กล่าวโดยย่อในสมัยของรัชกาลที่ 5 ที่มีสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ เป็นเสนาบดีมหาดไทยนั้น ฝ่าย“รัฐบาลราชาธิปไตยสยาม” ได้ยอมรับเส้นเขตแดนที่ถือว่าปราสาทเขาพระวิหาร ขึ้นอยู่กับฝรั่งเศสไปเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ทั้งนั้นเพื่อจะได้อยู่ร่วมกันโดยสันติ และที่สำคัญอย่างยิ่งเพื่อเป็นหลักประกันในการรักษา “เอกราชและอธิปไตย” ส่วนใหญ่ของสยามประเทศเอาไว้
จนในที่สุดก็เกิดสงครามชายแดน รัฐบาลส่ง “กองกำลังบูรพา” ไปรบกับฝรั่งเศส ซึ่งก็เปิดโอกาสให้ญี่ปุ่น “มหามิตรใหม่” เข้ามาไกล่เกลี่ยบีบให้ฝรั่งเศส (ซึ่งตอนนั้นเมืองแม่หรือปารีสในยุโรปอ่อนเปลี้ยถูกเยอรมนียึดครองไปเรียบ ร้อยแล้ว) จำต้องยอมยกดินแดนให้ “ไทย” สมัยพิบูลสงคราม (ทำให้นายพลตรีหลวงพิบูลสงคราม กระโดดข้ามยศพลโท-พลเอก กลายเป็นจอมพลคนแรกในยุคหลัง 2475)
แต่มีข้อแม้ว่า รัฐบาลใหม่ของไทยที่เป็นฝ่ายเสรีประชาธิปไตย (ค่ายปรีดี พนมยงค์) ก็ต้องคืนดินแดนที่ไปยึดครองมาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นดินแดนในอินโดจีนของฝรั่งเศสที่กล่าวข้างต้น แต่ยังรวมถึงเมืองขึ้นของอังกฤษที่รัฐบาลพิบูลสงครามยึดครองและรับมอบมา เช่น เมืองเชียงตุง เมืองพานในพม่า หรือ 4 รัฐมลายู (ที่เคยถูกจับเปลี่ยนชื่อเป็นไทยๆ อย่างสวยหรูชั่วคราวว่า “สี่รัฐมาลัย” คือ กลันตัน ตรังกานู ปะลิส และเคดะห์)แต่ก็ในตอนนี้อีกนั่นแหละที่ระเบิดเวลา “ปราสาทเขาพระวิหาร” ถูกวางไว้อย่างเงียบๆ กล่าวคือ ตัวปราสาทหาได้ถูกคืนไปไม่ และต่อมารัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงคราม (ซึ่งคืนชีพมาด้วยการรัฐประหาร พ.ศ. 2490 ภายใต้การนำของพลโทผิน ชุณหะวัณ ร่วมด้วยช่วยกันจากหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ คือ นายควง อภัยวงศ์) ได้ส่งกองทหารไทยให้กลับขึ้นไปตั้งมั่นและชักธงไตรรงค์อยู่บนนั้นอีกครั้งในปี พ.ศ. 2497 (1954)
เมื่อกัมพูชาได้เอกราชในปี พ.ศ. 2496 (1953) อีก 6 ปีต่อมา พระเจ้านโรดมสีหนุซึ่งทรงเป็นทั้ง “กษัตริย์และพระบิดาแห่งเอกราช” และ “นักราชาชาตินิยม” ของกัมพูชา ก็ยื่นเรื่องฟ้องต่อศาลโลก (International Court of Justice) เมื่อ 6 ตุลาคม 2502 (1959)
ศาลโลกที่กรุงเฮก เนเธอร์แลนด์ ใช้เวลา 3 ปี และลงมติเมื่อ 15 มิถุนายน 2505 (1962) ตัดสินด้วยคะแนน 9 ต่อ 3 ให้ “ปราสาทเขาพระวิหาร” ตกเป็นของกัมพูชา และให้รัฐบาลไทยถอนทหาร ตำรวจ ยามและเจ้าหน้าที่ออกนอกบริเวณ
แต่ในทางปฏิบัติจริง หลังมติคณะรมต.2505 เราได้สร้างบันไดขึ้นไปอยู่บนบันไดนาค (ขั้นที่เท่าไหร่ ขออภัยที่จำรายละเอียดไม่ได้)ซึ่งเขมรก็ไม่ได้คัดค้านอะไร และในบริเวณเชิงเขา ในสมัยก่อนปี2540 เคยมีคนไทยขายของอยู่ตีนบันไดมาตลอด แต่ปัจจุบันโดนเขมรไล่ออกไปหมดแล้ว ไปถามคนในพื้นที่ได้
่
ว่าไปแล้วรัฐบาลไทยแพ้คดีนี้อย่างค่อนข้างราบคาบ และคำพิพากษาของศาล ก็ยึดจากสนธิสัญญาและแผนที่ที่ทำขึ้นหลายครั้งในสมัยปลายรัชกาลที่ 5 นั่น เอง แผนที่และสัญญาเหล่านั้นขีดเส้นให้ตัวปราสาทเขาพระวิหารอยู่ในอินโดจีนของ ฝรั่งเศส หาได้ใช้หลักทางภูมิศาสตร์หรือสันปันน้ำ หรือทางขึ้นไม่ การกำหนดพรมแดนดังกล่าว รัฐบาลสยามในสมัยนั้นของรัชกาลที่ 5 และ สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ได้ยอมรับไปโดยปริยายโดยมิได้มีการท้วงติงแต่อย่างใด ดังนั้นผู้พิพากษาศาลโลก ก็ถือว่าการนิ่งเฉยเท่ากับเป็นการยอมรับหรือ “กฎหมายปิดปาก” ซึ่งไทยก็ต้องแพ้คดี นั่นเอง
(แหล่งข้อมูลจาก ok.nation)
ดร.อดุลย์ วิเชียรเจริญ"เผยรับรองมรดกโลกเขาพระวิหารไทยเสียประโยชน์เสียอธิปไตย เท่ากับยกแผ่นดินให้กัมพูชาครั้งแรก เชื่อมีผลประโยชน์แลกเปลี่ยน ระบุถูกปลดก่อน 'นพดล' ลงนามรับรอง
เนื่องจากที่ผ่านมา หลังจากที่ ศาลโลกในปี 2505 ตัดสินให้ตัวปราสาทเป็นของกัมพูชา แต่ดินแดนเป็นของไทยนั้น ได้มี มติครม.สมัย จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ออกมาเพียงเรื่องของเขตแดนในประเทศไทยเท่านั้น ไม่ได้มีข้อตกลงร่วมระหว่างรัฐบาลไทยและกัมพูชาครั้งนี้จึงเป็นครั้งแรก "การที่รัฐมนตรีต่างประเทศไปเซ็นรับรองถือเป็นครั้งแรกของการยอมรับกรณีที่พิพาทที่ดินระหว่างไทยกับกัมพูชาเพราะที่ผ่านมา ไทยไม่เคยยอมรับในเรื่องนี้เลยเพราะศาลโลกตัดสินแล้วว่า ดินแดนเป็นของไทย การที่ตัวอาคารของเขมรมาตั้งในดินแดนไทยก็ไม่มีปัญหา และเรายังมีอำนาจบริหารแผ่นดินของเรา
ที่มา : มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คณะวิจิตรศิลป์,กรุงเทพธุรกิจ
กรณีนายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการต่างประเทศ เซ็นลงนามรับรอง การขอขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารของกัมพูชา ทำให้นักวิชากร นักโบราณคดี ออกมาโต้แย้งถึงแนวเขตที่ การลงนามอาจทำให้ไทยเสียดินแดน วันนี้ (22 มิ.ย) สถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดย ม.ล.วัลย์วิภา จรูญโรจน์ นักวิจัยเชี่ยวชาญระดับ 9 และ นายประภาสิทธิ์ แก้วมงคล ผู้ช่วยนักวิจัย ได้ออกมาตั้งข้อสังเกต โดยนำเอาแถลงการณ์ร่วมข้อตกลงที่ นายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีต่างประเทศได้เซ็นลงนามกัมพูชาออกมาเปิดเผย ม.ล.วัลย์วิภา กล่าวว่า สิ่งที่จะต้องออกมายืนยันเนื่องจากนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต่างประเทศ ออกมาชี้แจงว่าไทยไม่เสียดินแดน แต่ เมื่อมีการศึกษาบันทึกข้อตกลงร่วมของไทยทั้ง 6 ข้อพบว่า ไทยเสียเปรียบและอาจจะเสียดินแดนในอนาคต โดยยกประเด็นที่สำคัญคือข้อตกลงข้อแรกระบุว่า ไทยจะสนับสนุนกัมพูชาขึ้นทะเบียนเขาพระวิหาร ที่ยูเนสโกจัดประชุม ครั้งที่ 32 เดือน กรกฏาคม พ.ศ. 2551 ที่เมืองคิวเบก แคนาดา โดยการกำหนดเขตหมายเลข1 จัดทำแผนที่โดยกัมพูชา และหมายเลข 2 ซึ่งเป็นพื้นที่กันชน จัดทำแผนที่โดยกัมพูชาชานกัน ส่วนข้อตกลง 2 ที่ระบุว่า เพื่อความปองดองระหว่างกัมพูชาและไทย จะยอมขึ้นทะเบียนมรดกโลกโดยละเว้นพื้นที่ ส่วนหนือและตะวันตก ไม่ขอประกาศว่าเป็นพื้นที่ของใคร ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวเป็นทมี่ดินมีข้อพิพาทกรณีทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลกเมตร และเป็นข้อผูกพันธ์ที่จะพัฒนาพื้นที่ร่วมกันในอีก 2 ปีข้างหน้า
ม.ล. วัลย์วิภา กล่าวว่า แม้ข้อตกลงที่ 2. จะละเว้นการชี้แนวเขตในพื้นที่พิพาทว่าเป็นแนวเขตแดนของใคร แต่ ข้อตกลงข้อที่ 1 รัฐบาลไทยได้ยอมรับเส้นเขตแดน ตามแผนที่ของกัมพูชา ที่ใช้มาตราส่วน 1 ต่อ 2 แสนที่กินลึกเข้ามาในพื้นที่ทับซ้อนที่มีปัญหา และไม่ยึดแผนที่ฉบับเดิมของไทยตามมติคณะรัฐมนตรีปี 2505 "ดิฉันคิดว่าการลงนามในครั้งนี้ไม่เป็นไปตาม มติ ครม. 2505 เรื่องเนเขตแดน แต่ไม่แน่ใจว่าในทางกฏหมายจะถือว่าเป็นการยกเลิกมติ ครม. 2505 หรือไม่ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นหมายความไทยอาจต้องเสียดินแดน เนื่องจากแผนที่ของกัมพูชานั้นได้ยึดเส้นเขตแดนล้ำเข้ามาในพื้นที่พื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร ซึ่งไทยยึดถือแนวเขตแดน L7017 โดยเส้นเขตแดนดังกล่าวได้เขียนครอบคลุมพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ว่าอยู่ในฝั่งไทย ม.ล. วัลย์วิภา กล่าวว่า ตามคำตัดสินของศาลโลก 2505 ได้ตัดสินเฉพาะตัว ปราสาทพระวิหาร แต่ไม่ได้มีอำนาจชี้เส้นเขตแดน ทำให้ที่ผานมาไทยและ กัมพูชาต่าง ถือแผนที่คนละฉบับ โดย กัมพูชายึดถือแผนที่ปักปัน มาตรส่วน 1.2แสน และไม่เคยยอมรับแผนที่ของไทย ซึ่งยึดถือตามแผนที่ มาตรส่วน 1ต่อ5หมื่น ตามมติครม.2505
"สรุปว่าทั้งไทยและกัมพูชาต่าง ยึดถือแผนที่คนละฉบับ แต่ลบะฝ่ายก็ยึดถือแผนที่แนวเขตของตัวเอง ทำให้มีพื้นที่พิพาท ระหว่างแนวเขตที่มีปัญหา 4.6 ตารางกิโลเมตร ตามที่เป็นข่าว เพราะฉะนั้นการที่ นายนพดล บอกว่า การเสนอปราสาท เขาพระวิหารไม่ต่างจากบ้านของเขาที่จะทำรั้วบ้าน ด้านละ30 เมตร ห่างจากตัวบ้าน 40 เมตรไม่ใช่สาระสำคัญ เพราะสาระมันอยู่ที่ เขตแดนของใครนั้นจึงเป็นคำชี้แจงที่ไม่ถูกต้อง เพราะขณะนี้ทั้งไทยและกัมพูชา ต่างไม่มีใครยอมรับในดินแดนตามแผนที่ของแต่ละฝ่าย แล้วจะบอกว่าเขตของเขาเขตของเราจึงไม่ถูกต้อง แต่การที่ไปลงนามร่วมกับกัมพูชา จึงน่าจะไม่ต่างจากการยอมรับแผนที่กัมพูชาและอาจหมายถึงการเสียดินแดน" ม.ล.วัลย์วิภา กล่าว
ม.ล วัลย์วิภา กล่าวอีกว่า จากการตรวจสอบข้อตกลง เท่ากับการยอมรับแผนที่กัมพูชาเพราะพื้นที่ตามผังแนวขอขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหาร นั้นมีแผนที่ตามพระราชกฤษฏีกาของกัมพูชาแนบท้าย ตามแนวเขตแดนที่กัมพูชายึดถือ คือ 1 ต่อ 2 แสน จึงเท่ากับไทยอาจจะเสียดินแดนในพื้นที่ดังกล่าวไปด้วย "การที่รัฐบาลอ้างเพียงแค่การรับรองตัวปราสาทฯ ถือเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะในแถลงการณ์จะมีผลต่อการรับรองแผนที่ที่มีเส้นแบ่งเขตแดนไม่เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีปี 2505 พร้อมตั้งข้อสังสัยว่า มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 มิถุนายนที่ผ่านมา ไม่เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีปี 2505 เช่นกัน รวมทั้งในแถลงการณ์ก็ไม่ได้ระบุว่า หลังจากนี้ 2 ปี หากไม่สามารถตกลงกันได้ ในเรื่องการพัฒนาร่วมกันในพื้นที่ทับซ้อนร่วมกันน่าจะตกไปเพราะว่า ในข้อแรกไทยได้ยอมรับแผนที่กัมพูชาโดยยอมรับว่า พื้นที่ทับซ้อนดังกล่าวเป็นของกัมพูชาไปแล้ว ในทางกฎหมายคงมีปัญหา เหมือนการต่อสู้คดีเรื่องเขาพระวิหารในศาลโลกในอดีตที่ไทยแพ้กัมพูชา"
ม.ล.วัลย์วิภา กล่าวอีกว่า จากการตรวจสอบแถลงการณ์ร่วม จึงสรุปได้ว่า การลงนามของ รัฐมนตรีต่างประเทศ ขัดกับ มติครม.2505 นอกจากนี้ รัฐมนตรีต่างประเทศ เอาอำนาจอธิปไตยของไทยไปจดทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก โดยยอมรับแนวเขตแผนของกัมพูชา และมีการลงนามร่วมอย่างชัดเจนซึ่งจะมีผลบังคับตามข้อผูกพันในแถลงการณ์ในอนาคตเกิดขึ้น นอกจากนี้ เพื่อคัดค้านการลงนามดังกล่าว ในวันอังคารที่ 24 มิถุนายนนี้ เวลา 13.00 น. จะเชิญชวนองค์กรภาคเอกชน นักวิชาการ และผู้ที่ให้ความสนใจในเรื่องเขาพระวิหาร มาร่วมศึกษาแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา และเอกสารการยื่นขอจดทะเบียนมรดกโลก เพื่อดำเนินการรวบรวมรายชื่อประชาชนในการคัดค้านการยื่นขอจดทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกต่อไป
"รัฐบาลออกมาตอบคำถามดูทุกอย่างง่ายมาก แต่เนื้อหาสาระ ไม่สามารถชี้แจงอะไรที่ชัดเจนได้เลย ทุกอย่างดูมันง่ายหมด แต่ไม่ได้ตอบคำถามอะไรเลย ขณะที่ความจริงคือ ไทยจะเสี่ยงเสียดินแดน ซึ่งเรื่องนี้อันตรายมาก" ด้านนายประกาสิทธิ์ กล่าวว่า การที่นายกรัฐมนตรีบอกว่า การขึ้นทะเบียนเขาพระวิหาร ไม่ล้ำแดนไทยนั้น ผมอยากตั้งข้อสังเกตว่า แขตแดนไทยตามแผนที่ซึ่งนายกฯกล่าวอ้างนั้น เป็นเรา เราเข้าใจฝ่ายเดียวหรือไม่ แล้ว กัมพูชาเขารับรู้แนวเขตแดนตามแผนที่ไทย ว่าอยู่ตรงไหน ไม่มีความหมายอะไรเลย หากกัมพูชาเขายึดแผนที่ของเขาเป็นหลัก เพราะคำว่าพื้นที่ทับซ้อนนั้นจะเกิดขึ้น ได้จะต้องใช้แผนที่ของ 2ประเทศ ร่วมกัน ไม่ใช่การยึดแนวเขตของกัมพูชา ซึ่งหากยึดแนวเขตของกัมพูชา ไม่ต่างจากการยกพื้นที่ทับซ้อนของไทย ให้กับกัมพูชาเลย
Tag (ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง): สถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นพดล ปัทมะ ปราสาทเขาพระวิหาร ไทยเสียดินแดน เขมร
อ่านเรื่อง การบุกรุกเขาพระวิหารคร่าวๆ
ประวัติฮุนเซน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
ถ้าแสดงความเห็นตรงช่องนี้ผมจะได้อ่านทุกความเห็นครับ แต่ถ้าความเห็นไม่ขึ้นอาจเพราะระบบรอตรวจสแปม ต้องรอ1-2วัน / ใหม่ เมืองเอก kaeake@ymail.com