วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

เหตุผลที่ในหลวง ร.9 ไม่เสด็จต่างประเทศอีก





คุณเคยรู้มั้ย ทำไมในหลวงทรงไม่ได้เสด็จพระราชดำเนินประทับค้างแรมนอกประเทศไทยมานานกว่า 40 ปี แล้ว ?

ทั้งๆ ที่กษัตริย์พระองค์อื่นๆ ทั่วโลก ก็มักจะทรงเสด็จเยือนต่างประเทศอยู่เป็นประจำ

หลังจากที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงเสด็จพระราชดำเนินเยือนยุโรป สหรัฐอเมริกาและอีกหลายประเทศ ตามพระราชหน้าที่ของพระมหากษัตริย์ หลังจากขึ้นครองราชย์ ในการเสด็จพระราชดำเนินไปเจริญสัมพันธไมตรีกับนานาอารยะประเทศ

ซึ่งผลจากการเสด็จพระราชดำเนินเยือนนานาประเทศนั้น ก็ทำให้ชาวต่างชาติยอมรับพระปรีชาสามารถของในหลวง ซึ่งเป็นผลให้ชาวต่างชาติยอมรับคนไทยไปด้วย ทำให้เวลาคนไทยเดินทางไปในต่างประเทศก็ได้รับการยอมรับและให้เกียรติคนไทยมากขึ้น

แต่หลังจากพระองค์ทรงเสด็จพระราชดำเนินเยือนแคนาดาเมื่อปีพ.ศ.2510 ในหลวงก็ทรงไม่เสด็จออกจากประเทศไทยอีก (ยกเว้นครั้งเดียวเมื่อปีพ.ศ.2537 ที่ในหลวงเสด็จพระราชดำเนินเยือนลาว และประธานประเทศลาวทูลเชิญต่อหน้าพระพักตร์แบบไม่ได้แจ้งล่วงหน้า ทูลขอให้ในหลวงและสมเด็จพระนางเจ้าฯ ทรงพำนักที่ลาว 1 คืน)


ภาพการเสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งเมื่อกาลเวลาล่วงไป ๒๗ ปี นั่นก็คือ การเสด็จพระราชดำเนินเยือนสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงเป็นประเทศล่าสุด เมื่อวันที่ ๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๓๗ เพื่อทรงร่วมในพิธีเปิดสะพานมิตรภาพไทย - ลาว ที่จังหวัดหนองคาย และเพื่อทอดพระเนตรการดำเนินงานตามโครงการศูนย์พัฒนาและบริการด้านการเกษตรห้วยซอน - ห้วยซั้ว อันเป็นโครงการพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อจัดตั้งต้นแบบของการบูรณาการและเป็นศูนย์กลางแห่งการเรียนรู้แก่ประเทศลาว ซึ่งไม่เพียงแต่ประเทศลาวเท่านั้นแนวพระราชดำริที่เป็นองค์ความรู้และวิทยาการต่างๆ ในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและการพัฒนาชนบทยังเผยแพร่ไปยังประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ เช่น สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม สหภาพพม่า รวมทั้งแนวพระราชดำริ ในการปลูกหญ้าแฝกก็ได้รับการเผยแพร่ไปสู่หลายประเทศทั้งราชอาณาจักรภูฏาน และอีกหลายประเทศในทวีปแอฟริกา เช่น ราชอาณาจักรเลโซโท ก็นำแนวพระราชดำริดังกล่าวไปปรับใช้ในประเทศของตน

-----------

ซึ่งการที่ในหลวงไม่เสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศอีก สืบเนื่องย้อนไปถึงวันที่ในหลวงต้องทรงเสด็จกลับไปศึกษาต่อที่สวิสเซอร์แลนด์

ตามพระราชนิพนธ์บันทึกประจำวันบางส่วนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ระหว่างวันเสด็จฯจากสยามสู่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

"วันที่ 19 สิงหาคม 2489 วันนี้ถึงวันที่เราจะต้องจากไปแล้ว พอถึงเวลาก็ลงจากพระที่นั่งพร้อมกับแม่ ลาเจ้านายฝ่ายใน ณ พระที่นั่งชั้นล่างนั้นแล้ว ก็ไปยังวัดพระแก้วเพื่อนมัสการลาพระแก้วมรกตและพระภิกษุสงฆ์ ลาเจ้านายฝ่ายหน้า ลาข้าราชการทั้งไทยและฝรั่ง แล้วก็ไปขึ้นรถยนต์


พอรถแล่นออกไปได้ไม่ถึง 200 เมตร มีหญิงคนหนึ่งเข้ามาหยุดรถแล้วส่งกระป๋องให้เราคนละใบ ราชองครักษ์ไม่แน่ใจว่าจะมีอะไรอยู่ในนั้น บางทีจะเป็นลูกระเบิด! เมื่อมาเปิดดูภายหลังปรากฏว่าเป็นท๊อฟฟี่ที่อร่อยมาก

ตามถนนผู้คนช่างมากมายเสียจริงๆ ที่ถนนราชดำเนินกลาง ราษฎรเข้ามาใกล้จนชิดรถที่เรานั่ง


กลัวเหลือเกินว่าล้อรถของเราจะไปทับแข้งทับขาใครเข้าบ้าง รถแล่นฝ่าฝูงคนไปได้อย่างช้าที่สุด


ถึงวัดเบญจมบพิตร รถแล่นเร็วขึ้นได้บ้าง ตามทางที่ผ่านมา
ได้ยินเสียงใครคนหนึ่งร้องขึ้นมาดังๆว่า
“ในหลวง อย่าละทิ้งประชาชน”


อยากจะร้องบอกเขาลงไปว่า "ถ้าประชาชนไม่ “ทิ้ง” ข้าพเจ้า
แล้วข้าพเจ้าจะ “ละทิ้ง” อย่างไรได้ แต่รถวิ่งเร็วและเลยไปไกลเสียแล้ว…"




ด้วยเหตุนี้ หลังจากในหลวงทรงเสร็จสิ้นตามภารกิจตามหน้าที่ของพระมหากษัตริย์ในการเสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศเพื่อเจริญสัมพันธไมตรีแล้ว

พระองค์จึงทรงตั้งปณิธานว่าจะไม่เสด็จฯ จากประชาชนของพระองค์ไปที่ใดอีก..

คุณผู้อ่านลองนึกว่า ถ้าตัวเองเคยใช้ชีวิตและเรียนหนังสือในต่างประเทศมาตั้งแต่เด็ก ๆ จนกระทั่งเป็นหนุ่ม แต่จู่ ๆ ต้องตัดสินใจว่า หลังจากนี้ทั้งชีวิตไปจนวันตาย คุณจะไม่ออกไปต่างประเทศอีก หรือไปค้างอ้างแรมนอกแผ่นดินไทยอีกเลย คุณผู้อ่านคิดว่า คุณจะทำได้หรือไม่ ?

แต่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงตัดสินพระราชหฤทัยอย่างแน่วแน่ และทรงทำได้เพื่อพวกเราคนไทยครับ

---------------------

ในหลวงทรงอยู่เคียงข้างคนไทยเสมอมา

พ่อผมเคยเล่าให้ผมฟังว่า

ในภาวะภัยคอมมิวนิสต์คุกคามไทย ในช่วง 30 -50 ปีที่ผ่านมา คนไทยรบกันเอง ฆ่ากันเอง เพราะความเห็นต่างทางการเมือง ภัยคอมมิวนิสต์ก็มุ่งหมายล้มล้างสถาบันกษัตริย์

แต่ในหลวงก็ยังทรงเสด็จสู่ถิ่นทุรกันดารเพื่อทรงเยี่ยมเยียนราษฎรอย่างสม่ำเสมอ แม้กระทั่งบริเวณพื้นที่สีแดง ที่เต็มไปด้วยภยันอันตรายจากการรบสู้ของทหารไทยกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยก็ตาม

มีครั้งหนึ่ง ในวันที่ 20 กันยายน 2520 ในหลวงทรงเสด็จไปจังหวัดยะลา ในช่วงที่ภัยแบ่งแยกดินแดนยังคุกกรุ่นมาก ในหลวงทรงประทับอยู่บนศาลาที่ประทับ มีราษฎรทั้งไทยพุทธ และไทยมุสลิม ในท้องที่มาเข้าเฝ้ามากมาย

แต่ทันใดนั้น อยู่ๆ มีระเบิดตกลงไม่ไกลจากที่ประทับเท่าไหร่ ราษฎรต่างตกใจวิ่งหนีกันไปหมด แต่ในหลวงทรงอยู่ในที่ประทับอย่างสงบ ไม่มีพระอาการตระหนกตกใจแต่อย่างใด

แต่สักแป๊บ ราษฎรที่วิ่งหนีไป ต่างก็วิ่งกลับมาหาในหลวง ในหลวงทรงตรัสถามว่า "อ้าว พวกท่านวิ่งกลับกันมาทำไมล่ะ"

ราษฎรมุสลิมอาวุโสท่านนึงที่พูดไทยได้ ตอบว่า "ก็ในหลวงยังไม่หนี แล้วจะให้พวกเราหนีไปฝ่ายเดียวได้อย่างไร"

แล้วราษฎรหลายคนก็วิ่งกลับมา นั่งรายล้อมศาลาที่ประทับ เพื่อปกป้องในหลวงของพวกเขา แต่โชคดี ไม่มีเหตุการณ์รุนแรงใด ๆ เกิดขึ้นอีก

-------

หลังจากในหลวง ร.9 สวรรคต แล้ว ต่อมาผมได้ฟัง พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร ได้เล่าเรื่องนี้อีกครั้ง

ท่านเล่าว่า ในตอนนั้นท่านเป็นนายตำรวจราชองครักษ์ประจำพระองค์ และได้อยู่ในเหตุการณ์ระเบิดในวันนั้นด้วย

ท่านวสิษฐ บอกว่า ขนาดท่านเป็นตำรวจ ท่านยังรู้สึกกลัวมาก กลัวทั้งระเบิด และกลัวว่าในหลวงจะไม่ทรงปลอดภัย

แต่ในหลวง กลับไม่มีสีหน้าหรือท่าทางหวาดกลัวเลยแม้แต่นิดเดียว แถมยังเสด็จลงไปช่วยเหลือเจ้าหน้าที่เพื่อดูแลราษฎรว่า มีใครบาดเจ็บหรือไม่ พร้อมทั้งทรงปลอบใจราษฎรให้คลายวิตกหวาดกลัว

-----------

เก็บตก การก่อสร้างพระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ จ.นราธิวาส ใช้แรงงานอาสาสมัครจากพี่น้องชาวไทยมุสลิมเป็นส่วนใหญ่ในการก่อสร้าง โดยไม่ขอรับค่าแรงเลย ชาวบ้านในพื้นที่ต่างผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาช่วยสร้างพระตำหนักให้ในหลวงของพวกเขากันฟรีๆ

เพลงสรรเสริญพระบารมี เวอร์ชันภาษาอาหรับ ของพี่น้องไทยมุสลิม


คลิกอ่าน ไม่ธรรมดา กว่าพระองค์เจ้าอานันทมหิดลจะได้ขึ้นเป็นรัชกาลที่ 8


13 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ09 กุมภาพันธ์, 2555 09:49

    เราภูมิใจที่ได้เกิดมาบนผืนแผ่นดินไทย แผ่นดินที่มีพระมหากษัตริย์ทรงห่วงใยประชาชนอย่างแท้จริง ทรงทำทุกอย่างเพื่อคนไทย ละซึ่งความสุขส่วนพระองค์ ขอพระองค์ทรงพระเจริญ เรามิอาจทำสิ่งล้ำค่านี้ได้เท่าพระองค์ท่าน แต่เราจะขอทำความดีเพื่อพระองค์

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ03 มิถุนายน, 2555 20:46

    "ขอพระองค์ทรงพระเจริญ"

    เพิ่งได้อ่านบทความนี้เป็นครั้งแรก ขอบคุณมากที่นำเสนอ
    บทความสมบูรณ์ดีอยู่แล้ว ไม่มีอะไรต้องเพิ่มเติมเลย
    แต่วีดีโอประพาสอเมริกาทำไมดูได้ถึงแค่นาทีที่3:38เท่านั้น
    ดูต่อไม่ได้เลยค่ะ...
    k542

    ตอบลบ
  3. ไม่ระบุชื่อ03 มิถุนายน, 2555 22:06

    ดูได้แล้ว สวยงามมาก ขอบคุณค่ะ
    k542

    ตอบลบ
  4. ไม่ระบุชื่อ23 ตุลาคม, 2559 14:24

    ซาบซึ้งในความดีพร้อมของพระองค์อย่างหาที่สุดมิได้
    ข้าพเจ้าจะยึดพระราชดำรัสของพระองค์เป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต
    เพื่อตนเอง ครอบครัว ส่วนรวมและประเทศชาติ ตลอดไป

    ตอบลบ
  5. น้ำตาไหล(อีกแล้ว)

    ตอบลบ
  6. นำ้ตาไหลทุกครั่งไม่อยากให้เป็นความจริง

    ตอบลบ
  7. อ่านแล้วน้ำตาจะไหลท่านทรงอยู่เคียงข้างประชาชนทุกแห่งหนแม้จะพบพยันอันตราย พ่อก็ไม่เคยทิ้งประชาชน

    ตอบลบ
  8. จอยลี่ ภูเก็ต24 ตุลาคม, 2559 01:33

    ����ติดตามพระราชกรณียกิจ มาตลอด ข้าพเจ้าสำนึกในบุญคุณยิ่งนัก ตายกี่ชาติก็ไม่รู้จะตอบแทนพระองค์หมดไหม ข้าพเจ้าของตั้งจนเป็นคนดี ตามรอยพระบาทพ่อ เป็นการตอบแทน ������คิดถึง พ่อหลวง ที่สุด ����

    ตอบลบ
  9. น้้าใจพ่อยิ่งใหญ่ล้นแผ่นดิน น้ำตาลูกร่วงรินไม่ขาดสาย ซาบซึ้งกรุณาธิคุณไม่วาย ขอย่างกายรับใช้ไปเท่านาน

    ตอบลบ
  10. น้้าใจพ่อยิ่งใหญ่ล้นแผ่นดิน น้ำตาลูกร่วงรินไม่ขาดสาย ซาบซึ้งกรุณาธิคุณไม่วาย ขอย่างกายรับใช้ไปเท่านาน

    ตอบลบ
  11. ในหลวงรักประชาชน รักผืนแผ่นดินไทย ทรงเสียสละและมีพระเมตตาที่ยิ่งใหญ่หาที่เปรียบมิได้

    ตอบลบ
  12. ไม่อยากให้สิ่งที่ท่านทำมาตลอด 70 ปีนี้ หายไปตามกาลเวลา อยากให้ชลรุ่นหลังได้รู้จักท่าน ขอให้พ่อแม่ พี่น้อง ที่มีโอกาสได้รู้จักท่าน รู้เรื่องราวที่ท่านทำให้พวกเราชาวไทยช่วยกันเล่าขาล สอนลูกหลานให้สำนึกและเคารพท่านเหมือนพวกเรารุ่นนี้ได้รับเมตตาจากท่าน ขอให้ทุกครั้งที่เราคิดจ่ะทำความชั่ว จ่ะทำร้ายคนอื่น จ่ะทำร้ายประเทศชาติ หยุดสักนิด คิดถึงท่าน คิดถึงคำสอนของท่าน มองพระฉายาลักษณ์ท่าน ดิฉันเชื่อว่าท่านทั้งหลายจ่ะหยุดได้ และกลับมาเป็นคนดีได้

    ตอบลบ
  13. อ่านแล้วน้ำตาไหล

    ตอบลบ

ถ้าแสดงความเห็นตรงช่องนี้ผมจะได้อ่านทุกความเห็นครับ แต่ถ้าความเห็นไม่ขึ้นอาจเพราะระบบรอตรวจสแปม ต้องรอ1-2วัน / ใหม่ เมืองเอก kaeake@ymail.com


ผู้ติดตาม