วันอาทิตย์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2551

พวกไม่จงรักภักดี 5 นิตยสารfobes




กลับไปอ่านตอน4.

สิ่งหนึ่งที่พวกไม่จงรักภักดีใช้โจมตีสถาบันฯมาก ก็คือเรื่องทรัพย์สินของสถาบันฯ ซึ่งพวกไม่จงรักภักดี มักชอบอ้างหลักฐานข้อมูลจากนิตยสารFOBES ซึ่ง


นิตยสารFOBES คือนิตยสารทางธุรกิจชื่อดังของโลกที่ชอบจัดอันดับความรวยของมหาเศรษฐีของโลก แต่นอกจากจะจัดอันดับเศรษฐีที่เป็นสามัญชนทั่วไปแล้ว FOBES ยังได้จัดอันดับความร่ำรวยของราชวงศ์ต่างๆของโลกไว้ด้วยเสมอ
หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ โทษโบราณประหาร7ชั่วโคตรเลย
แต่บทความตอนนี้ ที่ผมต้องเขียนเรื่องนี้ก็เพราะ ปีนี้FOBESได้จัดอันดับว่าราชวงศ์ของไทยรวยที่สุดในโลก ในรายงานระบุว่า ราชวงศ์ไทยมีทรัพย์สินสุทธิที่ประมาณการได้ล่าสุดประมาณ 35 พันล้านเหรียญฯ (หรือ 1.19 ล้านล้านบาท ตามอัตราแลกเปลี่ยน 1 บาท: 34 ดอลลาร์)

ซึ่งหากเราไม่รู้ข้อมูลโดยละเอียดก็คงเชื่อไปตามนั้นแล้ว แต่ที่จริงข้อมูลของFOBESนั้น ยังมีความคลาดเคลื่อนอยู่มาก

ต่อมากระทรวงการต่างประเทศก็ได้ชี้แจงข้อมูลที่ถูกต้องแก่FOBESแล้ว ซึ่งมีเนื้อหาที่กระทรวงต่างประเทศชี้แจงผ่านเว็บไซด์ให้คนไทยได้รับรู้มีข้อความดังนี้
(ที่มาข้อมูลเว็บกระทรวงการต่างประเทศ)

บทความพิเศษของนิตยสาร Forbes เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ที่ร่ำรวยที่สุด

ตามที่ เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2551 นิตยสาร Forbes ได้เผยแพร่บทความพิเศษเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ประจำปี พ.ศ. 2551 และได้จัดให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงอยู่ในลำดับแรก ของพระมหากษัตริย์ที่ร่ำรวยที่สุด นั้น

สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ได้ชี้แจงว่า บทความดังกล่าวมีความคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริง เนื่องจากว่า ทรัพย์สินที่บทความนำมาประเมินนั้น ในความเป็นจริง มิใช่ทรัพย์สินส่วนพระองค์ แต่เป็นของแผ่นดิน ซึ่งเป็นไปในทำนองเดียวกันกับพระมหากษัตริย์ในประเทศอื่น

ที่บทความเดียวกันนี้ไม่ได้จัดอันดับฐานะความร่ำรวย เพราะทรัพย์สินต่างๆ ไม่ใช่ของกษัตริย์ หากแต่เป็นของคนทั้งชาติ สำนักงานทรัพย์สินฯ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า “ที่ดิน” ในความดูแลของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ส่วนใหญ่หน่วยงานราชการ องค์กรสาธารณะกุศลเป็นผู้ใช้ประโยชน์ และจัดให้ประชาชน ที่ไม่ได้มีฐานะร่ำรวย รวมทั้งชุมชนอีกกว่าหนึ่งร้อยแห่ง เช่าในอัตราที่ต่ำ มีเพียงส่วนน้อยประมาณร้อยละ 7 ของที่ดิน ที่จัดให้เอกชนเช่าและจัดเก็บในอัตราเชิงพาณิชย์

กระทรวงการต่างประเทศขอเรียนเพิ่มเติมว่า บทความพิเศษดังกล่าวยังได้พาดพิงถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่าทรงเกี่ยวข้องกับการปฏิวัติ เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2549 ซึ่งไม่ถูกต้อง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงไม่มีบทบาทเกี่ยวข้องกับการปฏิวัติดังกล่าวแต่อย่างใด
.
การที่ทรงมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งประธานคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นเพียงหน้าที่ขององค์พระมหากษัตริย์ ในฐานะที่ทรงเป็นพระประมุขของประเทศ ตามที่ได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศได้ชี้แจงไปยังนิตยสาร Forbes ด้วยแล้ว

คลิกอ่าน ความโง่ของพวกล้มเจ้า ประเด็นกล่าวหาในหลวงสนับสนุน คสช.


***********************************

ก่อนอื่นเราต้องแยกระหว่างคำว่า "ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์"  กับ "ทรัพย์สินส่วนพระองค์" ให้เข้าใจเสียก่อน จึงจะได้ไม่สับสน

1.ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ คือ ทรัพย์สินของสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งหมายถึงสถาบันฯ ที่ไม่ใช่ตัวบุคคลที่ดำรงพระยศเป็นพระมหากษัตริย์ เป็นทรัพย์สินที่สืบทอดกันมาตั้งแต่ต้นราชวงศ์จักรี พูดง่ายๆก็คือเป็นสมบัติของชาติชนิดหนึ่ง หมายถึงเป็นสมบัติของสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่มีมาตั้งแต่เริ่มตั้งราชวงศ์จักรีสืบทอดเรื่อยมา

ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ทรัพย์สินส่วนนี้จึงตกเป็นของแผ่นดิน แต่เพื่อเป็นการให้เกียรติราชวงศ์จักรีซึ่งเป็นเจ้าของเดิม จึงตั้งชื่อเป็นสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ขึ้น ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงการคลังอีกที

ส่วนพระมหากษัตริย์ ก็ได้รับพระเกียรติ์ให้ทรงสามารถแต่งตั้งคณะกรรมไปช่วยดูแลการทำงานได้ 4 คน โดยมีรมต.กระทรวงการคลังเป็นประธาน และมีผู้อำนวยการสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นผู้บริหาร แต่ทั้งหมดนี้ต้องนำไปใช้เพื่อประโยชน์ของชาติและประชาชนเท่านั้น



แต่ถ้าสำนักงานทรัพย์สินฯ อยากจะบริจาคเงินให้มูลนิธิต่าง ๆ ของในหลวง ก็ย่อมทำได้
"
และตามกฏหมายทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นทรัพย์สินของแผ่นดินจึงไม่ต้องเสียภาษี แต่ส่วนเงินปันผลที่ได้จากการถือหุ้นบริษัทต่างๆก็มีการหักภาษีณ.ที่จ่ายตามปกติ
(ข้อมูลทั้งหมดจากเว็บสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และสามารถติดตามการทำงานต่างๆของสำนักงานฯได้เช่นกัน)

ส่วนรายได้ของทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ก็จะนำไปลงทุนในกิจการต่าง ๆ เพื่อออกดอกผล แต่ทั้งหมดเมื่อได้มาก็เพื่อนำไปส่งเสริมกิจกรรมที่เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมต่อไป
.
แต่จะมีเงินส่วนหนึ่งที่จะถวายให้ในหลวงในแต่ละปี เพื่อไปใช้ตามพระราชอัธยาศัยบ้างตามสมควร (ก็อาจถือว่าเป็นเงินเดือนโดยตำแหน่งก็ได้ เราต้องไม่ลืมนะครับว่า เดิมทรัพย์สินตรงนี้เดิมเป็นของราชวงศ์จักรีมาก่อน พอเปลี่ยนแปลงการปกครองก็ไปยึดเอาของ ๆ ราชวงศ์จักรี ให้มาเป็นสมบัติชาติ )



2.ทรัพยสินส่วนพระองค์ อันนี้แปลง่ายๆ ก็คือทรัพย์สินส่วนตัวของในหลวง ซึ่งต้องเสียภาษีอากรให้แก่รัฐ ตามมาตรา 8 พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ.2479

และมูลนิธิตางๆที่ในหลวงทรงริเริ่มตั้งก็จะนำมาจากทรัพย์สินส่วนพระองค์ก่อตั้งทั้งสิ้นครับ เช่น
.
มุลนิธิอานันทมหิดล จุดประสงค์เพื่อมอบทุนให้แก่นักเรียนเรียนดีไปศึกษาต่อต่างประเทศในสาขาวิชาสำคัญๆที่ขาดแคลนในประเทศ (ดูข้อมูลจากเว็บมูลนิธิอานันทมหิดล และสามารถติดตามชมรายการของมูลนิธิได้ทางโมเดริ์น9ทีวี ทุกวันเสาร์เวลา 20.30น)
.
มูลนิธิชัยพัฒนา เป้าหมายที่สำคัญคือ เพื่อสงเคราะห์ช่วยเหลือประชาชนให้มีความร่มเย็นเป็นสุข และอยู่ดีกินดี อันจะนำไปสู่ความมั่นคงของประเทศ คือ “ชัยชนะแห่งการพัฒนา (ดูรายละเอียดได้ที่เว็บมูลนิธิชัยพัฒนา) และยังมีอีกหลายๆมูลนิธิเช่น มูลนิธิราชประชาสมาสัย เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยโรคเรื้อนและญาติ เป็นต้น
.

สำหรับทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และทรัพย์สินส่วนพระองค์ เป็นทรัพย์สินที่มีกฎหมายกำหนดอย่างชัดเจน

แต่ยังมีทรัพย์สินเล็กน้อยอีกประเภท ที่ผมขอเรียกเองว่า "ทรัพย์สินของราชวงศ์จักรี" จะเป็นประเภท สังหาริมทรัพย์ (ชื่อนี้อิงจากชื่อพิพิธภัณฑ์สมบัติราชวงศ์จักรี)


3. ทรัพย์สินราชวงศ์จักรี  ซึงในสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครอง คณะราษฎรเรียกทรัพย์ส่วนนี้ว่า "ทรัพย์อันมีค่าของแผ่นดิน" อันนี้เป็นทรัพย์สมบัติที่อยู่ภายใต้การดูแลโดยสำนักทรัพย์สินมีค่าของแผ่นดิน สังกัดกรมธนารักษ์ เช่น สิ่งของมีค่าทรัพย์สมบัติส่วนพระองค์ของในหลวงรัชกาลต่าง ๆ ที่ผ่านมา เช่น เหรียญกษาปณ์ เครื่องราชอิสริยยศ เครื่องราชอิสริยาภรณ์ หรือจะเป็น



คำว่า "ทรัพย์สินอันมีค่าของแผ่นดิน" หมายถึง ทรัพย์สิน "ของแผ่นดิน" มิใช่ "ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์"

ถือเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องในพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ รวมถึงทรัพย์สินที่พระมหากษัตริย์พระราชทานแก่ข้าราชบริพารในการเลื่อนยศเลื่อนตำแหน่ง

แต่ "ต้องส่งคืนหลวงเมื่อพ้นวาระ" อีกทั้งยังหมายถึง ทรัพย์สินที่จัดสร้างขึ้นด้วย "เงินงบประมาณแผ่นดิน" จึงเป็นทรัพย์สินที่ทรงคุณค่า เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญของชาติ

ทรัพย์สินเหล่านี้เองคือทรัพย์สินที่นำมาจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ซึ่งมี 1,700 รายการ จากทั้งหมดที่มีถึง 97,000 รายการ ซึ่งเก็บรักษาไว้ในห้องมั่นคงของกรมพระคลังมหาสมบัติ ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของกรมธนารักษ์

ความเป็นมาของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 2475 หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง คณะราษฎรได้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาทำการคัดแยก "ทรัพย์สินมีค่าของแผ่นดิน" กับ "ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์" ออกจากกัน ส่วนไหนที่เป็นของแผ่นดินจึงถูกนำมาเก็บไว้ในห้องมั่นคงดังกล่าว


คลิกอ่านรายละเอียดเรื่องนี้ในข่าว พิพิธภัณฑ์สมบัติราชวงศ์จักรี โดยกรมธนารักษ์

แล้วการที่ผมเรียกว่า ทรัพย์สินส่วนราชวงศ์จักรี เพราะผมเรียกโดยอิงจากชื่อ พิพิธภัณฑ์สมบัติราชวงศ์จักรี ตามข่าวที่ผมแนบลิงค์ไว้ หรือชื่ออย่างเป็นทางการคือ "ศาลาเครื่องราชอิสริยยศ เครื่องราชอิสริยาภรณ์ และเหรียญกษาปณ์” ในพิพิธภัณฑ์ทรัพย์สินอันมีค่าของแผ่นดิน

เมื่อสมศักดิ์ เจียมธีระสกุล ไม่รู้จักทรัพย์สินที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์สมบัติราชวงศ์จักรี ยังจะแถว่า ทรัพย์ส่วนนี้ดูแลโดยสำนักพระราชวัง สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี





ซึ่งทรัพย์สินอันมีค่าของแผ่นดินนี้ คณะราษฎรได้จัดแบ่งแล้วยกให้กรมพระคลังมหาสมบัติดูแล ก่อนจะมีพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2479 เสียอีก

ทำให้คำว่า "ทรัพย์อันมีค่าของแผ่นดินนี้" จึงไม่มีคำ ๆ นี้อยู่ในพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2479 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2491 จึงทำให้ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล จึงไม่รู้จักทรัพย์สินส่วนนี้

ต่อมา พ.ศ. 2545 กรมธนารักษ์ได้ปรับโครงสร้างการแบ่งส่วนราชการอีกครั้ง โดยได้จัดตั้ง “สำนักทรัพย์สินมีค่าของแผ่นดิน” ขึ้นตามกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง ลงวันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2545 เพื่อดูแลรับผิดชอบในการดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สินมีค่าของแผ่นดิน ตราบจนทุกวันนี้


4. ทรัพย์สินส่วนสาธารณสมบัติของแผ่นดิน หมายความว่า ทรัพย์สินในพระมหากษัตริย์ซึ่งใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ เป็นต้นว่า พระราชวังต่าง ๆ  ซึ่งได้รับการยกเว้นภาษี ตามมาตรา 8 พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ.2479 (เพิ่มเติม พ.ศ.2491)

ซึ่งทรัพย์สินส่วนสาธารณสมบัติของแผ่นดินนี้ ดูแลโดยสำนักพระราชวัง ซึ่งเป็นไปตามมาตรา 5 พระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2479 (เพิ่มเติม พ.ศ.2491) ซึ่งสำนักพระราชวังนั้นมีฐานะเทียบเท่า "กรม" และอยู่ในบังคับบัญชาของนายกรัฐมนตรี

------------

สำนักพระราชวัง รัฐบาลให้งบประมาณปีละประมาณ 2,000 ล้านบาทแก่สำนักพระราชวังซึ่งอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของนายกรัฐมนตรีโดยตรง และมีเลขาธิการพระราชวังบริหาร ส่วนหน้าที่ดูแลทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับพระบรมวงศานุวงศ์ รวมทั้งจัดการงานคลังหรืองานอื่นๆอีกมากมาย (ไปดูได้ที่เว็บสำนักพระราชวัง)
.
ฉะนั้นใครที่กล่าวหาว่า ในหลวงทรงได้เงินงบประมาณมาก จงรู้ไว้ด้วยว่า งบประมาณที่ได้จากรัฐบาลไม่ใช่จะใช้ส่วนพระองค์เพียงอย่างเดียว แต่เป็นเงินที่จะต้องถวายให้พระบรมวงศานุวงศ์ด้วย รวมทั้งเป็นงบใช้จ่ายเกี่ยวกับเงินเดือนข้าราชการ ค่าน้ำมัน ค่านำ ค่าไฟค่าซ่อมแซมของพระราชวังที่ยังใช้งานอยู่ทั้งหมดด้วย
.
ถ้าจำไม่ผิดเงินที่ถวายส่วนพระองค์ที่รัฐถวายให้ในหลวงเป็นส่วนพระองค์จริง ๆ เดี๋ยวน่าจะอยู่ประมาณ 100 ล้านบาทต่อปีเท่านั้น ส่วนพระบรมวงศานุวงศ์แต่ละพระองค์ได้น้อยกว่านี้มาก (ข้อมูลตรงนี้เคยได้อ่านจากนิตยสารสกุลไทย)
ซึ่งเงินส่วนนี้ที่ได้รับก็จะถูกแยกนำไปเข้าสู่ทรัพย์สินส่วนพระองค์อีกทีหนึ่งครับ และรายได้ที่ประชาชนทูลเกล้าถวายพระบรมวงศานุวงศ์ก็จัดอยู่รวมในทรัพย์สินส่วนพระองค์เช่นเดียวกัน ซึ่งทั้งหมดนั้นต้องเสียภาษีด้วย

(มีนักกีฬาเหรียญโอลิมปิคหรือนักกีฬาเทนนิสชื่อดังอย่างภราดร ก็ยังเคยได้รับการงดเว้นภาษีรายได้จากเงินรางวัลครับ)

****************************************
.
ถามว่า ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์สามารถตรวจสอบได้มั้ย?

ตอบว่า ได้ครับ เพราะเป็นทรัพย์สินของรัฐประเภทหนึ่งตามที่ได้อธิบายไปแล้ว จึงสามารถตรวจสอบได้ตามกฏหมายครับ ซึ่งเรื่องนี้ในเว็บของสำนักพระราชวังก็มีบอกไว้ ดูได้จากเว็บสำนักพระราชวัง เรื่อง สิทธิของประชาชน คลิกได้ที่นี่ครับ
หรือหากใครคิดว่าสงสัยเรื่องความโปร่งใสเรื่องใดที่เกี่ยวกับทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ก็ทำเรื่องร้องเรียนได้ที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ได้เลยครับ
.
แต่ถ้าถามว่า สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ทีหน้าที่ต้องเปิดเผยการใช้เงินมั้ย?
.
ต้องตอบว่าไม่มีหน้าที่ แต่ถึงไม่มีหน้าที่ต้องเปิดเผย แต่ในทางปฏิบัติก็มีการเปิดเผยอยู่เพื่อทำเป็นบัญชี แต่ไม่จำเป็นต้องป่าวประกาศทั่วไป แต่ถ้าใครอยากรู้เรื่องไหนก็ไปขอดูได้ แต่ต้องทำให้ถูกต้องตามระเบียบ อย่าลืมว่า ทรัพย์สินส่วนนี้แม้ยกให้แผ่นดินก็จริง แต่ถือว่าเดิมเป็นทรัพย์สินส่วนที่ได้มาจากราชวงศ์จักรี ไม่ได้เกิดจากการเก็บภาษีจากประชาชนตามระบอบประชาธิปไตยและไม่ใช่จากงบประมาณแผ่นดินนะครับ

.
ถามว่า ทรัพย์สินส่วนพระองค์สามารถตรวจสอบได้มั้ย?
ตอบว่า ไม่ได้ครับ ก็เพราะมันเป็นทรัพย์สินส่วนตัว
.
ชาติ (ประกอบด้วย3สถาบัน) คนไทยทกคนต้องจ่ายภาษีให้สถาบันฯชาติทุกคน ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม

แล้วทำไม แค่เงินงบประมาณที่รัฐบาลให้แก่สถาบันพระมหากษัตริย์เพียงปีละประมาณ 2,000 ล้านบาท (ข้อมูลเก่าเกิน10ปี)  ซึ่งรวมค่าใช้จ่ายทุกอย่างตามข้างต้น กลับมีคนจ้องโจมตี ก็เพราะคนที่จ้องโจมตีมันไม่ต้องการให้มีสถาบันฯอยู่แล้ว ทุกอย่างจึงล้วนผิดหมด
.
เงินส่วนพระองค์จริงๆปีละประมาณแค่ 100 ล้าน ซึ่งพระองค์ก็นำไปช่วยเหลือประชาชนอีกต่อหนึ่ง กลับโดนพวกไม่จงรักภักดีสถาบันฯจ้องโจมตี แต่ผู้บริหารปตท.มีเงินเดือนๆละ13ล้านบาทยังไม่รวมโบนัส กลับไม่มีใครสนใจ ทั้งๆที่ปตท.ก็เป็นของประชาชนแท้ๆ แต่ถูกนักการเมืองนำไปแปรรูปฯ

(หมายเหตุ เรื่องรายได้ ceo ปตท. เฉลี่ย 13 ล้านต่อเดือน มาจากปากนายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ที่ไปออกรายการของ มล.ปลื้ม เทวกุล ทางช่อง 9 เมื่อหลายปีก่อน)

.I love guitar
ฉะนั้นการที่ FOBES นำเสนอว่า ในหลวงเรารวยที่สุดในโลกจึงไม่เป็นความจริง แต่ถ้านำเสนอว่า ในหลวงคือกษัตริย์ที่มีจำนวนประชาชนร่วมถวายทรัพย์แด่พระองค์ เพื่อให้พระองค์นำไปพัฒนาช่วยเหลือความเป็นอยู่ให้ประชาชนดีขึ้นมากที่สุดในโลกอย่างนี้ ถึงจะเป็นข้อมูลที่ถูกต้องที่สุดครับ
.
พวกที่ไม่จงรักภักดียังโจมตีเรื่องรถพระที่นั่งยี่ห้อมายบัค(maybach) ขอตอบว่า เป็นรถที่บริษัทเดมเลอร์ไครสเลอร์ ได้ทูลเกล้าถวายให้เนื่องในวโรกาสเฉลิมฉลองการครองราชย์ครบ 60 ปี เป็นจำนวน 2 คัน ฉะนั้นใครไม่เชื่อก็ไปถามบริษัทเบนซ์ได้เลย
.
สมัยรัฐบาลทักษิณก็ได้ซื้อถวายเพิ่มอีก 2 คันเพื่อใช้ทดแทนรถพระที่นั่งชุดเก่าที่ทรงใช้มานานกว่า 30 ปี ส่วนรถยี่ห้ออื่นไม่ว่าจะเป็นบีเอ็มหรือโตโยต้าและเบ๊นซ์ล้วนแต่เป็นรถที่ทูลเกล้าถวายฯจากบริษัทรถเป็นส่วนใหญ่ (บริษัทเดมเลอร์มีแผนจะยุบผลิตภัณฑ์maybachอีกภายใน2ปีข้างหน้า)
.
(แต่พวกชั่วคิดล้มเจ้ายังจะโทษเรื่องการใช้รถราคาแพง ก็น่าจะไปโทษทักษิณมากกว่า เพราะในหลวงท่านไม่เคยรับสั่งว่าต้องซื้อให้ท่าน)
.
และเราต้องเข้าใจคำว่า ร.ย.ล. หรือ ราชยานหลวง เสียก่อนว่า เป็นรถสำหรับใช้ในราชการของสถาบันฯ ไม่ใช่รถส่วนพระองค์
.
ร.ย.ล. อาจเป็นได้ตั้งแต่รถกระบะที่ใช้งานในวังไปจนถึงรถพระที่นั่งของพระราชวงศ์ ส่วนรถมายบัคที่เป็นรถพระที่นั่งก็เปรียบเสมือนรถประจำตำแหน่งของพระมหากษัตริย์ ไม่ใช่รถส่วนพระองค์ของในหลวงนะครับ โปรดทำความเข้าใจด้วยครับ

.
ส่วนเรื่องพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยานิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาส ราชนครินทร์ ซึ่งใช้งบประมาณหลวงไป 300 ล้านบาท แล้วโดนโจมตีจากพวกไม่จงรักภักดีฯ ข้อนี้ผมไม่อยากเถียง เพราะคนที่รักก็มองอีกมุมหนึ่ง คนที่ไม่รักไม่ภักดีย่อมต้องมองอีกมุมหนึ่ง เถียงไปก็ไร้ประโยชน์ รังแต่จะสร้างความระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทไปเปล่า ๆ และจะเป็นการเข้าทางพวกไม่จงรักภักดีได้ฯ เพราะพวกนี้เป็นฝ่ายอยู่ในที่มืด พวกนี้ไม่มีอะไรต้องเสียอยู่แล้ว แต่เราผู้จงรักภักดีฯ อาจกลายเป็นเหยื่อเอง
.
ผมบอกได้แค่เพียง งบประมาณที่ซื้อโน้ตบุ้คใหม่ๆเจ๋งสุดๆให้พวกบรรดา สส. และสว. รวมถึงคณะรัฐมนตรีทั้งสภา รวมกับงบซื้อรถหรู ๆ ประจำตำแหน่งรัฐมนตรีที่เปลี่ยนก็ออกบ่อยๆ เป็นเงินมากมายก็ยังไม่เห็นมีใครโวยกันเลย ฉะนั้นการเถียงกันเรื่องแบบนี้จึงยากที่จะจบ มันขึ้นอยู่กับมุมมองและความรู้สึกด้วย

.
(แต่ถ้าเรามองโลกในแง่ดี ก็จะรู้ว่า ช่างฝีมือทุกแขนงอยากมีที่ที่ได้แสดงฝีมือเพื่อเป็นการฝึกฝนและเป็นการเรียนรู้เพื่อสืบสานงานศิลปะชั้นสูง ที่ยากนักจะได้มีโอกาสได้ฝึกฝนอย่างเห็นเป็นรูปธรรมและใช้งานได้จริงๆ ศิลปจากงานสร้างพระเมรุมาศบางอย่างกำลังจะสูญหายไป เหลือแต่ในพิพิธภัณฑ์ ซึ่งนั่นหมายถึงศิลปะที่ตายแล้ว และศิลปกรรมในการสร้างพระเมรุนั้น ไม่ใช่มีเฉพาะสิ่งที่เก่าๆที่สืบทอดมาเท่านั้น แต่ได้มีการประยุกต์และคิดค้นใหม่เพิ่มเติมเข้าไปด้วยหลายอย่าง ศิลปะกรรมบางอย่างไม่อาจพบเห็นได้จากงานทั่วไป จะมีให้ได้เห็นเฉพาะงานพระราชพิธีเท่านั้น "ศิลปะบางครั้งวัดกันไม่ได้ที่ราคา แต่มันอยู่ที่คุณค่ามากกว่า" หากผมอยากจะมองในแง่ร้ายก็สามารถคิดได้สามารถหาเหตุผลมาโจมตีได้เหมือนกัน แต่ผมเลือกที่จะอยู่ฝั่งเข้าใจเหตุผลในแง่มองโลกในแง่ดีมากกว่า และในฐานะคนไทยคนนึง ผมยินดีที่ถวายให้พระองค์อย่างสมพระเกียรติ)

.
อย่าลืมนะครับว่า ในหลวงร.9 คือบุคคล ไม่ใช่สถาบันฯ แต่ในหลวง ร.9 คือส่วนหนึ่งของสถาบันพระมหากษัตริย์ การที่FOBESจัดอันดับเป็นเรื่องของทรัพย์สินที่รวมส่วนของสถาบันฯเข้าไปคิดด้วย และไม่ใช่เงินสดทั้งหมด เป็นเพียงค่าประมาณการ หรือค่าประเมินว่า ถ้ามีการขายจะมีมูลค่าประมาณนี้ แต่ในความเป็นจริง แทบไม่มีการขายทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เลย น้อยมาก เช่นที่ดินก็มีแต่ให้เช่าเป็นส่วนใหญ่ และให้เช่าในราคาถูกกว่าราคาตลาดหลายเท่ามาก
.
แต่ทั้งหมดที่เขียนมา พวกไม่จงรักภักดีเขาไม่เชื่อผมหรอก พวกนี้ก็ยังคิดโทษอยู่อย่างเดียวว่า คนไทยจน คนไทยไม่เจริญเท่าญี่ปุ่นเพราะสถาบันฯเป็นต้นเหตุทั้งหมด เหตุผลอื่นๆเป็นเรื่องรองๆและไม่สำคัญไปหมด (ตามที่เคยอธิบายในบทความตอนที่3แล้ว)
.
(**หากผมจะถามเล่นๆว่า จะมีใครกล้าเอาหัวและตระกูล7ชั่วโคตรของตัวเองเป็นประกันได้บ้างว่า หากไม่มีสถาบันฯแล้ว ไทยเราจะเจริญแบบญี่ปุ่นกับสิงคโปร์ จะไม่เป็นแบบพม่าหรือฟิลิปปินส์ จะมีนักการเมืองที่โกงกินกันน้อยลงจากการจัดอันดับของต่างประเทศ และคนไทยจะรักกันไม่แตกแยกไม่ฆ่ากันเพื่อชิงอำนาจ?)
.
ขอย้ำจุดประสงค์ของผมอีกครั้ง ผมไม่ได้ต้องการเปลี่ยนแปลงความคิดของพวกไม่จงรักภักดีสถาบันฯเลยแม้แต่คนเดียว แต่ผมอยากเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยเป็นภูมิต้านทานทางความคิดให้แก่คนที่จงรักภักดีสถาบันฯ และให้คนไทยได้รับรู้ว่า ประเทศไทยมีผู้คิดล้มล้างระบบสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่จริง
.
"การจ้องด่าและจับผิดนั้นทำง่าย แต่การพยายามทำดีโดยไม่มีที่ตินั้นทำยากที่สุด แม้องค์ศาสดาของทุกๆ ศาสนาเองก็ยังไม่พ้นคนนินทาเลย ธรรมดาของโลกครับ"
.
อ่านต่อตอนที่ 6 ตอน รู้จริงเรื่องโครงการในหลวง
คลิกอ่าน สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ไม่ใช่ของในหลวงภูมิพล

-->

21 ความคิดเห็น:

  1. ขอบคุณมากค่ะคุณ
    หนูกำลังหาข้อแก้ต่างอยู่เลย ชัดเจนมากๆค่ะ
    ทีนี้หนูจะได้ไปด่ากับไอ้พวกล้มเจ้าได้แล้ว

    ตอบลบ
  2. ดีใจครับ ที่บทความตอนนี้เป็นประโยชน์ของคุณ Unspecial Meครับ

    อยากแนะนำให้คุณอ่าน พวกไม่จงรักภีกดีฯ ครบทั้ง8ตอนด้วยนะครับ

    ตอบลบ
  3. ไม่ระบุชื่อ25 พฤษภาคม, 2553 20:55

    คงต้องช่วยกัน อธิบายอีกยาวนาน เพราะคนพวกนี้ก้อถูกบ่มความเท็จมา 4 - 5 ปีแล้วเหมือนกัน

    ตอบลบ
  4. ผู้ไม่คิดออก๙ื่อ25 พฤษภาคม, 2553 22:37

    เรื่องนี้ผมก็พอจะรู้อยู่

    นับตั้งแต่ พ.ศ. 2475 มาถึงปัจจุบัน

    คณะราษฎรแบ่งทรัพย์สินของราชวงศ์จักรีเป็น 3 ส่วน

    1.ทรัพย์สินส่วนพระองค์ คือ ทรัพย์สินส่วนตัวของในหลวงแต่ละรัชกาล

    2.ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ คือ ทรัพย์สินที่ในหลวงทุกพระองค์ทรงเปนเจ้าของร่วมกัน

    3.ทรัพย์สินแผ่นดิน คือ ทรัพย์สินที่ตกเปนของสาธารณะ

    ตอบลบ
  5. ไม่ระบุชื่อ27 พฤษภาคม, 2553 22:35

    ขอบคุณมากค่ะสำหรับข้อมูล ขอเอาไปเผยแพร่ในFBค่ะ

    ตอบลบ
  6. อย่าว่าแต่ทรัพย์สินเลยคับ ที่คนพร้อมจะถวาย ชีวิต เลือดเนื้อ จิตวิญญาณ คนส่วนมาก ก็พร้อม โดยเฉพาะผม ให้หมด

    ตอบลบ
  7. ชอบบทความค่ะ แต่ควรใช้คำว่าในหลวงรัชกาลปัจจุบันค่ะถึงจะถูกต้องนะคะตามหลักภาษาและความถูกต้องค่ะ. ขอบคุณที่มีบทความดีๆมาให้อ่าน

    ตอบลบ
  8. ไม่ระบุชื่อ05 พฤษภาคม, 2555 12:59

    แม้สละชีพเพื่อปกป้องพระองค์ท่านก็ยอมครับ ...

    ตอบลบ
  9. ไม่ระบุชื่อ05 พฤษภาคม, 2555 13:54

    ขอบคุณค่ะ...

    ตอบลบ
  10. ไม่ระบุชื่อ07 พฤษภาคม, 2555 12:13

    ขอบคุณครับ
    ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

    ตอบลบ
  11. รบ.อนุมัติงบฯ 100 ล.จัดงานพระราชพิธีพระศพ”เจ้าฟ้าเพชรรัตน์ฯ”

    http://goo.gl/DPlmh

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. รัฐบาลก็คือตัวแทนเสียงส่วนใหญ่ เวลารัฐบาลเขาอนุมัติอะไร ก็เสมือนเสียงส่วนใหญ่ให้อำนาจอยู่แล้ว เว้นแต่บางเรื่องอาจต้องผ่านสภาอีกครั้ง

      ซึ่งไม่เคยมีพรรคการเมืองพรรคไหนยกมือคัดค้าน เวลาจะใช้งบประมาณทูลเกล้าถวายฯ ทั้งส่วนพระองค์ หรือโดยพระตำแหน่ง

      หากใครคิดว่า ไม่อยากถวายอะไรให้พระราชวงศ์ ก็ไปตั้งพรรคการเมืองเองเลยดิ แล้วเข้าไปในสภา ไปคัดค้าน ถ้าแน่จริง 555

      ลบ
    2. ถ้าคุณคิดว่าเรื่องไหนผิด ลองไปฟ้องร้องดูได้ครับ ว่ารัฐทำผิดกฎหมายข้อไหนในการถวาย (ซึ่งส่วนใหญ่ผมเห็นรัฐถวายในนามพระราชตำแหน่ง)

      ถ้าคุณอ้างว่ารัฐผิดกฏหมายข้อไหน ก็ยกกฎหมายนั้นฟ้องร้องต่อศาลเชื่อว่า ศาลต้องรับฟ้องแน่นอน ลองดูนะครับ

      ถ้าเรื่องไหนไม่มีกฎหมายรองรับ ศาลก็เอาผิดไม่ได้ครับ

      ลองไปหาดูนะครับ ว่ามีกฎหมายข้อไหนห้ามรัฐถวายทรัพย์ต่อราชวงศ์ ลองดูครับ ไปฟ้องเลยครับ ^^

      ลบ
    3. ย้ำว่า หากไม่มีระบุว่าห้ามราชวงศ์ แสดงว่า ยกเว้่นสำหรับราชวงศ์

      กฎหมายสามัญชน จะนำมาใช้กับพระราชวงศ์ไม่ได้

      หากไม่มีกฎหมายห้ามและระบุเฉพาะเจาะจงว่า ห้ามพระราชวงศ์ให้ชัดเจนแสดงว่า นี่คือข้อยกเว้นสำหรับราชวงศ์

      ถ้าห้ามถวายพระราชวงศ์ กฎหมายก็ต้องระบุให้ชัด ถ้าไม่ระบุแปลว่า ยกเว้นสำหรับพระราชวงศ์ไป

      ไปขึ้นศาลก็เอาผิดไม่ได้ เพราะไม่มีข้อห้าม และอย่าไปเติมบิดเบือนกฎหมายเอง ตามที่คุณทำในมาตรา147 ที่ไปเติมคำว่าพระราชวงศ์เอาเองนะครับ

      ลบ
  12. Monarchy and Ultra Royalist can do no wrong. Cos there is no any rule and law

    ตอบลบ
  13. ไม่ระบุชื่อ16 ธันวาคม, 2557 00:21

    โคดมั่ว... มั่วได้มั่วมาก

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ต้องแบบที่พวกล้มเจ้าบอกใช่ไหม ถึงจะไม่มั่ว ??
      ควายเหอะ 555

      ลบ
  14. ไม่ระบุชื่อ16 ธันวาคม, 2557 23:49

    พอเขาไม่เห็นด้วย คุณก็ว่าเขา ไม่จงรักภักดี แบบนี้มันจะคุยกันไม่รู้เรื่อง เขียนเรื่องพวกนี้มันก็ต้องมีคนไม่เห้นด้วยอยู่แล้ว ที่จริงถ้าคุณคิดว่าแน่จริง น่าจะดีเบตกับบาโฟไปเลยนะ ผมก็อยากรู้เหมือนกัน

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. คุณไม่เห็นด้วย แต่ไม่เห็นด้วยประเด็นไหนก็ลองถามมาสิครับ ผมดีเบตมาเยอะแล้วในเรื่องนี้

      ลบ
  15. สมศักดิ์ เจียม เคยอ่านบทความผมแล้ว และสิ่งที่เจียมโจมตีมีประเด็นเดียวคือ คำว่า ทรัพย์ราชวงศ์จักรี
    ซึ่งตอนที่ผมเขียนทรัพย์ส่วนนี้ ผมเขียนไม่ละเอียด แต่ตอนนี้ผมแก้ไขเนื้อหาให้ละเอียดขึ้นแล้ว
    ลองไปอ่านที่เฟสบุ๊ค สมศักดื์ เจียม ที่โพสในวันที่ 15 ธันวาคม 2557 ที่ผ่านมาสิครับ
    ส่วนคำว่า "ทรัพย์ในราชวงศ์จักรี" ผมเรียกเอง โดยอิงตามชื่อ "พิพิธภัณฑ์ราชวงศ์จักรี" ที่กรมธนารักษ์ดูแลอยู่ ตามลิงค์ในบทความผมแนบไว้แล้ว

    แต่ชื่อที่คณะราษฎรเรียกคือ "ทรัพย์สินมีค่าของแแผ่นดิน"
    .
    ผมเจอแต่พวกล้มเจ้าเท่านั้นแหละ ที่ไม่เชื่อบทความนี้ของผม เพราะแม้แต่อาจารย์บวรศักดิ์ และท่านชายจุลเจิม ก็เคยนำบทความนี้ของผมไปแชร์ต่อ

    ตอบลบ

ถ้าแสดงความเห็นตรงช่องนี้ผมจะได้อ่านทุกความเห็นครับ แต่ถ้าความเห็นไม่ขึ้นอาจเพราะระบบรอตรวจสแปม ต้องรอ1-2วัน / ใหม่ เมืองเอก kaeake@ymail.com


ผู้ติดตาม