วันอาทิตย์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ความรักความผูกพันของคนไทยที่มีต่อสถาบันกษัตริย์





(หมายเหตุยอดไลค์เก่า 500 กว่าไลค์หายไปหมด เพราะความไม่เสถียรของปุ่ม Like)

เกริ่น

คุณผู้อ่านคงเคยได้ยินพวกไม่จงรักภักดี พยายามจะเอาประเทศไทยไปเปรียบกับเกาหลีเหนือ? มาบ้างไม่มากก็น้อย

พวกไม่จงรักภักดี พยายามใช้ตรรกะเสนอว่า การที่คนไทยรักในหลวง นั่นเพราะประเทศไทยใช้การโฆษณาชวนเชื่อ(propaganda) แบบที่เกาหลีเหนือใช้โฆษณาชวนเชื่อให้คนเกาหลีเหนือรักผู้นำสูงสุด อย่างคิมจองอิล และคิมอิลซุง

ซึ่งถ้ามีคนไทยคนไหนเชื่อในตรรกะนี้ของพวกไม่จงรักภักดี แสดงว่าคนไทยคนนั้นสมองในส่วนวิเคราะห์เหตุผลต้องบกพร่องแน่ๆ

เพราะก่อนที่จะมีวิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ ลองย้อนกลับไปในอดีต คนไทยรักพระเจ้าอยู่หัว หรือในหลวง ด้วยใจรักอย่างแท้จริงมาแต่โบร่ำโบราณ

หรือแม้แต่ในยุคที่มีโทรทัศน์วิทยุแล้วก็ตาม ในชนบทอันห่างไกลความเจริญ คนเฒ่าคนแก่ที่แม้แต่หนังสือยังอ่านไม่ออก ไฟฟ้าก็ไม่มีใช้ แต่เมื่อคนเฒ่าคนแก่ และประชาชนในที่หางไกลเหล่านั้น ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าในหลวงยามเมื่อทรงเสด็จไปเยี่ยมราษฎรในถิ่นทุรกันดาร

เราจะเห็นคนเฒ่าคนแก่ และประชาชน แสดงออกถึงความรักที่มีต่อในหลวงด้วยความบริสุทธิ์ใจ แบบนี้จะเรียกว่า ถูกสื่อรัฐบาลโฆษณาชวนเชื่อ ก็คงไม่ใช่แล้ว



13 พฤศจิกายน 2498 ยายตุ้ม จันท์นิตย์ วัย 102 ปี ได้ยกดอกบัวสายที่โรยราทั้ง 3 ดอกนั้นขึ้นเหนือศีรษะ (เพราะยายมารอในหลวงตั้งแต่เช้ามืดจนบ่าย) เพื่อแสดงความจงรักภักดีอย่างสุดซึ้งต่อพระเจ้าแผ่นดินอันเป็นที่รักและเทิดทูนยิ่งของยาย ในหลวงทรงโน้มพระวรกายอย่างต่ำที่สุด จนพระพักตร์แทบจะชิดกับศีรษะของยายตุ้ม แล้วทรงแย้มพระสรวลอย่างเอ็นดู และใช้พระหัตถ์แตะมือที่กร้านคล้ำจากการทำไร่ทำสวนของยายอย่างอ่อนโยน / ok nation


เด็กน้อยชาวเขาจูบพระหัตถ์ทั้ง2พระองค์


แต่กรณีเกาหลีเหนือ รัฐบาลเกาหลีเหนือห้ามผู้คนออกนอกประเทศ ใครจะออกนอกประเทศต้องได้รับการอนุญาตจากรัฐบาลเท่านั้น รัฐบาลปิดบังการสื่อสารโดยอิสระจากโลกภายนอกทุกทาง ปิดประเทศ ไม่ให้คนในประเทศได้รับข่าวสารจากต่างประเทศโดยไม่ผ่านการควบคุม

แม้แต่อินเตอร์เน็ต โทรศัพท์พื้นฐาน โทรศัพท์มือถือ ทีวีดาวเทียม ที่เกาหลีเหนือมีการควบคุมอย่างเข้มงวด

อินเตอร์เน็ตประชาชนไม่มีสิทธิใช้ โทรศัพท์มือถือประชาชนก็ไม่มีสิทธิใช้ คนเกาหลีเหนือจะไม่ได้เห็นโลกภายนอกใดๆ ที่ไม่ได้ผ่านการควบคุมจากรัฐบาลกลางเลย

แต่ในขณะที่ประเทศไทย เราไม่ถูกปิดกั้นด้านสื่อสารจากโลกภายนอก คนไทยเข้าออกนอกประเทศได้อย่างอิสระ ได้ไปเรียนไปศึกษาต่อในต่างประเทศอย่างอิสระ ในขณะที่คนเกาหลีเหนือไม่มี!!

ก็เพราะคนไทยได้ไปเรียนต่ออย่างอิสระนี่แหล่ะ จนทำให้เกิดคนหนักแผ่นดินอย่าง วรเจตน์ ปิยบุตร สมศักดิ์เจียม ขึ้นมา ถ้าไทยเป็นแบบเกาหลีเหนือจริงๆ ป่านนี้ทั้ง วรเจตน์ ปิยบุตร สมศักดิ์เจียม คงไม่เหลือซากแล้ว จริงหรือไม่?

แถมคนไทยอาจได้รับเสรีภาพเกินขอบเขตไปเสียด้วยซ้ำ ไม่งั้นคนไทยคงไม่ไร้ระเบียบวินัยมากขนาดนี้

พระราชปรีชาชาญ พระอัจฉริยะภาพของในหลวง ทั่วโลกต่างรับรู้และยกย่องว่าเป็นเลิศโดยแท้จริง จนพระองค์ทรงได้รับรางวัลต่างๆ จากนานาชาติมากมาย

แม้แต่ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ที่ตอนแรกฝ่ายทุนนิยมตะวันตกไม่สนใจ แต่พอเกิดภาวะล้มสลายทางเศรษฐกิจในหลายประเทศ ตอนนี้นักปรัชญาเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่ ต่างหันมายอมรับและยกย่องทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงว่า เป็นทฤษฎีเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและไม่เอารัดเอาเปรียบสังคม

ฉะนั้น ตรรกะที่จะเอาประเทศไทยไปเปรียบกับเกาหลีเหนือ จึงเป็นตรรกะที่ผิดเพี้ยนโดยแท้ครับ

ตัวอย่างที่เห็นชัดง่ายๆ พวกฝรั่ง และชาวต่างชาติจำนวนมาก ก็รักในหลวง และอยากมาอยู่เมืองไทย เพราะเมืองไทยน่าอยู่ สมบูรณ์พูนสุขที่สุด

ถ้าประเทศไทยไม่มีเสรีภาพจริงๆ ตามที่พวกหนักแผ่นดินกล่าวอ้าง คงไม่มีชาวต่างชาติอยากมาอยู่เมืองไทยมากขนาดนี้ จริงหรือไม่??

----------------------

ประเพณีนิยมเก่าๆ ที่คนไทยชอบกระทำเวลารอรับเสด็จฯ

ประเพณีนิยมอย่างหนึ่งที่คนไทยในสมัยก่อนมักชอบกระทำเวลาเฝ้ารอรับเสด็จในหลวง ก็คือ การนำผ้ามาปูรองที่เส้นทางเสด็จ เพื่อจะรอให้ในหลวงทรงมาประทับรอยพระบาทลงบนผ้า เพื่อที่ราษฎรคนนั้นจะนำผ้าผืนนั้นไปบูชา

ประเพณีปูผ้ารองรอยพระบาทในหลวงแบบนี้ ถ้าคนที่รักในหลวงรับรู้ รับทราบ ก็จะชื่นชมและซาบซึ้งในประเพณีเช่นนี้ ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานความเชื่อที่ว่า ในหลวงทรงเป็นผู้มีบุญญาธิการมีพระบารมีสูง ซึ่งประเพณีแบบนี้มีรากฐานมาจากประเพณีกราบไหว้รอยพระพุทธบาท

ในสมัยก่อนตอนผมยังเด็ก เวลาดูข่าวในพระราชสำนัก ผมมักได้เห็นชาวบ้านต่างจังหวัดได้ใช้ประเพณีปูผ้ารองพระบาทบ่อยมากๆ ซึ่งเด็กรุ่นใหม่ในยุคนี้ คงไม่เคยได้เห็น

คลิกที่รูปเพื่อขยาย!!

ให้สังเกตว่าจะมี ประชาชนวางผ้าผืนสีขาว บนทางที่เสด็จพระราชดำเนิน และจากรูป ดูเหมือนว่า ผู้ชายในรูปได้ถวายอาหารให้ในหลวงด้วย 


อันนี้เป็นเรื่องของความเชื่อ ความรัก ความศรัทธา ใครใคร่เชื่อทำแล้วมีความสุขก็ทำไป ผู้ที่มีศีลธรรมในใจย่อมไม่ลบหลู่ความเชื่อความรักของผู้อื่่น

อย่างตอนผมเป็นเด็ก พ่อของผมเคยเล่าเรื่อง ทหารในสมัยโบราณ เวลาจะออกไปรบทัพจับศึก ทหารเขาจะก้มกราบเท้าแม่ แล้วขอฉีกผ้านุ่งของแม่มาคาดไหล่ หรือคาดหัว เพื่อให้พระคุณแม่คุ้มครองและเป็นสิริมงคลแก่ลูก

ผมฟังเรื่องที่พ่อเล่า ผมซาบซึ้งใจ ในเรื่องเล่าแบบนี้ แต่ถ้าคนที่เขาไม่เชื่อ เขาย่อมไม่มีทางเข้าใจ

ความซาบซึ้งใจในพระคุณของพ่อแม่ หรือต่อสถาบันกษัตริย์ เป็นเรื่องที่ดี แต่พวกไม่จงรักภักดีอาจมองเป็นเรื่องตลก จนเอามาเสียดสี โดยใช้รูปคุณซาบซึ้ง ที่เอามาจากอีโมติคอนของฝรั่งมาใช้

ผมเองก็เคยเอารูปคุณซาบซึ้งมาใช้เพื่อเป็นรูปแทนผม ในเว็บสนุกอยู่ช่วงระยะเวลานึง เชื่อว่าหลายคนอาจจำได้



การที่ผมใช้อีโมติคอนเป็นรูปคุณซาบซึ้ง ก็เพื่อที่จะบอกแก่แฟนๆ กระทู้ของผมว่า จงอย่าได้รังเกียจคุณซาบซึ้ง เพราะคุณซาบซึ้งไม่ผิด เป็นแค่อีโมติคอนที่ฝรั่งคิดขึ้น แต่มีคนไทยบางกลุ่มเอามาใช้เพื่อเสียดสีคนอื่นเท่านั้น

ถ้าคณเห็นคุณซาบซึ้งที่พวกไม่จงรักภักดีนำมาใช้เมื่อใด จงจำไว้ว่า พวกไม่จงรักภักดีเขามีปมด้อย น่าสงสารครับ ที่เขาจิตใจหยาบกระด้าง ไม่อาจเข้าใจความรู้สึกดีๆ ที่คนไทยจิตใจดีเขามี เลยอิจฉา จนต้องเอามาล้อเลียนเพื่อกลบปมในใจตัวเอง


-----------------------------

ประเพณีถวายธนบัตรแก่พระบรมวงศานุวงศ์เวลาเสด็จผ่าน

ในสมัยก่อน เวลาในหลวง พระราชินี และพระบรมวงศานุวงศ์เสด็จในสถานที่ต่างๆ โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ คนกรุงเทพจะมีประเพณีนิยมอย่างนึงที่ชอบกระทำ

ก็คือ การถวายเงินแก่ในหลวง และทุกพระองค์ เพราะว่า คนไทยเราเชื่อว่า เงินเหล่านี้จะถูกนำไปใช้เพื่อเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง จากพระราชกรณียกิจต่างๆที่ทรงกระทำ

คนไทยเช่นคนกรุงเทพฯ จำนวนมากไม่ใช่คนที่จะร่ำรวยมากมาย ไม่ได้มีเงินมากพอที่จะเข้าไปเฝ้าถวายเงินจำนวนมากๆ ได้ถึงในพระตำหนักจิตรลดาฯ แต่ก็มีใจอยากจะถวาย จึงพากันถวายเงินให้ในหลวง และทุกพระองค์ยามเมื่อเสด็จผ่าน

โดยที่เห็นประจำก็คือ เวลาในหลวง พระราชินี และทุกๆพระองค์ เสด็จไปยังพระอุโบสถวัดพระแก้ว

ผมเองก็เคยรับเสด็จที่วัดพระแก้วเมื่อครั้งยังเด็กอยู่2-3ครั้ง และได้เคยยื่นธนบัตรสิบบาทบ้าง ยี่สิบบาทบ้าง ถวายตรงๆ ถึงพระหัตถ์ของในหลวง พระราชินี สมเด็จพระเทพฯ และองค์อื่นๆ หลายหน

ตัวผมเองเคยได้ใกล้ชิดสมเด็จพระนางเจ้าฯ แบบใกล้มากๆ อยู่ครั้งนึง คือตอนนั้นสมเด็จพระนางเจ้าฯ ทรงประทับลงตรงหน้าผม แม่ผม กับน้าข้างบ้านที่มาด้วยกัน พระองค์ทรงตรัสว่า "วันนี้อากาศดีนะ" แล้วก็ทรงแย้มพระสรวล

น้าข้างบ้านกับแม่ผม ก็ตอบพระองค์ไปว่า เพคะ

นี่คือช่วงเวลาที่ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทที่สุด ที่ผมเคยประสบครับ

ประเพณีถวายธนบัตร หรือแบงค์ แบบถึงพระหัตถ์ในหลวงโดยตรง โดยไม่ต้องใส่ซอง หรือวางบนพาน ภายหลังก็ได้ถูกยกเลิกไป เพราะสาเหตุใดไม่ทราบแน่ชัดครับ



แต่ผมคาดเดาเองว่า อาจดูเป็นการไม่ค่อยเหมาะ และทำให้แต่ละพระองค์ต้องทรงลำบาก เนื่องจากหลายคนที่ส่งเงินให้ ยืนอยู่ในแถวหลังๆ แต่ก็พยายามจะยื่นให้ถึงแต่ละพระองค์ ซึ่งแต่ละพระองค์ก็ทรงมีพระเมตตา ทรงพยายามยื่นพระหัตถ์เข้าไปรับเงินให้ถึงมือของประชาชนทุกคน จนบางครั้ง ลำบากจนอาจทำให้พระองค์อาจเสียหลักล้มได้

และทำให้เสียเวลามาก กว่าแต่ละพระองค์จะเสด็จเข้าไปในพระอุโบสถ เนื่องจากทรงเสียเวลากับการรับเงินที่ประชาชนเต็มใจจะถวายให้ อีกทั้งภายหลังทรงมีพระชนมายุมากขึ้น จึงไม่ทรงแข็งแรงที่จะเอื้อมพระหัตถ์ไกลๆ อีก

อันนี้ผมคาดการณ์เองนะครับ ส่วนแม่ของผมบอกว่า เพราะแบงค์สกปรก เดี๋ยวจะทำให้แต่ละพระองค์จะทรงติดเชื้อได้

การถวายเงินแก่พระบรมวงศานุวงศ์ การร่วมบริจาคทรัพย์โดยเสด็จพระราชกุศลต่างๆ ของคนไทย หรือการบริจาคช่วยเหลือผู้อื่นของคนไทย เป็นที่ยอมรับกันทั่วโลกแล้วว่า

คนไทยบริจาคเงินมากที่สุดในโลก!!

คลิกที่รูปเพื่อขยาย!!


พอดีผมหารูปได้แค่รูปนี้รูปเดียว เป็นรูปประชาชนกำลังจะถวายเงินธนบัตรยี่สิบบาทให้สมเด็จพระเทพฯ ให้สังเกตว่า จะมีนางสนองพระโอษฐ์ถือถุงพลาสติกคอยรับเงินมาใส่ในถุง

------------------------

ครั้งสุดท้ายที่ผมได้มีโอกาสเห็นในหลวง คือเมื่อครั้งที่ผมไปร่วมงานพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่หลุยส์ จันทสาโร ที่วัดพระศรีมหาธาตุฯ บางเขน ครับ

โดยเฉพาะตอนผมเดินลงจากพระเมรุ ก็ได้มีโอกาสมองไปที่พระที่นั่งที่ในหลวงทรงประทับอยู่อย่างตรงๆ บอกตามตรงผมเองก็เกรงใจพระองค์ ไม่กล้ามองพระองค์นานๆ ซึ่งในหลวงทรงมีพระรัศมีวรกายที่เปล่งประกายมากๆครับ ดูพระวรกายพระองค์ท่านเหลืองทองอร่ามดั่งเทพเทวดาจริงๆ

คลิกอ่าน ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ของข้ารองบาท?! (บทความที่จะทำให้คุณเข้าใจความหมายของคำว่า ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท)



3 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ05 กุมภาพันธ์, 2555 18:40

    ด้วยความจงรักภักดี...

    นี่เป็นอีกหนึ่งบทความที่ดีมากๆ^_^

    k542

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ06 กุมภาพันธ์, 2555 10:59

    อ่านบทความคุณแล้ว ขนลุกมากๆๆ อยากให้คนไทยกลับมารักกันเหมือนเดิม ไม่น่าจะเกิดบุคคลที่มีจิตใจต่ำช้าอย่าง.... เกิดมาบนโลกใบนี้เลย ทำให้คนที่เคยรักกันก็เกลียดกัน สร้างเรื่องที่ไม่ดีมาจูงใจให้คนที่ไม่มีความรู้เดินตาม ส่วนคนที่มีความรู้แล้วเดินตามก็เพื่อประโยชน์ของตัวเองเท่านั้น เราเชื่อว่าคนที่ ยังรัก พระเจ้าอยู่หัวยังมีอีกมากมาย(มากๆด้วย)แต่ไม่ได้ออกมาวิ่งเต้นประกาศป่าวร้องอย่างที่พวกเค้าทำ ด้วยความเห็นของเรา เราคิดว่า คนไทยที่รักพระเจ้าอยู่หัว ก็ จะรักความสงบ รักด้วยใจ รักด้วยสมอง น่ะ ^^

    ตอบลบ
  3. ไม่ระบุชื่อ05 มีนาคม, 2555 15:50

    สักวันผลกรรมต้องตามสนองให้พวกชั่วช้าต้องได้รับผลกรรมที่ทำไว้แน่นอน ที่ทำให้ให้ปผู้คนหลงผิดไปยั่งงั้นคงเป็นเพราะชตาของบ้านเมือง แต่คุณเอกเชื่อเถอะ พวกเขาหนีกรรมที่พวกเขาก่อไปไม่พ้น ตามแต่ว่าจะเร็วหรือช้าเท่านั้น เท่าที่เห็นหลายคนแล้วนะที่ด่าพระองค์ท่านต้องมีอันเป็นไป คนไทยส่วนมากรักพระเจ้าอยู่หัว และพร้อมจะปกป้องพระองค์ท่านด้วยชีวิต

    ตอบลบ

ถ้าแสดงความเห็นตรงช่องนี้ผมจะได้อ่านทุกความเห็นครับ แต่ถ้าความเห็นไม่ขึ้นอาจเพราะระบบรอตรวจสแปม ต้องรอ1-2วัน / ใหม่ เมืองเอก kaeake@ymail.com


ผู้ติดตาม