ย้อนอ่านทักษิณขี้โม้ ตอน1
.
สองสามวันที่ผ่านมาทักษิณโฟนเอ๋งถี่มาก เริ่มจากคุยว่า วิกฤติปี44ที่ตัวเองมาเป็นนายกฯนั้นไทยมีปัญหาหนักหนาสาหัสมากกว่าวิกฤติปีนี้51-52 หากตัวเองยังเป็นนายกฯอยู่ป่านนี้คนไทยจะไม่มีคนจนแล้ว
"ปัญหาเศรษฐกิจทุกวันนี้ผมมองเป็นเรื่องง่าย ง่ายกว่าที่ผมแก้ 2544 ตอนนั้นประเทศยากจนจะตาย ตอนนี้หากแก้ก็แก้ง่ายจะพูดในวันที่ 27 มีนาคม ถ้าผมอยู่ประเทศไทยวันนี้ นอกจากจะไม่กู้เงินต่างประเทศซักบาท จะเสกเงินลงพื้นที่ทีละ 7-8 แสนล้านบาทเลย มันอยู่ที่การบริหาร ผมมันมีกรรมไม่ทราบชาติที่แล้วไปทำกรรมกับประชาธิปัตย์ไว้ ผมต้องกลับไปใช้หนี้ตลอด" พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าว
ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจเสียก่อนว่า วิกฤติเศรษฐกิจครั้งนั้นเกิดขึ้นเมื่อไหร่ และเกิดจากสาเหตุใดก่อน ถึงจะรู้ว่าที่ทักษิณโฟนเอ๋งมานั้นจริงเท็จแค่ไหน
วิกฤติเศรษฐกิจคราวที่แล้วเริ่มขึ้นในปี40 สมัยรัฐบาลพลเอกชวลิต(ที่มีทักษิณร่วมรัฐบาลด้วย) ถูกนักค้าเงินโจมตีค่าเงินบาท รัฐบาลไทยพยามยามพยุงค่าเงินบาทไว้ไม่ให้ลดค่าลงจากปกติที่ประมาณ25บาทต่อusดอลล่าร์
จนในที่สุดเงินคงคลังของไทยแทบไม่เหลือหรอ จนทำให้รัฐบาลชวลิตต้องประกาศลอยตัวค่าเงินบาท ซึ่งจากเคยอยู่ที่25บาทต่อusดอลล่าร์ พุ่งพรวดเดียวไปถึง50กว่าบาทในวันเดียว
ทำให้นักธุรกิจไทยที่เป็นหนีผูกพันธ์ต่างประเทศถึงกับกระอักเลือดเพราะเป็นหนี้เพิ่มเท่าตัวภายในคืนเดียว ประกอบกับภาวะฟองสบู่ที่เกิดจากการที่สถาบันการเงินไทยปล่อยกู้กันง่าย
เพราะได้เงินจากนักลงทุนต่างประเทศที่มาลงทุนที่ทำให้เศรษฐกิจไทยโตกระฉูดตลอด10ปีที่ผ่านมา ทำให้เกิดสภาวะหนี้เสียจากการปล่อยเงินกู้ที่ไร้วินัย เช่นเรื่องกู้ไปลงทุนอสังหาริมทรัพย์เกินความต้องการและการปั่นราคาเกินจริง จนภาวะฟองสบู่แตกในที่สุด
ซึ่งวิกฤติเศรษฐกิจ40นั้น สาเหตุจึงมาจากเรื่องสภาพคล่องของรัฐบาลและสภาพหนี้เน่าของสถาบันการเงินที่สูงเกินไป และในปี40 เรื่องสภาวะการส่งออกสินค้าของไทยก็ยังไม่กระทบกระเทือนเท่าวิกฤติปี52นี้ เพราะตอนนั้นทั้งยุโรปและอเมริกายังมีเงินมากและไม่ได้แย่เหมือนอย่างในวันนี้
แต่วิกฤติปีนี้ไทยเราไม่ได้มีปัญหาเรื่องสภาพคล่องและปัญหาสถาบันการเงิน ปัญหาคราวนี้แม้จะๆไม่ได้มารุนแรงจนตั้งตัวไม่ทันเหมือนวิกฤติปี40 ก็ตาม แต่น่าจะซึมยาวนานกว่า เพราะวิกฤติคราวนี้เป็นวิกฤติที่เกิดขึ้นทั้งโลกที่เราไม่อาจควบคุมเองได้
เพราะอเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่น รวมทั้งทุกๆประเทศในโลกกำลังขาดเงินที่จะซื้อสินค้า ทำให้ไทยเราก็จะประสบปัญหาจากการส่งออกแน่นอน ทำให้โรงงานที่เกิดมาเพื่อการส่งออก หรือสินค้าทุกชนิดที่ต้องส่งออกเกิดปัญหาอย่างหนัก และก็เป็นปัญหาที่เกิดจากปัจจัยภายนอกเป็นหลัก
(คุณผู้อ่านก็ลองพิจารณาดูสิว่า วิกฤติไหนน่าจะหนักกว่า)
(อยากให้คุณผู้อ่านกลับไปอ่านเรื่อง อเมริกาจ๋อย1 จากทุนนิยมล่ม เพื่อจะได้รู้ถึงสาเหตุของวิกฤติโลกครั้งนี้ดีขึ้นครับ)
เพราะวิกฤติคราวที่แล้ว เมื่อไทยยังสามารถส่งสินค้าออกนอกได้ ก็จะมีเงินเข้ามาแก้วิกฤติชาติได้เรื่อยๆ แต่คราวนี้สินค้าส่งออกเกิดปัญหา เพราะต่างชาติไม่มีเงินซื้อ
ที่สำคัญที่สุด ทักษิณมาเป็นนายกฯเมื่อวิกฤติผ่านไปแล้ว4ปี และตอนปี44 ก็กำลังจะเป็นช่วงขาขึ้นของเศรษฐกิจอยู่แล้ว ประกอบกับเศรษฐกิจฝั่งตะวันตกยังดีอยู่จึงเกื้อหนุนให้ไทยดีขึ้นได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเงินจากการส่งออกและการลงทุนจากต่างประเทศเกื้อหนุน
ผมเล่าคร่าวๆให้คุณผู้อ่านได้เห็นแล้วนะครับ แต่ผมอยากแนะนำให้คุณผู้อ่านกลับไปอ่านบทความเก่าๆที่ผมเขียน ก็จะได้รับความเข้าใจดีขึ้นครับ
.
ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจของไทยคราวนี้ จะอยู่จะรอดก็ขึ้นอยู่กับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของคนไทย เพราะเมื่อเราส่งออกได้น้อยลง แต่หากคนไทยเราลดความฟุ้งเฟ้อลง และเพิ่มความพอเพียงให้มากขึ้น
.
เราส่งออกได้น้อยลงก็จริง แต่ถ้าเราลดการนำเข้าลงได้มากกว่า โอกาสที่เราจะรอดก็จะมากขึ้นและอาจไม่เจ็บตัวมากเหมือนปี40
.
ฉะนั้นความพอเพียงของคนไทยนี่แหล่ะที่จะเป็นดัชนีชี้วัดความอยู่รอดของชาติไทย (จะรอดพ้นได้เพราะพระมหากรุณาธิคุณชี้ทางสว่างไว้เพื่อคนไทย)
คลิกอ่าน ทำไมผมถึงต้านทักษิณ
*********************************
มาวันนี้ทักษิณโฟนเอ๋งอีกครั้งที่เชียงใหม่ (คลิกชมวีดีโอ1, คลิกชมวีดีโอ2 ทักษิณโฟนเอ๋งที่สนามกีฬา700ปี)
.
รู้สึกจะรุกเร้าหนัก เรื่องตัวเองนั้นยังจงรักภักดีเบื้องสูงอยู่ แต่จะจริงหรือไม่ไม่สำคัญเท่ากับว่า ยังมีผู้คิดร้ายต่อสถาบันฯแฝงตัวอยู่ในกลุ่มคนเสื้อแดงตลอดมา
เพราะหากคุณผู้อ่านไปแวะไปในบอร์ดการเมืองของเว็บต่างๆ คุณผู้อ่านก็ย่อมรู้ว่า มีคนที่เชียร์ทักษิณเขียนความเห็นทั้งทางตรงทางอ้อมให้ร้ายสถาบันเบื้องสูงอยู่เสมอ
เพราะคนที่หมิ่นฯเบื้องสูงหวังใช้ความนิยมของประชาชนในตัวทักษิณยุยงให้เกิดความแตกแยก ซึ่งผมเชื่อว่าทักษิณเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจ
ในยุทธศาสตร์ของเสื้อแดงตอนต้นๆ ค่อนข้างเปิดเผยในเรื่องหมิ่นสถาบันฯ เช่นดา ตอปิโด และ ใจ อึ้งภากรณ์ แม้กระทั่งจักรภพ เพ็ญแขก็ตาม
แต่เมื่อใช้ยุทธศาสตร์นี้ รู้สึกจะยากที่จะครองใจคนส่วนใหญ่ได้ เพราะคนเสื้อแดงรากหญ้าส่วนใหญ่ยังจงรักภักดีสถาบันฯอยู่มาก จึงต้องเปลี่ยนยุทธศาสตร์ใหม่
และยุทธศาสตร์ในช่วงหลัง ทักษิณเลยต้องย้ำอยู่เสมอว่า ตัวเองยังจงรักภักดีเสมอมา และที่ผ่านมาตัวเองถูกใส่ร้าย
ทักษิณจึงต้องไม่เพียงแค่พูดว่าจงรักภักดีฯเท่านั้น ควรต้องทำอะไรให้เห็นเป็นรูปธรรมมากกว่านี้ จึงจะน่าเชื่อถือเพิ่มขึ้น อย่าสักแค่พูดไปเรื่อยเปื่อย!
.
(ถ้าจะให้ดี ทักษิณโฟนเอ๋งด่า ใจ อึ้งภากรณ์ สักหน่อย ก็จะน่าเชื่อถือขึ้นกว่านี้)
.
และถ้าทักษิณอยู่เงียบๆใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบ หากทักษิณทำได้ดังนี้ ผมจะเชื่อว่าทักษิณรักชาติและสถาบันฯ ไม่อยากให้คนไทยแตกแยกมากกว่าที่ทักษิณทำอย่างทุกวันนี้เสียอีก
.
ผมอยากให้คุณผู้อ่านได้กลับไปอ่านบทความของผมในเดือนธันวาคม2551ที่ผ่านมา เรื่อง พวกไม่จงรักภักดีฯ ทั้ง8ตอนของผม จะทำให้คุณผู้อ่านจะเข้าใจสถานการณ์ดีขึ้นครับ
**************************
แซวการเมืองขำๆ คำสั่งลับจากแม้วถึง3ตัวหัวขวด
"อย่าลืมต้องป่วนชาติให้หนัก ยิ่งเป็นข่าวยิ่งดี เศรษฐกิจมันจะได้แย่ อั๊วจะได้คุยได้ว่า มีแต่อั๊วคนเดียวที่แก้ปัญหาเได้ศรษฐกิจชาติได้
เอ้อ! ถ้างบที่ให้ไปเหลือน้อย ก็ใช้ไข่ปาก็ได้ แค่ดำเนินการแค่คนเดียว ก็เป็นข่าวหน้าหนึ่งแล้ว
ส่วนอั๊วจะโฟนเอ๋งเข้ามาเรื่อยๆ ปลุกระดมให้คนไม่ลืมอั๊ว ยิ่งบ้านเมืองวุนวาย ยิ่งบ้านเมืองไม่มีใครอยากมาลงทุนมาเที่ยว อั๊วยิ่งชอบ
เพราะอั้ยมาร์คมันจะได้ไม่มีผลงาน เพราะหากปล่อยมันมีผลงาน เลือกตั้งพวกลื้อก็จะแพ้รู้มั้ย
ถ้ามันทั้งหล่อทั้งเก่ง แล้วต่อไปหน้าเหลี่ยมอย่างอั๊วใครมันจะสน
ส่วนทางอั๊วจะให้สัมภาษณ์ถล่มผ่านสื่อนอกที่อั๊วจ้างมาอีกทาง
จำไว้! ป่วนให้หนัก อย่าให้มา์ร์คมันได้อยู่สุขเลย
พวกเสื้อแดงที่มาร่วมชุนนุมมันคิดไม่เป็นหรอก ว่ายิ่งอั๊วโฟนเอ๋ง พวกลื้อชุมนุมถี่ บ้านเมืองยิ่งแย่
เพราะพวกมันจะโทษแต่รัฐบาลกับอั้ยลิ้มเท่านั้นแหล่ะ 555555555"
(ครับนาย!!!)
.
.
*******************
.
จับผิดทักษิณ จ้อที่เชียงใหม่
.
ในช่วงหนึ่งของการจ้อของทักษิณ มีอยู่ช่วงนึงเอ่ยถึงลูกเจ้าของหนังสือพิมพ์ที่ออกข่าวโจมตีตัวเอง ผมสงสัยจังว่า
.
ทำไมทีคนใหญ่คนโต ทักษิณกล้าแฉชื่อจริงออกมาตรงๆ แต่ทีแค่ลูกชายหนังสือพิมพ์ ทักษิณกลับไม่กล้าเอ่ยชื่อ ทั้งๆที่ใครๆก็รู้ว่า ลูกชายเจ้าของหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นน่าจะหมายถึง ลูกชายของสนธิ ลิ้มทองกุล แห่งนสพ.ผู้จัดการ
.
ที่ทักษิณเคยกล้าด่าสนธิตรงๆมาตลอด แต่ไฉนเรื่องแค่นี้กลับไม่กล้าพูด ทำให้รู้สึกว่า คำพูดทักษิณยิ่งขาดความน่าเชื่อถือมากขึ้น
.
(และภายหลังลูกชายสนธิก็ออกมาโต้ว่า ทักษิณโกหกทั้งหมด)
.
คลิกอ่าน ทักษิณไม่ใช่นักประชาธิปไตย
คลิกอ่าน ทักษิณใช้ศาสนาบังหน้า
สองสามวันที่ผ่านมาทักษิณโฟนเอ๋งถี่มาก เริ่มจากคุยว่า วิกฤติปี44ที่ตัวเองมาเป็นนายกฯนั้นไทยมีปัญหาหนักหนาสาหัสมากกว่าวิกฤติปีนี้51-52 หากตัวเองยังเป็นนายกฯอยู่ป่านนี้คนไทยจะไม่มีคนจนแล้ว
"ปัญหาเศรษฐกิจทุกวันนี้ผมมองเป็นเรื่องง่าย ง่ายกว่าที่ผมแก้ 2544 ตอนนั้นประเทศยากจนจะตาย ตอนนี้หากแก้ก็แก้ง่ายจะพูดในวันที่ 27 มีนาคม ถ้าผมอยู่ประเทศไทยวันนี้ นอกจากจะไม่กู้เงินต่างประเทศซักบาท จะเสกเงินลงพื้นที่ทีละ 7-8 แสนล้านบาทเลย มันอยู่ที่การบริหาร ผมมันมีกรรมไม่ทราบชาติที่แล้วไปทำกรรมกับประชาธิปัตย์ไว้ ผมต้องกลับไปใช้หนี้ตลอด" พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าว
ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจเสียก่อนว่า วิกฤติเศรษฐกิจครั้งนั้นเกิดขึ้นเมื่อไหร่ และเกิดจากสาเหตุใดก่อน ถึงจะรู้ว่าที่ทักษิณโฟนเอ๋งมานั้นจริงเท็จแค่ไหน
วิกฤติเศรษฐกิจคราวที่แล้วเริ่มขึ้นในปี40 สมัยรัฐบาลพลเอกชวลิต(ที่มีทักษิณร่วมรัฐบาลด้วย) ถูกนักค้าเงินโจมตีค่าเงินบาท รัฐบาลไทยพยามยามพยุงค่าเงินบาทไว้ไม่ให้ลดค่าลงจากปกติที่ประมาณ25บาทต่อusดอลล่าร์
จนในที่สุดเงินคงคลังของไทยแทบไม่เหลือหรอ จนทำให้รัฐบาลชวลิตต้องประกาศลอยตัวค่าเงินบาท ซึ่งจากเคยอยู่ที่25บาทต่อusดอลล่าร์ พุ่งพรวดเดียวไปถึง50กว่าบาทในวันเดียว
ทำให้นักธุรกิจไทยที่เป็นหนีผูกพันธ์ต่างประเทศถึงกับกระอักเลือดเพราะเป็นหนี้เพิ่มเท่าตัวภายในคืนเดียว ประกอบกับภาวะฟองสบู่ที่เกิดจากการที่สถาบันการเงินไทยปล่อยกู้กันง่าย
เพราะได้เงินจากนักลงทุนต่างประเทศที่มาลงทุนที่ทำให้เศรษฐกิจไทยโตกระฉูดตลอด10ปีที่ผ่านมา ทำให้เกิดสภาวะหนี้เสียจากการปล่อยเงินกู้ที่ไร้วินัย เช่นเรื่องกู้ไปลงทุนอสังหาริมทรัพย์เกินความต้องการและการปั่นราคาเกินจริง จนภาวะฟองสบู่แตกในที่สุด
ซึ่งวิกฤติเศรษฐกิจ40นั้น สาเหตุจึงมาจากเรื่องสภาพคล่องของรัฐบาลและสภาพหนี้เน่าของสถาบันการเงินที่สูงเกินไป และในปี40 เรื่องสภาวะการส่งออกสินค้าของไทยก็ยังไม่กระทบกระเทือนเท่าวิกฤติปี52นี้ เพราะตอนนั้นทั้งยุโรปและอเมริกายังมีเงินมากและไม่ได้แย่เหมือนอย่างในวันนี้
แต่วิกฤติปีนี้ไทยเราไม่ได้มีปัญหาเรื่องสภาพคล่องและปัญหาสถาบันการเงิน ปัญหาคราวนี้แม้จะๆไม่ได้มารุนแรงจนตั้งตัวไม่ทันเหมือนวิกฤติปี40 ก็ตาม แต่น่าจะซึมยาวนานกว่า เพราะวิกฤติคราวนี้เป็นวิกฤติที่เกิดขึ้นทั้งโลกที่เราไม่อาจควบคุมเองได้
เพราะอเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่น รวมทั้งทุกๆประเทศในโลกกำลังขาดเงินที่จะซื้อสินค้า ทำให้ไทยเราก็จะประสบปัญหาจากการส่งออกแน่นอน ทำให้โรงงานที่เกิดมาเพื่อการส่งออก หรือสินค้าทุกชนิดที่ต้องส่งออกเกิดปัญหาอย่างหนัก และก็เป็นปัญหาที่เกิดจากปัจจัยภายนอกเป็นหลัก
(คุณผู้อ่านก็ลองพิจารณาดูสิว่า วิกฤติไหนน่าจะหนักกว่า)
(อยากให้คุณผู้อ่านกลับไปอ่านเรื่อง อเมริกาจ๋อย1 จากทุนนิยมล่ม เพื่อจะได้รู้ถึงสาเหตุของวิกฤติโลกครั้งนี้ดีขึ้นครับ)
เพราะวิกฤติคราวที่แล้ว เมื่อไทยยังสามารถส่งสินค้าออกนอกได้ ก็จะมีเงินเข้ามาแก้วิกฤติชาติได้เรื่อยๆ แต่คราวนี้สินค้าส่งออกเกิดปัญหา เพราะต่างชาติไม่มีเงินซื้อ
ที่สำคัญที่สุด ทักษิณมาเป็นนายกฯเมื่อวิกฤติผ่านไปแล้ว4ปี และตอนปี44 ก็กำลังจะเป็นช่วงขาขึ้นของเศรษฐกิจอยู่แล้ว ประกอบกับเศรษฐกิจฝั่งตะวันตกยังดีอยู่จึงเกื้อหนุนให้ไทยดีขึ้นได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเงินจากการส่งออกและการลงทุนจากต่างประเทศเกื้อหนุน
ผมเล่าคร่าวๆให้คุณผู้อ่านได้เห็นแล้วนะครับ แต่ผมอยากแนะนำให้คุณผู้อ่านกลับไปอ่านบทความเก่าๆที่ผมเขียน ก็จะได้รับความเข้าใจดีขึ้นครับ
.
ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจของไทยคราวนี้ จะอยู่จะรอดก็ขึ้นอยู่กับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของคนไทย เพราะเมื่อเราส่งออกได้น้อยลง แต่หากคนไทยเราลดความฟุ้งเฟ้อลง และเพิ่มความพอเพียงให้มากขึ้น
.
เราส่งออกได้น้อยลงก็จริง แต่ถ้าเราลดการนำเข้าลงได้มากกว่า โอกาสที่เราจะรอดก็จะมากขึ้นและอาจไม่เจ็บตัวมากเหมือนปี40
.
ฉะนั้นความพอเพียงของคนไทยนี่แหล่ะที่จะเป็นดัชนีชี้วัดความอยู่รอดของชาติไทย (จะรอดพ้นได้เพราะพระมหากรุณาธิคุณชี้ทางสว่างไว้เพื่อคนไทย)
คลิกอ่าน ทำไมผมถึงต้านทักษิณ
*********************************
มาวันนี้ทักษิณโฟนเอ๋งอีกครั้งที่เชียงใหม่ (คลิกชมวีดีโอ1, คลิกชมวีดีโอ2 ทักษิณโฟนเอ๋งที่สนามกีฬา700ปี)
.
รู้สึกจะรุกเร้าหนัก เรื่องตัวเองนั้นยังจงรักภักดีเบื้องสูงอยู่ แต่จะจริงหรือไม่ไม่สำคัญเท่ากับว่า ยังมีผู้คิดร้ายต่อสถาบันฯแฝงตัวอยู่ในกลุ่มคนเสื้อแดงตลอดมา
เพราะหากคุณผู้อ่านไปแวะไปในบอร์ดการเมืองของเว็บต่างๆ คุณผู้อ่านก็ย่อมรู้ว่า มีคนที่เชียร์ทักษิณเขียนความเห็นทั้งทางตรงทางอ้อมให้ร้ายสถาบันเบื้องสูงอยู่เสมอ
เพราะคนที่หมิ่นฯเบื้องสูงหวังใช้ความนิยมของประชาชนในตัวทักษิณยุยงให้เกิดความแตกแยก ซึ่งผมเชื่อว่าทักษิณเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจ
ในยุทธศาสตร์ของเสื้อแดงตอนต้นๆ ค่อนข้างเปิดเผยในเรื่องหมิ่นสถาบันฯ เช่นดา ตอปิโด และ ใจ อึ้งภากรณ์ แม้กระทั่งจักรภพ เพ็ญแขก็ตาม
แต่เมื่อใช้ยุทธศาสตร์นี้ รู้สึกจะยากที่จะครองใจคนส่วนใหญ่ได้ เพราะคนเสื้อแดงรากหญ้าส่วนใหญ่ยังจงรักภักดีสถาบันฯอยู่มาก จึงต้องเปลี่ยนยุทธศาสตร์ใหม่
และยุทธศาสตร์ในช่วงหลัง ทักษิณเลยต้องย้ำอยู่เสมอว่า ตัวเองยังจงรักภักดีเสมอมา และที่ผ่านมาตัวเองถูกใส่ร้าย
ทักษิณจึงต้องไม่เพียงแค่พูดว่าจงรักภักดีฯเท่านั้น ควรต้องทำอะไรให้เห็นเป็นรูปธรรมมากกว่านี้ จึงจะน่าเชื่อถือเพิ่มขึ้น อย่าสักแค่พูดไปเรื่อยเปื่อย!
.
(ถ้าจะให้ดี ทักษิณโฟนเอ๋งด่า ใจ อึ้งภากรณ์ สักหน่อย ก็จะน่าเชื่อถือขึ้นกว่านี้)
.
และถ้าทักษิณอยู่เงียบๆใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบ หากทักษิณทำได้ดังนี้ ผมจะเชื่อว่าทักษิณรักชาติและสถาบันฯ ไม่อยากให้คนไทยแตกแยกมากกว่าที่ทักษิณทำอย่างทุกวันนี้เสียอีก
.
ผมอยากให้คุณผู้อ่านได้กลับไปอ่านบทความของผมในเดือนธันวาคม2551ที่ผ่านมา เรื่อง พวกไม่จงรักภักดีฯ ทั้ง8ตอนของผม จะทำให้คุณผู้อ่านจะเข้าใจสถานการณ์ดีขึ้นครับ
**************************
แซวการเมืองขำๆ คำสั่งลับจากแม้วถึง3ตัวหัวขวด
"อย่าลืมต้องป่วนชาติให้หนัก ยิ่งเป็นข่าวยิ่งดี เศรษฐกิจมันจะได้แย่ อั๊วจะได้คุยได้ว่า มีแต่อั๊วคนเดียวที่แก้ปัญหาเได้ศรษฐกิจชาติได้
เอ้อ! ถ้างบที่ให้ไปเหลือน้อย ก็ใช้ไข่ปาก็ได้ แค่ดำเนินการแค่คนเดียว ก็เป็นข่าวหน้าหนึ่งแล้ว
ส่วนอั๊วจะโฟนเอ๋งเข้ามาเรื่อยๆ ปลุกระดมให้คนไม่ลืมอั๊ว ยิ่งบ้านเมืองวุนวาย ยิ่งบ้านเมืองไม่มีใครอยากมาลงทุนมาเที่ยว อั๊วยิ่งชอบ
เพราะอั้ยมาร์คมันจะได้ไม่มีผลงาน เพราะหากปล่อยมันมีผลงาน เลือกตั้งพวกลื้อก็จะแพ้รู้มั้ย
ถ้ามันทั้งหล่อทั้งเก่ง แล้วต่อไปหน้าเหลี่ยมอย่างอั๊วใครมันจะสน
ส่วนทางอั๊วจะให้สัมภาษณ์ถล่มผ่านสื่อนอกที่อั๊วจ้างมาอีกทาง
จำไว้! ป่วนให้หนัก อย่าให้มา์ร์คมันได้อยู่สุขเลย
พวกเสื้อแดงที่มาร่วมชุนนุมมันคิดไม่เป็นหรอก ว่ายิ่งอั๊วโฟนเอ๋ง พวกลื้อชุมนุมถี่ บ้านเมืองยิ่งแย่
เพราะพวกมันจะโทษแต่รัฐบาลกับอั้ยลิ้มเท่านั้นแหล่ะ 555555555"
(ครับนาย!!!)
.
.
*******************
.
จับผิดทักษิณ จ้อที่เชียงใหม่
.
ในช่วงหนึ่งของการจ้อของทักษิณ มีอยู่ช่วงนึงเอ่ยถึงลูกเจ้าของหนังสือพิมพ์ที่ออกข่าวโจมตีตัวเอง ผมสงสัยจังว่า
.
ทำไมทีคนใหญ่คนโต ทักษิณกล้าแฉชื่อจริงออกมาตรงๆ แต่ทีแค่ลูกชายหนังสือพิมพ์ ทักษิณกลับไม่กล้าเอ่ยชื่อ ทั้งๆที่ใครๆก็รู้ว่า ลูกชายเจ้าของหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นน่าจะหมายถึง ลูกชายของสนธิ ลิ้มทองกุล แห่งนสพ.ผู้จัดการ
.
ที่ทักษิณเคยกล้าด่าสนธิตรงๆมาตลอด แต่ไฉนเรื่องแค่นี้กลับไม่กล้าพูด ทำให้รู้สึกว่า คำพูดทักษิณยิ่งขาดความน่าเชื่อถือมากขึ้น
.
(และภายหลังลูกชายสนธิก็ออกมาโต้ว่า ทักษิณโกหกทั้งหมด)
.
คลิกอ่าน ทักษิณไม่ใช่นักประชาธิปไตย
คลิกอ่าน ทักษิณใช้ศาสนาบังหน้า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
ถ้าแสดงความเห็นตรงช่องนี้ผมจะได้อ่านทุกความเห็นครับ แต่ถ้าความเห็นไม่ขึ้นอาจเพราะระบบรอตรวจสแปม ต้องรอ1-2วัน / ใหม่ เมืองเอก kaeake@ymail.com