วันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2551

ข้อเสียของการซื้อทองเพื่อเก็งกำไร









ประเทศไทยตอนนี้ประสบกับภาวะขาดดุลการค้าอย่างหนัก โดยเฉพาะจากการนำเข้าน้ำมันเพื่อใช้ในประเทศปีละหลายแสนล้านบาท


(โดยมีมูลค่าการนำเข้าพลังงานปี2551 ทั้งสิ้น 613,116 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการนำ เข้าน้ำมันดิบ 535,342 ล้านบาท มีมูลค่าเพิ่มขึ้น 66.5% ส่วนการส่งออกพลังงาน 6 เดือนแรก เพิ่มขึ้น 79.8% มีมูลค่า 162,791 ล้านบาท เป็นการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปมากที่สุด 129,035 ล้านบาท รองลงมาเป็นการส่งออกน้ำมันดิบ 32,542 ล้านบาท และที่เหลือเป็น การส่งออกไฟฟ้า 1,214 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม คาดว่าปริมาณการนำเข้าน้ำมันดิบตลอดทั้งปีนี้ จะมีมูลค่าประมาณ 1 ล้านล้านบาท หรือประมาณเกือบ 20% ของจีดีพี สูงขึ้นจากปีที่ผ่านมา ที่มีมูลค่า 879,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นเกือบ 15% โดยราคาใน ช่วงนี้แม้จะอยู่ในขาลง แต่ก็คาดว่าจะไม่ลดลง ต่ำกว่า 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และในช่วงปลายปีคาดว่าจะปรับสูงขึ้นอีกครั้ง เพราะเข้าสู่ฤดูหนาวที่จะมีปริมาณการใช้ดีเซลเพิ่มสูงขึ้น)



แน่นอนน้ำมันเป็นสิ่งจำเป็น ยากนักที่จะควบคุม แต่มีอยู่สิ่งนึงที่คนไทยก็ซื้อหามาจากต่างประเทศ แต่ไม่ค่อยมีประโยชน์ทางรูปธรรมนัก นอกจากการซื้อเพื่อการเก็งกำไร ก็คือ ทองคำ

เดิมคนไทยนิยมซื้อทองคำไว้เป็นเครื่องประดับเพื่อความสวยงาม แต่ปัจจุบันการซื้อทองเพื่อประดับนั้นกลับลดน้อยลงอย่างมาก


โดยจำนวนทองคำที่มีการซื้อขายในประเทศ 95% เป็นการซื้อทองแท่ง ที่เหลืออีก5% เป็นการซื้อทองรูปพรรณ หลายคนซื้อทองคำแท่งในรูปของการออม แต่มีอีกจำนวนไม่น้อยถึงมาก กลับซื้อทองเพื่อการเก็งกำไร


คนที่ซื้อทองคำแท่งทุกคนก็อยากให้ราคาที่ตนเองซื้อมาสูงขึ้นๆ จากต้นทุนของตัวเอง แต่คนเหล่านี้กลับลืมนึกไปว่า ยิ่งให้ราคาทองสูงขึ้นมากเท่าไหร่ ราคาน้ำมันก็จะผันแปรขึ้นตามไปด้วย จนลืมนึกไปว่า


หากได้กำไรจากราคาทองคำที่สูงขึ้น ก็ต้องแลกมาด้วยการจ่ายค่าน้ำมันที่แพงขึ้น ซึ่งน้ำมันแพงมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและคนส่วนใหญ่มากกว่า เพราะต้นทุนการผลิตของสินค้าทุกชนิดก็จะสูงขึ้นตาม


กำไรที่ได้จากการขายทองที่ราคาขึ้นก็จะหมดไปกับการที่ต้องใช้จ่ายในการอุปโภคบริโภคที่แพงขึ้นเป็นเงาตามตัว


มีอีกสิ่งนึงที่นักลงทุนเก็งกำไรทองยังลืมนึกไปอีกอย่างก็คือ ทองคำนั้นเราก็ต้องนำเข้าจากต่างประเทศเหมือนกัน ยิ่งเรานำเข้ามากเท่าไหร่ ประเทศก็ยิ่งต้องขาดดุลการค้ามากขึ้นเท่านั้น

แต่หลายคนคงเถียงว่า ทองมันไม่สูญหายหรอก วันไหนราคาขึ้นเราก็ขายคืนไปเอากำไรกลับมาเข้าประเทศได้


แต่ที่จริงมันมีแง่ให้คิดอยู่อีกแง่นึงก็คือ ฝรั่งที่ผลิตทองมาขายเราเขาก็ไม่โง่ยอมขาดทุนง่ายๆหรอก เพราะตรงการผลิตเขาก็จะขายต่อทำกำไรมาชั้นนึ้งแล้ว(และกำไรมากๆด้วยเพื่อป้องกันการขาดทุนหากทองเกิดราคาดีดขึ้นอีกจนต้องรับซื้อคืนกลับมา)

และกว่าจะมาถึงผู้ซื้อรายย่อยในแต่ละประเทศมีการทำกำไรในแต่ละขั้นไม่ใช่น้อยๆ สังเกตได้ว่าคนขายทองแม้ต้องซื้อทองกลับมากกว่าขายออกในช่วงทองราคาแพงขึ้นก็ไม่เห็นมีใครจนหรือขาดทุนให้เห็น


การนำเข้าทองนั้น ฝรั่งจะคิอค่าธรรมเนียมต่อออนซ์ต่างหากจากราคาทอง เช่น2เหรียญต่ออนซ์ กับผู้นำเข้าประเทศ และเมื่อใดที่ทองในประเทศมีการขายคืนจากผู้ซื่อในประเทศมาก ผู้นำเข้าทองก็จะนำทองกลับไปขายคืนให้ฝรั่ง ซึ่งฝรั่งก็จะคิดค่าธรรมเนียมรับซื้อคืน 8เหรียญต่ออนซ์ ก็เท่ากับว่า ทั้งซื้อทั้งขายทองคืนแก่ฝรั่ง ฝรั่งก็จะได้กำไรตรงค่าธรรมเนียมไปแล้ว 10เหรียญต่อออนซ์


นี่ก็คือสาเหตุที่ไทยต้องเสียดุลการค้าเป็นจำนวนมาก เราอาจได้กำไรนิดหน่อยจาการขายทองคืน แต่จงรู้ไว้เถอะราคาทองที่เราขายคืน ยังเทียบกับราคาต้นทุนที่ถูกกว่าของผู้ผลิตทองอย่างพวกฝรั่งไมได้หรอก ไม่ว่าเขาจะขายให้เราหรือซื้อกลับจากเรา เขาก็ยังกำไรมหาศาลอยู๋ดี


ผมไม่ได้ห้ามการซื้อขายทอง แค่อยากเตือนให้ฉุกคิดไว้หน่อยเท่านั้นเอง
ไม่อยากให้เรากลายเป็นเหยื่อของฝรั่งนักปั่นราคา เพราะยิ่งเราตื่นทอง เราก็ยิ่งเสียเงินให้ฝรั่ง ราคามันก็จะแพงเกินความเป็นจริง


เราคนไทยนอกจากเสียเงินค่าทองให้ฝรั่งแล้วก็ยังต้องเสียค่าธรรมเนียมให้ฝรั่งอีก ฝรั่งผลิตทองขายทองจึงมีแต่รวยแต่รวยเท่านั้น

ฝรั่งปั่นราคาทองในกระดาษ ส่วนคนไทยเก็งกำไรราคาทองจากทองคำแท้  ใครโง่ใครฉลาด ก็ดูไป


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ถ้าแสดงความเห็นตรงช่องนี้ผมจะได้อ่านทุกความเห็นครับ แต่ถ้าความเห็นไม่ขึ้นอาจเพราะระบบรอตรวจสแปม ต้องรอ1-2วัน / ใหม่ เมืองเอก kaeake@ymail.com


ผู้ติดตาม