วันพฤหัสบดีที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2551

สาเหตุที่ ชูวิทย์ต่อยวิศาล (ไม่มีตัดทอน)





วันนี้2ก.ย.51ข่าวใหญ่ของชูวิทย์ คือต่อยวิศาล ดิลกวานิช ผู้ดำเนินรายการเที่ยงวันทันเหตุการณ์ช่วงสัมภาษณ์ เหตุการณ์ทั้งหมดหลายท่านคงได้ติดตามข่าวกันแล้ว ฉะนั้นผมขอแสดงความเห็นในส่วนของผม ในฐานะคนเชียร์ชูวิทย์คนหนึ่ง

แน่นอนผมอาจมีลำเอียงบ้างเพราะผมชอบชูวิทย์ แต่อยากจะวิเคราะห์ว่า ทำไมชูวิทย์ถึงจุดเดือดขนาดนี้


ก่อนอื่นผมขอพูดถึงวิศาลก่อน ผมเป็นแฟนประจำรายการข่าว เช้าวันใหม่ ทางช่อง3 เวลาตี4 ถึงตี4.45 ที่วิศาลจะจัดอยู่ในเช้าวันจันทร์ถึงศุกร์ วิศาลจัดคู่กับ นิธินาธ ราชนิยม (ผู้ประกาศรางวัลใช้ภาษาไทยดีเด่นคนล่าสุด)


ในรายการวิศาล จะเป็นคนเล่าข่าวและวิเคราะห์ข่าว ทั้งในเชิงความเห็นและเชิงกฏหมายได้ดีมากคนนึง แต่ข้อเสียของวิศาลก็คือ พูดข่าวเล่าข่าวซะคนเดียวเกินไป โดยมักจะปล่อยให้นิธินาธ นั่งหน้าแป้นโดยไม่มีโอกาสช่วยทำงานได้เต็มที่ นิธินาธ บางครั้งจะดูนั่งกร่อยไม่มีอะไรจะพูดเลย เพราะวิศาลชิงเล่าไปซะทุกเรื่อง การทำงานแบบพิธีกรคู่ของวิศาลผมขอให้คะแนนสอบตกครับ ผมรู้สึกแบบนี้มานานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งรู้สึกเพราะการมีเหตุการณ์ชูวิทย์เกิดขึ้น


นิธินาธ ถ้าเราได้ดูการจัดรายการของเธอ เวลาจัดรายการอยู่คนเดียวอาจเพราะวิศาลมีเหตุมาจัดไม่ได้ในบางครั้ง คุณก็จะยอมรับว่า ผู้หญิงคนนี้ก็มีความสามารถในการจัดรายการได้ดีมากคนนึง

วิศาล มีการแบ่งงานการรายงานข่าวกับนิธินาธได้ไม่ดี เพราะวิศาลเชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจและกฏหมาย สามารถอธิบายความในเรื่องชนิดนี้ได้ดี ซึ่งใช้เวลามากกว่าข่าวชนิดอื่น ฉะนั้นข่าวที่ไม่ใช่เชิงวิชาการควรเปิดโอกาสให้นิธินาธได้รายงานบ้าง วิศาลมักแย่งเล่าไปซะทุกข่าว


ระยะหลังวิศาลเริ่มรู้ข้อเสียของตัวเอง เริ่มให้โอกาสนิธินาธมากขึ้น แต่ก็ดูไม่เป็นธรรมชาติของการเป็นทีมเวิร์ค เพราะนิธินาธไม่อาจรู้ว่า ข่าวนี้วิศาลจะให้นิธินาธเล่าหรือเปล่า จนบางครั้งนิธินาธจะแกล้งพูดขึ้นมาว่า "อุ้ย!ให้ดิฉันเล่าเหรอ แหมนั่งเพลินไปหน่อย"


นิธินาธนอกจากจัดรายการกับวิศาลตอนตี4แล้ว นิธินาธก็ยังจัดในรายการข่าวของช่อง3ตอนเย็นกับพิธีกรชายร่วมอีกสองคน หนึ่งในนั้นก็คือ มล.ปลื้ม ซึ่งถึงจะมีพิธีกรข่าวทำงานร่วมกันถึง3คน แต่ก็ดูมีการรับส่งจังหวะให้กันอย่างดีกลมกลืนเป็นทีมเวิร์คมากกว่ารายการที่จัดกันแค่2คนของเธอกับวิศาล


ทีนี้มาดูการถามของวิศาลในรายการเที่ยงวันทันเหตุการณ์กับชูวิทย์บ้าง ขออภัยหากไม่ใช่ถูกต้องทุกคำพูด เพราะผมสรุปมาเป็นแบบคร่าวๆนะครับ


มีคำถามนึงวิศาลถามเรื่องข้อดีชูวิทย์ ชูวิทย์ก็ตอบว่า "ผมไม่อยากจะอวดว่าผมมีข้อดียังไง แต่อยากให้คนกรุงเทพฯดูว่าผมมีดียังไงแล้วใช้วิจารณญาณตัดสิน ส่วนผมมองเห็นปัญหาถ้าคุณอยากให้ผมแก้ไขก็ให้โอกาสผม"


ส่วนคำถามที่ค่อนข้างเป็นชนวนก่อนเกิดเหตูน่าจะเริ่มต้นจากตรงนี้เป็นหลัก แต่ในคำถามก่อนหน้านี้ก็มีการยั่วอารมณ์กันทั้งสองฝ่ายเป็นระยะบ้างแต่ยังไม่น่าถึงจุดทนไม่ได้เกิดขึ้น


คำถามนี้ก็คือ วิศาลถามถึงข้อด้อยของชูวิทย์คืออะไร ชูวิทย์บอกว่า ไม่มีใครเขาพูดข้อด้อยของตนเองหรอก ข้อด้อยของตัวเองต้องให้คนอื่นพูด แล้ววิศาลล่ะรู้ข้อด้อยของชูวิทย์มั้ย วิศาลก็บอกไม่รู้ ถึงได้ถาม ชูวิทย์ก็บอกว่าผมก็นึกไม่ออก ตรงจุดนี้โดยมารยาทของพิธีกร ในเมื่อคำถามที่จะทำให้เขามีโอกาสเสียหาย ในฐานะผู้สมัครรับเลือกตั้ง เขาไม่อยากพูดข้อเสียของเขา พิธีกรก็ควรจะหยุดถามต่อในเรื่องนี้ แต่วิศาลก็ยังพูดยั่วยุในคำถามนี้ต่อไป จนชูวิทย์ต้องถามกลับว่า ทำไมคุณไม่ถามผู้สมัครคนอื่นบ้าง ซึ่งผู้สมัครคนอื่นที่ได้ออกรายการไปแล้ววิศาลไม่เคยถามคำถามนี้เลย



ส่วนคำถามสุดท้ายเรื่อง ป้ายหาเสียง หากคุณได้ดูคลิปตรงนี้ วิศาลไปว่าชูวิทย์ในเรื่องต่อหน้าและลับหลังคุณไม่เหมือนกันเหรอ คำถามแบบนี้เป็นคำถามที่แฝงการดูถูกผู้ร่วมรายการมาก แม้จะถามได้ก็ไม่ควรถาม แต่วิศาลก็ไม่หยุดที่จะต่อความยาวสาวความยืด ยังไปเอาเรื่องที่พูดคุยกันแบบสบายนอกจอกับชูวิทย์มาถามต่อ ทำให้ชูวิทย์ไม่พอใจมาก แถมยังพูดในเชิงว่าชูวิทย์ว่า นอกจอกับในจอไม่เหมือนกัน ซึ่งชูวิทย์ก็อธิบายว่า คุยกันหลังจอก็อีกสถานะนึง ในจอก็อีกสถานะนึง


และชูวิทย์ภายหลังมีการคุยกับสรยุทธอีกทีในเย็นวันนั้น ชูวิทย์ยังเปรียบเทียบว่า คนเราหน้าจอกับหลังจอย่อมไม่เหมือนกันบ้าง เช่นอยู่บ้านเราแคะขี้มูกได้ แต่ออกทีวี เราจะแคะขี้มูกได้มั้ย เรื่องบางเรื่องพูดเล่นกันหลังจอได้ แต่บางเรื่องก็ไม่เหมาะที่จะพูดหน้าจอเหมือนกัน เมื่อชูวิทย์ไม่อยากตอบ วิศาลก็ควรมีมารยาทไม่ถามต่อ



หากคุณเคยดูสรยุทธจัด สรยุทธจะไม่รุกเร้าผู้ร่วมรายการจนเขาโมโห เขาจะไม่ใช้คำถามแฝงการด่าเข้าไปด้วย ที่สำคัญการถามคำถามที่ส่อเค้าว่าจะเสี่ยงทะเลาะกัน อาจต้องใช้วิธีถามแบบล้อเล่นเชิงตลกขบขันไปด้วย ไม่ใช่ถามแบบเอาจริงเอาจังจนผู้ร่วมรายการถูกคุกคาม การถามของวิศาลแม้ปากบอกไม่มีอคติเป็นกลาง แต่พฤติกรรมจริงกลับดูเอียงอย่างเห็นได้ชัด ไม่ใช่เป็นคนตรงตามที่ตัวเองอ้าง แต่เป็นการถามเอียงผสมความรู้สึกส่วนตัว แม้จะอ้างว่า เค้าฝากถามมา แต่คำว่า เค้าเนี่ย ผมว่าน่าจะหมายถึงตัววิศาลเองมากกว่า


ที่สำคัญมารยาทของผู้ดำเนินรายการ ควรจะยกมือไหว้ขอบคุณผู้มาร่วมรายการ แต่คราวนี้หลังจบรายการสัมภาษณ์ วิศาลกลับลุกไปเฉยๆ โดยไม่มีคำขอบคุณหรือจะกล่าวขออภัยบางคำถามที่อาจล่วงเกินผู้ร่วมรายการ แม้แต่การเรียกคุณแก่ผู้ร่วมรายการ วิศาลก็บกพร่อง วิศาลมักจะหลุดเรียกโดยปราศจากคำว่าคุณนำหน้ากับชูวิทย์อยู่หลายครั้ง แต่ในทางกลับกัน ชูวิทย์ เรียก วิศาล ว่าคุณชูวิทย์ ทุกคำ


ตามมารยาท การทำเช่นนี้ก็เท่ากับไม่ให้เกียรติ์ผู้ร่วมรายการอย่างมาก จรรยาบรรณตรงนี้ใครล่ะจะประนาณ เพราะชูวิทย์ไม่มีสมาคมนักข่าวเหมือนวิศาลที่คอยปกป้องพรรคพวกตัวเอง


กรณีการรุกไล่ ของพิธีกรก็เคยมีตัวอย่างมาเหมือนกัน เช่นสมัย ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทองในครั้งเคยจัดรายการ มองต่างมุม ในอดีต เคยเชิญหัวหน้าพรรคต่างๆมาออกรายการพร้อมกัน เจิมศักดิ์ไล่รุกบรรหารอย่างหนักหลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ เจิมศักดิ์ไล่ซะบรรหารหนีไม่ออก เจิมศักดิ์ไม่ไว้หน้า เพราะตัวเองก็เป็นสื่อมวลชนที่เลือกข้างชัดเจน ใครไม่ใช่ข้างที่ตัวเองสนับสนุน ก็จะสรรหาคำถามมาฆ่าเขาอย่างเลือดเย็น ซึ่งเมื่อบรรหาร เจอแบบนี้ บรรหารเลยประกาศตัวว่า จะไม่ออกรายการประเภทนี้อีก


สมัคร สุนทรเวช เมื่อเห็นบรรหารโดนแบบนี้ สมัคร ก็เลยไม่ออกรายการที่มีพิธีกรประเภทนี้เช่นกัน


สุทธิชัย หยุ่นเอง ก็เคยมีสไตล์คล้ายเจิมศักดิ์ เคยรุกไล่นักการเมืองที่มีข้อกล่าวหาเรื่อการทุจริต แต่สุทธิชัย จะไม่ไล่ผู้ร่วมรายการจนไม่มีทางหนี เพราะสุทธิชัยยังเหลือมารยาทบ้าง เหตุการณ์เลยไม่ถึงขั้นแตกหัก


แต่ก็ทำให้ไม่มีนักการเมืองจำนวนมากอยากมาร่วมรายการกับสุทธิชัย หยุ่นอีก ภายหลังสุทธิชัย หยุ่นเลยเบนเข็มตัวเอง ไปเจาะลึกและวิเคราะห์ข่าวต่างประเทศดีกว่า เลยเกิดมีสุทธิชัยหยุ่น2เกิดขึ้นมากมาย เช่น สุภาพ คลีขจาย เป็นต้น แต่คนที่เด่นและดังสุดๆ และเป็นลูกศิษย์เอกของสุทธิชัย หยุ่น และจัดรายการรูปแบบนี้จนเป็นเอกลักษณ์ แต่จะไม่รุนแรงเท่าสุทธิชัย หยุ่น ก็คือ สรยุทธ สุทัศนะจินดา นั่นเอง


ชูวิทย์ ผิดมั้ย ผมตอบว่า ผิดแน่ๆ ไม่มีข้อเถียงในประเด็นนี้เลย แต่ชูวิทย์ กระทำผิดในฐานะประชาชนคนนึงที่ยังไม่มีตำแหน่งทางการเมืองใดๆ ยังไม่ได้เป็นผู้ว่าฯ ไม่ได้เป็นสส. หรือนายกฯ ฉะนั้นความผิดตรงนี้จึงยังไม่มากเท่ากับผู้ดำรงตำแหน่งแล้ว


หากชูวิทย์ เป็นนายกฯ เป็นผู้ว่าฯ หรือมีตำแหน่งใดๆ ทางการเมืองแล้ว แล้วกระทำพฤติกรรมชกต่อยทำร้ายร่างกายผู้อื่นในขณะดำรงตำแหน่ง อันนี้ต้องลาออกสถานเดียวไม่สมควรจะเป็นผู้นำอีกต่อไป


แต่ที่เป็นส่วนดีที่สุดที่น่ายกย่อง ก็คือ ชูวิทย์ กล้าทำกล้ารับ กล้าขอโทษ กล้ายอมรับว่าตัวเองผิด นี่สิถึงเรียกว่า ลูกผู้ชายตัวจริง ฆ่าได้หยามไม่ได้
แล้ววิศาลล่ะ เคยคิดว่าตัวเองผิดบ้างมั้ย
คนอื่นมีสื่อคอยตรวจสอบ แล้วสื่อล่ะ เคยตรวจสอบตัวเองบ้างมั้ย?
เหมือนกับพวกหมอพยาบาล ที่มีแพทยสมาคมคอยปกป้องพวกเดียวกัน
สุดท้ายผู้รับเคราะห์ก็กลายเป็นประชาชนอยู่ดี







ใหม่เมืองเอกnewakecity


ประโยคเด็ดของชูวิทย์ในรายการที่ออกที่NBT ต่อในคืนวันเดียวกันนั้น
"ผมนี่แหล่ะแตกต่างจากผู้สมัครทุกคน ผมทำผิด ผมกล้ายอมรับผิด ที่ผ่านมาบ้านเมืองวุ่นวาย เพราะไม่มีใครยอมรับผิด รถดับเพลิงของกทม.จอดอยู่2ปี ไม่มีคนผิดเพราะไม่มีใครยอมรับผิด คนกรุงเทพฯต้องเลือกคนอย่างผม เพราะผมเป็นคนกล้าชนความไม่ถูกต้อง หากผมผิดผมกล้ายอมรับผิดฯลฯ "




ชูวิทย์ อยู่ในวงการคนกลางคืนมาหลายปี ต้องพบเจอเสือสิงห์กระทิงแรด หรือพวกแก๊งค์มาเฟียมานับไม่ถ้วน ความดุดันก้าวร้าวเท่านั้นถึงจะสามารถยืนหยัดอยู่ได้ในสังคมคนกลางคืนได้ ฉะนั้นการที่พิธีกรจะถามใครที่มาร่วมรายการ ก็ควรศึกษาบุคลิกลักษณะนิสิยผู้ร่วมรายการอย่างถ่องแท้เสียก่อน อย่าคิดว่าผู้ร่วมรายการทุกคนต้องมาเป็นลูกไล่ให้คุณเสมอไป
ถ้าถามผมว่า ชูวิทย์เป็นอย่างนี้ ผมจะเลือกชูวิทย์มั้ย ผมขอบอกตามตรงว่า ผมเลือกเพราะชูวิทย์ทำผิด กฏหมายย่อมถูกกฏหมายลงโทษแน่นอน ไม่ต้องสืบพยามให้มาก เพราะชูวิทย์ยอมรับผิดแล้ว ทีนี้โทษจะได้รับแค่ไหน ก็สุดแล้วแต่ศาล
ผมเบื่อนักการเมืองที่ทำตัวเป็นคนดีต่อหน้า ลับหลังโกงกิน หรือ ดีแต่หล่อสุภาพ แต่ผลงานไม่ได้เรื่อง เช่นนายชวน กับนายอภิรักษ์เป็นต้น


ขออภัย ทุกคนที่เข้ามาอ่าน ที่ผมยอมรับว่า กรณีชูวิทย์ที่ชั่วแต่ผมก็ยังชอบ


สุดท้ายขอทิ้งด้วยประโยคนี้ คือ ชูวิทย์ นายแย่มาก ที่ใช้ความรุนแรง แต่ นายแน่มาก ที่สั่งสอน พวกอภิสิทธิ์ชน ให้รู้สึกเสียบ้าง
newakecity

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ถ้าแสดงความเห็นตรงช่องนี้ผมจะได้อ่านทุกความเห็นครับ แต่ถ้าความเห็นไม่ขึ้นอาจเพราะระบบรอตรวจสแปม ต้องรอ1-2วัน / ใหม่ เมืองเอก kaeake@ymail.com


ผู้ติดตาม