ขอเพิ่มเติมเรื่องเขาพระวิหาร
ในปี2543 เขมรบุกรุกเข้ามาก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างในไทยครั้งแรก แต่รัฐบาลนายชวนดันโง่ไปเชิญเขมรมาทำสัญญาว่าจะไม่มีการรุกล้ำและสร้างสิ่งปลูกสร้างใดๆของทั้งสองฝ่าย ก่อนจะมีการเจรจาปักปันเขตแดนให้เสร็จ
.
แบบนี้ก็เท่ากับว่า รัฐบาลไทยโดยนายชวนไปยอมรับเสียเองแล้วว่า พื้นที่4ุ.6ตร.กม. ไม่ใช่พื้นที่ไทยแท้ๆต่อไปอีกแล้ว ทั้งๆที่ หลังมติศาลโลก พื้นที่นี้เป็นของไทยเกือบ40ปี เขมรก็ยอมรับมาโดยตลอด ทำให้พื้นที่4.6ตร.กม.เดิมที่เป็นของไทยแท้ๆ กลายเป็ยพื้นที่ทับซ้อนไปเสียฉิบ!!
ต่อมาในปี2544 เขมรก็บุกรุกเข้ามามาอีก นายวิษณุ เครืองามเลขาธิการคณะรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้รายงานแก่นายกฯทักษิณ เรื่องที่กองกำลังสุรนารีต้องการความเห็นชอบที่จะผลักดันชาวเขมร2ครอบครัว ที่บุกรุกเข้ามาในเขตแดนไทยเชิงเขาพระวิหาร แต่นายกฯทักษิณห้ามๆไว้เพราะเกรงกระทบความสัมพันธ์ และคิดจะสร้างเป็นแหล่งท่องเที่ยวค้าขายให้เขมรเเละคนไทยเช่าขายของ
.
ต่อมาปี2546 ทหารเขมรรื้อรั้วของไทยบนบันไดนาคของเขาพระวิหาร ที่ถูกสร้างมาตั้งแต่ปี2505 ตามมติคณะรัฐมนตรีในขณะนั้น ที่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลโลก ที่ตัดสินให้เขมรได้เฉพาะตัวปราสาทไปเท่านั้น แล้วเขมรก็ย้ายรั้วของตัวเองมาที่ตีนเขาแทน และเก็บเงินคนไทยตั้งแต่ตีนเขา ส่วนชาวเขมรที่บุกรุกตั้งบ้านเรือนก็เพิ่มจาก2หลังมาเป็นกว่า500หลังคาเรือน แถมยังสร้างถนนและวัดเขมรอีกด้วย
ต่อมาปี 2551นายนพดล ปัทมะ ได้ปลดอธิบดีกรมสนธิสัญญาคนเก่า และประธานมรดกโลกของไทยที่อยู่ในตำแหน่งนี้มากว่า25ปีออก (เพราะ2คนนี้คัดค้านการขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกฝ่ายเดียวของเขมร) เพียงไม่กี่วันก่อนไปลงนามร่วมกับเขมร เพื่อยอมให้เขมรขึ้นทะเบียนได้เพียงฝ่ายเดียว
.
ทุกวันนี้พื้นที่ตีนเขาพระวิหาร ซึ่งน่าจะเป็นของไทยมาตั้งแต่ปี2505 ก็กลายเป็นพื้นที่ยึดครองของชาวเขมรไปแล้ว จากที่เคยเรียกว่าแผ่นดินไทย ก็กลับกลายว่าไปเรียกพื้นที่ทับซ้อนแทน ซึ่งคำว่าพื้นที่ทับซ้อนนี้เป็นคำพูดเพียงฝ่ายเดียวของนายนพดล ปัทมะและรัฐบาลสมัคร แต่ทางเขมรเขาไม่เคยใช้คำนี้เลย เขาเรียกไปแล้วว่าแผ่นดินเขมร
และณ .วันนี้เขมรก็ยังไม่เคยเจรจากับไทยเรื่องการย้ายชาวบ้านและสิ่งปลูกสร้างออกจากพื้นที่พิพาทเลย ทั้งๆที่มีข้อตกลงร่วมกันว่าจะไม่มีการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างใดๆในพื้นที่พิพาทอีกในปี2543 แถมยังกล่าวหาว่าทหารไทยบุกรุกแผ่นดินเขมรเสียด้วยซ้ำ นายเตช บุนนาค เข้ามาก็ทำได้แค่เพียงเจรจาให้ลดกำลังทหารทั้งสองฝ่าย และจะไม่ใช้ความรุนแรงเข้าหากันเท่านั้น
.
หากไทยต้องเสียดินแดนเชิงเขาพระวิหารไปจริง ก็มีความสุ่มเสี่ยงว่าจะเสียดินแดนไทยส่วนอื่นด้วย เพราะเขมรจะอ้างแผนที่เดียวกันกับที่อ้างจนได้ที่ดินเชิงเขาพระวิหาร ซึ่งก็คือแผนที่ที่ฝรั่งเศสทำไว้
ทั้งหมดนี้หากในสมัยทักษิณตั้งแต่ปี2544 ถึง2549 ไม่ปล่อยปละละเลย เรื่องก็อาจจะไม่บานปลายขนาดนี้
.
บทความเกี่ยวเนื่องกันที่ สมัครเอ๋ยผู้รักและซื่อสัตย์นาย
คลิกดูสุทธิชัยหยุ่นสัมภาษณ์ละเอียด
newakecity
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
ถ้าแสดงความเห็นตรงช่องนี้ผมจะได้อ่านทุกความเห็นครับ แต่ถ้าความเห็นไม่ขึ้นอาจเพราะระบบรอตรวจสแปม ต้องรอ1-2วัน / ใหม่ เมืองเอก kaeake@ymail.com