโซฟีมากกว่ามั้ง!?!



.

อ่านบทความเก่าเรื่อง หลังปะทะหน้ารัฐสภาตอนที่1


.
.

**************************************
.
เพิ่มเติมล่าสุด คดีน้องโบว์ ในความเห็นคุณหญิงหมอพรทิพย์ (คลิกอ่าน ข่าวความเห็นหมอพรทิพย์)
.
พอดีเมื่อเช้าผมได้ดูข่าวช่องเนชั่นเลยรีบมาเพิ่มเติม ซึ่งได้มีการสัมภาษณ์คุณหญิงหมอพรทิพย์เรื่องการพบสารซีโฟร์ที่เสื้อในของน้องโบว์
.
ซึ่งประเด็นที่หมอพรทิพย์ ได้อธิบายเรื่องเทคนิคการตรวจสอบสารระเบิดเพิ่มให้ฟังก็คือ
.
ปัจจุบันยังไม่มีเครื่องมิอที่สามารถตรวจสอบสารซีโฟร์ได้ เพราะสารซีโฟร์หากจะตรวจพบได้ ต้องมีสารตกค้างเป็นก้อนหรือเป็นสเก็ดให้เห็น แต่ถ้ามีปริมาณสารซีโฟร์ขนาดที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าล่ะก็(เช่นที่ตำรวจอ้างว่าอาจลอยปลิวมาติด) จะยังไม่มีเครื่องมือใดๆในขณะนี้ที่จะตรวจสอบพบได้ ตอนนี้ตรวจได้แต่สารcdxเท่านั้น
.
คุณหญิงหมอพรทิพย์ กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า ไม่รู้ทำไมตำรวจถึงกล้าแถลงเรื่องนี้ออกมา เพราะมันรังแต่จะทำให้เสียเครดิตสถาบันไปเปล่า?
'
คลิกฟัง รายงานพิเศษจับผิดตำรวจ
.
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง คลิก

.

*********************************

.

สถาบันนิติวิทยาศาสตร์มีอำนาจหน้าที่อย่างไร

.

คร่าวๆก็ บริการประชาชนที่ต้องการให้ช่วยเหลือตรวจสอบ ตามคำร้องขอ

.

ช่วยร่วมปฏิบัติงานตรวจสอบตามแต่หน่วยงานราชการต่างๆจะขอให้ช่วย โดยสังกัดกระทรวงยุติธรรม หรือศาลสั่งให้ทำ

.

ตัวอย่าง คดีห้างทอง หมอพรทิพย์ก็ไม่ได้แพ้ เพราะแค่เข้าไปช่วยตามคำสั่งรมต. ส่วนสุดท้ายคดีก็ยังเป็นของตำรวจอยู่ดีตามอำนาจ ตำรวจอาจเห็นตามหมอก็ได้ หรือไม่เห็นตามก็ได้ เพราะเวลาขึ้นศาลก็จะดูที่หลักฐานที่ตำรวจนำเสนอผ่านอัยการเป็นหลัก เป็นไปตามระเบียบกฏหมาย

.

ส่วนคดีแก๊สน้ำตา ตำรวจเป็นคนเปิดทางให้หมอพรทิพย์เข้ามาตรวจเอง แต่ตำรวจเห็นว่าตัวเองจะซวยเลยปฏิเสธผลตรวจของคุณหญิงหมอ

.

หรือคดีซานติก้า รมต.ก็ขอให้หมอพรทิพย์มาช่วยตรวจ ส่วนจะกลายเป็นคดีพิเศษได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการคดีพิเศษตัดสินว่าควรหรือไม่ ถ้าคกพ.ตัดสินว่าไม่ให้โอนย้ายคดี คดีก็ต้องเป็นของตำรวจเหมือนเดิมส่วนรายละเอียดระเบียบกฏหมายก็ไปหาอ่านได้ที่เว็บของDSI และเว็บของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์

.

วันพฤหัสบดีที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ชัยสิทธิ์ ชินวัตร คำพูดนี้หมายถึงอะไร?

.


"ผมยังไม่ทราบว่า พ.ต.ท.ทักษิณอยู่ไหน และไม่มีการพูดคุยกัน แต่คิดว่า พ.ต.ท.ทักษิณคงปลงแล้ว และการที่ผมเข้าร่วมกิจกรรมถือว่าดีเสียอีก เพราะเขาลดทิฐิไปเยอะ โดยเฉพาะเกี่ยวกับสถาบัน ผมบอกว่าไม่ได้นะ เราเป็นคนไทยต้องรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ทุกอย่างอย่าไปแตะต้องให้ระคายเคือง ลูกผู้ชายตัวจริงว่ากันซึ่งหน้า ไม่มีลับๆล่อๆ" พลเอกชัยสิทธิ์พูดในพิธีแก้กรรมให้ทักษิณวันก่อน (ข่าวจากไทยรัฐ)


ภาพรายชื่อศัตรูของทักษิณที่เหล่าลิ่วล้อเขียนเพื่อทำพิธีอะไรสักอย่าง คลิก

แต่ประเด็นที่ผมทำตัวหนังสือสีแดงไว้นั้น มีความหมายที่น่าสนใจมากๆ คุณผู้อ่านคิดเหมือนผมมั้ยครับ?


**************************


ฝ่ายซ้ายหลอกใช้ทักษิณหรือทักษิณหลอกใช้ฝ่ายซ้ายกันแน่?http://www.thairath.co.th/2552/cartoon/gallerypicture/-9884.gif">คลิก ดูการ์ตูนประกอบ)
.
นายใจ อึ้งภากรณ์ ผู้ต้องหาคดีหมิ่นพระบรมฯหนีไปอังกฤษและก็ได้ลาออกจากอาจารย์จุฬาฯแล้ว แต่ก็ได้ทิ้งอะไรๆไว้ให้เห็นหลายประเด็น


แถลงการณ์สยามแดงของนายใจ อึ๊งภากรณ์ นอกจากเป็นหลักฐานสำคัญในคดีกบฏในราชอาณาจักรแล้ว ยังได้เปิดเผยทัศนะของกลุ่มฝ่ายซ้ายที่เคยตั้งความหวังกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ว่าจะเป็นผู้นำพวกเขาไปสู่การเปลี่ยนแปลงอีกด้วย


ทว่าแม้ถึงเวลานี้ยังไม่มีการชี้ให้เห็นถึงนัยดังกล่าว ทั้งๆ ที่ปรากฏเนื้อความอย่างชัดเจนอยู่ในแถลงการณ์สยามแดงแล้ว เพราะมัวแต่หยิบยกนำเสนอกันในปัญหาการโจมตีสถาบันเบื้องสูงและการประกาศเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศไปสู่ระบอบสังคมนิยม


ประเด็นการหมดอาลัยตายอยากและหมดหวังกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ปรากฏในแถลงการณ์สยามแดงมีนัยสำคัญไม่น้อยกว่าประเด็นอื่นๆ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องพิเคราะห์ถึงประเด็นนี้อย่างถ่องแท้สักครั้งหนึ่ง


ในประเด็นนี้ ใจ อึ๊งภากรณ์ ได้ระบุเป็นส่วนสำคัญของแถลงการณ์สยามแดงไว้ว่า


“เลิกหวังได้แล้วว่าอดีตนายกฯ ทักษิณจะนำการต่อสู้ในทิศทางที่จำเป็นสำหรับการปลดแอกสังคม” และอีกตอนหนึ่งก็ระบุว่า


“อย่าตั้งความหวังกับนักการเมืองพรรคเพื่อไทย เขายังไม่พร้อมที่จะต่อสู้นอกกรอบระบบปัจจุบัน”


นายใจ อึ๊งภากรณ์ คนนี้ แต่ก่อนก็เคยด่าทักษิณเหมือนกัน ตอนหลังก็หวังใช้ทักษิณ แต่ไม่ทันสำเร็จ เปิดแน่บไปก่อน พวกกล้วตาย แต่สะเออะอยากเปลี่ยนแปลง 555

.
เพราะอย่างที่ผมเคยเขียนไว้ในตอน พวกไม่จงรักภักดีตอน2 ก็เคยบอกไว้เหมือนกันว่า พวกคอมมิวนิสต์กลายพันธุ์ได้จับเอาทักษิณมาเป็นเครื่องมือเพื่อการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ซึ่งทักษิณก็รู้ดี!?


แต่ผมเคยฝากทิ้งท้ายไว้ในบทความตอนนั้นว่า อาจเป็นไปได้ว่า ทักษิณก็หลอกใช้กลุ่มคนพวกนี้เหมือนกัน เพื่อผลประโยชน์ตัวเอง ประเด็นนี้เริ่มเด่นชัดขึ้น เพราะเพิ่งมีข่าวมาว่า พรรคเพื่อไทยได้เขียนนโยบายใหม่ที่เน้นระบบเศรษฐกิจพอเพียงและจะรักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยมีทักษิณเป็นคนตรวจสอบนโยบายให้ ซึ่งก็ไม่อาจไว้วางใจได้เหมือนกันว่า ที่ทำแบบนี้มีนโยบายแบบนี้เป็นเพราะจริงใจหรือหวังแค่เอาชนะทางการเมืองกันแน่?เพราะเริ่มรู้ว่า ถ้าเดินแนวทางเดิมมีแต่อ่อนแอลง


ยิ่งช่วงหลังจักรภพ เพ็ญแขก็เริ่มพูดในทำนองเดียวกันกับใจ อึ้งภากรณ์เช่นกัน ในทำนองที่ว่า ทักษิณอาจไม่ใช่ผู้นำประชาธิปไตยแบบพวกนี้อ้างก็ได้ (เพราะทักษิณยังใจไม่ถึงพอ?ที่จะคิดการใหญ่)


จึงเป็นไปได้ว่า ที่ผ่านมา พวกฝ่ายต้องการล้มล้างระบอบก็อาศัยกำลังเงินและชื่อเสียงความนิยมของทักษิณเป็นเพียงบนได้ก้าวไปยังจุดหมายที่พวกล้มล้างต้องการเท่านั้น


ผมคิดว่า ทักษิณเองก็ไม่โง่เหมือนกัน เพราะพักนี้ก็ชักเหนียวเรื่องเงินทุนที่สนับสนุนลิ่วล้อเช่นกัน? จนทำให้พวกลิ่วล้อเสื้อแดงต่างก็เร่งจัดงานหาเงินสนับสนุนกันบ่อยครั้งมากขึ้น เพราะหากได้จำนวนมากพอควร พวกลิ่วล้อทักษิณก็อยากจะชุมนุมยาวๆเหมือนกัน ไม่ใช่เป็นแบบทุกวันนี้ ที่ถูกแซวว่า เป็นได้แค่


"ม็อบแดดเดียว"


เห็นว่ากะจะชุมนุมยาวหน้าทำเนียบ แต่จะนานแค่ไหนผมก็รอดูอยู่ แต่ที่แน่ๆ ร้อนกว่าสมัยพันธมิตรอยู่แน่ เพราะเข้าหน้าร้อนแล้ว (ระวังบ้าก็แล้วกันฮิๆ)


***********************


ม็อบเสื้อแดงเถื่อนถ่อยไล่อัดม็อบข้าวโพด


เมื่อวันที่19ก.พ.ที่ผ่านมา ขณะม็อบข้าวโพดประท้วงอยู่ที่หน้าศาลากลางเชียงใหม่ พวกเสื้อแดงที่มาชุมนุมเหมือนกันหวังเข้าแทรกกลางหวังรวมกลุ่มกับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพด ทำให้นายถนอม พะเยาว์ ผู้ใหญ่บ้าน ม.5 ต.แม่นาจร อ.แม่แจ่ม แกนนำกลุ่มผู้ปลูกข้าวโพด ได้กล่าวปราศรัยโต้กลับไปว่า


"พวกเราเป็นเกษตรกรที่มาเรียกร้องเรื่องปัญหาปากท้อง ไม่ได้มาเรื่องการเมือง พวกเราไม่ใช่เสื้อเหลืองหรือเสื้อแดง ขอร้องกลุ่มเสื้อแดงอย่ามารวมกลุ่ม ขอให้ออกไป"


สร้างความไม่พอใจแก่แกนนำและสมาชิกคนเสื้อแดงเป็นอย่างมาก มีการวิ่งกรูกันเข้าไปทำร้ายนายถนอม จนทำให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดบางคนช่วยกันห้ามปรามและดึงเสื้อ น.ส.กัญญาภัค มณีจักร แกนนำกลุ่มเสื้อแดงไว้ จนเกิดการกระทบกระทั่งโต้เถียงและชี้หน้าด่าทอกันนานกว่า 10 นาที


จากข่าวนี้ ผมไม่ขอวิจารณ์อะไร ได้แต่บอกว่าสงสารเกษตรกรคนยากคนจน (ส่วนใครเป็นแฟนสนุกการเมือง คงได้เห็นความคิดเห็นผมไปบ้างแล้ว )


แต่ได้ข่าวว่า เสื้อแดงเชียงใหม่กำลังไปหาเรื่องตุ๊ดกับเกย์ต่อ กัดไม่เลือกจริงๆ ฮิๆ click (เขามีกลุ่มเกย์การเมืองไปจัดการเรื่องนี้อยู่แล้ว เสื้อแดงมั่วไปเรื่อย)


***********************

.akecity
ข่าวน่าอ่านวันนี้ นักโทษต่างชาติคดีหมิ่นพระฯได้รับพระราชทานอภัยโทษแล้ว คลิก

นักโทษชื่อแฮรี่คนนี้ มีประโยคที่น่าสนใจหลังออกจากคุกว่า

"ในวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวครบ 81 พรรษา ผมได้เห็นพลุที่จุดขึ้นจากระยะไกล นักโทษบางคนมีน้ำตาคลอเบ้า ยอย่องสรรเสริญผู้ที่พวกเขาเห็นว่าไม่ได้เป็นเพียงกษัตริย์ แต่เป็นเสมือนบิดาของพวกเขา แม้ว่าผมจะไม่ใช่คนไทย แต่ผมเป็นลูกชายที่รู้ความหมายของความรักที่มีต่อพ่อ ผมยื่นขอพระราชทานอภัยโทษ และภาวนาให้พระองค์ทราบถึงชะตากรรมของผม และหวังว่าผมจะได้รับความกรุณาจากพระองค์"
.
คือเนื้อหาส่วนหนึ่งที่ถูกจดไว้ตามคำบอกของแฮรี่ (ข่าวมติชน)


.

ความเหมือนและแตกต่างระหว่างทักษิณv.s.อูโก ชาเวซแห่งเวเนซุเอลา



. akecity

วันก่อนข่าวต่างประเทศมีการนำเสนอข่าวผลประชามติของประชาชนเวเนซุเอลาส่วนใหญ่เห็นชอบให้แก้ไขรัฐธรรมนูญปี2542 เพื่อยกเลิกการจำกัดระยะเวลาดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดีและเจ้าหน้าที่ที่มาจากการเลือกตั้งหมดแค่สองสมัยลง (คลิกดูภาพ)


ทำให้ประธานาธิบดีอูโก ชาเวซประธานาธิบดีคนปัจจุบันสามารถจะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกกี่สมัยก็ได้ หากยังเขายังได้รับชนะการเลือกตั้งอยู่


ผลประชามติครั้งนี้นับเป็นชัยชนะที่สำคัญของประธานาธิบดีชาเวซ วัย 54 ปีที่จะพ้นวาระในปี 2556 และไม่สามารถลงสมัครเลือกตั้งได้อีก (ส่วนการลงประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็นเดียวกันเมื่อปี 2550 ไม่ผ่านความเห็นชอบจากประชาชนมาแล้วครั้งหนึ่ง)


อูโก ชาเวซ อดีตนายพันทหารบกผู้มีแนวคิดรักชาติและสังคมนิยมประชาธิปไตยได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีประเทศเวเนซุเอล่าในปลายปี พ.ศ. 2541 เขามาจากครอบครัวคนจนเชื้อสายผสม (ยุโรป อเมริกันอินเดียน และแอฟริกัน) เป็นนักการเมืองหน้าใหม่ อายุเพียง 44 ปี ได้รับการเลือกตั้ง เพราะเขามีนโยบายที่ก้าวหน้าเพื่อประโยชน์ของคนจน ต่อต้านผลประโยชน์ของทุนข้ามชาติ และนายทุนใหญ่ ซึ่งเป็นนโยบายที่ต่างจากพรรคการเมืองพรรคใหญ่ 2 พรรคที่ผลัดกันครองอำนาจมา 40 ปี


ประธานาธิบดีอูโก ชาเวซเคยให้ประชาชนลงมติเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญมาแล้วครั้งนึง เพื่อยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับเก่าที่ใช้กันมากว่า40ปี เพราะรัฐธรรมนูญฉบับเก่านั้นได้เอื้อประโยชน์คนชั้นสูงและคนชั้นกลางมากกว่าประชาชนส่วนใหญ่ ชาเวซจึงใช้สิทธิประธานาธิบดีในการออกกฤษฎีกาให้มีการลงประชามติว่า ประชาชนเห็นด้วยกับการจัดตั้งสภารัฐธรรมนูญเพื่อร่างรัฐธรรมนูญใหม่หรือไม่ ซึ่งเขาก็ได้รับชัยชนะในประชามติครั้งนั้น


ซึ่งประธานาธิบดีชาเวซ ได้มีนโยบายช่วยเหลือคนจน และออกกฏหมายเพื่อยึดคืนสัมปทานน้ำมันหรือทรัพยกรสำคัญๆที่ไปอยู่ในมือต่างชาติ กลับมาเป็นสมบัติสาธารณะอีกครั้งหนึ่งสำเร็จ ทำให้ต่างชาติที่เสียผลประโยชน์อย่างเช่นประเทศสหรัฐอเมริกา ไม่ชอบขี้หน้าประธานาธิบดีเวเนซุเอลาคนนี้


ประธานาธิบดีชาเวซ เขาได้รับคะแนนนิยมจากคนยากจนด้วยสวัสดิการด้านรักษาพยาบาลและการศึกษา และเขาหวังที่จะอยู่ในอำนาจได้ต่อไปโดยไม่จำกัด เพื่อหวังปฏิรูปเวเนซุเอลาให้เป็นรัฐสังคมนิยมให้สำเร็จ แต่ฝ่ายต่อต้านเตือนว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้จะเป็นการบิดเบือนประชาธิปไตย


ชัยชนะในประชามติครั้งนี้ของชาเวซก็ได้รับความชื่นชมจากฟิเดล คาสโตร อดีตผุ้นำคิวบาด้วยเช่นกัน เพราะชาเวซนิยมชมชอบคาสโตร จนนับถือว่าเป็นเพื่อนสนิทของเขา


************************

ความเหมือนและแตกต่างระหว่างทักษิณv.sชาเวซ

เท่าที่ผมดู ผมว่าชาเวซเหมือนทักษิณเพียง2จุดคือ ชาเวซมีนโยบายสวัสดิการให้กับคนจน จนได้รับความนิยมและชัยชนะจากคนจนอย่างท่วมท้น เหมือนทักษิณ

แต่สิ่งที่แตกต่างกันอย่างมากของชาเวซกับทักษิณนั้นมีอยู่หลายจุด เช่น

1. ชาเวซต่อต้านการเข้าถือครองทรัพยากรธรรมชาติของเวเนซุเอลาทุกชนิดจากต่างชาติ ชาเวซเลยยึดทรัพยกรทุกชนิดเหล่านั้นคืนมาให้แก่สาธารณะ ซึ่งแต่เดิมเป็นผลประโยชน์ของคนรวยทั้งนั้น ทำให้ประชาชนยากจนส่วนใหญ่ไม่ได้รับผลประโยชน์อย่างเป็นธรรม ขณะที่ทักษิณอยากจะให้ต่างชาติสามารถถือครองที่ดินคนไทยได้ 100 % หรืออย่างน้อยให้ต่างชาติก็เช่าที่ดินไทยได้นาน 99 ปี 

2. ชาเวซไม่ชอบระบบทุนนิยม แต่ชอบสังคมนิยม เพราะชาเวซเกลียดอเมริกา เพราะเขาคิดว่าอเมริกาคือชาติที่ทำทุกอย่างเพื่อเอาเปรียบคนอื่น เพื่อผลประโยชน์ตัวเองเท่านั้น แต่ทักษิณบ้ากระแสทุนนิยม ชอบตักตวงผลประโยชน์จากทุนนิยม

3. ชาเวซปกป้องอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติ แต่ทักษิณกลับขายกิจการที่เกี่ยวกับความมั่นคงอย่างธุรกิจสื่อสารเป็นต้น

4. ชาเวซปกป้องที่ดินทำกินชองชาติ โดยใช้มาตรการภาษีเพื่อจำกัดและขัดขวางการถือครองที่ดินขนาดใหญ่ เพื่อปกป้องไว้ให้เกษตรกรมีที่สิทธิได้เป็นเจ้าของที่ดิน แต่ทักษิณกลับอยากมีนโยบายขายที่ดินให้ต่างชาติ

5. ชาวเวซปกป้องรัฐวิสาหกิจของประเทศ หากจะมีการเปลี่ยนแปลงหรือแปรรูปใดๆที่กระทบต่อสังคม จะต้องจัดให้มีการผ่านการลงประชามติจากประชาชนเสียก่อน แต่ทักษิณอยากขายรัฐวิสาหกิจที่ทำกำไรแก่ประเทศชาติไปให้พวกนายทุน 

**********************************

นี่คือความแตกต่างโดยคร่าวๆที่ผมพอจะนึกได้ครับ สำหรับผมนั้นไม่ได้ชื่นชมประธานาธิบดีชาเวซเท่าใดนัก แต่ผมต้องการชี้ให้เห็นว่า
.
ทั้งๆที่ประชาชนเวเนซุเอลาเองก็รู้ว่า ประธานาธิบดีชาเวซฝักใฝ่ระบอบสังคมนิยม แต่พวกเขาก็ยังให้การสนับสนุน ทำไมหรือครับ ก็เพราะพวกเขาเริ่มเห็นแล้วว่า กระแสทุนนิยมบริโภคของอเมริกาที่กลืนกินประเทศเขามาหลายสิบปี ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจนมากขึ้น แต่มาวันนี้ชาเวซได้นำระบอบสังคมนิยมมาปรับใช้เพื่อลดช่องว่างของความรวยความจนลงได้มากขึ้น
.
ทำไมชาติที่มีระบอบประชาธิปไตยอยู่แล้ว ประชาชนถึงได้เริ่มฝักใฝ่ระบอบสังคมนิยมเพื่มขึ้น ?

คุณผู้อ่าน พอจะรู้ไหมครับว่าผมต้องการสื่อให้เห็นเรื่องอะไร ?

ส่วนประเด็นทักษิณอยากเปลี่ยนแปลงระบอบปกครองหรือไม่นั้น ก็ยังไม่แน่ชัด แต่ในกลุ่มคนที่สนับสนุนทักษิณมีแน่ๆ
.
แต่ประเด็นตรงนี้ ประธานาธิบดีอูโก ชาเวซอยากจะเปลี่ยนจากระบอบประชาธิปไตย(สาธารณรัฐ) ไปเป็นสังคมนิยมแทน 

แล้วทักษิณล่ะ รู้หรือยัง? หรือแค่ปากว่าจงรักภักดีแต่ตาแอบขยิบให้ลิ่วล้อ?
.
************************************
.
คำเตือนเรืองตื่นราคาทองคำ
.
ขณะนี้ ราคาทองขึ้นอย่างผิดปกติ คาดว่าจะเกิดจากกระแสการเก็งกำไร ที่เปลี่ยนจากเรื่องน้ำมันและหุ้นมาลงที่ทองคำแทน ระวังจะเหมือนหุ้นและน้ำมันที่ผ่านมา จากสูงมากๆ ก็ตกลงได้มากๆเช่นกัน
.
คนไทยได้กำไรนิดหน่อย แต่ประเทศจะบอบช้ำ เพราะกำไรแค่ไม่กี่ร้อย ระวังด้วย หากอยากรู้และเข้าใจเพิ่มขึ้น
.
คลิกอ่าน ข้อเสียจากการเก็งกำไรราคาทอง
.
.

วันจันทร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ทักษิณขี้โม้ ทักษิณไม่ได้เก่งสักเท่าไหร่หรอก






แม้ทักษิณจะเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จจนร่ำรวย แต่เส้นทางความร่ำรวยของทักษิณก็แลกมาด้วยการติดสินบนทั้งนั้น ใคร ๆ ก็รู้ว่า กว่าที่ทักษืณจะได้ยึดธุรกิจสัมปทานมาครองได้ ต้องวิ่งเต้นแค่ไหน แย่งกันให้ผลประโยชน์ผู้มีอำนาจแค่ไหน ทุกคนต่างก็รู้


ฉะนั้น ผู้ที่ประสบความสำเร็จจากธุรกิจสัมปทานจึงเน้นเก่งแต่เรื่องการเลียผู้มีอำนาจ เก่งการติดสินบน และการใช้เส้นสาย ต้องอาศัยอิทธิพลทางการเมืองมากกว่านักธุรกิจจากสายธุรกิจอื่น เรียกได้ว่า ต้องฉลาดแกมโกง ไม่ใช่ฉลาดแบบคุณธรรม
.
เมื่อธุรกิจสัมปทานต้องแลกมาด้วยเส้นสายและอิทธิพลไปมาก การค้ากำไรเกินควรจึงต้องเกิดขึ้นตามมาด้วยเพื่อชดเชยส่วนที่ต้องเสียไป

ธุรกิจธรรมดา ๆ ที่ไม่ใช่ธุรกิจสัมปทาน ที่ทักษิณเคยทำมาทั้งหมดล้วนแต่เจ๊งทั้งนั้น จนต้องวิ่งแลกเช็ควุ่นวาย และแม้แต่ค่าหนัง(ภาพยนตร์) ที่ทักษิณเคยไปยืมเสี่ยเจียงแห่งสหมงคลฟิล์มมา 2 ล้านบาท ทุกวันนี้ทักษิณก็ไม่เคยใช้คืนเสี่ยเจียง

วิกฤติเศรษฐิกิจปี 2540 ทักษิณก็เข้ามาแก้ไขเมื่อตอนที่สถานการณ์เศรษฐกิจทั้งในไทยและเศรษฐกิจโลกเริ่มคลี่คลายไปในทิศทางขาขึ้นแล้ว
"
เพราะทักษิณเข้ามาเป็นนายกฯในปี44 ซึ่งผ่านวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้งมาแล้วถึง4ปี เพียงแต่ยังต้องการผู้กล้ามาฟื้นฟูเท่านั้น ซึ่งทักษิณมีลักษณะกล้าได้กล้าเสียเพราะอำนาจเงินถึง จึงไม่ต้องอยู่ภายใต้อิทธิพลนักการเมืองเก่าๆเหมือนนายกฯที่ผ่านๆมา


ทักษิณเก่งเรื่องโฆษณาประชาสัมพันธ์ โฆษณาจนคนรากหญ้าจำนวนมากเชื่อเป็นตุเป็นตะว่า คนไทยปลดหนี้ทั้งหมดที่เคยมีได้แล้ว ที่จริงก็ปลดได้แต่หนี้ไอเอ็มเอฟเท่านั้น ส่วนหนี้ประชาชาติเดิมๆก็ยังเพิ่มขึ้นอยู่ดี ยังไม่ได้ปลดหนี้ทุกๆอย่างให้คนไทยแต่อย่างใด
.
(หนี้ไอเอ็มเอฟที่ทักษิณอ้างว่าใช้คืนนั้น ที่จริงก็เป็นหนี้ที่เหลืออยู่ไม่มากแล้ว เพราะรัฐบาลก่อนๆก็ได้ทยอยใช้คืนมาเรื่อยๆ แต่ทักษิณเก่งเรื่องโฆษณาเลยทำให้ผู้คนจำนวนมากหลงเชื่อว่า การใช้หนี้ไอเอ็มเอฟเป็นผลงานของทักษิณล้วนๆ ผู้คนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่า ทักษิณอยู่ในรัฐบาลที่ทำให้ไทยต้องไปกู้ไอเอ็มเอฟ คือรัฐบาลชวลิต โดยนายทนง พิทยะเป็นคนไปเซ็นขอกู้ 
และเพื่อความเข้าใจที่มากขึ้น กรุณาคลิกอ่าน ใครกู้IMF ใครปลกแอกIMF ใครผลายเงินเอาหน้า ที่สำคัญที่สุด!! การใช้หนี้ให้จบก่อนกำหนด ไทยเราต้องเสียค่าปรับ และต้องจ่ายมากกว่าการทยอยผ่อน!! )


ส่วนการขายกิจการรัฐ ก็นำมาซึ่งเงินเข้าประเทศได้ง่าย คนรากหญ้าจึงหลงคิดไปว่า ทักษิณหาเงินเก่ง ทั้งๆที่เงินจำนวนมากนั้น เป็นการได้มาจากการขายรัฐวิสาหกิจใหญ่ ๆ เช่นปตท. เป็นต้น

แน่นอน การที่ทักษิณเป็นนักธุรกิจที่มีประสบการณ์ทางธุรกิจย่อมเข้าใจเรื่องธุรกิจดีกว่านายกฯที่ผ่านๆมา แต่นั่นมันเป็นเพียงเปลือกนอกที่ไม่จีรังเท่าใดหรอก เพราะยังให้ไทยต้องพึ่งพาการส่งออกมากเกินไป คนไทยจึงเป็นแค่ลูกจ้างราคาถูกให้แก่ธุรกิจต่างชาติเท่านั้น
.akecity
เช่นคนไทยมักหลงคิดว่า ไทยเราคือดีทรอย์แห่งเอเซีย เป็นชาติที่ผลิตรถส่งออกมาที่สุดในโลกชาติหนึ่ง แต่ที่จริงแล้ว การส่งออกรถยนต์ที่นำรายได้จำนวนมหาศาลเข้าประเทศนั้น จริงๆแล้ว ไทยเราก็ได้แค่ค่าแรงถูกๆ กับค่าผลิตชิ้นส่วนรถยนต์กระจอกๆเท่านั้น


เพราะกำไรส่วนใหญ่นั้นตกอยู่กับบริษัทแม่ของค่ายรถต่างๆทั้งนั้น ชิ้นส่วนรถยนต์ที่มีราคาสูง ไฮเทคๆ ไทยเราก็ไม่ได้มีปัญญาผลิตเอง ต้องนำเข้าจากบริษัทแม่ทั้งนั้น ไทยเราก็เป็นได้แค่โรงงานประกอบรถเท่านั้น เพราะไม่ใช่เจ้าของเทคโนโลยี


ขณะนี้เศรษฐกิจโลกตกทั้งโลก แต่ทักษิณยังคุยอวดว่าตัวเองนั้นเก่งเหลือเกิน ที่จริงหากทักษิณยังเป็นนายกฯต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน ผมคิดว่าไทยเราจะเจ็บตัวจากวิกฤติเศรษฐกิจครั้งนี้หนักกว่าเดิมด้วยซ้ำ เพราะแนวคิดทักษิณส่งเสิรมให้คนไทยฟุ้งเฟ้อ
.
และความฟุ้งเฟ้อก็คือการต้องนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ ประเภทสินค้าไฮเทคทั้งหลาย ซึ่งคนไทยผลิตไม่ได้ เช่นโทรศัพท์มือถือคนไทยบ้าเปลี่ยนบ่อยจะตาย ยิ่งเปลี่ยนก็ยิ่งจน

ทำไมประเทศญี่ปุ่นที่มีนักธุรกิจระดับหัวกะทิมากมาย ยังไม่รอดวิกฤติเศรษฐกิจครั้งนี้ บริษัทโตโยต้ามอเตอร์ ไม่เคยขาดทุนมาก่อนในประวัติศาสตร์ แต่ก็ยังต้องขาดทุนในปีนี้

แล้วทักษิณเป็นใคร ทักษิณเก่งกว่าญี่ปุ่นทั้งประเทศหรือยังไง ผมคนนึงล่ะที่ไม่เชื่อว่า ทักษิณจะเก่งกว่าคนญี่ปุ่น ถ้าหรือใครเชื่อนักธุรกิจที่รวยจากสัมปทาน นักธุรกิจที่รวยจากการขายสินค้านำเข้าซึ่งทำให้ไทยต้องขาดดุลการค้าอย่างทักษิณ

ถ้าใครเชื่อว่าทักษิณเก่งกว่าญี่ปุ่น ก็โง่แล้ว

ถ้าผมจะยกย่องนักธุรกิจไทย ผมจะยกย่องนักธุรกิจที่ทำธุรกิจส่งสินค้าไทยออกไปตีตลาดโลกนำเงินตราต่างประเทศเข้าประเทศไทย

ไม่ใช่ยกย่องคนอย่างทักษิณ ที่รวยจากการทำธุรกิจที่ต้องนำสินค้านอกมาขายทำกำไรกับคนไทย ทำให้คนไทยต้องสูญเสียเงินออกนอกประเทศ และไม่ใช่ค้ากำไรกับคนไทยน้อยๆซะเมื่อไหร่
.
ทักษิณค้ากำไรจากธุรกิจสัมปทานมากเสียจนรวยเป็นแสนล้านได้ในเวลาเพียงไม่กี่ปี แถมยังยักยอกเอาเงินไปซ่อนต่างประเทศอีกไม่รู้อีกเท่าไหร่ ภาษีส่วนยักยอกก็เลยไม่เคยต้องจ่าย!


ใครที่ยังหลงเชื่อทักษิณอย่างหัวปักหัวปำ ผมบอกตามตรงคุณกำลังตกเป็นเหยื่อของคนฉลาดแกมโกง 555
.
ฉะนั้น การที่ทักษิณยังโฟนอินคุยอยู่ได้ว่าสามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจโลกได้ ก็โม้ทั้งเพ เพราะวิกฤติเศรษฐกิจคราวนี้ ทั้งหมดเกิดจากความฟุ้งเฟ้อทั้งนั้น
.
*** อ่านทักษิณขี้โม้2 ***

.
.
-----------------------
.
.
ระบบการปกครองของอิหร่าน น่าจะทำให้พวกลิ่วล้อทักษิณตาสว่างได้
.
แม้อิหร่านจะมีประธานาธิบดีจากการเลือกตั้ง!? (ที่อิหร่าน-ประธานาธิบดีคือผู้นำรัฐบาล ส่วนประเทศไทยคือนายกฯ)
.
แต่ประมุขสูงสุดของประเทศอิหร่านกลับคือ ผู้นำสูงสุดทางศาสนา?
.
และผู้นำสูงสุดทางศาสนาก็สามารถปลดประธานาธิบดีที่มาจากการเลือกตั้งได้ทันที!? หากเห็นว่าประธานาธิบดีเลว!
.
ด้วยระบบนี้เองที่ประมุขของประเทศสามารถปลดประธานาธิบดีได้ อิหร่านจึงสามารถส่งดาวเทียมของตัวเองได้แล้วโดยไม่ต้องสนใจชาติตะวันตกทั้งหมด(เกี่ยวมั้ยเนี่ย?)
.
ถ้าลิ่วล้อแม้วไม่เข้าใจ ผมก็เชื่อว่า ไม่แปลก!?
.
*********************************
.


วันพฤหัสบดีที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ขอร่วมคิดแก้ปัญหาเด็กอาชีวะตีกัน

.

จากข่าวที่นำเสนอมาในช่วงนี้ ทุกท่านคงเป็นที่รับรู้กันทั่วหน้าอยู่แล้ว กับปัญหาของ2สถาบันนี้คือก่อสร้างอุเทนถวายกับเทคโนปทุมวันตีกัน หรือจะเป็นสถาบันอาชีวะอื่นๆก็ตาม ปัญหาของเด็กช่างตีกันไม่ว่าที่ไหนก็มีปัญหาคล้ายๆกัน


ผมจึงขอเสนอแนวทางแก้ปัญหาแบบแหวกแนวแบบที่ยังไม่เคยมีใครคิดมาก่อน แต่จะแก้ได้ไม่ได้ก็แล้วแต่ทุกท่านจะพิจารณา ผมแค่อยากฝากไว้ให้คิด


1.สถาบันอาชีวะทั้งหลาย ต้องให้นักเรียนนักศึกษาทุกคนเลิกใส่กางเกงขายาว และให้มาใส่กางเกงขาสั้นให้หมด

เลิกไว้ผมยาว และให้มาตัดผมทรงนักเรียนให้หมด เพราะถ้าใส่กางเกงยาวได้ ไว้ผมยาวได้ มักชอบทำกร่าง ทำเท่ห์ทำเก่ง ว่ากูเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ที่จริงหน้าตัวเมียทั้งนั้น ถ้ามาคนเดียวก็ไม่กล้าไปตีใครหรอก หรือถ้ามาคนเดียวก็มักจะเป็นได้แค่หมาลอบกัด

(แม้การตัดผมสั้น หรือใส่กางเกงขาสั้นจะไม่ได้หยุดการตีกันได้โดยสิ้นเชิง แต่ก็น่าจะทำให้ความรู้สึกกร่างลดน้อยลง และน่าจะมีผลให้การตีกันน้อยลงได้บ้าง)




2. จัดให้เด็กอาชีวะทุกสถาบันทุกคน ต้องหัดชกมวยทุกคน และต้องมีเวทีมวยทุกในทุกสถาบัน และรัฐบาลก็ต้องมีเวทีเป็นกลางให้มาต่อยกันไปเลยสำหรับสถาบันที่คิดว่าเป็นคู่อริกัน สู้กันบนกติกามวยแบบลูกผู้ชาย ใครอยากมีเรื่องกับใครท้าต่อยกันไปเลย ตัวต่อตัว ไม่มีอาวุธ แต่ส่วนใหญ่ตัวต่อตัวปอดแหกทั้งนั้น

(คงไม่มีใครยุติการตีกันของเด็กอาชีวะได้โดยสิ้นเชิงก็ตาม แต่ต้องสอนให้รู้จักจิตสำนึกความเป็นลูกผู้ชาย ที่ควรต่อสู้กันในกฏกติกา ไม่ใช่หน้าตัวเมีย และหมาหมู่อย่างที่เป็นอยู่อย่างทุกวันนี้)


3. เด็กอาชีวะทุกคนต้องถูกบังคับให้เรียนวิชาทหาร(ร.ด.)ทุกคน เพราะเด็กอาชีวะชอบซ่าแบบไร้ขอบเขต ไม่มีระเบียบวินัย การที่มาเรียนร.ด. ก็เท่ากับได้มาฝึกฝนวินัย และจากต่างสถาบันก็จะได้มาเรียนร่วมกันและรู้จักกัน เมื่อมารู้จักันก็จะเป็นเพื่อนกัน ลดความขัดแย้งไปในตัว


พวกเด็กอาชีวะส่วนใหญ่ที่เกเร มักจะไร้ระเบียบวินัย เพราะพวกนี้โดยนิสัยส่วนตัวแทบทุกคน หรือจะเรียกว่าสันดานก็ได้ คือถ้าให้เป็นทหาร ก็มักจะไม่อยากเป็นทั้งนั้นหรือเรียกว่าไม่กล้าก็ได้ (ปอดแหกแต่ชอบกลบเกลื่อน) 

ที่ไม่อยากมาเรียน ร.ด. เพราะไม่อยากตัดผมเกรียน ฉะนั้นสันดานเด็กพวกนี้ ต้องบังคับเท่านั้นถึงจะพูดรู้เรื่อง ฉะนั้นรัฐบาลควรต้องออกกฏหมายบังคับให้เด็กสายช่างเรียนร.ด.ทุกคน

----------------

ประเทศไทยนั้นที่ไม่เจริญทัดเทียมอารยะประเทศอื่นๆ สาเหตุหนึ่งที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือ คนไทยไร้ระเบียบวินัยมาก ผมอยากจะขอยกตัวอย่างประเทศเกาหลีใต้ ให้เห็นเป็นตัวอย่างก็คือ


ประเทศเกาหลีใต้ ผู้ชายทุกคนต้องรับใช้ชาติ ต้องถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารทุกคนไม่มียกเว้น ไม่ต้องมีมาจับใบดำใบแดง ไม่ต้องมาวิ่งเต้นใช้เส้นสายยัดเงินเพื่อไม่ต้องเป็นทหาร และถ้าผู้ใดหนีทหารต้องโทษติดคุกสถานเดียว ไม่มีการรอลงอาญา เป็นทหารทุกคนเพื่อชาติ และจะถูกเรียกมาฝึกฝนหลังออกประจำการแล้วอย่างสม่ำเสมอ

ชายไทยจำนวนมากไม่อยากเป็นทหาร ซึ่งการเป็นทหารนั้นแรกเข้าไม่อยากเข้า เพราะไม่อยากฝึกไม่อยากลำบาก ไม่อยากต้องถูกบังคับ ไม่อยากอยู่ในระเบียบวินัย

แต่พอใครได้ไปเรียนรู้ชีวิตทหารแล้ว ก็จะสามารถฝึกฝนจิตใจและกลับกลายเป็นคนที่ดีมีวินัยขึ้นได้ และจะเห็นแก่ตัวลดลง รักชาติมากขึ้น ไม่ใช่เห็นแก่ตัว อยากมีเสรีภาพ อยากมีประชาธิปไตย แต่ไม่ยอมเสียสละเพื่อชาติกันเท่าไหร่เลย
.

หากใครไม่อยากเป็นทหารเพราะปอดแหก ก็อย่าทำตัวเป็นซ่ากร่างแต่ในเมือง อยู่แบบเรียบร้อยไม่สร้างปัญหาให้บ้านเมืองก็นับว่าเยี่ยมแล้ว

การฝึกทหาร ถือเป็นการฝึกฝนตนเองอย่างหนึ่ง 

รัฐก็ต้องคิดในมุุมมองใหม่ว่า การให้ผู้ชายเป็นทหารไม่ใช่การสร้างกองทัพ แต่ถือว่าเป็นการฝึกวินัยจิตใจลูกผู้ชายให้แก่ประชาชน



ทุกวันนี้ คนไทยแตกแยกทางอุดมการณ์ ไม่สามัคคีกัน เพราะไม่เคยไปลำบากเสี่ยงตายในสงคราม ไม่รู้ว่าทหารนั้นลำบากแค่ไหน และค่าตอบแทนนั้นน้อยแค่ไหน คนอยู่แต่ในเมืองในประเทศทุกคนนอนหลับสบาย แต่ทุกคนไม่เคยรู้จักอันตรายในชายแดน ที่ทหารต้องเสียสละรักษาเอกราชเพื่อให้คนไทยที่อยู่สุขสบายมาตีกันฆ่ากันเองอย่างนั้นหรือ?

จะเด็กอุเทนหรือเด็กปทุมวัน หรือเด็กช่างอื่นๆก็ตาม ถ้าถูกจับย้ายสถาบันฯให้ไปอยู่3จังหวัดภาคใต้ จะกล้าไปอยู่กันมั้ย? จะกล้าไปเรียนกันมั้ย?กล้าไปตีหัวคนอื่น แต่ไม่กล้าปกป้องชาติหรอก?
.
ผมกล้าดูถูกเลยว่า ถ้าสถาบันอาชีวะที่เป็นอันธพาลทั้งหลาย ถูกย้ายไปอยู่3จังหวัดใต้ ให้เรียนฟรี ให้ที่พักฟรี ก็คงแทบไม่มีเด็กคนไหนกล้าไปสมัครเรียนแน่ ผมจึงขอดูถูก เด็กอาชีวะ(ที่เกเร) เก่งแต่หมาหมู่ ทั้งหลายไว้ณ.ที่นี้ด้วย


ผมเชื่อว่าเด็กดีก็มี แต่เด็กเกเรส่วนใหญ่น่ะหมาหมู่กับหน้าตัวเมียทั้งนั้น ฟันธง!


*********************************
.
จัดรับน้องใหม่ทั้งสองสถาบันร่วมกัน?
.
จากการประชุมแก้ไขปัญหาเด็กอาชีวะ 2 สถาบันที่มีปัญหาการตีกัน เช่น อุเทนถวาย และ ปทุมวัน นั้น มีอยู่ข้อนึงที่บอกว่า จะจัดให้มีการรับน้องใหม่ร่วมกัน
.
ผมเลยอยากขอเสนอว่า ถ้าจะให้มีการรับน้องใหม่ร่วมกัน ก็ให้จัดเป็น ออกค่ายทหารร่วมกันน่าจะดี หมายถึง ให้เด็กใหม่ทั้งสองสถาบัน เข้าค่ายฝึกกับทหารเป็นเวลา1เดือนก่อนเปิดภาคเรียน สลายพรรค สลายพวก สลายชื่อโรงเรียน เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
.
ผมว่าความคิดนี้น่าจะดีนะครับ ให้มาฝึกวินัยร่วมกัน ฟันฝ่าความยากลำบากด้วยกัน รู้จักกัน ก็จะรักกันเป็นเพื่อนกัน และเมื่อรู้จักกัน รักกัน ก็จะเลิกตีกัน หรืออย่างน้อยก็ลดลง
.

วันอังคารที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

มาเรียกร้องเอาระบบเอนทรานซ์เก่ากลับมากันเหอะ





ตั้งแต่เปลี่ยนระบบสอบเข้ามหาวิทยาลัยใหม่จากเดิมคือ ระบบเอนทรานซ์มาเป็นระบบเอเน็ต โอเน็ต จีพีเอ จีแพค  อะไรนั่นน่ะ สร้างปัญหายุ่งยากให้เกิดขึ้นแก่นักเรียนทุกปี

ผมเองก็รู้เรื่องระบบสอบแบบใหม่ไม่มากเพราะเลยวัยมานานแล้ว รู้แต่ว่าที่ยกเลิกระบบเอนทรานซ์ไปก็เพื่อจะแก้ปัญหาที่เด็กต้องไปเรียนพิเศษกับพวกโรงเรียนกวดวิชามากเกินไป จนไม่ค่อยให้ความสำคัญในโรงเรียนสามัญ

ทำให้เด็กและผู้ปกครองต้องเสียเงินให้กับพวกร.ร.กวดวิชาแพงๆ จนกลายเป็นแฟชั่นในระบบมัธยมศึกษาไทย ใครมีเงินมากก็ได้ไปจ่ายมากเรียนมาก ส่วนใครไม่มีเงินก็มักจะมีโอกาสเข้ามหาวิทยาลัยรัฐได้น้อยลง เป็นค่านิยมที่ฝังหัวเด็กๆ มานานนับสิบๆ ปี

แน่นอนปัญหามันเกิดตรงที่มีข้อครหาข้อสอบเข้ามหาลัยแบบเก่า(เอนทรานซ์) ว่า มันยากเกินหลักสูตรสามัญไปมาก จนทำให้เด็กต้องขวนขวายหาแหล่งความรู้นอกโรงเรียนมาเพื่อการสอบแข่งขัน ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า

ทำไมโรงเรียนกวดวิชาดังๆทำไมรวยเอาๆ อาจารย์ดังๆ ของมหาลัยและโรงเรียนดังต่างก็มักจะออกไปสอนพิเศษกันมากมายที่โรงเรียนกวดวิชา มันมีนอกมีในอะไรกันนะ ที่ทำให้เด็กไม่สามารถเรียนรู้ได้อย่างพอเพียงในโรงเรียนได้?

สุดท้ายแล้ว การแก้ปัญหาเรื่องสอบเอนทรานซ์แบบเก่าที่ได้รับการยอมรับและใช้กันมานานนับครึ่งศตวรรษก็ยังมีปัญหาไม่มากเท่าระบบเอเน็ตโอเน็ตที่ยุ่งยากซับซ้อน จนทำให้เด็กนักเรียนได้งง! กันได้ทุกปี

แต่แล้ววิธีใหม่ก็ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาการที่เด็กต้องออกไปเรียนกวดวิชาเลย ทุกวันนี้เด็กไทยยังเสียเงินให้กับกิจกรรมเรียนพิเศษมากมายมหาศาลเหมือนเดิมแถมมากขึ้นกว่าระบบเอนทรานซ์เดิมเดิมด้วย

ผมคิดถึงระบบเอนทรานซ์สมัยก่อนจัง สงสารเด็กๆสมัยนี้ที่ต้องลำบากลำบนกันตลอด3ปีเป็นอย่างน้อย สำหรับระบบเอนทรานซ์สมัยก่อนผมคิดว่า ดีมากนะ และแฟร์ด้วย เท่าที่จำได้ไม่เคยมีเด็กนักเรียนออกมาบ่นระบบเอนทรานซ์แบบเก่าเลย ทุกคนยอมรับกติกานี้เสมอภาคกัน จะมีบ้างก็ตรงทำไมข้อสอบมันยากฉิบ! เท่านั้น

ระบบเอนทรานซ์เก่า ข้อดีคือ เปิดโอกาสให้เด็กทุกคนมีโอกาสกลับตัวกลับใจให้หันมาเดินทางถูก เช่น ตอน ม.4 ม.5 อาจจะขี้เกียจเรียน เรียนๆเล่นๆ แต่พอมาคิดได้ตอนม.6 กลับตัวกลับใจเสียใหม่ก็ยังมีโอกาสเอนทรานซ์ติดหมอ ติดวิศวะ หรือคณะยากๆได้มากมาย

ผมมีเพื่อนฝูงหลายคนก็เคยเป็นแบบองคุลีมาล คือแบบฉลาดแต่ขี้เกียจในตอนต้น แต่ก็กลับตัวขยันได้ทัน แม้จะเรียนในโรงเรียนคะแนนลุ่มๆดอนๆ แค่พอผ่าน แต่ก็สอบเข้าคณะดีๆได้หลายคน อาจไม่ถึงกับได้หมอ หรือวิศวะ แต่พวกสถาปัตย์ บัญชี นี่เห็นมาเยอะ (แถมหลายคนก็ไม่ได้ไปเรียนกวดวิชาเลย แต่กรณีนี้ต้องขยันอย่างสม่ำเสมอเป๋นส่วนใหญ่ตั้งแต่ต้น)

ที่จริงทำไมไม่ปรับปรุงการสอนในโรงเรียนให้เด็กได้เก่งให้เหมือนโรงเรียนกวดวิชา?

ระบบเอนทรานซ์เก่า หากคุณได้เกรดเฉลี่ยในโรงเรียนแค่พอผ่าน เช่นได้เกรด1ทุกวิชา คุณก็ยังสามารถเอนทรานซ์ได้เท่าที่ใจคุณอยาก ไม่มีการจำกัดสิทธิแต่อย่างใด หรือเรียนสายศิลป์ อยากจะไปสอบหมอก็มีสิทธิสอบได้เช่นกัน ขึ้นอยู่กับว่า คุณเก่งจริงหรือเปล่าเท่านั้น? เรียกได้ว่าระบบเอนทรานซ์เปิดโอกาสให้คุณแก้ตัวกลับใจได้ใหม่มากกว่า

(ระบบเอนทรานซ์เก่า สมัยผมเด็กๆ นักเรียนสามารถเลือกคณะได้มากถึง6คณะ และสถาบันได้มากถึง6สถาบัน โดยไม่ซ้ำกันได้)

เท่าที่รู้นะ ระบบใหม่สร้างความลำบากให้เด็กทุกปี แทนที่วัยมัธยมปลายจะเป็นวัยที่สร้างสมมิตรภาพกับเพื่อนๆ และหาความสนุกสนานตามประสาวัยรุ่น กลับถูกระบบบังคับให้ต้องเครียดไปทุกปี แถมหากเด็กพลาดเก็บคะแนนตอนต้น ก็ยากที่จะกลับใจแก้ตัวใหม่ตอนบั้นปลาย สู้สมัยเอนทรานซ์เก่าไม่ได้เลย ใครใคร่สอบเชิญตามสบาย แฟร์ๆดี

ระบบใหม่มันยุ่งตั้งแต่เรื่องการสมัครยันเรื่องประกาศผล เพราะคนที่ควรได้กลับหลุดเฉย คนที่ไม่เก่งกลับเข้าได้ แบบการตรวจการคัดเลือกก็มีจุดบกพร่องมากมาย วุ่นวายทุกปี

สมัยระบบเอนทรานซ์เก่านะ โรงเรียนของผมไปซื้อใบสมัครมาให้นักเรียนกรอกถึงที่ พอจ่ายเงินไป โรงเรียนก็ไปยิ่นใบสมัครให้นักเรียนที่ทบวงทีเดียวพร้อมกันทั้งโรงเรียน ไร้ปัญหา นักเรียนไม่ต้องไปสมัครเองเลย สบายจะตาย แถมไม่มีตกหล่นเหมือนสมัยนี้ ที่เชื่อเทคโนโลยีมากเกินไป พอเทคโนโลยีผิดพลาดก็จนปัญญาจัดการแก้ปัญหา โบ้ยกันไปมา เฮ้อ!สงสารเด็กไทยจัง

ประเทศที่เจริญแล้วอย่างญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เขาก็ยังใช้ระบบเอนทรานซ์แบบเดิมๆ ตัดสินกันทีเดียวไปเลย ไม่ต้องมาสะสมคะแนนโน่นนี่ให้งง ให้ปวดหัว !!

เขาไม่เห็นวุ่นวายเจือกแบบรัฐบาลไทยเลย ที่สรรหาความยุ่งยากยิ่งกว่าเดิมมาแทนที่ระบบเอนทรานซ์

ถ้าถามว่า ระบบโอเน็ต เอเน็ต แอดมิตชัน เริ่มสมัยรัฐบาลไหน ?

ตอบว่า ก็สมัยรัฐบาลทักษิณไงครับ ยิ่งทำให้มันยุ่งยกซับซ้อนมากเท่าไหร่ แม่งก็ยิ่งโกงกินกันได้มากขึ้นนั่นแหละ

------------

ระบบเอนทรานซ์เก่าเป็นยังไง ?

1. สอบครั้งเดียว ไม่ต้องเอาคะแนนในโรงเรียนมายุ่งเกี่ยว ตัดปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ว่าแต่ละโรงเรียนมีมาตรฐานการให้คะแนนและข้อสอบที่แตกต่างกัน

2. เอนทรานซ์ ซื้อใบสมัครใบเดียว เลือกได้ทุกมหาวิทยาลัยรัฐและทุกคณะทั่วประเทศ

3. สอบวิชาสามัญครั้งเดียว ไม่ต้องไปสอบหลายครั้งหลายหน ถ้าใครสมัครคณะที่ต้องใช้วิชาเฉพาะทางก็ไปสอบวิชาความถนัดต่างหาก

4. คะแนนออกมายุติธรรม สามารถจัดอันดับให้นักเรียนไปติดมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ได้ตามการเรียงคะแนนและอันดับที่นักเรียนเลือก

5. ระบบเอนทรานซ์ไม่สับสน ไม่วุ่นวาย ไม่สิ้นเปลือง ไม่ต้องเดินทางบ่อย

6. ประหยัดเงิน เพราะสมัครครั้งเดียวแต่สมัครได้ทุกมหาวิทยาลัยได้ทั่วประเทศโดยอัตโนมัติ

เพราะนักเรียนรุ่นใหม่ ไม่เคยผ่านระบบเอนทรานซ์ จึงไม่รู้ว่าระบบเอนทรานซ์นี่แหละเพอร์เฟคที่สุดแล้ว

---------------

ไม่ใช่เฉพาะระบบเอนทรานซ์อย่างเดียวที่ไม่น่ายกเลิก ผมว่าระบบสอบเข้าโรงเรียนมัธยมของไทยแบบเก่าก็ไม่น่ายกเลิก แทนที่โรงเรียนดังๆ จะมีนักเรียนดีๆ เรียน เดี๋ยวนี้นักเรียนกุ๊ยๆอ่อนๆก็มีสิทธิเข้าไปเรียน เพราะมีการจับฉลากนี่แหล่ะ

เมื่อก่อนใครเรียนบดินทร์(แท้) เรียนสตรีวิทย์(แท้) เรียนสวนกุหลาบ(แท้) จะภูมิใจว่าเรานี่เก่งนะ แต่เดี๋ยวนี้ความภูมิใจมันไม่เหมือนเดิมแล้ว เพราะโรงเรียนเหล่านี้ ไม่ใช่มีแต่คนเก่งเสมอไปอีกแล้ว

ระบบการศึกษาไทยกลายเป็นว่า ให้โอกาสเด็กไม่เก่งมากกว่าเด็กเก่งไปเสียแล้วทำให้ชาติไทยถึงได้เจริญลงทุกวัน ซึ่งตอนนี้ถ้านับในกรุงเทพฯ และปริมณฑลแล้ว

มาตรฐานของโรงเรียนรัฐก็ใกล้เคียงกันมากขึ้น แต่ค่านิยมที่อยากเข้าโรงเรียนดังออริจิน่อนแท้ๆ ก็ยังมีอยู่ ฉะนั้น !! ถ้าใครอยากได้เรียนโรงเรียนดังออริจิน่อน ก็ควรสอบคัดเลือกเท่านั้น แต่ถ้าเป็นแบบสาขา1 สาขา2 สาขา3 อะไรนั้น จะมีทั้งสอบทั้งเส้นทั้งจับสลากเข้า ผมก็ไม่ได้คัดค้านอะไร

เรื่องอื่นที่น่าจะไปคิดแก้ปัญหามากว่านี้ รัฐไม่ไปคิด ไอ้เรื่องที่แต่ก่อนแต่ไรเขาก็ยอมรับกันได้นมนาน ก็มาแก้ให้เป็นปัญหา นี่แหล่ะ นักการเมืองไทย

ถ้าน้องๆหลานๆที่กำลังจะสอบเอนทรานซ์ในอนาคต หากได้มีโอกาสมาอ่านบทความเรื่องนี้

ผมขอแนะนำให้มาชุมนุมเรียกร้องรัฐบาลยกเลิกไอ้ระบบเอเน็ตโอเน็ตบ้าๆ นี่เถอะ กลับมาใช้ระบบเอนทรานซ์แบบเดิมๆ ดีกว่านะ เชื่อผมเถอะ แล้วจะไม่ผิดหวัง

หรือน่าจะให้เด็กม.ปลายทั้งประเทศ มาลงคะแนนเสียงทำประชามติไปเลยว่า จะเอาระบบสอบแบบไหนดี ?

-----------------

ล่าสุด ปี 2559 กระทรวงและทบวงมหาวิทยาลัย ก็ปรับปรุงระบบแอดมิตชันอีกแล้ว คือให้สอบวิชาสามัญด้วยข้อสอบกลางครั้งเดียว แล้วให้นักเรียนเอาคะแนนไปยื่นสมัครสอบในแต่ละมหาวิทยาลัยเอาเอง

ซึ่งผมว่า ระบบใหม่ปี 59 นี้ก็เริ่มกลับมาใกล้เคียงสู้ระบบเอนทรานซ์ แต่ก็ยังมีข้อเสียอยู่ดี คือนักเรียนก็ต้องไปสมัครในแตละมหาวิทยาลัยเอาเอง ซึ่งเปลืองค่าใช้จ่ายซ้ำซ้อน

ต่างจากระบบเอนทรานซ์ เมื่อสอบเสร็จรู้คะแนนแล้ว ระบบเอนทรานซ์จะจัดสรรตามระดับคะแนนไปตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ทั่วประเทศ และตามการเลือกคณะและแมาวิทยาลัยที่นักเรียนเลือกไว้แล้ เรียงตามลำดับตั้งแต่อันดับ 1 ถึง 6

ระบบเอนเทรานซ์ช่วยให้นักเรียนที่ยากจนมีโอกาสเท่าเทียมมากขึ้นกับนักเรียนที่มีเงิน คือจ่ายเงินเท่ากันในราคาไม่แพง และเลือกมหาวิทยาลัยและคณะได้ทุกแห่งในประเทศ

ระบบเอนทรานซ์ช่วยลดค่าใช้จ่ายให้นักเรียน ช่วยลดปัญหารถติด ช่วยลดปัญหาความไม่เท่าเทียมกันของฐานะนักเรียนได้เป็นอย่างดี 



วันอาทิตย์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ทุนนิยมบริโภคหลอกใช้ชาวนาไทย



.
วันนี้เผอิญได้ดูช่องทีวีไทย รายการทีวีสาธารณะ ได้นำสกู้ปเรื่องชาวนาขายข้าวมาให้ดู ซึ่งผมดูแล้วก็สงสารชาวนาไทยซ้ำซากอีกแล้ว ก่อนอื่นขอเล่าให้ฟังคร่าวๆนะครับ


สกู้ปชาวนาได้พาเราไปพบกับ เกษตรกร2คน(น่าจะเป็นสามีภรรยากัน)ที่กำลังนั่งดูรถเกี่ยวข้าวขนาดใหญ่ (จ้างเขาเกี่ยว) กำลังเกี่ยวข้าวในนาของพวกเขา


นางน้อง แซ่เฮง และนายสยามประสาท สัมฤทธิ์ เกษตรกรจังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งชาวนาทั้งสองกำลังนั่งรอผลผลิตจากรถเกี่ยวที่กำลังทำงานอยู่ เพื่อรอเวลาจะได้นำข้าวไปขาย ทั้งสองยังไม่รู้ว่าจะขายได้เท่าไหร่ แต่นางน้อง แซ่เฮงก็ยังหวังว่าน่าจะเหลือบ้าง หลังจากทำนาตลอดช่วง3เดือนที่ผ่านมา


และหลังจากเกี่ยวข้าวเสร็จ ทั้งสองก็เดินทางไปขายข้าวที่โรงสี และได้รับเงินมาทันทีจากการขายเป็นเงินทั้งสิ้น 148,200บาท

และสิ่งแรกที่นางน้องต้องการจะทำหลังจากได้เงินค่าขายข้าวก็คือ นำเงินจากการขายข้าวไปใช้หนี้สินที่กู้มาใช้ทำนาที่ผ่านมา


แต่พอทั้งคู่ทั้งนางน้อง และนายสยามประสาท นำเงินทั้งหมดไปใช้หนี้ต่างๆเช่น ใช้หนี้เก่าน้ำท่วมคราวที่แล้ว , ค่าปรับดิน(ค่ารถไถ) , ค่าปุ๋ยค่ายา , ค่าจ้างคนงานทั้งหว่านทั้งพ่นยาทั้งใส่ปุ๋ย , ค่ารถเกี่ยว ฯลฯ และอื่นๆอีกจิปาถะ ทางรายการไม่ได้บอกละเอียดไว้


สุดท้ายพอใช้หนี้ทุกเจ้าหมด ชาวนาทั้งสองคนเหลือเงินกลับบ้านแค่25บาทเท่านั้น!?

นางน้องบอกนี่ยังโชคดีนะที่ยังเหลือ บางปีขาดทุนด้วยซ้ำ แล้วฤดูกาลปลูกครั้งหน้า เธอก็จะเริ่มต้นกู้เงินมาทำนาในวงจรเหมือนเดิมต่อไป


ทั้งหมดที่ผมเล่ามาจากสกู๊ปชาวนาเรื่องนี้ คือตัวอย่างที่พบเห็นได้ทั่วไปสำหรับชาวนาไทย ที่ทำนาเพื่อขายข้าวไปใช้หนี้ เพราะอะไรจึงเป็นวงจรอุบาทว์แบบนี้ ซ้ำซากมาหลายสิบปี?


ผมได้เคยเขียนเกี่ยวกับชาวนามาครั้งนึงแล้ว(คลิกอ่าน ความล้มเหลวของชาวนาไทยจากแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติฉบับที่1) แต่ขอสรุปง่ายๆก็คือ


ระบบทุนนิยมหลอกให้เราทุกคนเชื่อว่าเงินคือสิ่งที่สำคัญที่สุด ทุกคนเลยมุ่งแสวงหาเงิน ชาวนาก็เช่นกัน อยากได้เงิน ยิ่งได้เงินมากก็ยิ่งดี ทำให้คิดว่าต้องขายข้าวให้มากขึ้นเพื่อจะได้เงินมากขึ้น


ทีนี้พอต้องการได้เงินมากๆ ก็เลยคิดเพิ่มจำนวนที่นาให้มาก ยิ่งมากยิ่งดี ผลผลิตต่อไร่ยิ่งสูงยิ่งดี คิดว่าเมื่อได้ผลผลิตมากก็ต้องได้เงินมากตามลำดับ


หลายคนหากมีที่มากก็ปลูกข้าวมากให้เต็มพื้นที่ บางคนมีที่นาน้อยก็ไปขอเช่าคนอื่นเพิ่ม ทีนี้พอเพิ่มจำนวนไร่นามาก ก็ทำภายในครอบครัวไม่ไหว เลยต้องจ้างคนมาช่วย อยากให้ได้ผลผลิตมาก ก็ต้องใส่ปุ๋ย ใส่ยาฆ่าแมลง


สุดท้ายก็จ้างมันหมดทุกขั้นตอน ต้นทุนสูงขึ้น พอเอาไปขาย หักต้นทุนแล้ว ก็ไม่เหลืออะไร


การคิดทำเพื่อขายเอาเงิน แต่กลับต้องเป็นหนี้ ขาดทุน ยากจน เพราะชาวนาหรือเกษตรกรส่วนใหญ่ไล่ตามกระแสทุนนิยม ไล่ตามเงิน? ที่ได้หลอกให้แสวงหาเงินก่อนที่จะหารับประทาน

ที่จริงหากชาวนาคิดทำเพื่อกินก่อน เหลือแล้วค่อยขาย คือคิดย้อนกลับวิธีคิดใหม่ แล้วก็จะเหลือกินเหลือใช้ในที่สุด ซึ่งเกษตรทฤษฎีใหม่ของในหลวงตอบโจทย์ปัญหาวงจรจนซ้ำซากนี้ได้
.
แนวคิดเดิมๆ
ปลูกมากเชิงเดี่ยว-->พึ่งพาปัจจัยภายนอกเป็นหลัก-->ขายผลผลิตหมดหน้าตักแบบไม่เหลือเมล็ดพันธุ์และอาหาร-->ได้เงินมา--->ซื้ออาหาร

แนวคิดทฤษฎีใหม่พอเพียง
ปลูกหลากหลายผสมผสาน-->พึ่งพาตนเอง-->ผลผลิตเน้นบริโภคในครัวเรือน-->เหลือแล้วค่อยขายได้เงิน



ซึ่งขณะนี้มีเกษตรกรตัวอย่างแนวคิดทฤษฎีใหม่ที่ประสบความสำเร็จมีมากมายหลายคน เช่นที่ดังที่สุดก็เช่น ผู้ใหญ่วิบูลย์ เข็มเฉลิม เกษตรกรที่เคยมีไร่มีนานับร้อยๆไร่ แต่ต้องยากจนและเป็นหนี้ท่วมหัว แต่เมือเปลี่ยนแนวคิดใหม่ ทำเพื่อกินเหลือค่อยขาย ตอนนี้ผู้ใหญ่มีที่ดินเกษตรแค่9 ไร่ แต่ตอนนี้กลับร่ำรวยได้ เป็นต้น

****************************************


เป้าหมายสูงสุดของโครงการในหลวงไม่ใช่เรื่องแก้ปัญหาความยากจน?

ผมได้ฟังดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา เล่าเรื่องการทำงานของในหลวงเรื่องหนึ่งว่า โดยปกติในหลวงจะทรงเรียกข้าราชการที่ทำงานกับพระองค์ มาประชุมวางแผนงานต่างๆ


ในหลวงจะทรงเรียกข้าราชการเหล่านี้มาเข้าเฝ้าประมาณช่วงเย็น4-5โมงเย็น ซึ่งหนึ่งในนั้นก็จะมีดร.สุเมธ ร่วมอยู่ด้วย ซึ่งปกติทุกๆครั้งที่ในหลวงทรงงาน ในหลวงจะไม่ได้ประทับบนพระราชอาสน์(เก้าอี้ประทับ) แต่ในหลวงจะทรงประทับนั่งพับเพียบที่พื้น โดยมีแผนที่หรือเอกสารต่างๆวางอยู่ที่พื้น


และมีอยู่ครั้งหนึ่ง ในหลวงทรงหันไปที่พระราชอาสน์ แล้วทรงตรัสถามขึ้นว่า


"ทำไม พระมหากษัตริย์ต้องทำงานเหล่านี้ด้วย? ทั้งๆที่พระมหากษัตริย์ไม่ได้มีหน้าที่เหล่านี้สักหน่อย รัฐธรรมนูญก็ไม่ได้เขียนกำหนดไว้ให้ทำ? ทำไปเพื่ออะไร" ในหลวงท่านทรงกำลังถามพระมหากษัตริย์ซึ่งแทนด้วยที่ประทับพระราชอาสน์

ข้าราชการที่กำลังเข้าเฝ้าถวายงานอยู่ ต่าง งง !


ในหลวงทรงทรงตรัส ว่า "ไม่ใช่เพื่อแก้ปัญหาความยากจนหรอก แต่ทำเพื่อรักษาประชาธิปไตยไทยให้อยู่รอดได้ต่างหาก เพราะหากประชาชนยังยากจน ประชาธิปไตยก็ยากที่จะเกิดขึ้นได้ เพราะหากประชาชนยังยากจน ยังอดอยาก พอใครเขาเอาเงินมาให้สัก500 ก็จะกาให้เขาแล้ว ประชาธิปไตยจึงไม่เกิดขึ้นอย่างแท้จริง"

.
ดูคลิปรายการแผ่นดินไท ตอน แผ่นดินวิกฤติจากทุนนิยมเงินตรา
.
.


วันศุกร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ความหวาดกลัวในใจทักษิณ



หลังจากการโฟนอินล่าสุดมาที่งานเลี้ยงพรรคเพื่อไทยที่รีสอร์ทเขาใหญ่ ทำให้เกิดวิวาทะระหว่างเทพเทือกและเทพไทกับลิ่วล้อของทักษิณ

ประเด็นนึงที่ผมอยากจะชี้ให้เห็นถึงความหวาดกลัวในใจทักษิณก็คือ

"บอกประชาชนว่าผมพร้อม ถ้าประชาชนพร้อม ผมพร้อมจะกลับไปเป็นนายกฯให้ประชาชนอีกครั้งหนึ่ง ถ้าประชาขนพร้อมเมื่อไรผมก็พร้อมเมื่อนั้น ถ้าประชาชนยอมพ่ายแพ้ ก็ถือว่าผมหมดหน้าที่ ถึงแม้ผมจะต้องอยู่ต่างประเทศอีกนาน แต่ผมจะไม่ยอมตายในต่างประเทศแน่นอน อย่างมากที่สุด ผมสู้ไม่ได้ ผมก็จะแอบลักลอบเข้าไปตายในอีสาน ถ้าสักวันหนึ่งพี่น้องประชาชนบอกว่าบ้านเมืองต้องการผม ผมก็จะกลับไปทำหน้าที่" (สงสัยจังว่าทำไมทักษิณไม่พูดว่าจะไปตายที่ภาคเหนือบ้านเกิด!?)


ประยคนี้ได้แสดงให้เห็นว่าทักษิณเริ่มกลัวว่าจะไม่ได้กลับไทยอีก อาจต้องตายอย่างโดดเดี่ยวในต่างประเทศ ด้วยเหตุนี้ จึงพยายามปลุกระดมเหล่าผู้สนับสนุนทุกกลุ่มให้ต่อสู้ช่วยกันนำเขากลับไทยให้ได้ เพราะสถานการณ์ตอนนี้ของกล่มผู้สนับสนุนทักษิณเริ่มมีจิตใจระส่ำระส่ายและไม่มั่นใจกระแสทักษิณมากขึ้นเรื่อยๆ แถมมีการแตกแยกกันหลายครั้ง

เพราะหลังจากการเลือกตั้งซ่อมล่าสุด พรรคเพื่อแม้วไม่ค่อยได้รับความนิยมจากประชาชนมากเท่าเดิม อีกทั้งโฟนอินคราวที่แล้วทักษิณเพิ่งบ่นว่า จนลง แถมลำบากจากการต้องใช้เงินดำรงชีวิตในต่างแดนปีละประมาณ180ล้านบาทต่อปี และออกตัวว่าไม่มีเงินจะมาสนับสนุนพรรคและกลุ่มผู้สนับสนุนได้อีก
.
ซึ่งพอทักษิณประกาศว่าจนลง สถานการณ์ในพรรคเริ่มปั่นป่วน ทำท่าจะแตกแยกหนักขึ้นอีก และมีแนวโน้มพวกสส.อาจจะชิ่งจากอีก หากมีการเลือกตั้งคราวหน้า เลยต้องรีบกลับมาแก้เกี้ยวโฟนอินใหม่ บอกว่า "ผมยังมีเงินอยู่ อังกฤษไม่ได้ยึดเงินผม เงินที่ขายแมนซิตี้ก็ยังไม่ได้ใช้ พี่น้องไม่ต้องเป็นห่วง มีปัญหาอะไรโทรมาปรึกษาผมได้ทันที!"
.
พูดกลับไปกลับมาอีกแล้วนายกทักษิณ สงสัยกลัวเงินไม่มี ลิ่วล้อจะหายหมด


การที่ทักษิณพูดว่าจะกลับมาเป็นนายกฯอีกครั้งนั้น หากมองให้ดีก็จะเห็นว่า การที่สุเทพ เทือกกล่าวหาทักษิณอยากเป็นประธานาธิบดีนั้น ก็ดูน่าคิดอยู่เหมือนกัน

เพราะทักษิณอยู่ในสถานะนักโทษที่กำลังหนีคดี ถ้านักโทษหนีคดี ไม่ยอมรับคำตัดสินศาลของประเทศนั้นๆ ไม่ยอมรับโทษ แต่คิดจะกลับมาเป็นใหญ่อีกครั้ง ถ้าให้นักโทษมาเป็นนายกฯได้ สงสัยคงต้องไม่ใช่ราชอาณาจักรไทยแน่นอน

ที่สำคัญทักษิณเคยยกหางตัวเองเปรียบตัวเองเป็นเหมือนอดีตประธานาธิบดีอาฟริกาใต้นายเนลสัน แมนเดลลา ที่เคยติดคุกหลายสิบปีจากคดีทางการเมือง แต่สามารถได้กลับมาเป็นประธานาธิบดีได้ในที่สุด ทักษิณคงลืมไปว่า นายแมนเดลลานั้น ไม่ได้หลบซ่อนทรัพย์สินไว้ต่างแดนเป็นแสนล้านเหมือนทักษิณ หรือแมนเดลลาไม่ได้หนีคดีและยอมติดคุกในคดีทางการเมืองแท้ๆ

ไม่ใช่คดีคอรัปชั่นทั้งทางตรงทางอ้อมแบบทักษิณ หรือหนีคดีทางจริยธรรมของนักการเมืองแบบทักษิณ ที่สำคัญนายเนลสัน ไม่ใช่นายกฯอาฟริกาใต้นะ แต่เขาเป็นประธานาธิบดี?


ฉะนั้นเมื่อทักษิณประกาศต้องกลับไทยให้ได้ ก็มีลิ่วล้อที่รีบรับลูกทันที ที่ชื่อเฉลิม อย่บำรุงเลยประกาศจะหาเสียงครั้งหน้าด้วยนโยบายนิรโทษกรรมให้ทักษิณทุกคดี ก็เพื่อทักษิณจะได้กลับมาไทยอีกครั้ง จะได้มาเป็นปธน.เอ้ย! มาเป็นนายกฯไทยอีกครั้ง และจะได้ไม่ต้องตายต่างแดน


ก่อนหน้านี้ การโฟนอินเข้ารายการความจริงวันนี้ทางDTV ทักษิณพูดอยู่ประโยคนึง ที่ขอนำมาให้อ่านอีกครั้งคือ

"ขณะนี้ชีวิตร่อนเร่ พเนจร เหมือนนกขมิ้น ไม่เหมือนตอนที่อยู่เมืองไทยเป็นนายกรัฐมนตรี มีความสุข ได้เห็นทุกข์ของพี่น้องประชาชนและได้ช่วยเหลือ โดยยอมรับว่าเหงา เหมือนกับคนที่พลัดพรากจากครอบครัว ลูกๆ ก็นานๆ มาเยื่ยม เนื่องจากตนเดินทางบ่อย ส่วนสุขภาพร่างกายก็แข็งแรงดี จิตใจต้องอดทนและเข้มแข็ง เพื่อต่อสู้ความไม่เป็นธรรม ที่ผ่านมา ตนโชคดีที่ได้ฝึกนั่งสมาธิและเรียนรู้จากพระ ทำให้จิตเบาและว่าง เป็นสมาธิ โดยพยายามทำให้ได้ทุกวัน"



จากข้อความที่เน้นสีแดงนั้น ทักษิณชอบอ้างว่า ฝึกสมาธิ เรียนรู้ธรรม จิตใจเบาและว่าง แต่นั่นเป็นเพียงคำโอ้อวดที่หาสาระความจริงไม่ได้ เพราะคนที่มีธรรมในใจ มีจิตใจที่ว่าง ก็ย่อมหมายถึงไม่มีความอาฆาตแค้น ไม่มีความคิดจองเวรจองกรรม ละทิ้งความโกรธได้พอสมควร

.

แต่จากการโฟนอินที่เขาใหญ่ ทักษิณพูดอยู่ประโยคนึงคือ

.

"ขอยืนยันอีกครั้งไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นผมสู้ไม่ถอยครับ ผมเป็นคนที่ยิ่งโดนยิ่งสู้ ถ้าพูดกันดีๆให้ถอย ผมก็จะถอยนะ เต็มใจถอย แต่ยิ่งโดนยิ่งสู้ แล้วถ้าโดนอีกก็จะสุ้หนักขึ้นไปอีก ถ้าเล่นผมหนักขึ้นอีกผมก็จะเล่นหนักขึ้นอีก ผมก็ไม่กลัว แต่ถ้าเลิกเล่นกับผม คุยกับผมดีๆ ผมก็คุยทุกเรื่อง นี่คือนิสัยผม"


เป็นไงครับ คนเราคุยโอ้อวดว่ามีธรรม มีการฝึกปฏิบัติธรรม จะพูดจาเช่นนี้หรือครับ หรือจะมีให้ดูอีกประโยคนึง ก็คือ


"ถ้าผมตายอย่าคิดว่าปัญหาจะหยุด อย่าคิดว่าถ้าส่งคนมาฆ่าผมจะจบ ถ้าผมตายปัญหาจะยิ่งยาก"


ทั้งหมดที่ยกตัวอย่างให้ดูหลายๆประโยค ต่างได้แสดงให้เห็นว่า ทักษิณไม่ได้มีจิตใจเสียสละเพื่อบ้านเมืองเลย แต่ต้องการเอาชนะเพื่อตัวเองมากกว่า เพราะทั้งเสี้ยมทั้งยุยงเหล่าผู้สนับสนุนไม่ให้หยุดต่อสู้เพื่อตัวเอง


.

ซึ่งที่จริงทักษิณจะสู้ก็ไม่ผิด แต่ผมไม่ชอบตรงที่ ทักษิณชอบอ้างว่าตัวเองปฏิบัติธรรม ไม่ยึดติด แต่มันก็แค่คำคุยโต เพราะทักษิณไม่เคยนับถือธรรมจริงๆเลย ดูจากเคยนับถือทั้งสันติอโสก ทั้งหลวงตามหาบัว แต่สุดท้ายก็ทะเลาะกับเขาหมด สุดท้ายไปพึ่งธรรมกาย แต่แท้จริงแล้ว ทักษิณทำไปเพื่อหาคะแนนเสียงทั้งนั้นไม่ได้จริงใจกับใครจริงๆเลย (ผมเคยเขียนเรื่องนี้ไว้แล้ว คลิกอ่านได้ ทักษิณใช้ศาสนาบังหน้า)

.

ทั้งหมดที่เล่ามา ดูเหมือนทักษิณเริ่มมีท่าทีที่แข็งกร้าวขึ้น ในความคิดเห็นส่วนตัวผม ท่าทีแข็งกร้าวนี้อาจเป็นการปิดบังความรู้สึกหวาดกลัวในใจตน ไม่ต้องการให้ลิ่วล้อระส่ำระสายแตกแยกในที่สุด จึงต้องพยายามโฟนอินต่อเนื่องเพื่อรักษาความั่นใจที่ลดถอยลงของกลุ่มผู้สนับสนุนตนเอง ความกลัวของทักษิณจึงได้แปรเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวมากขึ้น

.

นี่ก็อาจเป็นสัญญาณความพ่ายแพ้แล้วของทักษิณก็ได้ คำว่า "หมาจนตรอก" ที่ทักษิณเคยพูด ก็สื่อความหมายในทางพ่ายแพ้มาแล้ว เพราะหมาสุดท้ายแม้จะสู้แค่ไหน สุดท้ายก็ต้องตายเหมือนหมาข้างถนนอยู่ดี


**************************************



JAPAN BANS THAKSIN FROM ENTERING THE COUNTRY ?


หลังทักษิณโฟนอินล่าสุดไม่กี่วัน มีข่าวญี่ปุ่นห้ามทักษิณเข้าประเทศแล้ว ซึ่งเป็นคำพูดจากปากนายกฯอภิสิทธิ์เอง ว่าเพิ่งได้รับรายงายจากญี่ปุ่นมา ก่อนที่นายกฯอภิสิทธิ์จะออกเดินทางไปroad show ที่ญี่ปุ่น


"I already received reports that Japan has decided to ban Thaksin from entering the country," นายกฯอภิสิทธืให้สัมภาษณฺนักข่าวก่อนออกเดินทางไปญี่ปุ่น


ซึ่งผมก็ยังไม่แน่ใจว่าข่าวนี้มีผิดพลาดหรือไม่ แต่ผมได้อ่านจากสื่อเนชั่นและสื่อของมาเลย์และจีนหลายฉบับ เช่นเบอร์นามาของมาเลเซีย หรือ ซินหัวของจีน และเนชั่นของไทย


*******************************************


ทักษิณหลอกด่าลิ่วล้อ ? (แซวการเมือง)


จากการโฟนอินครั้งล่าสุด มีประโยคนึงที่ทักษิณพูด ก็คือ "พวกเราจะต้องเป็นเสือ ที่เวลาหิวจะนอน เวลาหมาหิวมันจะร้อง !? "


ทักษิณสอนลิ่วล้อให้เป็นเสือ ก็แสดงว่า ก่อนหน้านี้พวกล่วล้อคงเป็นหมาล่ะมั้ง ที่ชอบร้องหิวเงินๆ


และชอบกัดกันเพราะแบ่งอาหารได้ไม่ทั่วถึง (ฮิๆๆๆ)


*******************************************

ทักษิณหน้าเหมือนอาชญากรโรคจิต? จริงหรือ?

.

อันนี้ไม่ใช่บทความของผมหรอกครับ แต่ผมไปเสริ์ชเจอ เลยอยากแนะนำให้ไปอ่านดู คิดว่า รู้ไว้ใช้ว่า แล้วกัน ขำๆนะครับ


คลิกที่นี่เพื่อไปอ่านเรื่องนี้



**********************************

.

วันอาทิตย์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ประชาธิปไตยคือความไม่เท่าเทียม?






งงมั้ยครับ ชื่อบทความนี้ ที่ผมเขียนว่า "ประชาธิปไตยคือความไม่เท่าเทียม" นั้น หลายๆท่านคงงง เพราะอาจเคยได้ยินแต่ประชาธิปไตยทำให้คนเราเท่าเทียมกัน

ที่จริงที่ท่านผู้อ่านหลายคนเข้าใจก็ไม่ผิดครับ แต่ถูกแค่เพียงครึ่งเดียว เพราะประชาธิปไตยก็เป็นได้ทั้งสองความหมาย เอ้า! อย่าเพิ่งงงเพิ่มครับ เดี๋ยวผมกำลังจะอธิบาย

ที่ผมว่า "ประชาธิปไตยคือความไม่เท่าเทียม" นั้นก็หมายถึง ประชาธิปไตยคือระบอบที่เปิดโอกาสให้ทุกคนมีโอกาสได้ไม่เท่าเทียมกันอย่างเท่าเทียมกัน? หรือ เปิดโอกาสที่เท่าเทียมกันเพื่อสร้างความไม่เท่าเทียมกันได้ทุกคน ทีนี้พอเข้าใจขึ้นบ้างมั้ยครับ

สรุปง่ายๆก็คือ ความเท่าเทียมคือความไม่เท่าเทียม เอ้า! งงขึ้นหรือเปล่าครับ หรือจะอธิบายอีกอย่างคือ "ประชาธิปไตยคือความเท่าเทียมบนความไม่เท่าเทียม" ไงครับ

คือ เปิดโอกาสให้คุณได้ยกระดับทางสังคมได้ทุกคน แต่วงเล็บว่าต้องขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ะละคน (รวมถึงขึ้นอยู่กับโชคด้วย ซึ่งจะโชคจะดีหรือร้าย ก็ขึ้นอยู่กับกฎแห่งกรรมอีกที)

ทั้งหมดที่วกวนไปมานั้นอธิบายได้ว่า ระบอบประชาธิปไตยนั้นเปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถสร้างให้ตัวเองเปลี่ยนฐานะบทบาททางสังคมไปได้อย่างไม่มีขีดจำกัด โดยขึ้นอยู่กับความสามารถและโอกาสของแต่ละคน แต่ต้องอยู่บนกฏกติกาที่ถูกต้องของสังคมนั้นๆ ในที่นี้ก็น่าจะหมายถึงกฎหมายและจารีตประเพณีปฏิบัติของแต่ละสังคมที่ยึดถือปฏิบัติกัน
(ผลที่ได้ก็จะเกิดทั้งคนจน และคนรวยขึ้นในสังคม เป็นต้น ซึ่งสุดท้ายก็คือความไม่เท่าเทียมกันนั่นเอง)

เช่นคนจน หากมีความสามารถความฉลาดก็พ้นสภาพความยากจนได้ หรือคนจนหากขยันศึกษาเล่าเรียนก็สามารถกลายเป็นนายกรัฐมนตรีก็ได้

เช่นเดียวกัน คนรวยที่มีโอกาสและอำนาจทางสังคมมากกว่า ถ้าขี้เกียจ หรือโง่ ก็อาจกลายเป็นยาจกได้ หรือคนรวยหากไม่เคารพกฎหมายก็อาจติดคุกได้เช่นกัน

แต่ถ้าคนรวยหากจะติดคุก ก็อาจมีโอกาสที่จะหาทางรอดหนีคุกได้มากกว่าคนจน!? ฉะนั้นคนจนจึงมักแสวงหาความร่ำรวยก่อนเพื่อจะได้มีโอกาสและอำนาจเหมือนคนรวย

ประชาธิปไตยจึงเปิดโอกาสให้ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพในการแสวงหาความไม่เท่าเทียมกันได้อย่างเท่าเทียมกันนั่นเอง (หลักความไม่เสมอภาคบนความเสมอภาค)

แต่ก็มักมีจุดบกพร่องตรงที่การแสวงหาบางครั้งก็ก่อให้เกิดการเอาเปรียบสังคมและคนอื่นทั้งทางตรงทางอ้อมได้
.
เพราะประชาธิปไตยเปิดโอกาสให้ทุกคน จึงทำให้คนที่ฉลาดกว่า และมีอำนาจทางสังคมมากกว่าก็จะได้เปรียบมากกว่า จึงมีโอกาสมากกว่าคนที่ฉลาดน้อยกว่า และมีอำนาจทางสังคมด้อยกว่าตน

ตัวอย่างเช่น คนดัง คนรวย มีโอกาสได้แสดงความเห็นของตัวเองได้ง่ายและออกสู่สังคมได้ง่ายกว่า เช่นคนดังจะมีสื่อวิ่งไปเอาไมค์จ่อปากอย่างสม่ำเสมอเป็นต้น ในขณะที่คนจนและไม่มีชื่อเสียงก็ยากที่จะได้รับโอกาสเหล่านี้ คุณว่าจริงมั้ย?

ฉะนั้นหากเราใช้ประชาธิปไตยไม่ถูกต้อง หากคนฉลาดเอาเปรียบคนฉลาดน้อย คนรวยเอาเปรียบคนจน ผู้มีอำนาจเอาเปรียบคนไร้อำนาจ ประชาธิปไตยที่ผิดก็อาจจะนำมาซึ่งความวุ่นวายทางสังคมได้ เพราะประชาธิปไตยนั้นมีสองรูปแบบใหญ่คือ ประชาธิปไตยแบบอนาธิปไตย กับประชาธิปไตยแบบธรรมาธิปไตย

ประชาธิปไตยแบบอนาธิปไตยคือ อาศัยพวกมากลากไป หรือใช้เสียงส่วนใหญ่ลากไป โดยไม่สนใจความถูกต้องชอบธรรม เช่น นักการเมืองชนะการเลือกตั้งได้เสียงส่วนใหญ่มาสนับสนุน แล้วก็ใช้โอกาสนั้นหาประโยชน์ส่วนตัวอย่างผิดกฎหมาย แต่พอถูกกฎหมายจับได้ ก็จะอ้างว่าตัวเองถูกกลั่นแกล้ง และระบบยุติธรรมถูกแทรกแซงโดยไม่เคารพเสียงส่วนใหญ่ เป็นต้น

ส่วนประชาธิปไตยแบบธรรมาธิปไตย คือ ประชาธิปไตยที่ยึดถือความถูกต้องเป็นสำคัญยึดถือธรรมเป็นสิ่งสำคัญที่สุด สิ่งใดขัดหลักธรรม สิ่งนั้นย่อมนำความวิบัติมาสู่สังคม แม้จะมีจากเสียงข้างมากก็ตาม แต่หากเป็นเสียงข้างมากไร้คุณธรรม เสียงนั้นก็ไม่ใช่ประชาธิปไตย!

ฉะนั้นจึงขอฝากให้ท่านทั้งหลายลองคิดดู ว่า เรากำลังเป็นประชาธิปไตยแบบไหนอยู่ และเลือกได้ถูกต้องหรือยัง?
.
และหากใครเรียกร้องแต่ความเท่าเทียมกันหรือความเสมอภาคกันแต่เพียงอย่างเดียวแล้วล่ะก็ โปรดระวังให้ดีว่า อาจจะไม่ใช่ประชาธิปไตยแท้จริงได้ เพราะอาจเป็นคอมมิวนิสต์แอบแฝงก็ได้ครับ
.
(ประชาธิปไตยบนทุนนิยมฟุ้งเฟ้อ มักแบ่งแยกชนชั้นจากฐานะความร่ำรวย ช่องว่างทางสังคมและชนชั้นจึงมีมากขึ้น และคนจนก็ตกเป็นเหยื่อแรงงานทาสให้คนรวยรวยขึ้น ยิ่งคนรวยยิ่งรวย คนจนก็ยิ่งจนลง)
.
ประชาธิปไตยทุนนิยมบริโภคแบ่งชนชั้นกันที่ฐานะความร่ำรวย แต่สิ่งที่ควรพัฒนาประชาธิปไตยต่อไปคือ ทำอย่างไรให้ช่องว่างความแตกต่างทางโอกาสลดน้อยลง
.
**มหาเศรษฐีก็หนึ่งเสียง ยาจกก็หนึ่งเสียง ตอนนี้ประชาธิปไตยไทยยังเท่ากันเพียงแค่ตรงนี้เท่านั้น!? (ความเท่าเทียมกันจึงเริ่มต้นที่จุดนี้)


**********************************
.
ทุนนิยม หรือ สังคมนิยม สิ่งไหนดีกว่ากัน
.
ในส่วนของระบอบประชาธิปไตย มักจะมีเรื่องทุนนิยมเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเสมอ ต่างกับคอมมิวนิสต์ที่ใช้ระบบสังคมนิยม
.
ทุนนิยม มีข้อดีตรงเปิดโอกาสให้ทุกคนมีอิสระในการแสวงหารายได้ สังคมนิยม นำเงินจากภาษีของทุกคนต้องจ่ายในอัตราสูงเพื่อมาจุนเจือสังคม หรือที่เรียกว่า รัฐสวัสดิการ
คอมมิวนิสต์ นำเงินจากทุกคนมารวมไว้ที่รัฐ เพื่อปันส่วนกัน
.
แต่ทุนนิยมนั้น หากผู้คนต่างก็มุ่งแสวงหากันอย่างไร้ขอบเขตตักตวงกันเกินพอดี ก็อาจทำให้เกิดการเอาเปรียบแก่งแย่งขึ้นในสังคม ทำให้ผู้คนเกิดความเห็นแก่ตัวมากขึ้น จนถึงความฟุ้งเฟ้อมากขึ้นได้ จนในที่สุดก็จะนำมาซึ่งความล้มเหลวในที่สุด ซึ่งเรียกง่ายๆว่า "ทุนนิยมบริโภค" ที่มีมากไปด้วยความละโมบ
.
ฉะนั้นทั้งทุนนิยมและสังคมนิยมต่างก็มีข้อดีข้อเสียต่างกันไป กระแสโลกในปัจจุบันเราเริ่มรู้แล้วว่า ต้องนำทั้งสองระบบมาปรับใช้ร่วมกัน โดยนำข้อดีข้อเสียมาปรับใช้เพื่อเกิดประโยชน์ที่ดีกว่าเดิม
.
แต่หากต้องชั่งน้ำหนักประโยชน์ระหว่างทุนนิยมกับสังคมนิยมแล้ว ดูเหมือนว่า ทุนนิยมน่าจะได้เปรียบดีกว่าสังคมนิยมอยู่หน่อย ถ้าจะให้ดี ทุนนิยมที่ดีที่เหมาะที่สุด คือ
.
ทุนนิยมแห่งความพอดีพอเพียง ที่รู้จักเห็นใจผู้อื่นและช่วยเหลือสังคม นั่นเองครับ
.
******************************

ประชาธิปไตยได้ให้เสรีภาพแก่ประชาชน แต่เสรีภาพก็ย่อมมีขอบเขต หากใช้เสรีภาพเกินขอบเขต ก็จะนำความเดือดร้อนมาสู่สังคมเช่นกัน
.
การเป็นประชาชนในระบอบประชาธิปไตย จึงต้องมีทั้งสิทธิและหน้าที่ของพลเมือง แต่คนไทยชอบใช้แต่สิทธิ แต่ไม่ยอมทำหน้าที่พลเมือง ฉะนั้นถ้ามีแต่สิทธิแต่ไม่รู้จักหน้าที่พลเมือง ก็ไม่อาจเรียกได้ว่า ได้เป็นประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์ (การเสียภาษีอย่างถูกต้องก็เป็นหน้าที่ที่สำคัญอย่างหนึ่ง)

.
ประชาธิปไตยจึงไม่ได้มีแค่ การเลือกตั้ง เท่านั้น ตามที่คนไทยส่วนใหญ่ยังเข้าใจ โปรดทราบไว้ด้วย
.

คลิกอ่าน ประชาธิปไตยต้องมีชนชั้น 


ผู้ติดตาม