มีหลายๆประเด็นในช่วงนี้ ที่ผมอยากนำเสนอ เลยเกิดงงเอง ว่าจะเริ่มที่ไหนก่อนดี ในที่สุดก็ขอเริ่มจากเรื่องร้านทอง ปิดทำการซื้อขายทองคำแท่งในช่วงเสาร์อาทิตย์นี้ เนื่องจากร้านทองเองก็กลัวว่า หากมีการซื้อขาย แล้วพอถึงวันจันทร์ตลาดทองโลกเปิดขึ้นมา ร้านทองอาจขาดทุนได้(ขาดทุนกำไร) สรุปง่ายๆคือกลัวตัวเองขาดทุนนั่นแหล่ะ
อย่างที่เคยเล่าเรื่องทองมาแล้วในตอนก่อนๆ ว่ายังไงๆฝรั่งที่ผลิตทองขาย ไม่ว่าทองจะขึ้นจะลดยังไง พวกฝรั่งก็จะได้กำไรวันยังค่ำ แล้วแต่ว่าจะกำไรมากหรือน้อยเท่านั้น จากเดิมค่าธรรมเนียมการซื้อทองเคยคิดออนซ์ละ2เหรียญ ถ้าเอาไปขายคืนฝรั่ง ก็จะมีค่าธรรมเนียม8เหรียญ ต่อมาก็ค่อยๆเพิ่มเป็น10เหรียญ จนถึงตอนนี้รู้สึกว่าจะถึง20เหรียญแล้ว
อย่างที่บอกในตอนก่อนๆ ว่าราคาทองมันจะแปรผันตรงตามราคาราคาน้ำมัน ยิ่งราคาน้ำมันลง ทองก็มักจะลงไปด้วย อยากเก็งกำไรทองให้ขึ้น แต่ก็ต้องแลกกับราคาน้ำมันขึ้นไปด้วย สุดท้ายฝรั่งแขกรวยเหมือนเดิม เราอยากเป็นเหยื่อของการเก็งกำไรเช่นนี้หรือครับ คนรวยจากการเก็งกำไรมีน้อย คนจนจากการเก็งกำไรมีเยอะกว่ามาก มันเป็นรูปแบบเดิมๆ คือ ปลาใหญ่กินปลาเล็กน่ะครับ คนที่เขารวยจากการเก็งกำไร เขาก็จะโปรยความหวานของการเก็งกำไรให้แมลงเม่าหรือปลาเล็กอย่างเราๆ ไปเป็นเหยื่อของเขาต่อไปเรื่อยๆน่ะครับ
พอพูดถึงเรื่องการเก็งกำไรทอง ก็ต้องขอพูดถึงเรื่อง การเล่นหุ้น ต่อเลย
ที่จริง วัตถุประสงคของตลาดหุ้นแท้ๆก็คือ บริษัทที่กำลังเจริญก้าวหน้า และอยากขยายงานให้ใหญ่โตขึ้น ไม่อยากไปกู้เงินธนาคารเพราะกลัวเสียดอกแพง ก็เลยขอระดมทุนจากประชาชนแทน โดยการแบ่งขายหุ้นบริษัทมาขายให้ส่วนหนึ่ง จะได้ไม่ต้องมาเสียค่าดอกเบี้ยให้ธนาคาร เพราะหากดำเนินงานขยายล้มเหลว ยิ่งซวยขึ้นเป็นเท่าตัว แต่หากได้กำไรก็แบ่งกำไรให้ประชาชนที่อุตส่าห์หลงมาซื้อหุ้นหน่อย แต่หากขาดทุนก็ไม่ต้องจ่ายเงินปันผล
ที่บอกว่า หน่อย ก็เพราะ กำไรที่จะตอบแทนผู้ถือหุ้นก็จะมาจากการอนุมัติของเหล่าผู้ถือหุ้นใหญ่อยู่ดีว่าอยากจะแบ่งให้เท่าไหร่ ถ้าให้เยอะราคาหุ้นก็จะขยับขึ้นดีเร็วๆไปด้วย แต่ถ้าให้น้อยราคาหุ้นก็จะไม่ค่อยขึ้นเท่าไหร่ แต่ถ้าไม่อยากแบ่งเงินปันผลให้มาก ก็ต้องใช้วิธีการให้เนียนขึ้นมากๆ เช่นอ้างว่าจะเก็บไปเป็นทุนสำรองให้บริษัทขยายงานออกไป พัฒนาให้ดีขึ้นกว่าเดิม จะทำให้หน้าตาบริษัทดูดี ราคาหุ้นก็จะค่อยๆดูดีไปด้วย แต่ผู้ถือหุ้นเล็กๆก็จะได้เงินปันผลน้อยลง แลกกับหน้าตาบริษัทดูดี?
ทีนี้ในตลาดหุ้นล่ะ หลังๆวัตถุประสงค์แท้ๆ ไม่ค่อยมีใครสนใจเท่าไหร่ เพราะจะเป็นไปในทางเก็งกำไรซะส่วนใหญ่ โดยเฉพาะช่วงนี้วิกฤติอเมริกาที่พาหุ้นตกทั่วโลก กลุ่มทุนต่างประเทศที่เคยซื้อหุ้นในไทย ต่างพากันเทขายทิ้งเพื่อระดมเงินกลับประเทศ พลอยทำให้หุ้นไทยเกิดการปรับตัวลงอย่างหนัก แต่ก็ไม่ได้กระทบตลาดมากนัก เพราะโดยพื้นฐานจริงของบริษัทไทยส่วนใหญ่ยังอยู่ในสภาพปกติดี จะมีแต่กระทบผู้ถือหุ้นรายเล็กที่อาจขาดทุนจากการเทขายจากทุนข้ามชาติ และบรรดาโบรกเกอร์ที่ได้ค่านายหน้าน้อยลง ก็มีผลกันบ้างแต่ยังพอรับได้อยู่
.
หากมองในแง่ดี ก็เท่ากับเป็นโอกาสทองของคนที่คิดจะลงทุนจริงๆแบบระยะยาว ไม่ต้องมาซื้อของแพงจากการเก็งกำไรราคาหุ้นในอดีต เพราะตอนนี้ราคาหุ้นส่วนใหญ่ได้สะท้อนราคาที่เป็นจริงออกมาแล้วในช่วงนี้
.
อย่างที่เคยเล่าเรื่องทองมาแล้วในตอนก่อนๆ ว่ายังไงๆฝรั่งที่ผลิตทองขาย ไม่ว่าทองจะขึ้นจะลดยังไง พวกฝรั่งก็จะได้กำไรวันยังค่ำ แล้วแต่ว่าจะกำไรมากหรือน้อยเท่านั้น จากเดิมค่าธรรมเนียมการซื้อทองเคยคิดออนซ์ละ2เหรียญ ถ้าเอาไปขายคืนฝรั่ง ก็จะมีค่าธรรมเนียม8เหรียญ ต่อมาก็ค่อยๆเพิ่มเป็น10เหรียญ จนถึงตอนนี้รู้สึกว่าจะถึง20เหรียญแล้ว
อย่างที่บอกในตอนก่อนๆ ว่าราคาทองมันจะแปรผันตรงตามราคาราคาน้ำมัน ยิ่งราคาน้ำมันลง ทองก็มักจะลงไปด้วย อยากเก็งกำไรทองให้ขึ้น แต่ก็ต้องแลกกับราคาน้ำมันขึ้นไปด้วย สุดท้ายฝรั่งแขกรวยเหมือนเดิม เราอยากเป็นเหยื่อของการเก็งกำไรเช่นนี้หรือครับ คนรวยจากการเก็งกำไรมีน้อย คนจนจากการเก็งกำไรมีเยอะกว่ามาก มันเป็นรูปแบบเดิมๆ คือ ปลาใหญ่กินปลาเล็กน่ะครับ คนที่เขารวยจากการเก็งกำไร เขาก็จะโปรยความหวานของการเก็งกำไรให้แมลงเม่าหรือปลาเล็กอย่างเราๆ ไปเป็นเหยื่อของเขาต่อไปเรื่อยๆน่ะครับ
พอพูดถึงเรื่องการเก็งกำไรทอง ก็ต้องขอพูดถึงเรื่อง การเล่นหุ้น ต่อเลย
ที่จริง วัตถุประสงคของตลาดหุ้นแท้ๆก็คือ บริษัทที่กำลังเจริญก้าวหน้า และอยากขยายงานให้ใหญ่โตขึ้น ไม่อยากไปกู้เงินธนาคารเพราะกลัวเสียดอกแพง ก็เลยขอระดมทุนจากประชาชนแทน โดยการแบ่งขายหุ้นบริษัทมาขายให้ส่วนหนึ่ง จะได้ไม่ต้องมาเสียค่าดอกเบี้ยให้ธนาคาร เพราะหากดำเนินงานขยายล้มเหลว ยิ่งซวยขึ้นเป็นเท่าตัว แต่หากได้กำไรก็แบ่งกำไรให้ประชาชนที่อุตส่าห์หลงมาซื้อหุ้นหน่อย แต่หากขาดทุนก็ไม่ต้องจ่ายเงินปันผล
ที่บอกว่า หน่อย ก็เพราะ กำไรที่จะตอบแทนผู้ถือหุ้นก็จะมาจากการอนุมัติของเหล่าผู้ถือหุ้นใหญ่อยู่ดีว่าอยากจะแบ่งให้เท่าไหร่ ถ้าให้เยอะราคาหุ้นก็จะขยับขึ้นดีเร็วๆไปด้วย แต่ถ้าให้น้อยราคาหุ้นก็จะไม่ค่อยขึ้นเท่าไหร่ แต่ถ้าไม่อยากแบ่งเงินปันผลให้มาก ก็ต้องใช้วิธีการให้เนียนขึ้นมากๆ เช่นอ้างว่าจะเก็บไปเป็นทุนสำรองให้บริษัทขยายงานออกไป พัฒนาให้ดีขึ้นกว่าเดิม จะทำให้หน้าตาบริษัทดูดี ราคาหุ้นก็จะค่อยๆดูดีไปด้วย แต่ผู้ถือหุ้นเล็กๆก็จะได้เงินปันผลน้อยลง แลกกับหน้าตาบริษัทดูดี?
ทีนี้ในตลาดหุ้นล่ะ หลังๆวัตถุประสงค์แท้ๆ ไม่ค่อยมีใครสนใจเท่าไหร่ เพราะจะเป็นไปในทางเก็งกำไรซะส่วนใหญ่ โดยเฉพาะช่วงนี้วิกฤติอเมริกาที่พาหุ้นตกทั่วโลก กลุ่มทุนต่างประเทศที่เคยซื้อหุ้นในไทย ต่างพากันเทขายทิ้งเพื่อระดมเงินกลับประเทศ พลอยทำให้หุ้นไทยเกิดการปรับตัวลงอย่างหนัก แต่ก็ไม่ได้กระทบตลาดมากนัก เพราะโดยพื้นฐานจริงของบริษัทไทยส่วนใหญ่ยังอยู่ในสภาพปกติดี จะมีแต่กระทบผู้ถือหุ้นรายเล็กที่อาจขาดทุนจากการเทขายจากทุนข้ามชาติ และบรรดาโบรกเกอร์ที่ได้ค่านายหน้าน้อยลง ก็มีผลกันบ้างแต่ยังพอรับได้อยู่
.
หากมองในแง่ดี ก็เท่ากับเป็นโอกาสทองของคนที่คิดจะลงทุนจริงๆแบบระยะยาว ไม่ต้องมาซื้อของแพงจากการเก็งกำไรราคาหุ้นในอดีต เพราะตอนนี้ราคาหุ้นส่วนใหญ่ได้สะท้อนราคาที่เป็นจริงออกมาแล้วในช่วงนี้
.
แต่แน่นอนหากคิดจะซื้อหุ้นต้องลงทุนยาวๆ ใช้เงินเย็น ไม่ใช่เงินร้อนแบบกู้เขามาซื้อ มิเช่นนั้นก็จะกลายเป็นแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ
.
อ่านเศรษฐกิจโลกตก2
.
อ่านเศรษฐกิจโลกตก2
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
ถ้าแสดงความเห็นตรงช่องนี้ผมจะได้อ่านทุกความเห็นครับ แต่ถ้าความเห็นไม่ขึ้นอาจเพราะระบบรอตรวจสแปม ต้องรอ1-2วัน / ใหม่ เมืองเอก kaeake@ymail.com