(คลิกดูคลิปข่าวพระราชทานเพลิงศพน้องโบว์)
แต่ในความจริงคืนวันที่6 ต.ค.51 ผู้ชุมนุมพธม.ได้ปิดล้อมหน้ารัฐสภาได้ก่อนเที่ยงคืน ขณะนั้นหน่วยสลายผู้ชุมนุมของตำรวจก็ยังไม่มี ถ้าหากผู้ชุมนุมจะยึดรัฐสภาจริง ก็สามารถทำได้ตั้งแต่กลางคืนแล้ว แต่กลุ่มผู้ชุมนุมไม่ได้กระทำเพราะไม่มีเจตนาที่จะยึดรัฐสภาอย่างที่นายกฯสมชายกล่าวอ้าง
หากจะเปรียบเทียบกับกรณียึดทำเนียบของพธม.ในยุครัฐบาลสมัครนั้นมีความต่างกัน จากการปิดล้อมรัฐสภา เพราะรัฐสภาถือเป็นเขตพระราชฐาน อยู่ติดกับพระที่นั่งวิมานเมฆและพระที่นั่งอนันตสมาคม กลุ่มพธม.จึงไม่เคยมีเจตนายึดรัฐสภามาตั้งแต่แรก
?แม้รัฐบาลจะอ้างว่า หากเป็นทำเนียบขาวของอเมริกา ผู้บุกรุกก็จะโดนยิงตายทันทีนั้น
กรณีทำเนียบขาวของอเมริกานั้น ทำเนียบขาวไม่ได้เป็นที่ทำงานของประธานาธิบดีสหรัฐฯเท่านั้น แต่ยังเป็นที่พักของประธานาธิบดีด้วย ซึ่งต่างกับทำเนียบรัฐบาลไทยโดยสิ้นเชิง
และการที่กลุ่มพธม.ยึดทำเนียบนั้น ทำไมรัฐบาลและตำรวจไม่สลายกลุ่มผู้ชุมนุมในตอนนั้น แต่แค่การปิดล้อมรัฐสภาแต่ยังไม่ได้บุกเข้ายึดเลย รัฐบาลกลับสั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการเข้าสลาย
? กรณีที่ตำรวจและนายกฯสมชาย กล่าวหาว่ากลุ่มพธม.มีอาวุธในการมาที่หน้ารัฐสภานั้น จึงทำให้เจ้าหน้าที่ต้องสลายผู้ชุมนุม
อันนี้ก็มั่วอีกเช่นเคย เพราะการที่ตำรวจเข้าสลายกลุ่มผู้ชุมนุมในตอนเช้าเวลา06.20น.นั้น ยังไม่มีผู้ชุมนุมคนไหนที่บุกเข้าทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจเลยสักคน ทุกคนยืนอยู่หลังรั้วเหล็กและกำแพงยางรถยนตร์อย่างสงบไม่มีการบุกรุกเลยเขต แต่ตำรวจกลับใช้วิธีการยิงแก๊สน้ำตาเข้าสลายโดยทันที ไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนของวิธีสากลที่ถูกต้อง
? วันที่8ต.ค. นายกฯสมชายกล่าวกับนักข่าวว่า การที่ตำรวจสลายกลุ่มผู้ชุมนุมด้วยแก๊สน้ำตาเป็นไปตามหลักสากล ที่จำเป็นต้องสลายเพราะกลุ่มผู้ชุมนุมจะเข้ายึดรัฐสภาแบบที่เคยยึดทำเนียบ
แต่ในความจริงคืนวันที่6 ต.ค.51 ผู้ชุมนุมพธม.ได้ปิดล้อมหน้ารัฐสภาได้ก่อนเที่ยงคืน ขณะนั้นหน่วยสลายผู้ชุมนุมของตำรวจก็ยังไม่มี ถ้าหากผู้ชุมนุมจะยึดรัฐสภาจริง ก็สามารถทำได้ตั้งแต่กลางคืนแล้ว แต่กลุ่มผู้ชุมนุมไม่ได้กระทำเพราะไม่มีเจตนาที่จะยึดรัฐสภาอย่างที่นายกฯสมชายกล่าวอ้าง
หากจะเปรียบเทียบกับกรณียึดทำเนียบของพธม.ในยุครัฐบาลสมัครนั้นมีความต่างกัน จากการปิดล้อมรัฐสภา เพราะรัฐสภาถือเป็นเขตพระราชฐาน อยู่ติดกับพระที่นั่งวิมานเมฆและพระที่นั่งอนันตสมาคม กลุ่มพธม.จึงไม่เคยมีเจตนายึดรัฐสภามาตั้งแต่แรก
?แม้รัฐบาลจะอ้างว่า หากเป็นทำเนียบขาวของอเมริกา ผู้บุกรุกก็จะโดนยิงตายทันทีนั้น
กรณีทำเนียบขาวของอเมริกานั้น ทำเนียบขาวไม่ได้เป็นที่ทำงานของประธานาธิบดีสหรัฐฯเท่านั้น แต่ยังเป็นที่พักของประธานาธิบดีด้วย ซึ่งต่างกับทำเนียบรัฐบาลไทยโดยสิ้นเชิง
และการที่กลุ่มพธม.ยึดทำเนียบนั้น ทำไมรัฐบาลและตำรวจไม่สลายกลุ่มผู้ชุมนุมในตอนนั้น แต่แค่การปิดล้อมรัฐสภาแต่ยังไม่ได้บุกเข้ายึดเลย รัฐบาลกลับสั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการเข้าสลาย
? กรณีที่ตำรวจและนายกฯสมชาย กล่าวหาว่ากลุ่มพธม.มีอาวุธในการมาที่หน้ารัฐสภานั้น จึงทำให้เจ้าหน้าที่ต้องสลายผู้ชุมนุม
อันนี้ก็มั่วอีกเช่นเคย เพราะการที่ตำรวจเข้าสลายกลุ่มผู้ชุมนุมในตอนเช้าเวลา06.20น.นั้น ยังไม่มีผู้ชุมนุมคนไหนที่บุกเข้าทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจเลยสักคน ทุกคนยืนอยู่หลังรั้วเหล็กและกำแพงยางรถยนตร์อย่างสงบไม่มีการบุกรุกเลยเขต แต่ตำรวจกลับใช้วิธีการยิงแก๊สน้ำตาเข้าสลายโดยทันที ไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนของวิธีสากลที่ถูกต้อง
.
ถามว่าพันธมิตรผิดมั้ย ตอบผิดแน่นอน ที่ไปปิดกั้นทางเข้าสภา แต่ถามว่าตำรวจทำเกินกว่าเหตุมั้ย ตอบถ้าทำตามขั้นตอนด้วยความบริสุทธิ์ใจก็ไม่ผิด แต่ความผิดของพธม.เป็นความผิดถึงกับบาดเจ็บล้มตายมั้ย ลองคิดดู ว่าชีวิตคนกับการประชุมสภาอันไหนมันสำคัญกว่ากัน รัฐธรรมนูญก็ไม่ได้กำหนดว่า นายกฯจะต้องแถลงนโยบายที่รัฐสภาเท่านั้น แถลงที่ไหนก็ได้รัฐธรรมนูญไม่ได้ห้าม
.
.
ขนาดขโมยแอบมาลักทรัพย์ในบ้าน เจ้าของบ้านยิงขโมยตาย เจ้าของบ้านยังผิดเลยเพราะกระทำเกินกว่าเหตุ
? กรณีที่ตำรวจกล่าวหาว่า ผู้ชุมนุมทำร้ายตำรวจนั้น
แต่ก็เป็นเพราะในตอนเช้า กลุ่มผู้ชุมนุมโดนทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บก่อน โดยสัญชาตญาณของคน ก็ต้องต่อสู่เพื่อป้องกันตัว ความเจ็บแค้นที่มีคนตายในตอนบ่ายเพราะการจองล้างของตำรวจไม่เลิก จึงทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมเกิดความแค้นได้ และการบาดเจ็บของตำรวจทั้งหมด ล้วนแต่เกิดในตอนบ่ายทั้งนั้น
ฉะนั้นความรุนแรงของทั้งสองฝ่ายที่มีต่อมา ล้วนเกิดขึ้นจากฝ่ายตำรวจเริ่มก่อนทั้งสิ้น
?การที่ตำรวจแถลงว่า การที่น้องโบว์ได้เสียชีวิต เพราะอาจเกิดจากน้องโบว์หนีบระเบิดปิงปองไว้ แล้วระเบิดเกิดระเบิดขึ้น เป็นเหตุให้เสียชีวิต
ความเป็นจริง คณะแพทย์จาก3สถาบันโดยคุณหมออัจฉริยะ สาโรวาจน์ ภาควิชาศัลยกรรมคณะแพทย์ศาสตร์ รพ.จุฬาฯได้แถลงต่อมาภายหลังแล้วว่า น้องโบว์เสียชีวิตเพราะโดนวัตถุที่มีความร้อนและมีความเร็วสูงพุ่งเข้าปะทะอย่างรุนแรง ไม่ใช่ระเบิดปิงปองตามที่ตำรวจกล่าวหา เพราะหากเป็นระเบิดจริงต้องมีสะเก็ดโลหะที่ประกอบระเบิดฝังอยู่ในร่างกายบ้าง แต่ศพน้องโบว์กลับตรวจไม่พบสะเก็ดระเบิดเลยแม้แต่น้อย
? กรณีตำรวจแถลงว่า แก๊สน้ำตาที่ตำรวจใช้นั้นไม่สามารถทำร้ายร่างกายกลุ่มผู้ชุมนุมจนถึงขั้นบาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิตได้นั้น แล้วได้มีการส่าธิตการยิงและขว้างให้ผู้สื่อข่าวดูนั้น
ในความเป็นจริง ที่แถลงโดย พลตำรวจโท อัมพร จารุจินดา อดีตผู้บัญชาการสำนักงาน นิติวิทยาศาสตร์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แถลงว่า ปืนแก๊สน้ำตาที่ใช้ในการยิงสลายกลุ่มผู้ชุมนุมในวันที่7ต.ค.นั้น เป็นปืนที่ผลิตขึ้นในประเทศจีน เวลาตกกระทบวัตถจะมีพลังการระเบิดค่อนข้างรุนแรง หากยิงใส่กิ่งไม้ในระยะใกล้จะสามารถทำลายกิ่งไม้ใหญ่ๆให้ฉีกขาดได้
แต่ปืนแก๊สน้ำตาที่ตำรวจใช้สาธิตให้นักข่าวดูนั้น เป็นปืนแก๊สน้ำตาที่ผลิตในสหรัฐอเมริกาทีมีความปลอดภัยกว่าเพราะจะไม่มีการระเบิดขึ้นแบบปืนของจีน แต่จะตกกับพื้นแล้วค่อยปล่อยสารแก็สซึมออกมาเรื่อยๆ
? กรณีที่ตำรวจอ้างว่าปืนลูกยาง ไม่สามารถยิงทะลุผ่านร่างกายคนได้นั้น
อันนี้ก็ไม่เป็นความจริง เพราะ คุณหมอรัฐพลี ภาคอรรถ ผู้ช่วยผู้อำนวยการแผนกดูแลผู้ป่วยวิกฤติรพ.จุฬา ได้กล่าว ได้ทำการรักษาผู้บาดเจ็บคนนึงที่มีแผลที่ต้นขา พบว่ามีกระสุนยางฝังในอยู่ ฉะนั้นการที่ตำรวจอ้างว่ากระสุนยางไม่สามารถยิงทะลุร่างกายคนได้ จึงไม่เป็นความจริง
? ต่อมาการที่มีแพทย์จุฬาเขียนป้ายหน้าห้องตรวจว่า ห้องนี้งดตรวจตำรวจที่ทำร้ายประชาชนและนักการเมืองเลวๆ(ฝ่ายรัฐบาล)นั้น
คำชี้แจงของแพทย์จุฬาท่านหนึ่ง แผนกอายุศาสตร์ กล่าวว่า มันเป็นเพียงมาตรการที่ต้องการบอกต่อสังคมว่า หมอต่อต้านความรุนแรงของรัฐบาล และในความเป็นจริงโดยจรรยาบรรณแพทย์แล้ว ก็จะไม่ทำตามที่ป้ายเขียนติดไว้หรอก หากมีตำรวจเข้ามารักษาจริงๆ ก็ยังรักษาตามปกติ และตำรวจที่บาดเจ็บฉุกเฉินก็ไม่มีการปฏิเสธการรักษาแต่อย่างใด และป้ายก็ติดอยู่เพียงแค่วันเดียวเท่านั้น เมื่อสังคมภายนอกและสื่อได้รับรู้แล้วว่าบรรดาแพทย์คิดยังไง ก็น่าจะเพียงพอแล้ว จึงได้ดึงป้ายออก
นายแพทย์ท่านเดิมยังชี้แจงต่อมาว่า เพื่อนๆแพทย์จากหลายๆรพ. ที่ได้เข้าไปช่วยเหลือผู้บาดเจ็บในวันที่6ต.ค.นั้น มีหลายคนไม่ได้เป็นกลุ่มพันธมิตร แต่เข้าไปรับผู้บาดเจ็บและปฐมพยาบาลเบื้องต้นก่อนำส่งโรงพยาบาล ในขณะที่ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ เจ้าหน้าที่ตำรวจกลับยิงปืนแก๊สน้ำตาเข้าใส่โดยไม่สนใจว่า ตรงจุดนั้น มีแพทย์และพยาบาลกำลังทำการรักษาผู้บาดเจ็บอยู่
ดร.ศิรกานต์ ฐิตวัฒน์ อาจารย์จุฬาฯ บุตรสาวของผู้อำนวยการศูนย์บริจาคอวัยวะสภากาชาดไทย ก็สูญเสียนิ้วเท้าไป3นิ้ว จากการไปร่วมชุมนุมครั้งนี้
? กรณีที่ตำรวจกล่าวหาว่า ผู้ชุมนุมทำร้ายตำรวจนั้น
แต่ก็เป็นเพราะในตอนเช้า กลุ่มผู้ชุมนุมโดนทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บก่อน โดยสัญชาตญาณของคน ก็ต้องต่อสู่เพื่อป้องกันตัว ความเจ็บแค้นที่มีคนตายในตอนบ่ายเพราะการจองล้างของตำรวจไม่เลิก จึงทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมเกิดความแค้นได้ และการบาดเจ็บของตำรวจทั้งหมด ล้วนแต่เกิดในตอนบ่ายทั้งนั้น
ฉะนั้นความรุนแรงของทั้งสองฝ่ายที่มีต่อมา ล้วนเกิดขึ้นจากฝ่ายตำรวจเริ่มก่อนทั้งสิ้น
?การที่ตำรวจแถลงว่า การที่น้องโบว์ได้เสียชีวิต เพราะอาจเกิดจากน้องโบว์หนีบระเบิดปิงปองไว้ แล้วระเบิดเกิดระเบิดขึ้น เป็นเหตุให้เสียชีวิต
ความเป็นจริง คณะแพทย์จาก3สถาบันโดยคุณหมออัจฉริยะ สาโรวาจน์ ภาควิชาศัลยกรรมคณะแพทย์ศาสตร์ รพ.จุฬาฯได้แถลงต่อมาภายหลังแล้วว่า น้องโบว์เสียชีวิตเพราะโดนวัตถุที่มีความร้อนและมีความเร็วสูงพุ่งเข้าปะทะอย่างรุนแรง ไม่ใช่ระเบิดปิงปองตามที่ตำรวจกล่าวหา เพราะหากเป็นระเบิดจริงต้องมีสะเก็ดโลหะที่ประกอบระเบิดฝังอยู่ในร่างกายบ้าง แต่ศพน้องโบว์กลับตรวจไม่พบสะเก็ดระเบิดเลยแม้แต่น้อย
? กรณีตำรวจแถลงว่า แก๊สน้ำตาที่ตำรวจใช้นั้นไม่สามารถทำร้ายร่างกายกลุ่มผู้ชุมนุมจนถึงขั้นบาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิตได้นั้น แล้วได้มีการส่าธิตการยิงและขว้างให้ผู้สื่อข่าวดูนั้น
ในความเป็นจริง ที่แถลงโดย พลตำรวจโท อัมพร จารุจินดา อดีตผู้บัญชาการสำนักงาน นิติวิทยาศาสตร์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แถลงว่า ปืนแก๊สน้ำตาที่ใช้ในการยิงสลายกลุ่มผู้ชุมนุมในวันที่7ต.ค.นั้น เป็นปืนที่ผลิตขึ้นในประเทศจีน เวลาตกกระทบวัตถจะมีพลังการระเบิดค่อนข้างรุนแรง หากยิงใส่กิ่งไม้ในระยะใกล้จะสามารถทำลายกิ่งไม้ใหญ่ๆให้ฉีกขาดได้
แต่ปืนแก๊สน้ำตาที่ตำรวจใช้สาธิตให้นักข่าวดูนั้น เป็นปืนแก๊สน้ำตาที่ผลิตในสหรัฐอเมริกาทีมีความปลอดภัยกว่าเพราะจะไม่มีการระเบิดขึ้นแบบปืนของจีน แต่จะตกกับพื้นแล้วค่อยปล่อยสารแก็สซึมออกมาเรื่อยๆ
? กรณีที่ตำรวจอ้างว่าปืนลูกยาง ไม่สามารถยิงทะลุผ่านร่างกายคนได้นั้น
อันนี้ก็ไม่เป็นความจริง เพราะ คุณหมอรัฐพลี ภาคอรรถ ผู้ช่วยผู้อำนวยการแผนกดูแลผู้ป่วยวิกฤติรพ.จุฬา ได้กล่าว ได้ทำการรักษาผู้บาดเจ็บคนนึงที่มีแผลที่ต้นขา พบว่ามีกระสุนยางฝังในอยู่ ฉะนั้นการที่ตำรวจอ้างว่ากระสุนยางไม่สามารถยิงทะลุร่างกายคนได้ จึงไม่เป็นความจริง
? ต่อมาการที่มีแพทย์จุฬาเขียนป้ายหน้าห้องตรวจว่า ห้องนี้งดตรวจตำรวจที่ทำร้ายประชาชนและนักการเมืองเลวๆ(ฝ่ายรัฐบาล)นั้น
คำชี้แจงของแพทย์จุฬาท่านหนึ่ง แผนกอายุศาสตร์ กล่าวว่า มันเป็นเพียงมาตรการที่ต้องการบอกต่อสังคมว่า หมอต่อต้านความรุนแรงของรัฐบาล และในความเป็นจริงโดยจรรยาบรรณแพทย์แล้ว ก็จะไม่ทำตามที่ป้ายเขียนติดไว้หรอก หากมีตำรวจเข้ามารักษาจริงๆ ก็ยังรักษาตามปกติ และตำรวจที่บาดเจ็บฉุกเฉินก็ไม่มีการปฏิเสธการรักษาแต่อย่างใด และป้ายก็ติดอยู่เพียงแค่วันเดียวเท่านั้น เมื่อสังคมภายนอกและสื่อได้รับรู้แล้วว่าบรรดาแพทย์คิดยังไง ก็น่าจะเพียงพอแล้ว จึงได้ดึงป้ายออก
นายแพทย์ท่านเดิมยังชี้แจงต่อมาว่า เพื่อนๆแพทย์จากหลายๆรพ. ที่ได้เข้าไปช่วยเหลือผู้บาดเจ็บในวันที่6ต.ค.นั้น มีหลายคนไม่ได้เป็นกลุ่มพันธมิตร แต่เข้าไปรับผู้บาดเจ็บและปฐมพยาบาลเบื้องต้นก่อนำส่งโรงพยาบาล ในขณะที่ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ เจ้าหน้าที่ตำรวจกลับยิงปืนแก๊สน้ำตาเข้าใส่โดยไม่สนใจว่า ตรงจุดนั้น มีแพทย์และพยาบาลกำลังทำการรักษาผู้บาดเจ็บอยู่
ดร.ศิรกานต์ ฐิตวัฒน์ อาจารย์จุฬาฯ บุตรสาวของผู้อำนวยการศูนย์บริจาคอวัยวะสภากาชาดไทย ก็สูญเสียนิ้วเท้าไป3นิ้ว จากการไปร่วมชุมนุมครั้งนี้
.
ผมอยากจะสรุปประเด็นตำรวจอีกหน่อยว่า หากผู้ชุมนุมมีระเบิดจริงๆ ทำไมไม่เห็นมีตำรวจคนใดบาดเจ็บจากระเบิดเลยแม้แต่คนเดียว
และการที่ตำรวจอ้างว่า การ์ดของพันธมิตรมีอาวุธนั้น จึงต้องสลายกลุ่มผู้ชุมนุม แม้การ์ดพันธมิตรจะมีอาวุธจริงตามที่ตำรวจอ้าง ตำรวจก็ไม่ควรยิงปืนแก๊สแบบสุ่มสี่สุ่มห้าใส่เข้าไป โดยไม่สนว่าจะมีผู้ชุมนุมที่เป็นทั้งผู้หญิง คนแก่ เด็ก และหมอพยาบาลอยู่ การกระทำเช่นนี้ผิดหลักมนุษยธรรมโดยสิ้นเชิง
ขณะนี้องค์กรต่างๆที่มีบทบาทสำคัญในบ้านเมือง ต่างก็ออกมาประณามการกระทำของรัฐบาลและตำรวจทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นหมอ นักศึกษาจุฬา อธิการบดีมหาวิทยาลัยต่างๆ และอีกมากมาย พวกเขาไม่ได้มีผลประโยชน์ทางการเมือง ต่างมีสถานะอาชีพที่เป็นกลางทางสังคม หากฝ่ายรัฐบาลยังคงไม่รู้สึกในความผิดของตัวเองก็ไม่รู้จะว่ายังไง คำขอโทษก็ไม่มี นี่แหล่ะคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด คือการที่ผิดและไม่รู้ว่าตัวเองผิด
ปัญหาการเมืองไทยเป็นเพราะ นักการเมืองไทยหน้าด้านไร้ยางอาย ขนาดมีคดีติดตัวก็ไม่ยอมออกกันง่ายๆ
ต่างประเทศเช่นจีน รถไฟตกราง รมต.คมนาคมเขาก็ลาออก เกาหลีมีสะพานข้ามแม่น้ำพังมีคนตาย รมต.คมนาคมก็ลาออกทันที เขามีสำนึกความรับผิดชอบ มีมโนธรรมที่สูงกว่านักการเมืองไทยมาก น่าเศร้าจริงๆที่เรามีนักการเมืองหน้าด้านแบบนี้
สุดท้ายอยากฝากบอกตำรวจว่า ชีวิตประชาชนนั้นสำคัญกว่าอำนาจของนักการเมือง ประชาชนเขาไม่ได้มาประท้วงตำรวจ พวกเขามาประท้วงพวกนักการเมือง
.
หากนักการเมืองสั่งให้ตำรวจทำร้ายประชาชน ตำรวจก็มีสิทธิปฏิเสธได้หากเห็นว่าไม่สมควร ตำรวจคือที่พึ่งของประชาชนนะ ไม่ใช่เป็นที่พึ่งของนักการเมือง ตำรวจต้องรับใช้ประชาชนนะ ไม่ใช่รับใช้นักการเมือง
.
อ่านหลังปะทะหน้ารัฐสภาตอน 1 ที่นี่
ฟังสุทธิชัยหยุ่นพูดถึงเหตุการณ์
สว.รสนา โชว์ในสภาวันปะทะ one woman shows
newakecity
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
ถ้าแสดงความเห็นตรงช่องนี้ผมจะได้อ่านทุกความเห็นครับ แต่ถ้าความเห็นไม่ขึ้นอาจเพราะระบบรอตรวจสแปม ต้องรอ1-2วัน / ใหม่ เมืองเอก kaeake@ymail.com