วันอาทิตย์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

อำลาและเรียนรู้จากมารุโกะจังหนูน้อยจอมซ่า




เป็นเวลาร่วม3-4เดือนแล้ว ที่ผมได้ดูละครญี่ปุ่นเรื่องมารุโกะจังหนูน้อยจอมซ่า ทางทีวีไทย ซึ่งทีแรกออกอากาศในวันอาทิตย์ตอนบ่าย3 ต่อมาก็ย้ายเวลาไปเป็นวันเสาร์ตอนบ่าย3แทน

เป็นที่น่าเสียดายที่วันเสาร์ที่30พ.ค.52ที่ผ่านมาวานนี้ มารุโกะได้ออกอากาศตอนจบไปแล้ว ผมเสียดายและเสียใจที่จะไม่ได้ดูละครน่ารักมีสาระดีๆที่ให้ข้อคิดเรื่องมารุโกะอีกแล้ว ไม่รู้ว่าจะมีมาฉายอีกหรือเปล่า

มารุโกะเวอร์ชั่นละครนี้ เป็นเวอร์ชั่นที่2 ซึ่งเปลี่ยนผู้แสดงไปจากละครเวอร์ชั่นแรกไปแทบทั้งหมด ผมเองได้มีโอกาสไปหาดูเวอร์ชั่นแรกที่ออกอากาศในญี่ปุ่นเมื่อ3ปีก่อนจากยูทูป เห็นได้ว่าตัวนักแสดงในเวอร์ชั่นแรกไม่สามารถสู้กับเวอร์ชั่นที่2ที่ออกอากาศที่ทีวีไทยได้เลย
.

มารุโกะเวอร์ชั่น2


มารุโกะ(มารุจัง)ในเวอร์ชั่น2จะสวยกว่าและดูฉลาดกว่าในเวอร์ชั่นแรก แม้เวอร์ชั่นแรกจะดูน่ารักแต่จะเด็กมากไปหน่อย ตัวแสดงเวอร์ชั่น2นี้ ทั้งพ่อ แม่ คุณย่าและพี่สาวมารุโกะ ดูเหมาะสมในคาแรคเตอร์มากกว่าเวอร์ชั่นแรก
.
โดยเฉพาะคุณแม่และคุณย่านั้น เวอร์ชั่น2สวยและน่ารักน่ามองมาก (ส่วนคุณปู่ใช้ตัวแสดงคนเดิมกับเวอร์ชั่นแรก)

แม่ในเวอร์ชั่นแรกหน้าตาไม่สวยแถมออกจะอัปลักษณ์ด้วยซ้ำ หลายคนอาจจะคิดว่าในการ์ตูนก็ไม่เห็นต้องสวยเลย ในละครก็ต้องไม่สวยเหมือนกันสิ
.
แต่! ผมกลับไม่คิดเช่นนั้น เพราะตัวแม่มารุโกะเวอร์ชั่น2 สวยมาก และดูอบอุ่นดีด้วย เวลาจะซึ้งหรือเวลาจะโศกและเวลาจะสั่งสอน จะดูน่าฟังน่าเชื่อกว่า คนดูก็จะรักแม่มารุโกะไปด้วย(เพราะสวย)
ที่จริงตัวละครแม่ของมารุโกะนี่แหล่ะ ที่เห็นชัดที่สุดว่า เวอร์ชั่นแรกสู้เวอร์ชั่น2ไม่ได้เลย

ในส่วนของเพื่อนๆมารุโกะ โดยเฉพาะเพื่อนสนิทอย่างทามะจัง เวอร์ชั่นแรกก็ดูน่ารักนะ แต่ยังไม่สวยเท่าไหร่ แต่ทามะจังในเวอร์ชั่น2น่ารักมากๆ น่ารักกินขาดเลยขอบอก หรือฮานาวะ คุง เพื่อนที่รูปหล่อพ่อรวยนั้น เวอร์ชั่น2นี้ดูจะสวยไปหน่อยครับ แต่ก็ดูตลกดี
.
สรุป ตัวแสดงเวอร์ชั่น2 ชนะกินขาดครับ (ความเห็นส่วนตัวนะครับ)

ส่วนคนพากย์เสียงมารุโกะ ก็ไม่ใช่ใครอื่น ก็คือคนพากย์ที่พากย์นางเอกเกาหลีช่อง3เป็นประจำ เช่นแดจังกึม หรือล่าสุดก็ ซอซงยอง นางเอกลีซานนั่นแหล่ะ คือคุณกรณิการ์ ประภัสภักดี(หรือที่พากย์เซียวเหล่งนึ่งสมัยหลิวเต๋อหัว นั่นแหล่ะครับ)
.
เว็บของมารุโกะจังversion2ของญี่ปุ่น ซึ่งจะพาคุณไปพบกับนักแสดงในการ์ตูนทุกตัว แม้ไม่รู้ภาษาญี่ปุ่นก็ลองคลิกหาไปเรื่อยๆเดี่ยวเจอเอง
.

.
*******************************
.
ผมรู้จักมารุโกะครั้งแรกเมื่อไหร่
.
ที่จริงครั้งแรกที่ผมรู้จักมารุโกะก็คือตอนที่ช่อง3 นำมาฉายครั้งแรกตอนเย็นนานมากแล้ว(ไม่ต่ำกว่า15ปีแน่ๆ) ซึ่งทีแรกผมก็ไม่นึกว่าจะสนุกหรอกนะ และเห็นลายเส้นการ์ตูนทีแรกคงจะเป็นแบบเน้นให้เด็กเล็กๆดูแน่เลย(แต่ผมคิดผิดถนัด)
.
แต่พอได้ดูเข้าจริงๆ กลับผิดคาด สนุกตลก น่ารักมากมายจริงๆ มารุโกะน่าดูดีกว่าดูชินจังเสียอีก ทั้งๆที่ชินจังผมก็ชอบมาก แต่ชอยมารุโกะมากกว่า
.
แต่นั่นก็นานมาแล้ว จนผมไม่ได้นึกถึงมารุโกะอีกเลย ผมเองก็ไม่ใช่เป็นคนที่ชอบซื้อการ์ตูนมาอ่านซะด้วย เพราะเปลืองตังค์ มันแพง! (จนน่ะครับ)
.
ดีใจมากที่มีละครมาฉายทางทีวีไทย แต่เสียดายได้ดูไม่นานก็จากไปแล้ว ฮือๆๆๆๆๆๆ

.
**********************
.
มารุโกะ การ์ตูนดี ที่ให้สาระและความมีน้ำใจ
.
ผมไม่ได้เป็นนักอ่านการ์ตูนตัวยงและไม่ได้รู้เรื่องการ์ตูนมารุโกะมากนัก เพราะไม่เคยอ่านเลย อาศัยดูจากทางทีวีนำมาฉาย แต่เท่าที่ดูจากละครทางทีวีไทย พอทราบคร่าวๆว่า
.
มารุโกะ มีนามสุกลว่า ซากุระ และเพิ่งจะเรียนอยู่ชั้นป.3เท่านั้น ซึ่งตรงกับปีค.ศ.1974 ซึงถ้าคิดแบบคร่าวๆ เด็กป.3 น่าจะอายุ8-9ขวบ ปีนี้ปี2009 ผ่านมา35ปีแล้ว ถ้ามารุโกะอมีชีวิตอยู่ถึงในปี2009ก็น่าจะมีอายุประมาณ43-44ปีน่าจะได้
.
มารุโกะเป็นเด็กน่ารักปนดื้อแถมขี้เกียจบ้าง แต่มีน้ำใจต่อทุกๆคน แต่ชอบจะหาเรืองทะเลาะกับพี่สาว และดื้อกับพ่อแม่เสมอ ส่วนใหญ่ก็เพราะความอยากได้โน่นได้นี่ หรือจะมีอิจฉาพี่สาวใจดีบ้าง แต่ก็ไม่ได้หนักหนาอะไรมากนัก ที่สำคัญมารุโกะมักจะมีนิสัยขี้สงสารเห็นใจผู้อื่นอยู่เสมอ
.
ส่วนใหญ่หากใครได้ดูมารุโกะจะรักและชอบมารุโกะกันทั้งนั้น และจะรู้สึกอิจฉาครอบครัวอันแสนอบอุ่นและครื้นเครงของมารุโกะจังพร้อมๆกันไปด้วย
.
เชื่อว่าคงมีหลายคนอยากมีครอบครัวเล็กๆน่ารัก แบบครอบครัวซากุระมากมาย ครอบครัวซากุระไม่ใช่ครอบครัวคนรวย ครอบครัวของมารุโกะออกจะจนกว่าครอบครังเพื่อนๆมารุโกะหลายๆคนด้วยซ้ำ แต่มีความสุขมากๆ
..
**************************
.
เรียนรู้วัฒนธรรมญี่ปุ่นและข้อคิดดีๆผ่านมารุโกะ
.
มารุโกะเป็นเรื่องราวการใช้ชีวิตของเด็กๆที่สนุกสนานและเฮฮาแต่ด้วยเนื้อเรื่องธรรมดาๆ แบบนี้ สะท้อนสังคม ชนชั้นกลางที่ญี่ปุ่นได้ดีนักล่ะ ทั้งสังคมเพื่อนที่โรงเรียน สังคมครอบครัว สังคมเพื่อนบ้าน แล้วก็สภาพการกินอยู่หลับนอนของคนญี่ปุ่นได้อย่างชัดเจน
.
ผมชอบวัฒนธรรมญี่ปุ่นในยุคมารุโกะมากๆ ไม่รู้ว่าปัจจุบันญี่ปุ่นเจริญไปไกลมากแล้ว วัฒนธรรมดีๆแบบในการ์ตูนยังมีเหลือมากน้อยแค่ไหน แต่ขอยกตัวอย่างสิ่งที่น่าสนใจในมารูโกะบางส่วนครับ
.
มารยาทการขอบคุณและความเกรงใจ
.
มีอยู่ตอนนึง มารุโกะได้ไปบ้านทามะจังเพือนสนิท มารูโกะเห็นเตียงใหม่นุ้มนุ่มของทามะจัง ซึ่งในละคร ทามะจังชวนให้มารุโกะลองขึ้นไปทดอลงดูได้ มารูโกะก็จะแสดงมารยาทแบบญี่ปุ่นโดยการ โค้งให้กับมาทามะจัง พร้อมกับพูดว่า "รบกวนด้วยนะ"
.
มารยาทความเกรงใจและให้เกียรติความมีน้ำใจต่อเพื่อนที่มารุโกะแสดงออกไปต่อทามะจังนั้น มารยาทแบบนี้ผมดูแล้วประทับใจมาก เป็นวัฒนธรรมที่สวยงามจริงๆ ซึ่งที่จริงการขอบคุณและการขอโทษเป็นวัฒนธรรมเด่นชัดที่เป็นเอกลักษณ์ของคนญี่ปุ่นที่คนไทยควรเลียนแบบครับ
.
มารยาทการเรียกชื่อ
.
หรือเช่น การเรียกนามสกุลแทนชื่อ อันนี้ก็เหมิอนฝรั่ง เกาหลีหรือจีน ซึ่งเป็นการให้เกียรติผู้ถูกเรียก หรือเพื่อไม่ได้แสดงความสนิทสนมเกินไป แต่ของญี่ปุ่นนี้ จะดูให้เกียรติมากกว่า(อันนี้ตามความรู้สึกของผม) ขนาดเพื่อนๆมารุโกะหลายๆคนที่อาจไม่สนิทกับมารุโกะมากนัก ก็จะเรียกมารูโกะว่า คุณซากุระ
.
หรือแม้แต่ครูประจำชั้นก็จะเรียกมารูโกะว่า คุณซากุระ เช่นกัน การที่จะเรียกชื่อหน้าได้เลยนั้น ต้องได้รับการอนุญาตจากเจ้าของชื่อเสียก่อนจึงจะเรียกได้ ไม่เช่นนั้นจะผิดมารยาท ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ก็มักจะได้รับมารยาทเช่นนี้เหมือนกัน
.
ตอน มารุจังหนีออกจากบ้าน (ประเพณีของๆพี่ตกทอดสู่น้อง)
.
มีอยู่ตอนนึง แม่ได้ตัดชุดเทศกาล(ชุดยูกาตะ)ใหม่ให้พี่สาว ซึ่งมารูโกะก็อยากได้บ้าง แต่พี่สาวก็ชี้ไปที่ชุดเก่าของพี่สาวแล้วบอกว่า ชุดนั้นได้ตกทอดมาเป็นของมารูโกะแล้ว มารุโกะก็งอแงอ้อนแม่ ว่าอยากใส่ชุดใหม่มือ1แบบพี่สาวบ้าง แต่แม่ไม่ยอม
.
มารูโกะก็บ่นว่า "ทุกๆอย่างของพี่ต้องกลายมาเป็นของมารูโกะทั้งปีเลย ไม่ว่าจะเป็นชุดนักเรียนหรือหนังสือ ของเล่น เครื่องเขียนฯลฯ" แต่แม่ก็ไม่ยอมตามใจมารูโกะ จนมารุโกะประท้วงด้วยการบอกว่าจะไม่อยู่บ้านนี้อีกแล้ว หรือหนีออกจากบ้านนั่นแหล่ะ(ต่อหน้าแม่ๆและพี่สาว รวมทั้งคูรปู่) มารูโกะจึงขู่ว่า จะออกจากบ้าน แม่ก็ทำเป็นไม่สนใจ
.
แต่สุดท้ายก็ไปได้แค่วันเดียวก็ร้องไห้ตามแม่กลับบ้านโดยดีตอนแม่ตามไปพบ
.
แต่ประเด็นของผมก็คือ คนญี่ปุ่นก็เหมือนคนไทยตรงนี้แหล่ะ ของๆพี่ตกทอดสู้น้องเป็นรุ่นๆ น้องก็อดน้อยใจไม่ได้ว่า ทำไมพี่ได้แต่ของใหม่ๆทั้งปีเลย ผมดูตอนนี้แล้วอดขำไม่ได้จริง น่ารักจริงๆตอนนี้
.
ตอน ไปทานอาหารฝรั่งเศสนอกบ้าน
.
ที่บ้านมารุโกะ เพื่อนแม่เพิ่งเปิดร้านอาหารฝรั่งเศส แม่เลยชวนมารุโกะกับพ่อและพี่สาวไปทานอาหารฝรั่งเศสกันเป้นครั้งแรกในชีวิต
.
ทั้งบ้านต่างแต่งตัวเต็มยศเพื่อไปทานอาหารหรูกัน ก่อนจะเข้าร้านก็เกี่ยงกันว่า ใครจะเข้าก่อน เขินเพราะไม่เคยมาทานของแพง แต่เมื่อนั่งโต๊ะแล้ว บ๋อยเอาเมนูมาส่งให้แก่ทุกคนเลือก เท่านั้นนแหล่ะ ทำเอาแม่ตกใจในราคาแสนแพงของอาหารฝรั่งเศส แม่เลยบอกบ๋อยว่า "ขอเวลาเลือกสักเดี๋ยวนะคะ เลือกได้เดี๋ยวจะเรียก"
.
พอบ๋อยไป แม่ก็แอบกระซิบว่า แม่พกเงินมาแค่20,000เยนเองพร้อมชวนกลับบ้านกันเหอะ แต่มารูโกะก็แอบพกเงินมา5,000เยนเหมือนกัน(เงินปีใหม่ที่เก็บไว้ใช้ยามฉุกเฉิน) ก็เลยพอที่จะให้ครอบครัวสั่งอาหารชุดราคาถูกที่สุดในร้านได้ ที่24,000เยน (แต่พอจ่ายเงินกลับราคา26,000เยนเพราะมีเซอร์วิสชาร์จ)
.
ตอนจบของตอนนี้ สุดท้ายต้องโทรกลับไปให้คุณปู่ไปเอาเงินมาจ่ายเพิ่ม ซึ่งทุกคนก็ต้องยืนรอแบบหน้าแตกกันในร้านนั่นแหล่ะ ตอนนี้มีรายละเอียดความขำน่ารักๆมากมายจริงๆ แทรกอยู่ตลอด ขำมากๆ
.
แต่ประเด็นที่ผมอยากเล่าในตอนอาหารฝรั่งเศสนี้ก็คือ มีอยู่ในช่วงแรกของตอนนี้ เพื่อนมารูโกะคนนึงที่ชื่อว่ามิกิวะ เด็กผู้หญิงอ้วนเย่อหยิ่งขี้อวด ได้คุยว่า เพิ่งได้ไปกินอาหารฝรั่งเศสมา ซึ่งทำเอาทามะจังเพื่อนซี้มารูโกะ บ่นขึ้นว่า อยากทานเหมือนกัน
.
แต่มารูโกะ ก็พูดขึ้นว่า "อาหารฝรั่งเศสหรูๆน่ะ ถ้าไม่ใช่ พวกหมอหรือพวกเจ้าของที่ดินล่ะก็!ไปทานไม่ไหวหรอก ครอบครัวธรรมดาๆแบบครอบครัวมารุโกะไม่มีโอกาสได้กินหรอก คงได้แต่ฝันเท่านั้นแหล่ะ"
.
ตรงจุดนี้เอง ที่ได้สอนให้รู้ว่า ที่ไหนๆในโลกก็ต้องมีทั้งคนรวยคนจนทั้งนั้นแหล่ะครับ ไม่มีที่ไหนในโลกหรอกครับที่ทุกคนรวยเท่ากันหรือมีโอกาสเท่าเทียมกัน (ขนาดหนูน้อยมารุโกะยังเข้าใจเลย แต่คนในบางประเทศกลับโง่เรื่องนี้ อ้างเรื่องความเท่าเทียมกันเรื่องไม่มีชนชั้นอยู่ได้)
.
(ผมเองก็ไม่มีปัญญาไปที่ๆคนรวยเขาไปเสพสุขเหมือนกัน แต่ไม่เห็นต้องไปอิจฉาเขาเลย ก็เราไม่มีปัญญาเองนี่ หากมีปัญญาก็คงรวยได้เหมือนเขาเช่นกัน ใครเขารวยไม่ได้โกงใครเขามา เราก็มุทิตาจิตให้เขาไปเถิดครับ)
ครอบครัวมารูโกะก็ไม่ใช่ครอบครัวร่ำรวยอะไรแต่ก็เป็นครอบครัวที่มีความสุข มารุโกะก็มีเพื่อนร่ำรวยกว่าอยู่หลายๆคน แม้แตทามะจังเพื่อนสนิทของมารูโกะก็มีฐานะดีกว่าครอบครัวมารูโกะเสียอีก แต่ครอบครัวมารุโกะก็มีความสุขไม่แพ้ครอบครัวร่ำรวยของคนอื่นเลย
.
ทามะจังเอง ถึงแม้จะรวยกว่าแต่ก็ไม่เคยดูถูกมารุโกะเลย แถมบางครั้งยังรู้สึกอิจฉาความสนุกและอบอุ่นของครอบครัวมารูโกะเสียด้วยซ้ำ
.
เพราะทามะจังเป็นลูกคนเดียวไม่มีพี่น้องให้เล่นด้วย แต่มารูโกะก็เคยบ่นเบื่อพี่สาวตัวเองให้ทามะจังฟังเสมอ ซึ่งทามะจังก็งง!เพราะทามะจังอยากมีพี่น้องเหมือนมารุโกะบ้าง
.
สังเกตให้ดีว่า การ์ตูนญี่ปุ่นมักจะนำเสนอเรื่องราวของครอบครัวของเด็กญี่ปุ่นที่ไม่ได้อยู่ในครอบครัวร่ำรวยอยู่เสมอ เช่นโนบิตะ ชินจัง เป็นต้น ทำไมหรือครับ?
.
เพราะญี่ปุ่นเขาต้องการแสดงให้เห็นถึงความเป็นจริงในชีวิตไม่ใช่ส่งเสริมให้เด็กญี่ปุ่นฟุ้งเฟ้อเกินไป พร้อมนำเสนอความรักความสามัคคีและมีน้ำใจต่อเพื่อนซึ่งกันและกัน
.
ผิดกับละครไทยที่แม้แต่ละครเด็กเองก็ไม่ค่อยสร้างสรรค์เท่าไหร่เลย มีแต่สอนเด็กให้ฟุ้งเฟ้อเห่อของนอก เช่นละครเด็กของกันตนาเป็นต้น ที่ตอนนี้มีแต่ละครที่มีแต่ลูกคนรวยเรียนโรงเรียนหรูๆทั้งปีทั้งชาติ มุ่งแต่เรื่องรักเรื่องใคร่ทั้งปี
.
***********************************
.
ผมจะคิดถึงมารุโกะจังเสมอครับ
.
.
.

วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

น้าน้อย วีรสตรีแห่งหมู่บ้านลิ่มทองตามวิถีพอเพียง




จากข่าวพระราชสำนักเมื่อไม่กี่อาทิตย์ที่ผ่านมานี้ ในหลวงทรงเป็นห่วงเรื่องปัญหาน้ำท่วม ในหลวงยังทรงให้คำแนะนำเกี่ยวกับโครงการแก้มลิง และทรงแนะนำให้ทุกๆจังหวัดให้ขุดแก้มลิงเพิ่มขึ้นในทุกๆจังหวัด

และจากเกษตรทฤษภีใหม่ หรือเกษตรพอเพียงนั้นหัวใจสำคัญที่ขาดไม่ได้ก็คือ เรื่องน้ำ เพราะน้ำคือชีวิตและคือหัวใจของเกษตรพอเพียงด้วยเช่นกัน หากขาดน้ำเสียแล้ว ทฤษฎีความพอเพียงก็ย่อมไม่มีทางสำเร็จแน่นอน

********************************

ผมได้ดู รายการหมู่บ้านฐานไท ทางช่อง11 ของบริษัททีวีบูรพา (ในเวลา3ทุ่มทุกวันพฤหัสฯ เวลาที่หลายคนมัวแต่ดูละครน้ำเน่า) ดำเนินรายการโดยพิธีกรคือ คุณสุทธิพงศ์ ธรรมวุฒิ (พิธีกรคนค้นคน)

.
รายการได้นำผมไปรู้จักกับหมู่บ้านลิ่มทองจากจังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งได้สร้างความประทับใจและความสุขให้แก่ผู้ชมอย่างผมมาก จนแทบน้ำตาไหลจากความปลื้มปิติในความสำเร็จของชาวบ้านลิ่มทอง จนอยากจะนำมาเล่าให้คุณผู้อ่านได้รับรู้อีกทาง

เพราะหมู่บ้านลิ่มทองสามารถเอาชนะความแห้งแล้งได้ด้วยการเริ่มพึ่งพาตนเองของชาวบ้านในชุมชน สามารถดำเนินวิถีพอเพียงในการจัดการทรัพยากรน้ำตามแนวพระราชดำริ จนกลายเป็นหมู่บ้านตัวอย่างที่สามารถจัดการระบบน้ำที่อยู่นอกระบบชลประทานได้ด้วยตนเองแห่งแรก

รายการเริ่มต้นด้วยพิธีกร เกริ่นนำว่า ภาคอีสานนั้นแห้งแล้งมานาน แต่ที่จริงอีสานไม่ได้ขาดแคลนน้ำ แต่อีสานขาดแคลนแหล่งกักเก็บน้ำต่างหาก เพราะอีสานมีน้ำจากธรรมชาติปีละ 2 แสน 2 หมื่นล้านลูกบาศก์เมตร แต่อีสานสามารถกักเก็บน้ำได้เพียง 6 พันล้านลูกบาศก์เมตรต่อปีเท่านั้น 


หากอีสานสามารถกักเก็บน้ำเพิ่มอีกเพียง 4 พันล้านลบ.ม.เท่านั้น อีสานจะมีน้ำเพียงพอแก่ความต้องการตลอดปี

รายการเริ่มด้วยการสัมภาษณ์ คุณสุดใจ หญิงวัยกลางคนๆหนึ่งที่ต้องออกไปทำงานโรงงานในกรุงเทพฯ ร่วม 20 ปีตั้งแต่เรียนจบ ป.6 เท่านั้น แต่ตอนนี้ต้องตกงานเพราะโรงงานปลดคนงานจากวิกฤติเศรษฐกิจ

คุณสุดใจ เล่าว่า ที่ไปทำงานในกรุงเทพฯเพราะตอนเด็กๆเคยดูทีวีดูละคร ก็อยากจะมีชีวิตที่สุขสบายเหมือนอย่างในทีวีเขาบ้าง เลยเข้าเมืองเพื่อไปทำงานโรงงาน เธอบอกว่า แม้มีรายได้มากขึ้นแต่รายจ่ายก็มากขึ้นตามไปเช่นกัน สุดท้ายก็คิดถึงบ้านอยากกลับบ้านเพราะทำมา 20 ปี ก็ไม่เห็นจะมีอะไรดีขึ้นเลย

พอได้ยินข่าวมาว่าที่หมู่บ้าน ไม่แห้งแล้งเหมิอนแต่ก่อนแล้ว พอตอนโรงงานปลดเธอออก เธอกลับดีใจเสียด้วยซ้ำว่า จะได้กลับบ้านเสียที และตอนนี้เธอก็กลับมาทำงานเกษตรพอเพียงที่บ้านแล้วโดยไม่คิดจะกลับไปทำงานในกรุงเทพฯ ได้อยู่กันพร้อมหน้าพ่อแม่ลูก บางมื้ออาหารก็ไม่ต้องซื้อ เพราะหาเอาได้ในที่ดินของตัว

แล้วทำไมหมู่บ้านลิ่มทองถึงได้ประสบความสำเร็จล่ะ?

ก็เพราะผู้หญิงคนหนึ่งที่ชื่อว่า น้าน้อย หรือคุณสนิท ทิพย์นางรอง หญิงชาวบ้านธรรมดาความรู้มีเพียงแค่ชั้น ป.4 แต่อ่านออกเขียนไม่ได้แล้ว เธอคือผู้ที่คิดนอกกรอบจากวิถีเดิม ๆ ของชาวอีสานทั่วไป ที่คิดว่า ทำอย่างไรที่บ้านเธอจะมีน้ำกินน้ำใช้สามารถเพาะปลูกได้ตลอดปี และชาวบ้านไม่ต้องจากบ้านไปรับจ้างในเมืองอีก




จนเมื่อมูลนิธิศึกษาพัฒน์ เข้ามาอบรมให้ความรู้แนะนำเรื่องต่างๆแก่ชุมชนในหมู่บ้าน เช่นการจัดทำบัญชีรายรับรายจ่าย การสอนให้รู้จักคิดวิเคราะห์ปัญหาอย่างเป็นระบบ ในตอนเริ่มต้นก็มีเพียงน้าน้อยกับชาวบ้านแค่เพียง 7 คนที่ยอมเข้ามาศึกษาแนวคิดใหม่ ๆ จากมูลนิธิ 


แต่ที่สำคัญที่สุดโดยเฉพาะความรู้เรื่องการจัดการน้ำ ที่ได้สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร (สสนก.) เข้ามาสอน

น้าน้อยบอกว่า เดิมตัวเองก็อ่านไม่ออกเขียนก็ไม่ได้ แต่ก็อยากจะหาทางเอาชนะความแห้งแล้ง จึงกลับมาหัดอ่านเขียนใหม่อีกครั้ง และใช้เวลาศึกษาความรู้กับมูลนิธิและ สสนก. ร่วมปี ส่วนสามีของน้าน้อยก็บอกว่า เสียเวลาทำมาหากิน สู้ไปรับจ้างหาเงินดีกว่า 


ส่วนชาวบ้านก็หาว่าน้าน้อยบ้า มัวแต่มานั่งฟังคนอื่นไม่ไปทำมาหากิน เสียเวลา แต่น้าน้อยก็ไม่ละความพยายามจนสำเร็จ

ในตอนเริ่มต้นน้าน้อยก็เริ่มด้วยการแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำกินน้ำใช้ก่อน โดย ดร.รอยล จิตรดอผู้อำนวยการ สสนก. ได้พามูลนิธิโคคาโคล่า เข้ามาในชุมชน โดย ดร.รอยล และมูลนิธิโคคาโคล่า ได้ถาม น้าน้อยและชาวบ้านว่ามีปัญหาเรื่องอะไรมากที่สุด ซึ่งน้าน้อยก็ตอบว่าปัญหาน้ำกินน้ำใช้เดือดร้อนมากที่สุด

และปัญหานำกินน้ำใช้ก็ได้รับการแก้ไขเป็นอย่างแรก ด้วยการสร้างประปาหมู่บ้านระบบ 9 ถังขึ้น โดยการสนับสนุนจากมูลนิธิโคคาโคล่า

สภาพพื้นที่
- ประสบปัญหาภัยแล้ง มีน้ำไม่เพียงพอต่อการ อุปโภคบริโภค และทำการเกษตร ปัญหาฝนทิ้ง ช่วง และขาดแคลนแหล่งเก็บน้ำไว้ใช้ยามหน้า แล้ง - โครงสร้างพื้นฐานในการเชื่อมต่อและ กระจายน้ำเสื่อมสภาพ ไม่สามารถส่งสู่ชุมชน อย่างทั่วถึง
ปี 2548 • ชาวบ้านจาก 3 หมู่บ้าน ร่วมออกสำรวจแหล่งน้ำและเส้นทางน้ำในชุมชน • ประยุกต์ใช้งานแผนที่ภาพถ่ายดาวเทียมและ เครื่องจับพิกัดจุด GPS ในการสำรวจแนวขุดคลองส่งน้ำ • จัดตั้งคณะกรรมการน้ำชุมชน เพื่อบริหารจัดการน้ำอย่างมีส่วนร่วม
ปี 2549 • สร้างทีมนักวิจัยชุมชน เขียนรายงาน วิเคราะห์การแก้ปัญหาสภาพขาดแคลนน้ำของชุมชน ยื่นต่อสำนักชลประทานที่ 5 นครราชสีมา • จัดทำระบบประปาหมู่บ้าน พร้อมระบบบำบัดประปาน้ำใส ขยายการใช้งานเป็น 2 หมู่บ้าน 160 ครัวเรือน


เมื่อปัญหาน้ำกินน้ำใช้ในครัวเรือนได้รับการแก้ปัญหาแล้ว ทีนี้ก็เหลือแต่น้ำเพื่อการเกษตร ที่เป็นปัญหารากแก้วที่สำคัญและยากที่สุดในการแก้ไข และน้าน้อยก็เริ่มหาทางแก้ปัญหากับเพื่อนชาวบ้านด้วยการเดินสำรวจหาแห่งน้ำที่ใกล้ที่สุดก่อน เพื่อจะวางแผนการขุดคลองสง่น้ำเพื่อเข้ามายังหมู่บ้าน

ซึ่งแต่เดิมน้าน้อยคิดว่า ขนาดรุ่นปู่ยังทำไม่ได้เลย แล้วรุ่นเราจะทำได้หรือ งบประมาณก็ไม่มี
เมื่อก่อนชาวบ้านมักคิดว่า มันไม่น่าจะใช่หน้าที่เรา น่าจะเป็นห้าที่ของรัฐเท่านั้น

แต่เมื่อน้าน้อยคิดถึงเรื่องน้ำ น้าน้อยก็ไม่ละความพยายาม จึงร่วมกับผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านไม่กี่คนเดินสำรวจหาแหล่งน้ำที่ใกล้ที่สุด เดินสำรวจหาแนวทางที่น่าจะขุดคลองส่งน้ำได้ น้าน้อยเดินกับพรรคพวกนานร่วมปีในการสำรวจ เดินตั้งแต่ 9 โมงเช้ากว่าจะได้เข้าบ้านก็หกโมงเย็น เป็นแบบนี้ทุกวัน

และแหล่งน้ำที่น้าน้อยพบว่าใกล้หมู่บ้านมากที่สุดคือคลองป่าปะคาบ ที่น่าจะขุดคลองเชื่อมต่อไปยังหมู่บ้านได้ใกล้ที่สุดประมาณ 3.6 กม. 


น้าน้อยบอกว่า พอได้เห็นแหล่งน้ำต้นทางก็เกิดกำลังใจมาก ฝันว่าสักวันจะได้น้ำไหลมายังบ้านตน

แต่ปัญหาก็คือการจะขุดคลองส่งน้ำได้นั้น ต้องได้รับความร่วมมือจากเจ้าของที่ดินหลาย ๆ รายที่คลองจะถูกตัดผ่าน ซึ่งปัญหาที่ยากที่สุดก็คือ เจ้าของหลายๆคนไม่ยินยอมยกที่ดินให้ 


ซึ่งน้าน้อยต้องเดินทางไปขอร้องขอเจรจาบอกถึงประโยชน์จากคลองแก่เจ้าของที่ดินหลายๆคนที่ไม่เห็นด้วยนานนับปี แต่น้าน้อยและชาวบ้านที่ช่วยกันได้พูดจนเจ้าของที่ดินที่เคยไม่เห็นด้วยใจอ่อนในที่สุด 

ซึ่งน้าน้อยบอกว่า เรื่องคน คือปัญหาที่ยากที่สุดที่กว่าจะสำเร็จได้ ในขณะที่น้าน้อยเล่าถึงอุปสรรคที่ผ่านมาจนสู่หนทางแห่งความสำเร็จในวันนี้ เราจะเห็นน้าน้อยน้ำตาไหลอยู่เป็นระยะ ๆ

แต่ก็มีเจ้าของที่ดินบางรายก็เห็นด้วยและยอมเสียสละที่ดินให้แก่คลองของน้าน้อยทันทีก็มีเหมือนกัน เช่น ลุงเอื้อ และน้าสาว โดยเฉพาะ น้าสาว ที่ยอมเสียสละที่ดินของตัวเองถึง10ไร่จากที่น้าสาวมีที่ดิน 40ไร่ เพื่อขุดคลองส่งน้ำและขุดแก้มลิง(ตามแนวพระราชดำริ) ซึงน้าสาวบอกเหตุผลที่ยอมบริจาคว่า

"ตนเองก็อยากได้น้ำ เพราะที่ผ่านมาทำนาก็ไม่ค่อยได้พืชผล แม้ที่ดินหากคิดเป็นเงินก็มากอยู่ แต่ถ้าคิดเป็นน้ำใจมันมากกว่า และเพื่อช่วยให้แก้ปัญหาแห้งแล้งได้ ช่วยให้คนอื่นได้มีโอกาสทำกิน ได้ช่วยให้ชาวบ้านสามัคคีช่วยเหลือกัน เห็นความอุดมสมบูรณ์ของหมู่บ้านแล้ว น้าสาวบอกเธอได้กลับคืนมามากกว่า 10 ไร่ที่ให้ไปเสียอีก"

น้าน้อยก็บอกเหมือนกันว่า ก็มีเจ้าของที่บางคนที่มีที่ดินเพียงนิดเดียว แต่คลองจำเป็นต้องตัดผ่านที่ดินของเขาไปครึ่งหนึ่งของที่ดินที่เขามีอยู่ ก็คือที่ดินของน้าเรียง เพราะน้าเรียงมีที่ดินแค่เพียง4ไร่เท่านั้น และเป็นที่ดินแนวยาวตามแนวคลองที่จะตัดผ่าน 

ซึ่งน้าเรียง จะต้องเสียที่ดินถึง2ไร่ไป เพื่อให้คลองตัดผ่าน เพราะไม่มีทางอื่นแล้ว ถ้าน้าเรียงไม่ให้ที่ดินตรงนี้ คลองนี้ก็จะไม่สามารถสำเร็จได้

ทีแรกน้าเรียงก็ไม่อยากจะให้ แต่น้าน้อยก็อธิบายให้น้าเรียงได้เข้าใจถึงประโยชน์ที่จะได้รับและบุญกุศลที่จะน้าเรียงจะได้รับมากจากการเสียสละเพื่อชุมชนครั้งนี้ 

สุดท้ายน้าเรียงก็ยอมยกที่ดินให้แต่ขอแลกกับน้าน้อยอยู่อย่างนึง ซึ่งน้าน้อยก็รับปากว่าจะให้ น้าเรียงแกขอแค่เพียงเมล็ดถั่วฝักยาวจากน้าน้อย 1 กระป๋องแลกกับที่ดินที่น้าเรียงต้องเสียสละถึง 2 ไร่

เมื่อเจ้าของที่ดินทุกคนยินยอมให้คลองส่งน้ำขุดผ่านแล้ว น้าน้อยก็เขียนโครงการเพื่อไปเสนอของบประมาณจากจังหวัดบุรีรัมย์ แต่เรื่องก็ถูกส่งไปสำนักงานชลประทานที่ 8 ต่อไปอีก แต่น้าน้อยก็ไม่ละความพยายาม ชักชวนชาวบ้านเหมารถหาค่าเดินทางค่าน้ำมันตามเรื่องให้ถึงที่สุด

สุดท้ายสำนักงานชลประทานก็บอกว่าโครงการคลองของน้าน้อยและชาวบ้านลิ่มทองได้รับการอนุมัติแล้ว แต่ต้องรอจนถึงปี 2550 ถึงจะเริ่มขุดให้ได้ ซึ่งต้องรออีกหนึ่งปี ซึ่งน้าน้อยเริ่มสำรวจเส้นทางขุดคลองตั้งแต่
ปี 2548 และได้ทำเรื่องเสนอโครงการนี้ต่อจังหวัดบุรีรัมย์ในปี 2549

และในที่สุดโครงการขุดคลองชลประทานก็มาถึง โดยใช้งบในการขุดเพียง 800,000 บาทเท่านั้น ตามโครงการ80พรรษาส่งน้ำสู่นา
.
ด้วยวิธีการจัดการน้ำแบบที่น้าน้อยทำเป็นตัวอย่างให้แก่การพัฒนาระบบน้ำด้วยงบประมาณไม่มาก คือประมาณ 1 ล้านบาท สามารถครอบคลุมพื้นที่ถึง 3,000 ไร่


หากคนอีสานในที่อื่น ๆ มาทำแบบที่น้าน้อยทำให้ทั่วภาคอีสานทั้งระบบในเขตนอกชลประทานเดิม ซึ่งมีประมาณ 
100 ล้านไร่ ก็จะใช้งบประมาณทั้งสิ้นเพียง 3 หมื่นกว่าล้านเท่านั้น แต่ปัญหาก็คือต้องเริ่มจากการตกลงและร่วมมือกันในชุมชนเสียก่อนโดยไม่รอภาครัฐมาคิดให้

ปี 2550 • สำนักชลประทานฯ ลงมือขุดคลองส่งน้ำตาม แนวทางที่ชุมชนเสนอไว้ ระยะทาง 3.637 ก.ม.
• ชุมชนเพิ่มพื้นที่กักเก็บน้ำ โดยขุดสระแก้มลิง 7 สระ รวม 14 ไร่ ความจุน้ำ 65,700 ลบ.ม.
• ชุมชนต่อเชื่อมระบบกักเก็บน้ำไร่นา โดยขุด สระลูกลิง จำนวน 10 สระ ภายใต้โครงการ 80 พรรษาส่งน้ำถึงนา
• แผนการปลูกหญ้าแฝกตามแนวคลองส่งน้ำ จำนวน 400,000 ต้น

เมื่อมีคลองส่งน้ำแล้ว ความอุดมสมบูรณ์ก็เริ่มมีในชุมชนหมู่บ้านลิ่มทอง แม้ในปีแรก ๆ ยังไม่เห็นผลชัดเจน แต่มาปี 2552 นี้ ความสำเร็จได้เห็นอย่างขัดเจนเป็นรูปธรรมมากขึ้น ชาวบ้านสามารถทำการเพาะปลูกตามวิถีพอเพียง ตามแนวเกษตรทฤษฎีใหม่ได้ตลอดทั้งปี พอหมดหน้านาชาวบ้านก็สามาถปลูกผักปลูกผลไม้ เก็บเห็ดขายได้ทุกวัน มีรายได้ทุกวัน

ไม่เพียงแต่ชาวหมู่บ้านลิ่มทองเท่านั้นที่ได้รับประโยชน์จากคลองส่งน้ำ แต่ชาวบ้านจากหมู่บ้านใกล้เคียงที่คลองตัดผ่านก็ได้รับประโยชน์ตามไปด้วย

แต่น้าน้อย คนเก่งของเราก็ยังไม่หยุดลงเพียงเท่านี้ เพราะยังมีชาวบ้านที่ไม่ได้อยู่ใกล้คลองส่งน้ำที่ไม่ได้รับประโยชน์จากโครงการที่น้าน้อยทำขึ้น น้าน้อยก็ยังอุตส่าห์หาทางช่วยเหลือเพื่อให้ชาวบ้านที่พื้นที่ใกล้เคียงเหล่านั้น สามารถเอาชนะความแห้งแล้งได้เหมือนอย่างที่หมู่บ้านลิ่มทองของน้าน้อยทำสำเร็จมาแล้ว

น้าน้อยบอกว่า เราจะอุดมสมบูรณ์ที่เดียวคงไม่ได้ ต้องให้คนอื่นอุดมสมบูรณ์ด้วย(สมบูรณ์แบบยั่งยืน)
.

บางพื้นที่เป็นที่สูง หน้าน้ำน้ำไม่ท่วม แต่หน้าแล้งกลับขาดแคลนน้ำ บางพื้นที่น้ำท่วมถึง แต่ก็ไม่ได้มีการกักเก็บ น้าน้อยคิดว่า ทำอย่างไรจึงจะเฉลี่ยน้ำแต่ละพื้นที่ได้อย่างมีระบบ ในที่ ๆ ขาดน้ำก็นำน้ำจากที่ ๆเกินไปให้ ส่วนที่ขาดแคลนในหน้าแล้ง จะทำอย่างไรให้สามารถมีน้ำเก็บไว้ใช้ยามขาดแคลน
.

น้าน้อยจึงมุ่งหน้าแก้ปัญหาให้เพื่อนบ้านใกล้เคียงต่อไป พยายามหาทางเพิ่มแก้มลิงให้มากขึ้น เพื่อช่วยป้องกันน้ำท่วมในหน้าน้ำ และมีน้ำไว้ใช้ในยามแล้ง
.
ปัญหาของน้าน้อยก็ยังเหมือนเดิมคือ ปัญหาเรื่องเจ้าของที่ที่น้าน้อยอยากให้ร่วมสร้างแก้มลิงในที่ของพวกเขา อาจไม่ยอมให้ที่ดินของเขาเข้าร่วมโครงการแก้มลิง 

น้าน้อยจึงพยายามเจรจาโน้มน้าวให้เห็นประโยชน์ และชักจูงให้เจ้าของที่ดินทั้งหลายยอมเสียสละที่ดินเพื่อขุดบ่อทำแก้มลิง โดยไม่มีการซื้อหรือเช่าเลยที่ดินแม้สักแห่งเดียว 

แถมยังมีข้อแม้ว่า ต้องเผื่อแผ่แก้มลิงให้กับเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้เคียงได้เข้ามาใช้ประโยชน์ในแก้มลิงได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้นด้วย ซึ่งขณะนี้แก้มลิงได้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นอย่างเป็นระบบ ตอนนี้มีแก้มลิงมากถึง 14 แก้มลิงแล้ว
.
บ่อแก้มลิงตามแนวทางพระราชดำริในโครงการของน้าน้อย เป็นแก้มลิงที่ช่วยเหลือพึ่งพากันในชุมชน ด้วยความสามัคคีและเต็มใจ
.
ตอนนี้โครงการของน้าน้อยก็ประสบความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมแล้ว ชาวบ้านต่างให้การสนับสนุนทุกคน ทั้งหมู่บ้านของน้าน้อยและหมู่บ้านอื่นๆติดๆกันก็ทำเข้าร่วมโครงการของน้าน้อย

และอนนี้ชาวบ้านเริ่มกลับมาทำมาหากินกันที่บ้านเกิดกันเพิ่มมากขึ้น ไม่ต้องจากลูกจากเมียไปไหนอีก มีรายได้จากการเกษตรพอเพียง แต่กลับร่ำรวยขึ้นตามลำดับ เพราะมีรายได้แทบทุกวัน เก็บโน่นเก็บนี่ขายได้เป็นเงินทุกวัน
.
หมู่บ้านลิ่มทองได้กลายเป็นหมู่บ้านตัวอย่างกรณีศึกษาให้แก่ชุมชนอื่นๆ ดังขนาดที่นักศึกษาและอาจารย์จากมหาวิทยาลับแสตมป์ฟอร์ดยังมาดูงานที่หมู่บ้านลิ่มทอง
.
นักศึกษาและอาจารย์จากต่างชาติ ที่ให้สัมภาษณ์ต่างรู้สึกตื้นตันใจไปกับความสำเร็จของชุมชนหมู่บ้านลิ่มทองมาก มากจนบางคนดีใจจนเกือบน้ำตาไหล
.
ผมเองเมื่อดูรายการ หมู่บ้านฐานไท ในตอน หมู่บ้านลิ่มทองนี้ ผมเองก็รู้สึกปลาบปลื้มและร่วมชื่นชมในพลังความสามัคคีชองชาวบ้านไปด้วย
.
และที่ต้องยกย่องมากที่สุดก็คือ น้าน้อย หญิงชาวบ้านธรรมดาที่กลายมาเป็นผู้นำชุมชนตัวเล็กๆที่ฟันฝ่าอุปสรรคขวากหนามอย่างไม่ย่อท้อ จนนำความอุดมสมบูรณ์มาสู่หมู่บ้านจนๆแห้งแล้งในอีสานแห่งนี้ตนสำเร็จ
.
ผมขอร่วมอนุโมทนา และขออวยพรให้น้าน้อย วีรสตรีแห่งหมู่บ้านลิ่มทอง จงประสบแต่ความสุขความเจริญยิ่งๆขึ้นไปด้วยครับ
.
ผมขอขอบคุณคนดีๆแห่งแผ่นดินที่ชื่อ น้าน้อย หรือคุณสนิท ทิพย์นางรอง ครับ
.
หากอ่านบทความตอนนี้แล้วยังไม่ค่อยได้ใจ กรุณาไปดูclipรายการได้ที่

ดูคลิปรายการ หมู่บ้านลิ่มทอง ตอน1
ดูคลิปรายการ หมู่บ้านลิ่มทอง ตอน2
.
.
*******************************
.
บทความแนะนำใกล้เคียง
.
ความล้มเหลวของชาวนาไทยจากแผนพัฒนาเศรษฐกิจ
.
ทุนนิยมบริโภคหลอกใช้ชาวนาไทย
.
การลงทุนหรือการลงโทษ?

วันเสาร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

เปรียบเทียบ เรียนฟรี15ปีกับ30บาทรักษาทุกโรค

.
.
ตอนนี้มีผู้ปกครองหลายคนบ่นกันว่า ไม่เห็นเรียนฟรีอย่างที่คุยไว้

ปีแรกๆของโครงการเรียนฟรีมันก็ต้องมีข้อบกพร่องเป็นธรรมดา แต่รัฐบาลโดยนายกฯอภิสิทธิ์ก็สัญญาว่าจะพยายามแก้ไขให้ดีขึ้นเรื่อยๆ

ก็เหมือนโครงการ30บาทรักษาทุกโรคนั่นแหล่ะ พอเอาเข้าจริงในระยะแรกๆก็ไม่ได้รักษาทุกโรคจริงๆอย่างที่คุย ยานอกบัญชีดีๆผู้ป่วยก็ต้องหาซื้อเอง

แต่มันจะดีๆขึ้นเรื่อยๆเองแหล่ะ ขอคนที่ไม่ชอบ อย่าเพิ่งติเรือทั้งโกลน

นโยบาย30บาทรักษาทุกโรคเอง มาตอนนี้ก็ไม่ต้องจ่าย30บาทแล้ว โครงการเรียนฟรีก็เช่นเดียวกัน ต้องใช้เวลาอุดรอยรั่วปัญหาของโครงการสักระยะ

แต่อย่างน้อย ผู้ปกครองทุกคนต่างก็ยอมรับว่า ประหยัดค่าใช้จ่ายมากขึ้นกว่าเดิม แต่ถ้าใครอยากให้ลูกเรียนโรงเรียนดังๆก็ต้องทำใจหน่อยเพราะมีการแย่งชิงกันเข้าเรียนเยอะ และขึ้นอยู่กับนโยบายของโรงเรียนด้วยว่า จะรับโครงการของรัฐมากน้อยแค่ไหน


แต่ถ้าใครไม่ชอบโครงการนี้จริงๆ อยากจะจ่ายเงินเรียนเองทั้งหมด ก็ไม่มีใครว่าครับ อย่าเป็นแต่เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกงเลย

ผมว่าลองให้โอกาสรัฐบาลสักนิด ก็ลองดูไปก่อนว่า จะไปรอดแค่ไหน ตอนนี้มันแค่เพิ่งเริ่มโครงการ อย่าเพิ่งตีบทสรุปเลย

โอบามาของอเมริกาก็ยังไม่ได้ทำให้อเมริกาดีขึ้นเท่าไหร่เลย เพราะทุกอย่างต้องใช้เวลา

ที่สำคัญคือกำลังใจของประชาชนต้องร่วมกันเอาใจช่วย ไม่ใช่เอาแต่ตัดกำลังใจกันและกัน จะชอบหรือไม่ชอบมันก็ประเทศของเราทุกคน ยังไงก็ต้องเชียร์ให้สำเร็จ อย่าเห็นแค่ว่าไม่ใช่รัฐบาลจากพรรคที่เราชอบ ก็จะขวางไปทุกเรื่อง

ถามหน่อยเถอะว่า โครงการนี้มีเจตนาดีต่อประชาชนและเด็กหรือไม่? แน่นอน! ส่วนใหญ่เชื่อว่าเป็นนโยบายที่ดีแน่หากทำสำเร็จลุล่วงไปได้

ถ้าสำเร็จเราทุกคนก็ได้ดีไปด้วย จริงมะ?

รัฐบาลของไทยนะครับอย่าไปมองแค่ว่ารัฐบาลของอภิสิทธิ์เท่านั้น เพราะหากมองแค่นี้ก็จะทำให้เผลอแช่งประเทศไทยของเราโดยไม่ตั้งใจได้
.
นิสัยแย่ๆของคนไทยจำนวนหนึ่งก็คือ
.
อยากจะได้สวัสดิการจากรัฐดีๆ แต่กลับไม่ยอมจ่ายภาษีให้ถูกต้อง หากใครเลี่ยงภาษีได้ ก็นึกว่าตนเองนั้นฉลาด ซึ่งในประเทศที่เจริญแล้ว ประชาชนต่างก็ต้องเสียภาษีอย่างสูงมาก และกฏหมายก็เอาผิดคนเลี่ยงภาษีอย่างหนัก

ฉะนั้นหากคนไทยอยากได้สวสัดิการดีๆจากรัฐ หรือรัฐสวัสดิการ ก็จงทำใจและยอมรับการขึ้นภาษีไว้ด้วยครับ

วันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

เต๋า สมชาย,การ์ตูน อินทิรา วงการบันเทิงต้องลงโทษ

.
.
เต๋า สมชาย

ผมคิดว่า ทุกท่านคงได้ตามข่าว นายสมชาย เข็มกลัดกันมาพอสมควร โดยเฉพาะข่าวที่สมชายไปมีเรื่องทำร้ายร่างกาย "โกตา" เจ้าของร้านชำที่ลำปางเมื่อไม่นานมานี้

ซึ่งหากเต๋า สมชาย ไม่เคยมีคดีประเภทนี้มาก่อนก็คงไม่ได้เป็นคดีที่น่ากังวลอะไร แต่นี่นายเต๋า สมชาย เคยก่อคดีประเภทนี้มาหลายหน ซึ่งก่อนหน้าคดีนี้ เต๋า ก็เคยถูกศาลพิพากษาให้จำคุก3เดือนแต่รอลงอาญาไว้1ปีก่อนแล้ว

แต่ยังไม่ทันครบการกำหนดควบคุมความประพฤติ1ปีเลย นายเต๋า สมชาย ก็ไปก่อเรื่องซ้ำซ้อนขึ้นอีก ซึ่งหากผิดจริง ก็คงต้องติดคุกแน่ๆ แต่จะเท่าเดิมหรือไม่ ก็ต้องรอคำพิพากษาใหม่

และข่าวล่าสุดช่วงนี้ก็คือ นายเต๋า ได้จดทะเบียนกับหญิงคนใหม่แล้ว ทั้งๆที่เต๋าเคยประกาศต่อหน้าประชาชนทั้งประเทศในรายการที่นี่หมอชิตว่า ตัวเองจะไม่แต่งงานกับใครอีกแล้ว "ชาตินี้ขอมีภรรยาเดียว"

แม้จะผิดคำพูดไปบ้าง แต่อันนี้เราไม่ว่ากันครับ เพราะหากเขาไปมีความสุขก็ขอมุทิตาจิตด้วย เพราะอนาคตคือสิ่งไม่แน่นอนอยู่แล้ว และมันก็เรื่องส่วนตัวของเขาและไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน

ที่จริงตอนผมดูรายการที่นี่หมอชิตในคืนนั้นที่สัมภาษณ์เต๋า สมชาย ผมเองก็มีทัศนะคติเกี่ยวกับเต๋าดีขึ้น ทั้งๆที่ที่ผ่านมาผมก็ไม่ค่อยชอบเต๋าเท่าไหร่ แต่ในคืนวันนั้นเต๋าตอบคำถามได้อย่างตรงๆดี

ทีนี้มาเรื่องเต๋า สมชายอยากกลับเข้าวงการอีก อยากขอโอกาสของานในวงการบันเทิงอีก และพอดีเมื่อเย็นวันนี้ผมเห็นนักข่าวไปสัมภาษณ์ ชมพู ฟรุ๊ตตี้ ที่พูดว่าโดยส่วนตัวก็อยากให้โอกาสเต๋าเช่นกัน

แต่สำหรับความคิดผม ผมว่า ถ้าจะให้ดีเต๋าควรเคลียร์คดีความเรื่องโกตาให้เสร็จเสียก่อนเถอะ และหากผิดจริงไม่ว่าศาลตัดสินอย่างไร ก็ควรยอมรับคำตัดสินทันที ไม่ต้องอุธรณ์อะไรทั้งสิ้น หากต้องติดคุกก็ต้องยอมติดซะ เอาแบบแมนๆไปเลย ให้มันสมชายสมชื่อหน่อย กล้าทำก็ต้องกล้ารับ

และหากต้องเข้าคุกแล้ว ออกมาอยากจะเข้าวงการอีก ก็แล้วแต่ว่าจะมีคนจ้างอีกมั้ย ซึ่งหากเต๋า สมชายผิดจริงและยอมไปใช้กรรมในคุกแล้ว สังคมก็คงให้อภัยได้ถ้าได้ใช้กรรมในสิ่งที่ตัวเองก่อไป

แต่ถ้าเรื่องที่เต๋า สมชายอยากเข้ามาหากินในวงการบันเทิงอีก ใจผมผมว่า ผมอยากให้วงการบันเทิงควรปล่อยเต๋าไปทำมาหากินอย่างอื่นเถอะครับ เพราะเต๋าเองก็ได้ตักตวงประโยชน์จากวงการบันเทิงมามากแล้ว

วงการบันเทิงควรไปให้โอกาสกับคนที่เขาดีๆอีกเยอะแยะดีกว่า เด็กรุ่นใหม่ๆที่รออยากจะเป็นนักร้องดาราในวงการบันเทิงยังมีอีกเพียบ ไม่จำเป็นต้องให้โอกาสเต๋าอีก เพราะเขาได้มันมามากเกินไปแล้วครับ

ปล่อยให้คนดีๆคนอื่นๆเขารวยบ้างเถอะครับ เต๋า สมชายก็ควรหันไปหาเงินทางอื่นบ้าง ไม่ใช่หวังรวยจากเงินในวงการบันเทิงอย่างเดียว หรือว่า นายไม่แน่จริงไม่มีปัญญาก็ว่ามา


******************************

การ์ตูน อินทิรา

ก่อนที่ การ์ตูน อินทิรา จะมีเรื่องฉาวเก่าๆที่สื่อมาแฉ โดยส่วนตัวผมชอบฝีมือการแสดงของการ์ตูนเธอมากทีเดียว เพราะดูผลงานของเธอมาหลายเรื่องแล้ว รู้สึกว่าเธอแสดงได้ดีในหลายๆบทบาท โดยเฉพาะในเรื่องเกิดแต่ตม ผมว่าการ์ตูนแสดงได้น่าสงสารดี

..........................(ภาพฟิตติ้งจากละครเกิดแต่ตม)



และยิ่งตอนที่เธอมีข่าวเป็นแฟนกับโดม ปกรณ์ รัม ผมก็รู้สึกว่า ก็ดีนะ เพราะการ์ตูนก็ดูสวยดี ก็ดูเหมาะสมกับโดมดีเหมือนกัน แต่แล้วก็เกิดวิกฤติขึ้นกับเธอจนได้

ไม่รู้เพราะมีคนหมั่นไส้เธอหรือเปล่าที่ได้เป็นแฟนกับโดม เลยมีคนขุดเรื่องในอดีตของเธอมาแฉว่า เคยใจแตก มีผัวแต่เด็ก แถมแย่งสามีคนอื่นมาซะด้วย และยังสวมบทแม่เลี้ยงใจร้ายอีก

และแนวโน้มข่าวก็น่าจะจริงเสียด้วย เพราะขนาด นายโดม ปกรณ์ รัม ยังพูดว่า "เรื่องอดีตผมรับได้ แต่เรื่องศีลธรรมก็อีกเรื่องนึง" (แม่โดมก็คงบอกโดมว่ารับเรื่องแย่งผัวเขาของหนูการ์ตูนไม่ได้เช่นกัน)

ซึ่งในตอนแรกที่มีภาพหลดออกมาแฉว่า การ์ตูน อินทิราเคยแต่งงานแล้วนั้น การ์ตูนก็ออกมาปฏิเสธว่า ไม่เคยแต่ง น่าจะเป็นภาพตัดต่อ แต่สุดท้ายก็กลายเป็นเรื่องจริง

แต่การ์ตูนก็ยังไม่เข็ด บอกต่ออีกว่า ตอนนั้นตนเองยังเด็ก ผู้ใหญ่เขาจัดการแต่งให้ แต่สุดท้ายก็กลายเป็นว่า เธอใจแตกเอง และแย่งสามีคนอื่นเขามา โดยที่ทางผู้ปกครองของเธอขู่ฝ่ายชายว่า หากไม่แต่งกับการ์ตูนจะแจ้งความฐานพรากผู้เยาว์

เรื่องทั้งหมดเมื่อกระจ่างออกมาขนาดนี้แล้ว ภาพพจน์ดีๆของการ์ตูน อินทิราที่เคยมีมาเป็นอันป่นปี้หมดแล้ว

จนถึงทุกวันนี้ เธอก็ยังไม่ออกมายอมรับว่าได้ไปแย่งผัวเขามาจริงๆ และยังไม่เห็นเธอออกมาขอโทษกรณีเคยโกหกกับสื่อเลย

แม้ผมในฐานะแฟนละครจะเคยชื่นชมเธอมาก่อน และแม้จะให้อภัยเธอกับเรื่องที่ผิดพลาดในอดีต แต่เรื่องศีลธรรม และผลแห่งการกระทำของเธอ ก็ควรให้เป็นบทเรียนและบรรทัดฐานที่ดีแก่สังคมเพื่อมิให้เยาวชนไทยเห็นเป็นแบบอย่าง

วงการบันเทิงควรปล่อยการ์ตูนเธอไปทำมาหากินอาชีพอื่นเถอะ เพราะดาราก็ควรเป็นแบบอย่างจริยธรรมที่ดีแก่สังคมและวัฒนธรรมไทย หากเธอยังได้โอกาสดีๆในวงการบันเทิงต่อไป แล้วทีนี้มาตรฐานจริยธรรมดีๆที่เยาวชนไทยควรเอาเป็นตัวอย่างจะเหลืออะไรไว้เป็นแบบอย่างได้อีก

วงการบันเทิงควรจะมีมาตรฐานศีลธรรมสูงเพื่อเป็นแบบอย่างให้กับสังคมด้วย ไม่ใช่ใครเคยผิดศีลธรรมมาก็ไม่เป็นไร ต่อไปเด็กไทยก็ใจแตกได้ก็ไม่ต้องอายใครแล้ว อนาคตสามารถมาเป็นดาราดังร่ำรวยในวงการบันเทิงได้อยู่แล้ว เพราะวงการบันเทิงเขาไม่ถือ แบบนี้สังคมไทยก็คงเสื่อมทรามลงไปเรื่อยๆสิครับ เพราะแบบอย่างมันห่วยซะแล้ว

ยังมีนักแสดงคนอื่นๆที่ประวัติไม่เสียอีกมากมายรองานอยู่ ยังมีนักแสดงหน้าใหม่รอแจ้งเกิดอีกเยอะแยะ และยังมีเด็กๆรุ่นใหม่ที่อยากเข้าวงการบันเทิงอีกเพียบที่รอโอกาสดีๆอยู่

วงการบันเทิงควรมองข้ามดาราประวัติเสียๆไปได้แล้ว ไปให้โอกาสคนดีๆคนอื่นเถอะ อย่าปล่อยให้ดาราประวัติเสียๆหายๆมาตักตวงผลประโยชน์ที่ร่ำรวยจากวงการบันเทิงอีกเลย

วงการบันเทิงมีรายได้มาก ก็ควรให้อะไรดีๆคืนสังคมด้วย ไม่ใช่เอาแต่ตักตวงลูกเดียว จึงอยากให้ทั้งเต๋าและการ์ตูน ควรดับลงไปเหมือนกรณีแหม่ม แคทรียา ที่แม้จะกลับมาก็ไม่รุ่ง แต่ถ้าจะให้ดีควรลาวงการไปเลยดีกว่าครับ โดยเฉพาะการ์ตูน อินทิราเพราะมันผิดศีลธรรมมากไปครับ ส่วนเต๋า สมชาย หากศาลตัดสินว่าผิดจริง ก็ควรลาวงการไปเช่นกัน.

.
(ผมสงสารเธอนะ แต่สังคมต้องร่วมกันปกป้องสังคมดีๆไว้ ผมจึงจำใจที่ต้องเขียนบทความนี้เพื่อมาตรฐานที่ดีของสังคมไทย)
.
.

วันจันทร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

วิริยาบอกแดงโง่ ,ความผิดพลาดของทีวีไทย, คนไทยงมงาย , คดีเด็ด





ผมเพิ่งดูรายการ "กฤษณะล้วงลูก" ทางเนชั่นจบเมื่อกี้ ก่อนจะมาเขียนบทความตอนนี้ วันนี้กฤษณะ เขาไปสัมภาษณ์ท่านผู้หญิงวิริยา ชวกุลถึงบ้าน

แต่ประเด็นสำคัญที่ผมอุตส่าห์รอฟังก็คือ คำถามที่ว่า "ท่านผู้หญิงใส่เสื้อสีอะไร" ซึ่งท่านผู้หญิงก็ตอบว่า "ไม่ใส่เสื้อแดงหรอก เพราะเสื้อแดงโง่ ทำอะไรโง่ๆหลายอย่าง"
.


ผมไม่อยากเล่ารายละเอียดต่อแล้วครับ เพราะใครอยากดูเต็มๆต้องไปหาดูที่เว็บเนชั่นเองนะครับ


********************************

ทีวีไทยกับกรณีเพลงหลุดในวันฉัตรมงคล

เป็นข่าวที่ดังมากๆในอินเตอร์เนต แต่ในสื่อปกติทั่วไปกลับเงียบ นั่นก็คือ ข่าวที่ทีวีไทยเกิดความผิดพลาดปล่อยเพลง "แสงดาวแห่งศรัทธา" ของจิตร ภูมิศักดิ์ ออกมาระหว่างถ่ายทอดสดงานสโมสรสันนิบาตที่ทำเนียบรัฐบาล ขณะที่มีการบรรเลงเพลงสดุดีมหาราชาและช่วงเพลงสรรเสริญนั้น



อ่านข่าวคำชี้แจงของทีวีไทยกรณีความผิดพลาดในวันฉัตรมงคล

แม้ในวันนี้ทางทีวีไทยจะออกมาชี้แจงความผิดพลาดแล้ว ว่าเป็นปัญหาเทคนิคและได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนความผิดเจ้าหน้าที่แล้วก็ตาม แต่สำหรับความเห็นผม ผมว่าคำชี้แจงนั้นฟังไม่ขึ้นครับ

เพราะในงานสำคัญที่เกี่ยวข้องกับสถาบันหลักแบบนี้ การมีเสียงเพลงที่พวกคอมมิวนิสต์ในอดีตใช้เพื่อปลุกกระแสความเชื่อทางการเมืองของตัวเอง อยู่ดีๆจะมาหลุดออกอากาศในงานพิธีสำคัญแบบนี้มันไม่บังเอิญผิดพลาดเกินไปหน่อยหรือ?

เพราะวันเดียวกันนั้น ก็เป็นวันครบรอบการจากไปของจิตร ภูมิศักดิ์เช่นกัน หากจะเกิดความผิดพลาดทางเทคนิคจริง ก็น่าจะหลุดเป็นเสียงอย่างอื่น เช่น เสียงเพลงเบิร์ด หรือเพลงลอยกระทง หรือเพลงอะไรก็ได้ ที่ไม่น่าจะมาเป็นเพลงนี้

และหากมีการลงโทษเจ้าหน้าที่ที่ผิดพลาดเกิดขึ้นนั้นเป็นการลงโทษสถานเบา ก็ยิ่งทำให้รู้สึกว่า ทีวีไทยไม่เห็นความสำคัญของการผิดพลาดในครั้งนี้ เพราะความบังเอิญที่ไม่ธรรมดาแบบนี้คงยากที่จะมีคนเชื่อถือแน่ๆ

จะผิดพลาด ดันมาผิดพลาดตอนงานพิธีสำคัญ จะผิดพลาดดันต้องเป็นเพลงที่คอมมิวนิสต์เคยใช้ จะผิดพลาดดันมาผิดพลาดตอนเหตุการณ์บ้านเมืองกำลังแตกแยก แถมยังปล่อยเสียงนานเกินกว่าจะเชื่อว่าไม่ตั้งใจ และแถมยังปล่อยเสียงให้ดังมากแข่งกับเสียงเพลงสรรเสริญอยู่นาน

การตั้งคณะกรรมการสอบสวนไม่มีสิ่งยืนยันแน่ชัดว่า เจ้าหน้าที่ที่ผิดพลาดนี้ได้ไปรับสินบนจากใครมาหรือเปล่า ในเมื่อยากที่จะสรุปแบบไหนได้ ก็ควรตัดไฟเสียแต่ต้นลมดีกว่า เพื่อมาตรฐานการทำงานของทีวีไทยจะได้รับความเชื่อถือจากสังคม เพราะถ้าปล่อยไปก็เท่ากับว่าผู้บริหารทีวีไทยหละหลวมหรือร่วมเจตนาทำผิดด้วย

หากผู้บริหารทีวีไทยอย่างเทพชัย หย่อง ทำได้แค่เพียงลงโทษสถานเบาล่ะก็(พักงานก็ไม่พอ) ก็เสียทีที่เกิดมาเป็นน้องสุทธิชัย หยุ่น อยากวานให้พี่หยุ่นเบิร์ดกะโหลกน้องหย่องซักที่เถอะ

(จิตร ภูมิศักดิ์ เขาไปดีแล้ว แต่มีคนไม่ดีกลับนำผลงานที่เปี่ยมอุดมการณ์บริสุทธิ์ของท่านมาทำเสื่อมเสีย)

*********************************

คนไทยงมงาย

ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา มีข่าวพบเรื่องของแปลกๆหลายหน เช่น พบไข่ยักษ์ พบเห็ดยักษ์ พบจิ้งจกสีแดง พบอะไรต่อมิอะไรที่แปลกๆ พี่ไทยเราก็พร้อมใจกันจุดธูปขอหวยกันทั้งปี

เป็นมาไม่รู้กี่ครั้งกี่หนแล้ว ที่คนไทยเรางมงายกับสิ่งมีชีวิตที่ผิดปกติ กราบได้กระทั่งจิ้งจกตุ๊กแก สงสัยถ้าหมาออกลูกมี2หัว ก็คงมีคนไปกราบไหว้หมาแน่นอน เชื่อมะ!

หากเป็นในประเทศที่เจริญแล้วอย่างญี่ปุ่น เยอรมัน อเมริกา หากเขาพบเจอสิ่งมีชีวิตที่ผิดธรรมชาติหรือไม่ผิดธรรมชาติก็ตาม หากเป็นเรื่องแปลก

เขาก็จะมีวิธีการดำเนินเรื่องต่างจากคนไทย เช่นหากฝรั่งเขาพบกบมี5ขา หรือสัตว์มี2หัว ฝรั่งเขาจะวิตกกังวลว่า เกิดอะไรที่เป็นภัยกับสิงแวดล้อมในบริเวณที่พบสัตว์แปลกๆหรือเปล่า

ฝรั่งเขากลัวว่า อาจมีสารพิษเจือปนในสิ่งแวดล้อม จนทำให้ระบบนิเวศน์ในบริเวณนั้นเปลี่ยนแปลงจนกระทบกับพันธุกรรมของสัตว์ ฝรั่งเขาจะต้องนำน้ำ นำดิน นำอะไรต่อมิอะไรมาสำรวจพิสูจน์ให้รู้ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น เพื่อจะได้แก้ไขหรือระมัดระวังเรื่องความปลอดภัยแก่สิงแวดล้อมระบบนิเวศน์

แต่คนไทยบ้าหวย งมงายแม้กระทั่งหมูเกิดมาพิการตายตั้งแต่เกิด อย่างนี้แหล่ะที่ทำให้คนไทยยังยากที่จะพัฒนาความคิดให้เจริญอย่างมีปัญญา และนี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งของความล้าหลังของคนไทย

การที่ได้เห็นคนไทยไปกราบไหว้สัตว์แปลกหรือพืชแปลกๆนั้น ไม่ใช่มีแต่คนเฒ่าคนแก่ที่อาจไม่ได้รับการศึกษาสมัยใหม่มากราบไหว้เท่านั้น แต่กลับพบเห็นว่า คนหนุ่มสาวก็บ้าไปกราบไหว้ด้วย เฮ้อ! การศึกษาไทยไม่ได้ช่วยอะไรเท่าไหร่เลย พับผ่าเหอะ!

*******************************

คดีเด็ดบอกอะไรได้บ้าง

รายการคดีเด็ดทางช่อง7สี ที่มีนายหว่อง ตาตี่ พิธีกรมุขฝืด(แต่ก็ฮาตรงฝืด) จัดมาหลายปี ผมเองพักหลังก็เบื่อๆไปบ้างเลยไม่ค่อยได้ดูแล้ว เพราะเริ่มชินกับมุข

แต่มีอยู่วันนึง ผมลองแวะดูรายการคดีเด็ดสักหน่อยสิว่าเป็นไงบ้าง บังเอิญได้ดูตอนท้ายๆรายการ มีคดีขำๆ2เรื่องอยากเล่าให้คุณผู้อ่านรู้

เรื่องแรก หลักฐานการตาย

มีหลานสาวมากรมที่ดินเรื่องจะขอโอนที่ของปู่ที่ตายแล้ว แต่เจ้าหน้าที่ที่ดินบอกว่า ต้องไปเอาหลักฐานการตายของผู้ตายมาแสดงด้วย

หลานสาวคนนั้นก็กลับไปเพื่อไปเอาหลักฐานมาใหม่ พอกลับมา ก็ยื่นอัลบั้มรูปส่งให้เจ้าหน้าที่ที่ดิน เจ้าหน้าที่ก็งง! ถามว่า "ไหนล่ะ หลักฐานการตาย"

หลานสาวก็บอกว่า "นี่ไง! หลักฐาน" พร้อมกับเปิดอัลบั้มรูปงานศพของปู่ที่ตายไปให้ดู แถมยังอุตส่าห์ชี้รูปตัวเองด้วยว่า ได้ไปร่วมงานศพของปู่มาด้วย

จบ.

กรณีนี้ก็เป็นตัวอย่างของคนไทยที่ยังหนุ่มสาว แต่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย จริงๆ ว่าหลักฐานการตายนั้นคืออะไรกันแน่ เพราะที่จริงก็คือ ใบมรณะบัตรนั่นเอง เฮ้อ! ....

เรื่องที่2 บัตรสะแมดแต๊ด

ผู้ใหญ่บ้านคนหนึ่ง บอกชาวบ้านผ่านเสียงตามสายว่า ให้รีบไปทำบัตรสะแมดแต๊ดที่อำเภอเสีย เพราะรัฐบาลเขาจะยกเว้นไม่เก็บค่าธรรมเนียมในช่วงนี้

วันรุ่งขึ้นชาวบ้านหมู่บ้านนี้ก็แห่กันไปทำบัตรสะแมดแต๊ดที่อำเภอกันใหญ่ เจ้าหน้าที่ที่อำเภอก็ถามว่า"มาทำอะไรกัน"

ผู้ใหญ่บ้านคนนำมาก็บอกว่า "จะพาลูกบ้านมาทำบัตรสะแมดแต๊ด"

ทำเอาเจ้าหน้าที่งง! เจ้าหน้าที่ก็ถามย้ำอีกทีให้แน่ใจว่า "ทำอะไรนะ"

ชาวบ้านก็พูดกันทีละคนว่า มาทำบัตรสะแมดแต๊ด กันทุกคน

จบ.

กรณีนี้มีชาวบ้านทั้งคนหนุ่มคนสาวก็มาด้วย แต่ไม่ยักจะมีใครฉุกคิดสงสัยกับคำว่า บัตรสะแมดแต๊ดสักคน เพราะต่างก็เชื่อตามผู้ใหญ่บอกกันทั้งนั้น

เฉลย บัตรสแมดแต๊ด ก็คือ บัตรสมาร์การ์ด นั่นเอง เฮ้อ! .....

การศึกษาของไทยยังพัฒนาไม่ทั่วถึง ประชาธิปไตยแบบไทยๆก็ต้องค่อยเป็นค่อยไปนะครับ อยากให้คนไทยอย่าไปฟังพวกนักการเมืองมากไปแล้วกัน เพราะอาจถูกหลอกใช้ได้
.
.
อ่านเรื่อง คนไทยไม่สามารถเจริญแบบญี่ปุ่นได้
.

วันจันทร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

คนเลี้ยงหมาระวังได้บาป




ในประเทศไทยมีคนรักหมาจำนวนมาก หลายคนรักเพราะเลี้ยงสุนัขที่บ้านมาตลอด และก็มีหลายคนไม่ได้เลี้ยงหมาที่บ้าน แต่ก็รักหมาที่ตัวเองไม่สามารถเลี้ยงมันไว้ที่บ้านก็มีอีกมาก นั่นก็คือเลี้ยงหมาไว้ข้างถนน หรือที่รู้จักกันทั่วๆไปว่า "หมาจรจัด"

การเลี้ยงหมานั้น หลายคนคงคิดว่านอกจากเป็นการเลี้ยงไว้เพื่อดูเล่น เป็นเพื่อน หรือไว้เฝ้าบ้านก็ตาม ไม่ว่าจุดประสงค์อะไรก็แล้วแต่ คนเลี้ยงหมาที่เลี้ยงด้วยความรักและเอาใจใส่มันอย่างดีก็ย่อมได้บุญจากการเลี้ยงหมาอย่างแน่นอน

หรือแม้แต่จะเลี้ยงไว้แบบเป็นหมาเฝ้าบ้าน ไม่ได้เอามาเลี้ยงแบบที่หลายคนที่นิยมเลี้ยงหมาให้เป็นเหมือนลูกก็ตาม ตราบใดที่เลี้ยงมันด้วยความเมตตาต่อมันก็ได้บุญเช่นกัน นี่เป็นสัจธรรมอย่างหนึ่ง

บางครั้งผมเห็นหลายๆคนที่รักหมามากเปรียบเสมือนเป็นลูก ที่จริงก็ดูน่ารักดี และดูน่าชื่นชมก็ตาม แต่บางครั้งผมก็อดคิดไม่ได้ว่า บางทีเจ้าของหมาอาจดูเหมือนเป็นคนรับใช้ให้หมาทีเดียว เพราะทำทุกอย่างให้หมาอย่างดีที่สุด จนดีกว่าทำเพื่อตัวเองเสียด้วยซ้ำ หากเลี้ยงแบบนี้ผมอดคิดไม่ได้ว่า หมาตัวนั้นเป็นเจ้านายของคนแน่ๆเลย

แต่ไม่ว่าจะเลี้ยงด้วยความรักความชอบแบบใดก็ตาม อย่าลืมว่า การเลี้ยงหมาที่ว่าได้บุญ ก็อาจกลายเป็นทำบาปโดยที่เราไม่รู้ตัวก็ได้ หรือรู้ตัวแต่ไม่สนก็ยิ่งบาปใหญ่

*************************

ทุกข์หนักของหมา สร้างบาปให้เจ้าของ

เจ้าของหมาทุกท่าน คุณเคยปล่อยหมาให้ออกไปถ่ายทุกข์นอกบ้านบ้างหรือไม่? และเมื่อหมาออกไปถ่ายทุกข์นอกบ้าน เจ้าของตามไปดูแลไม่ให้มันไปถ่ายที่ๆไม่ควรถ่ายหรือไม่? และได้เก็บกองทุกข์ของหมาคุณออกไปจากที่ๆไม่ควรถ่ายหรือไม่?

เจ้าของหมาที่ดีที่สุด ย่อมฝึกให้หมาหัดขับถ่ายที่บ้านไม่ออกไปทำสกปรกข้างนอก แต่ก็มีเจ้าของหมาที่ดีรองลงมาก็คือ ตามไปเก็บกองทุกข์ของหมาทุกครั้งที่หมาของตัวไปถ่ายทิ้งไว้

แต่เจ้าของหมาที่แย่มากก็คือ ปล่อยให้หมาออกไปขับถ่ายทุกข์หนักข้างนอก โดยไม่สนใจว่าหมามันจะไปถ่ายทิ้งที่ไหน และจะไปถ่ายทีๆไม่ควรถ่ายหรือไม่

แต่ที่แย่ที่สุดคือไปถ่ายในที่ๆมีคนอื่นเขาเดือดร้อนนี่แหล่ะ ที่เป็นการสร้างบาปให้แก่ตัวเจ้าของหมาโดยไม่อาจปัดความรับผิดชอบได้

หากใครที่เลี้ยงหมาแล้วปล่อยหมาให้ขับถ่ายทุกข์หนักเรี่ยราดในที่ๆไม่สมควร คุณโปรดรู้ไว้ด้วยว่า คุณคือคนเห็นแก่ตัวที่สุดชนิดหนึ่ง คุณอาจจะได้บุญจากการเลี้ยงหมาของคุณด้วยความรักก็จริง แต่คุณก็จะต้องได้รับบาปอันอาจจะมากกว่าบุญที่คุณได้เลี้ยงหมาของคุณเสียอีก

เพราะการเลี้ยงหมาแม้ได้บุญ แต่การสร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่นนั้นย่อมได้บาปมากกว่า เพราะคนนั้นเป็นสัตว์ประเสริฐ หากใครสร้างความเดือดร้อนให้กับคนก็ย่อมมีบาปมากพอควร ในขณะที่หมานั้นเป็นสัตว์เดรัจฉาน การทำบุญกับสัตว์เดรัจฉานย่อมได้บุญน้อยกว่าทำบุญกับคน

ฉะนั้นบาปที่ทำไว้กับคนจึงน่าจะมีมากกว่าที่คุณได้บุญจากการเลี้ยงหมาเป็นธรรมดา

ยิ่งทุกข์หนักของหมา หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า ขี้หมา นั้น ยิ่งสร้างความเดือดร้อนให้แก่คนจำนวนมากขึ้นเท่าใด บาปของเจ้าของหมาก็จะมีจำนวนมากขึ้นตามไปด้วย แต่ในขณะที่เจ้าของหมาอาจได้บุญเล็กน้อยจากการเลี้ยงหมาเพียงแค่ตัวเดียว แต่อาจได้บาปจากคนอื่นจำนวนมากกว่า

ที่บาปหนักที่สุดก็คือ การปล่อยให้หมาไปขับถ่ายในที่ทางสาธารณะประโยชน์ เช่นฟุตบาท ทางเท้า ทางเดินแคบในซอยของชุมชุม ซึ่งเป็นสมบัติของคนทุกคน เป็นสมบัติของชาติ เจ้าของหมาที่ปล่อยให้หมาไปทำความสกปรกแก่บ้านเมือง ทำให้ประชาชนต้องเดิอดร้อนจากกองทุกข์ของหมา ยิ่งมีคนเดือดร้อนมาก เจ้าของหมาก็ยิ่งบาปมากขึ้น

ฉะนั้นเลี้ยงหมาต้องหัดรับผิดชอบภาระที่ควรทำด้วย มิฉะนั้น เจ้าของต้องได้รับบาปไปเรื่อยๆมากขึ้นๆ
.
(หมาไม่บาปหรอกครับ แต่เจ้าของได้บาปไปเต็มๆ)

**********************************

เลี้ยงหมาจรจัดได้บุญน้อย

หากใครได้ศึกษาธรรมะมาพอสมควร คุณย่อมรู้ว่า การทำบุญในแต่ละประเภทย่อมได้บุญไม่เท่ากัน การทำบุญกับคนย่อมได้บุญมาก ยิ่งทำบุญกับผู้ทรงศีลยิ่งได้บุญมากขึ้นตามลำดับ

การทำบุญทำทานกับสัตว์ใหญ่ก็ย่อมได้บุญมากกว่าทำกับสัตว์ตัวเล็ก อันนี้เป็นสัจธรรม

ผมไม่ได้แนะนำให้ใครเลือกที่รักมักที่ชังในการทำบุญทำทาน เลือกทำบุญกับสิ่งนั้น ไม่ทำบุญกับสิ่งนี้ คนเราเมื่อมีโอกาสทำบุญใดๆก็ตาม ก็ทำไปโดยไม่ต้องเลือกนี่แหล่ะดีที่สุด

ทีนี้ผมจะถามถึงคนที่ชอบเลี้ยงหมาจรจัดข้างทางว่า คุณคิดว่าการทำทานแก่หมาได้บุญมากกว่าให้ทานแก่คนยากไร้หรือไม่?

ที่จริงคำถามนี้ตอบง่ายมาก แน่นอนทำทานกับคนยากไร้ย่อมได้บุญมากกว่าทำทานแก่หมาจรจัดแน่นอน

คนที่เลี้ยงอาหารให้หมาจรจัด คุณเคยรู้บ้างมั้ยว่า คุณกำลังส่งเสริมให้หมานั้นแพร่ขยายพันธุ์มากขึ้น เพราะเมื่อมีอาหารสมบูรณ์ หมามันก็ต้องผสมพันธุ์มากขึ้น และเมื่อมีหมาจรจัดจำนวนมากขึ้น ใครล่ะที่จะพาหมาจรจัดพวกนี้ไปฉีดยาป้องกันพิษสุนัขบ้า คุณได้พาไปหรือไม่?

และหากหมามีจำนวนมาก แต่ไม่มีใครพามันไปควบคุมโรค หากมันบ้าแล้วไปกัดคนอื่นที่ไม่ได้เลี้ยงมันด้วย คุณคิดว่า คนอื่นนั้นเขาเดือดร้อนหรือไม่ ยิ่งถ้าเป็นเด็กโดนกัด คุณว่าพ่อแม่เด็กจะเดือดร้อนหรือไม่?

และหากหมาจรจัดมีจำนวนมากขึ้น แต่มีอาหารไม่พอกินกันเพราะคุณไม่สามารถเพิ่มอาหารขึ้นได้ มันก็ต้องแย่งกันกิน กัดกัน คุณคิดว่า หมามันเดือดร้อนหรือไม่?

และคนที่เอาอาหารให้หมาจรจัด คุณคิดว่า ได้ช่วยให้บ้านเมืองสกปรกหรือไม่? ทำให้เชื้อโรคแพร่ระบาดได้หรือไม่?

เพราะมีเด็กๆชอบเล่นหรือเดินถอดรองเท้าในที่สาธารณะ ก็อาจได้รับเชื้อหรือพยาธิเข้าร่างกายได้ เพราะอุจจาระหมามีเต็มบ้านเต็มเมือง (หมาไม่ผิดหรอกที่จะถ่าย แต่คนไม่ควรส่งเสริมให้สกปรกเพิ่มขึ้น )

หากมีเงินจำนวนจำกัดที่คุณอยากทำบุญ ผมแนะนำให้คุณนำไปทำบุญตักบาตรหรือนำไปช่วยเหลือคนทุกข์ยากยังดีเสียกว่าที่จะทำทานกับหมา เพราะหมานั้น นอกจากบุญน้อยแล้วอาจได้บาปมากกว่าตามมาด้วย

(แต่ถ้าเป็นอาหารเหลือทิ้งฟรีๆ ที่จะนำไปให้ทานแก่หมา ก็ต้องระวังอย่าให้หมาพวกนั้นสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นก็แล้วกัน เช่นไปวางอาหารไว้หน้าบ้านคนอื่น แล้วหมามันไปทำความสกปรกหน้าบ้านคนอื่นเขา)
.
(ผมไม่ได้ห้ามไม่ให้ใครทำทานแก่หมา แต่แค่ฝากให้ฉุกคิดครับ เพราะผมเองก็เคยให้ขนมหรือลูกชิ้นแก่หมาจรจัดเหมือนกัน แต่มันกินหมดไม่เลอะเทอะ และให้ครั้งละตัวโดยบังเอิญ ไม่ได้ตั้งใจมาให้หมาเป็นฝูงทุกวันเหมือนที่หลายคนทำ)


*******************

ที่ๆเขาห้ามเลี้ยง แต่ก็แอบเลี้ยง

มีคอนโดฯจำนวนมาก ห้ามเลี้ยงสัตว์ในห้องพัก แต่ก็มีคนแอบลี้ยงอยู่มากมาย หากเลี้ยงหมาดีไม่สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นก็ยังพอทำเนา แต่เลี้ยงแล้วสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นนี่สิ ควรประนามมาก

เช่นปล่อยให้หมาออกมาขับถ่ายนอกห้องตน แต่ไปขับถ่ายหน้าห้องคนอื่น หรือปล่อยให่หมาเห่าหอนไม่หยุด ทำให้คนอื่นไม่ได้หลับพักผ่อน อันนี้บาปหนักมากกว่าอันกรณีแรกเสียอีก เพราะการทำให้คนอื่นไม่ได้นอน ถือเป็นการสร้างความเดือดร้อนอย่างมาก จึงบาปมาก ลองเอาใจเขามาใส่ใจเราดูสิครับ

ผมจึงอยากฝากใครก็ตามที่มีโอกาสอ่านบทความตอนนี้ หากคุณรักหมาและเลี้ยงหมาอยู่ โปรดหยุดไตร่ตรองด้วยว่า คุณรักหมาแต่กำลังทำร้ายคนอื่นหรือเปล่า?

หากใครทำอยู่ เชื่อผมเถอะครับ มันไม่คุ้มกับบุญที่คุณได้รับจากหมาที่คุณเลี้ยงหรอกครับ เพราะบาปที่คุณทำกับคนอื่นนั้นบาปมากกว่าแน่นอน
.
จงอย่ารักหมาบนความเห็นแก่ตัวของตน


***(บทความตอนนี้เหมาะแก่คนที่เชื่อในบาปบุญคุณโทษเท่านั้น)

อ่านข้อคิดเรื่องการกินหมา



วันเสาร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

พระพุทธเจ้าทรงสอนอะไร? และกิเลสที่ตัดยากที่สุด




วันนี้เป็นวันวิสาขบูชา ซึ่งหากพระพุทธเจ้ายังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ก็จะทรงมีพระชนมพรรษาถึง2552+80=2632พระชันษา ผมเพิ่งออกไปไหว้พระจันทร์มาก่อนจะเขียนบทความ และพรุ่งนี้ก็จะออกไปไหว้อีกครั้ง

ผมไหว้พระจันทร์ดวงเดียวกันกับที่พระพุทธเจ้าทรงเคยทอดพระเนตรเห็น ผมระลึกถึงพระพุทธคุณผ่านไปยังดวงจันทร์ครับ
.
บทความนี้เขียนเท่าที่ผมคิดว่ารู้นะครับ แต่อาจจะมีบกพร่องได้ ฉะนั้นโปรดใช้วิจารณญาณด้วย เพราะผมเองก็เขียนตามที่ผมเข้าใจครับ หากมีข้อสงสัยประการใดกรุณาไปถามกับผู้รู้อีกทีนะครับ

**********************************

กิเสสที่ตัดยากที่สุด


คำถามนี้คงมีหลายๆคนเคยได้รับคำตอบมาหลายๆครั้งแล้ว แต่ก็อาจจะมีคำตอบที่แตกต่างกันไปตามแต่ผู้ตอบเป็นใคร แต่ทั้งหมดนั้นก็คงเป็นคำตอบที่ถูกต้องทั้งสิ้น

แต่สำหรับผมนั้น ผมสนใจเรื่อง พระพุทธเจ้าทรงสอนเรื่องกฏแห่งกรรมมาก เพราะใครทำกรรมใดไว้ก็จะได้ผลแห่งกรรมนั้นตอบสนอง

และสิ่งหนึ่งที่ทำให้สรรพสัตว์ทั้งหลายต้องยังต้องเวียนว่ายตายเกิด เผชิญทุกข์อย่างไม่รู้จบสิ้น ก็เพราะสรรพสัตว์เหล่านั้นยังไม่สามารถหลุดพ้นผลแห่งกรรมได้หมดสักที

ฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงทรงหาวิธีให้พ้นผลแห่งกรรม ซึ่งจะได้ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิด(วัฏสงสาร)อีก ซึ่งก็คือการสำเร็จอรหันต์เข้าสู่พระนิพพานนั่นเอง (เมื่อเข้าสู่พระนิพพานแล้วก็จะไม่ต้องใช้กรรมอีก)

และสิ่งที่จะทำให้พ้นผลแห่งกรรมได้ก็คือ การดับกิเลสให้สิ้น ซึ่งกิเลสมีอยู่มากมายหลายชนิด แต่ชนิดที่สำคัญที่สุดก็คือ ตัณหา

ซึ่ง ตัณหา ก็แปลว่า ความอยาก นั่นเอง

ตัณหา ความอยากนั้นเป็นกิเลสตัวสุดท้ายที่จะทำให้บรรลุถึงอรหันต์ เพราะในพระอนาคามีเองก็ยังไม่สามารถตัดความอยากได้หมดสิ้น (แต่เบาบางมากแล้ว)

เพราะอะไรขนาดพระอนาคามีที่ใกล้จะบรรลุอรหันตผลแล้ว ยังเหลือตัณหาอยู่? แต่เมื่อพระอนาคามีสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว ตัณหาที่อยากจะเป็นพระอรหันต์ก็จะดับสิ้นไม่เหลืออีกทันที

ก็เพราะพระอนาคมีก็ยังอยากที่จะเป็นพระอรหันต์อยู่นั่นเอง แต่เป็นตัณหาในสัมมาทิฐิ ไม่ใช่มิจฉาทิฐิ เพราะตัณหามีทั้งดีและไม่ดี

(คนธรรมดาก็อยากเป็นพระโสดาบัน พระโสดาบันก็อยากจะเป็นพระสกิทาคามี พระสกิทาคามีก็อยากจะเป็นพระอนาคามี พระอนาคามีก็อยากเป็นพระอรหันตร์ พระอรหันต์ทรงตัดความอยากได้แล้วเพราะถึงที่สุดแล้ว)

*****************************

กฏแห่งกรรม

หลายคนๆคงจะเคยคิดเหมือนกันใช่มั้ยว่า ทำไมบางคนถึงเกิดมารวย? บางคนถึงเกิดมาหน้าตาดี? บางคนทำไมถึงเกิดมาฉลาด? ทำไมบางคนเกิดมาโง่? บางคนทำไมถึงเกิดมายากจนข้นแค้น ทำไมบางคนถึงเกิดมาพิการ? ทำไม?

ในทางพระพุทธศาสนาเราให้กรรมเป็นสิ่งกำหนดว่าใครควรจะจุติเป็นไปภพไหนและอย่างไร เราไม่ได้อ้างว่า เป็นเพราะพระเจ้าทรงกำหนด หรือเทพเจ้าเป็นผู้กำหนด แต่พุทธศาสนาสอนว่า "เหตุแห่งกรรมคือตัวกำหนดผล"

เพราะหากเราเห็นว่าพระเจ้ามีตัวตนเป็นผู้ทรงกำหนด ก็จะทำให้เราคิดอคติต่อว่าพระเจ้าได้ว่า


"ทำไมพระเจ้าถึงไม่ทรงยุติธรมกับเราเลย ทำไมพระเจ้าถึงลำเอียงเช่นนี้" ซึ่งความคิดแบบนี้เป็นความคิดที่ก่อให้เกิดความเกลียดชังเสียเปล่าๆ และเมื่อพาลโกรธพระเจ้าที่ทรงลำเอียงแล้ว ก็อาจทำให้คนผู้นั้นหลงผิดไปทำชั่วก็ได้

เพราะเมื่อคิดว่าพระเจ้าไม่เข้าข้างเรา แล้วทำไมเราต้องเชื่อพระเจ้าด้วย!?

ศาสนาพุทธจึงสอนให้คนเรานั้นเชื่อในผลแห่งการกระทำของตัวเอง ศาสนาพุทธจึงไม่ได้สอนให้เราพึ่งพระเจ้าหรือเทพเจ้าใดๆทั้งสิ้น แต่ให้เราเชื่อผลในการกระทำของตัวเองที่จะส่งผลว่าเราจะเป็นเช่นไรต่อไป

เมื่อเราเชื่อในผลแห่งกรรมหรือกฏแห่งกรรมหรือกรรมกำหนดแล้ว คำตอบที่เราสงสัยหลายอย่างๆก็จะมีคำตอบที่อธิบายได้

พระพุทธเจ้าเองก็เช่นกัน พระองค์ไม่ได้อยู่ดีๆก็จะได้ทรงสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าได้ง่ายๆ แต่พระพุทธองค์ทรงบำเพ็ญเพียรสะสมมานานหลายชาติแล้ว กว่าจะมาบรรลุธรรมด้วยพระองค์เอง

ใครก็ได้ที่มีความเพียร มีความตั้งใจจะเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตก็สามารถตั้งความหวังได้ทุกคน เพราะกฏแห่งกรรมให้สิทธิกับทุกคนเท่าเทียมกัน แต่จะเร็วจะช้าก็ขึ้นอยู่กับความปรารถนาและความเพียรของแต่ละคน


*****************************

หากไม่เชื่อเรื่องภพนี้ภพหน้าแล้วจะวุ่นวาย

หากคนเรายังมีความเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ ก็จะทำให้เกิดความเกรงกลัวเรื่องกฎแห่งกรรมว่า หากเราทำชั่ว ผลกรรมก็จะส่งผลไม่ชาตินี้ก็ในชาติต่อไป

ซึ่งจะทำให้คนเรามีหิริโอตัปปะ ละอายและเกรงกลัวต่อบาป ซึ่งจะทำให้สังคมเกิดสันติสุขได้ แต่หากคนเราไม่เชื่อเรื่องกฎแห่งกรรมแล้วไซร้ ก็จะทำให้คนเราไม่เกรงกลัวต่อบาป ซึ่งก็จะทำให้สังคมและตัวเองก็ความเดือดร้อน และทำบาปได้เรื่อยๆ

ฉะนั้นขอฝากไว้ว่า เมื่อคนเราไม่กลัวบาปเมื่อใด สิ่งเดียวที่จะกำราบคนชั่วได้ ก็คือ กฎหมาย นั่นเอง

แต่หากกฎหมายไม่สามารถกำราบให้คนชั่วเกรงกลัวได้ บ้านเมืองนั้นก็จะไร้ความสงบสุขแน่นอน

*******************

สิ่งที่แตกต่างอาจเป็นสิ่งเดียวกันหรือไม่?

สุดท้ายขอฝากให้คิดเล่นๆว่า พระเจ้าในศาสนาอื่นอาจเป็นสิ่งเดียวกับกฎแห่งกรรมในศาสนาพุทธได้หรือไม่?

และหากเป็นสิ่งเดียวกันจริง ความคิดเห็นส่วนตัวผม ผมคิดว่า พระเจ้าก็คือสภาวะธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งก็คือกฏแห่งธรรมชาติ(มีกฏแห่งกรรมอยู่ด้วย)นั่นเองครับ

ทำไมพระพุทธเจ้าท่านทรงเอาชนะกฎแห่งกรรมเพื่อเข้าสู่พระนิพพานได้?

ก็เพราะพระพุทธองค์ทรงดับกิเลสที่เป็นเหตุแห่งทุกข์ และเหตุแห่งทุกข์นี้เองที่กำหนดให้สรรพสัตว์ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ .

เมื่อพระพุทธเจ้าทรงดับกิเลสหรือเหตุแห่งทุกข์ได้ ก็เท่ากับดับเชื้อแห่งการเกิดได้ เมื่อพระองค์ดับเชื้อแห่งการเกิดได้ พระพุทธองค์จึงหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด(วัฏสงสาร)หรือบ่วงแห่งทุกข์นั่นเองครับ


และเมื่อหลุดจากการเวียนว่ายตายเกิดได้ จะได้ไปอยู่กับพระเจ้าก็คือพระนิพพานนั่นเอง งง!มั้ยครับ?

หากเราศึกษางานของท่านพุทธทาสมาบ้าง ก็จะได้ข้อสรุปเบื้องต้นว่า

กฎแห่งกรรม = กฎธรรมชาติ

กฎธรรมชาติ = พระเจ้า

พระเจ้า = กฎแห่งกรรม

พ้นจากกฎแห่งกรรม = พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด

การเวียนว่ายตายเกิด = วัฏสงสาร

พ้นจากวัฏสงสาร = พระนิพพาน


ฉะนั้นบทสรุปของผมก็คือ พระเจ้าในทางพุทธศาสนาก็คือพ้นจากกฎแห่งกรรม คืนสู่สภาวะธรรมชาติที่เที่ยงแท้ คือการเข้าสู่พระนิพพานนั่นเองครับ (ซึ่งก็อยู่ในกฎแห่งธรรมะนั่นเอง เพราะกฏแห่งธรรมะ กำหนดไว้ว่า ผู้ใดหมดกิเลส ย่อมหลุดพ้นจากสังสารวัฏเข้าสู่พระนิพพาน)

"ความไม่เที่ยงแท้ ความไม่แน่นอนนั้นเป็นสัจธรรม แต่สัจธรรมนั้นเที่ยงแท้แน่นอน"








อ่าน คนเลี้ยงหมาระวังได้บาป



วันจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

คนไทยจะเจริญแบบสิงคโปร์ได้มั้ยตอน2




อ่านคนไทยจะเจริญแบบสิงคโปร์ได้มั้ยตอน1

ในตอนที่แล้ว ผมได้บอกว่า ที่สิงคโปร์เจริญได้นั้น มีองค์ประกอบจาก

1. มีทำเลทองเหมาะแก่การค้าขาย และสิงคโปร์จึงได้ชื่อว่า "เป็นพ่อค้าคนกลางที่เก่งที่สุดในโลก" เพราะประเทศสิงคโปร์ไม่มีทรัพยากรอะไรให้มาใช้ค้าขาย จึงต้องใช้ทำเลทองที่มีของตัวเองมาใช้ประโยชน์เป็นหลัก นั่นก็การซื้อมาขายไป และการเป็นศูนย์กลางทางการค้าและการเจรจา

และสิงคโปร์ยังเป็นศูนย์กลางของการซื้อขายน้ำมันแห่งใหญ่ในโลกด้วย สิงคโปร์สามารถกลั่นน้ำมันดิบแปรรูปมากที่สุดเป็นที่สองของโลก รองจากสหรัฐอเมริกา

2.เก่งเรื่องภาษา คนสิงคโปร๋ส่วนใหญ่พูดได้มากกว่า2ภาษา

3. เรื่องเชื้อชาติที่ฉลาดอย่างจีนเป็นชนส่วนใหญ่ของประเทศ คงไม่มีใครกล้าปฏิเสธความจริงในเรื่องนี้ ว่าจีนคือหนึ่งในชนชาติที่ได้รับการยกย่องว่าฉลาดที่สุดชาติหนึ่งของโลก

แต่ยังเหลืออีกหลายๆองค๋ประกอบคือ


************************************

ระเบียบวินัยสร้างชาติ


เนื่องจากความจำกัดในเรื่องพื้นที่และทรัพยากรธรรมชาติ สิงคโปร์เป็นประเทศเล็ก ๆ ที่ต้องดื้นรนเพื่อความอยู่รอดมากกว่าชาติอื่น ๆ เพื่อให้นโยบายของประเทศเกิดประสิทธิภาพมากที่สุดและเป็นไปในทิศทางเดียวกันทั้งประเทศได้ สิ่งสำคัญที่สุดคือ การมีระเบียบวินัยและการบังคับใช้กฏหมายให้ศักดิ์สิทธิ์


เพราะหากประชาชนไร้ระเบียบวินัย บ้านเมืองไร้ขื่แป ประเทศไร้ความปลอดภัยเสียแล้ว ประเทศที่จะใช้ตัวเองเป็นศูนย์กลางทางการเจรจาการค้าที่สำคัญที่สุดของโลกอย่างสิงคโปร์ จะมีใครอยากจะเข้ามาใช้สิงคโปร์มาเป็นประตูทางการค้า จะมีใครกล้ามาเปิดสาขาบริษัทในเอเซียที่สิงคโปร์อีก

สิ่งที่จูงใจให้ชาติต่างๆมาใช้สิงคโปร์เป็นที่ตั้งสาขาประจำภูมิภาค และมาเจรจาการค้าการขายกันที่นี่ นอกจากเรื่องทำเลที่ดีแล้ว ก็ต้องมีเรื่องความปลอดภัยสูงเป็นปัจจัยสำคัญด้วย

ยิ่งประเทศเล็ก แต่จำนวนประชากรต่อพื้นที่สูง หากไร้การควบคุมทิศทางการเติบโตที่ดีก็จะทำให้ประเทศเล็กๆนี้จะไร้การใช้ประโยชน์ของพื้นที่ได้อย่างสูงสุด

การบังคับใช้กฏหมายเพื่อสร้างความเป็นระเบียบของบ้านเมืองจึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่สุดในการพัฒนาประเทศสิงคโปร์อย่างดีที่สุด

ประเทศใดมีระเบียบวินัยหย่อนยาน ก็จะเป็นอุปสรรคในการพัฒนาประเทศ เพราะรัฐต้องมัวแต่มาตามจัดระเบียบสังคมแบบไม่รู้จบ จนเสียเวลาที่จะไปพัฒนาทางด้านอื่น

*****************************

มีกฏหมายที่เข้มงวด

ประเทศสิงคโปร์ได้ชื่อว่า เป็นประเทศที่มีกฏหมายเข้มงวด หยุมหยิม บังคับได้แทบทุกเรื่องตั้งแต่บนเตียงประชาชนไปจนถึงการเข้าห้องน้ำของประชาชน

ความรุนแรงของกฏหมายของสิงคโปร์เป็นที่โจษจันไปทั่วโลก สิงคโปร์ไม่มีคำว่าเมตตาแก่ผู้กระทำผิด กฏหมายต้องเป็นกฏหมาย เรื่องใหญ่ๆอย่างยาเสพติดหรือการพกพาอาวุธ โทษสถานเดียวคือ ตาย

ส่วนกฏหมายที่หยุมหยิมแต่ก็มีบังคับในสิงคโปร์ เช่น ห้ามแต่งตัวเป็นกระเทย ห้ามเคี้ยวหมากฝรั่ง(ห้ามนำเข้าหมากฝรั่ง) ห้ามมีเพศสัมพันธ์ที่ผิดธรรมชาติ เป็นต้น

ยังมีกฏหมายเกี่ยวกับเรื่องความสะอาด เช่นห้ามทื้งขยะ ห้ามออกจากห้องน้ำโดยไม่กดชักโครก!? ฯลฯ การทำผิดในเรื่องความสะอาด จะมีโทษปรับที่สูงมากจนคนขยาดทีเดียว

ยังมีกฏหมายอีกมากมายที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมีจริงมีสิงคโปร์ แต่ก็มี!!

แต่ทั้งหมดก็เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนสิงคโปร์ทั้งสิ้น ซึ่งไม่มีใครกล้าปฏิเสธความจริงที่ว่า ประชาชนสิงคโปร์มีคุณภาพชีวิตและความปลอดภัยในชีวิตที่สูงที่สุดในเอเซีย และในโลก จริงมั้ย

แล้วคนไทยเราล่ะ ทุกวันนี้ความปลอดภัยในเรื่องชีวิตและทรัพยฺสินของเราแย่ลงมากขนาดไหน เราปล่อยปละละเลยกันกลายเป็นปัญหาใหญ่ของสังคมแล้วใช่ไหม?

หากเราอยากมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สิ่งที่ทำง่ายที่สุดตอนนี้ก็คือ ทำกฏหมายให้เด็ดขาดจริงจัง

ส่วนพวกนักสิทธิมนษยชนก็อย่าเอาแต่เรียกร้องสิทธิมนุษยชนพวกผู้ร้ายมากเสียจนทำให้สิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานของคนดี ๆ ต้องถูกริดรอนไป เพียงเพราะคนร้ายไม่เกรงกลัวไม่อับอายต่อความผิดที่ตนกระทำแล้วกัน

อันนี้ขอฝากเอาไว้

*******************************

คอรัปชั่นทำลายชาติ

ประเทศสิงคโปร์ได้ชื่อว่า มีนักการเมืองคอรัปชั่นน้อยที่สุดในเอเซียและเป็นอันดับต้นๆของโลกเสมอมา ส่วนพี่ไทยของเราก็ได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีนักการเมืองโกงกินติดอันดับต้นๆของเอเซีย จะเป็นรองแค่ฟิปปินส์เท่านั้น

การที่สิงคโปร์มีการคอรัปชั่นน้อย ก็ย่อมทำให้ชาวต่างชาติมีความมั่นใจในการเข้ามาลงทุนทางการค้าและมาร่วมมือทางการค้าในสิงคโปร์มีมากขึ้นไปด้วย เมื่อมีต่างชาติที่จะมาลงทุนมีความความมั่นใจเรื่องการไม่มีสินบนหรือเงินใต้โต๊ะแล้ว

เมื่อปราศจากเรื่องสินบนหรือเงินใต้โต๊ะแล้ว ผลประโยชน์ของชาติและประชาชนก็จะได้รับอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย งบประมาณการพัฒนาประเทศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพคุ้มค่า แล้วอย่างนี้ความเจริญสุดๆของประเทศจะหนีไปไหนได้

หากคนไทยอยากจะเจริญกว่านี้ ปัญหาคุณธรรมนักการเมืองต้องได้รับการแก้ไขอย่างด่วนที่สุด!!

**************************

การศึกษาสร้างคน คนสร้างชาติ

การให้ความศึกษาของสิงคโปร์มีผลอย่างมากในการพัฒนาประเทศ บุคคลากรทางการศึกษาเช่นครู อาจารย์มีรายได้สูงมาก ทำให้มีคนเก่งๆเลือกที่จะเป็นครู อาจารย์กันมาก

งบประมาณทางการศึกษาของสิงคโปร์คิดเป็น1ใน4ของงบประมาณประเทศ (งบประมาณทั้งประเทศสิงคโปร์สูงกว่าไทย4เท่า)

สิงคโปร์นับเป็นประเทศหนึ่งที่มีชาวต่างชาตินิยมเข้าไปศึกษาต่อมาก เพราะมีความพร้อมด้านการศึกษาอย่างสมบูรณ์ พ่อแม่ผู้ปกครองก็ให้ความไว้ใจในความปลอดภัยในการส่งลูกหลานเข้าไปเรียนที่สิงคโปร์ จึงทำให้สิงคโปร์จึงมีรายได้จาการเข้ามาศึกษาของคนต่างชาติไม่น้อยครับ

กรุณาอ่านผลสำเร็จ เรื่องการปฏิรูปทางการศึกษาของสิงคโปร์ โดยดร.ดินัย รังสินันท์ อธิการบดีมหาวิยาลัยนานาชาติสแตมปฺฟอร์ด

*****************************
.akecity
ความลำบากนำพาไปสู่การพัฒนา


หลังจากนายลีกวนยูนำสิงคโปร์แยกตัวออกจากมาเลเซียเพราะปัญหาการกีดกันทางเชิ้อชาติแล้ว นายลีกวนยูผู้นำสิงคโปร์ก็พัฒนาสิงคโปร์ให้เจริญรุดหน้าไปอย่างรวดเร็วแซงหน้ามาเลเซียไปมาก

จนทำให้มาเลเซียเองก็หมั่นไส้สิงคโปร์ไม่น้อย เลยทำให้เกิดปัญหาความขัดแย้งเรื่อง"น้ำ"เป็นกรณีตัวอย่าง เพราะสิงคโปร์ต้องซื้อน้ำดิบจากมาเลเซียมาบริโภค

มาเลเซียเลยพยายามจะเพิ่มราคาน้ำที่ขายให้แก่สิงคโปร์ และคิดว่าสิงคโปร์ยังไงๆก็ต้องพึ่งมาเลเซียอยู่ดี

แต่ตอนนี้สิงคโปร์ก็สามารถผลิตน้ำจืดจากทะเลได้แล้ว และยังนำน้ำทิ้งมากรีไซเคิลกลับมาใช้ใหม่ ทำให้ตอนนี้หากมาเลเซียจะไม่ขายน้ำให้สิงคโปร์อีก ก็ไม่เป็นปัญหาหนักใจของสิงคโปร์แล้ว และทำให้สิงคโปร์มีอำนาจการต่อรองเพิ่มขึ้นด้วย

(เนื่องจากเขาลำบากเขาจึงต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด )

อ่านเรื่องลีกวนยูในมุมมองวิกรม


*****************************

เรื่องความเจริญของสิงคโปร์นั้น คิดว่าหลายๆท่านคงจะรู้เรื่องกันดีอยู่แล้ว แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่า มีคนพยายามอ้างเรื่องสิงคโปร์โดยหลอกคนไทยที่ไม่เข้าใจไม่รู้เรื่องความเป็นมาเป็นไปของสิงคโปร์ดีพอเพื่อหวังผลทางการเมือง


ที่จริงประเทศไทยมีแทบทุกสิ่งทุกอย่างเหนือกว่าสิงคโปร์ หากคนไทยตั้งใจจริงเพื่อจะทำให้ชาติไทยเจริญกว่าสิงคโปร์ย่อมทำได้แน่นอน

หากเราเปลี่ยนแปลงสังคมให้มีกฏระเบียบมากขึ้น เคร่งครัดในกฏหมายบ้านเมืองมากขึ้น เอาผิดคนผิดอย่างจริงจัง ลดความเห็นแก่ตัวลง ลดการเอาเปรียบสังคมลง หัดทำตามระเบียบปฏิบัติของบ้านเมืองให้จริงจัง

เช่น เรายังข้ามถนนตรงใต้สะพานลอยหรือเปล่า? หากเรายังทำอยู่ เรื่องง่ายๆแค่นี้เรายังละเลย แล้วเรื่องยากๆล่ะ เราจะทำได้หรือ?

หากเราสามารถทำได้ รับรองไทยเราก็จะเจริญกว่าสิงคโปร์ได้อย่างแน่นอน แต่ไทยเราจะทำได้หรือเปล่าล่ะ?


******************************

ฝากไว้ให้คิด

การที่สิงคโปร์มีผู้บริหารมาจากพรรคการเมืองพรรคเดียวมาตลอดอย่างพรรคpap มาตั้งแต่เริ่มตั้งประเทศ และเพิ่มมีนายกฯมาแค่ 3 คนตลอด 40 กว่าปีที่ผ่านมา

พรรคpap ยึดเป็นรัฐบาลพรรคเดียวอย่างเบ็ดเสร็จ แทบจะไม่มีเสียงของฝ่ายค้านในสภาเลย ทำให้นายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์มีอำนาจค่อนข้างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด อีกทั้งสามารถใช้กฏหมายในการปกครองประเทศแบบเด็ดขาดในมือด้วยนั้น

การมีเสียงข้างมากในสภาแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด จะว่าไปแล้วก็เป็นดาบสองคมอยู่ไม่น้อย เพราะหากรัฐบาลสิงคโปร์เป็นรัฐบาลที่ไร้คุณธรรม เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าประโยชน์ของชาติแล้วไซร์ ประเทศสิงคโปร์ก็คงไม่เจริญเหมือนเช่นทุกวันนี้

แต่นับเป็นโชคดีของสิงคโปร์ ที่อำนาจอยู่ในมือคนดี ประเทศจึงไปรอดและเจริญกว่าใครในภูมิภาคนี้

อ่านคนไทยไม่มีวันเจริญแบบญี่ปุ่นได้

วันเสาร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

คนไทยจะเจริญแบบสิงคโปร์ได้มั้ย? ตอน1




วันก่อนผมได้เขียนเรื่องคนไทยไม่มีวันเจริญเหมือนญี่ปุ่นไปแล้ว มาตอนนี้ผมอยากเขียนเรื่องสิงคโปร์ประเทศเพื่อนบ้านของไทยเราบ้าง

ผมเบื่อมากที่มีหลายคนชอบอ้างว่า สิงคโปร์เขาดีเขารวยเขาเจริญเพราะเขาเป็นประชาธิปไตยมากกว่าเรา? นี่เป็นคำพูดชุ่ยๆง่ายๆที่ไร้ความรับผิดชอบ พูดแค่เอาประโยชน์เข้าตัวง่ายๆ เพราะไม่ใช่เรื่องของระบอบปกครองเป็นสิ่งสำคัญที่สุดหรอกที่ทำให้สิงคโปร์เจริญได้

เพราะยังมีประเทศในโลกอีกหลายประเทศที่เป็นประชาธิปไตยมากกว่าสิงคโปร์ด้วยซ้ำ แต่ก็ยังไม่เจริญเท่าสิงคโปร์ เช่นฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย โคลัมเบีย เม็กซิโก ฯลฯ และอีกเพียบเกินกว่าจะยกมาหมด
.
และยังมีอีกหลายประเทศด้วยซ้ำที่เป็นคอมมิวนิสต์ในระบอบปกครองอย่างจีน(แยกเรื่องระบอบการเมืองออกจากระบบเศรษฐิกิจก่อนนะครับ) หรือจะนิยมสังคมนิยมอย่างเวเนซูเอล่า ก็รวยกว่าเราเช่นกัน และแม้แต่สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ก็เจริญสุดๆไปไกลแล้ว ทั้งๆที่เป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชแท้ๆ


แถมสิงคโปร์ยังได้ชื่อว่า เป็นประเทศประชาธิปไตยที่จำกัดสิทธิเสรีภาพประชาชนและสื่อมากที่สุดในโลกชาติหนึ่ง เพราะขนาดไทยที่ว่ามีการคุกคามเสรีภาพสื่อมากแล้ว แต่สิงคโปร์กลับมีการคุกคามเสรีภาพของสื่อแย่กว่าไทยเราเสียอีก แต่เผอิญประชาชนส่วนใหญ่เขายอมรับการถูกจำกัดสิทธิจากประเทศเขาได้ แล้วไทยเราล่ะ?

เพราะระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงของสิงคโปร์คือ ระบอบเผด็จการรัฐสภาภายใต้การเลือกตั้ง

(ข้อมูล2549การจัดอันดับเสรีภาพสื่อจากมากไปหาน้อย ไทยเราอยู่ที่อันดับ107 สิงคโปร์อยู่ที่140)

อ่านข่าว สิงคโปร์ออกกฏหมายจำกัดสิทธิการชุมนุม


*************************

ข้อมูลประเทศสิงคโปร์คร่าวๆ

ประเทศสิงคโปร์เมื่อเทียบกับไทยแล้วเล็กกว่าประเทศไทยประมาณ752.89เท่า

สิงคโปร์มีคนประมาณ3.5ล้าน ขณะที่ไทยเรามีคนประมาณ65ล้านคน

แต่สิงคโปร์มีงบประมาณประเทศสูงกว่าไทยถึง4เท่า มีงบประมาณทางการทหารมากกว่าไทยเรา10เท่า



ที่สำคัญนายกรัฐบมนตรีของสิงคโปร์มีรายได้ปีละประมาณ84ล้านบาทมากเป็นอันดับ1ของโลก มากกว่าผู้นำสหรัฐอเมริกา หรือผู้นำญี่ปุ่นประมาณ6เท่า

ปัจจุบันปี 2009 รายได้ผู้นำสิงคโปร์คาดว่าน่าจะลดลงเหลือประมาณ70ล้านบาทแล้ว เพราะผู้นำสิงคโปร์ต้องทำตนเป็นตัวอย่าง อันเนื่องจากสภาวะถดถอยของเศรษฐกิจโลก

ส่วนนายกฯไทยเฉพาะเงินเดือนประมาณแสนกะเศษ ๆ อีกนิดหน่อย

ด้วยความคิดของรัฐบาลสิงคโปร์ที่ว่า ให้เงินเดือนนัการเมืองและข้าราชการให้สูงจะได้ไม่โกงกินชาติ คงใช้ได้เฉพาะสิงคโปร์เท่านั้น เพราะแนวคิดแบบนี้คงจะใช้กับนักการเมืองไทยไม่ได้ เพราะนักการเมืองไทยส่วนใหญ่ไม่รู้จักคำว่า"พอ "


จากข้อมูลที่แสดงให้เห็นนี้ ก็คงจะพอทราบฐานะการเงินของสิงคโปร์คร่าวๆแล้วนะว่ารวยกว่าไทยเราขนาดไหน

จึงมักมีผู้ไม่หวังดีต่อชาติและสถาบันฯ มักใช้สิงคโปร์หลอกคนไทยด้วยกันจำนวนมากว่า หากประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยแท้ๆ จะเจริญเหมือนหรืออาจเจริญกว่าสิงคโปร์!? ผมว่าใครเชื่อคำพูดแบบนี้ง่ายๆก็โง่จริงๆ

สิงคโปร์นั้นในอดีตเคยเป็นเมืองขึ้นทั้งโปรตุเกส อังกฤษ หรือญี่ปุ่นและหากย้อนกลับไปนานกว่านั้นอีกสักหลายร้อยปีก่อน สิงคโปร์ก็เคยเป็นเมืองขึ้นของไทยเราเช่นกัน

ภายหลังได้รับเอกราชจากอังกฤษ สิงคโปร์ก็เคยรวมเป็นส่วนหนึ่งของประเทศมาเลเซียมาก่อน แต่เพราะปัญหาด้านเชื้อชาติทำให้มาเลเซียตัดสินใจตัดสิงคโปร์ออกจากประเทศของตน
.
******************************

ชัยภูมิเหมาะสม?


ภูมิประเทศสิงคโปร์ นั้นเอื้อต่อการทำค้าขายอย่างมากถึงมากที่สุด เพราะอยู่ตรงแหลมสุดของคาบสมุทรมาเลย์ ที่เป็นเส้นทางสัญจรทางการค้าที่สำคัญที่สุดตั้งแต่โบราณในเชื่อมต่อเอเซียจากดินแดนทางตะวันตก

เรือสินค้าจากตะวันตกที่จะไปค้าขายทางเอเซียตะวันออกในอดีตทั้งหมดต้องผ่านมาแวะที่สิงคโปร์ทั้งหมด จึงทำให้สิงคโปร์จึงเป็นเมืองท่าที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และสำคัญที่สุดในเอเซียจนถึงปัจจุบัน


ด้วยความที่ภูมิประเทศได้เปรียบนี้เอง ทำให้สิงคโปร์มีความเจริญทางการค้ามาแต่โบราณ และทำให้ชาวจีนก็นิยมอพยพมาตั้งถิ่นฐานหากินที่นี่ด้วยเช่นกัน ซึ่งไทยเราก็เข้าใจเรื่องความได้เปรียบนี้ของสิงคโปร์ จนเคยคิดขุดคลองคอดกระ เพื่อตัดหน้าเส้นทางเรือสินค้ามาจากสิงคโปร์

หลังจากแยกตัวออกมาจากประเทศมาเลเซียเพราะเบื่อเรื่องการกีดกันเรื่องเชื้อชาติ เพราะสิงคโปร์มีคนเชื้อสายจีนเป็นส่วนใหญ่ สิงคโปร์ก็เจริญก้าวหน้าแบบก้าวกระโดดเจริญมากจนกลายเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วชาติแรกในภูมิภาคอาเซียน
.
แต่ในขณะที่สิงคโปร์มีทำเลการค้าที่ดี ไทยเราก็มีชัยภูมิที่ดีไม่แพ้กัน เช่นไทยเราอยู่ตรงศุนย์กลางของภูมิภาค เรามีทรัพยากรธรรมชาติมากมาย อุดมสมบูรณ์ แต่คนไทยไม่รู้จักคุณค่ารักษาให้ดี และใช้ให้สมกับความโชคดีที่ได้เป็นเจ้าของ
.
ไทยเราหากินกับของเก่าๆ ทรัพยกรเก่าๆที่ธรรมชาติให้มา โบราณสถานที่บรรพบุรุษสร้างทิ้งไว้ ไทยเรากลับยังรักษาไว้ให้คงสภาพดีแบบเดิมๆไม่ได้
.
สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติมากมายของไทยเราเสื่อมโทรม เพราะคนไทยเห็นแก่ตัว เห็นแก่เงินมากจนลืมเรื่องการอนุรักษ์ธรรมชาติ และกว่าจะรู้ตัวก็สายไปเสียแล้ว คงไม่สามารถทำให้กลับมาสวยงามดังเดิมได้ ตอนนี้ทำได้แค่เพียงอย่าให้แย่ลงไปเก่าก็ยากแล้ว ใช่มั้ย?
.
เดิมสิงคโปร์เขาแทบไม่มีอะไรน่าเที่ยวเลย แต่เขาก็เก่งสร้างสรรค์ขึ้น เก่งรักษาไว้ และเก่งสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆเพิ่มขึ้นอย่างน่าดึงดูด แต่คนไทยหากินกับของเก่าๆ ที่ธรรมชาติมอบให้ หรือโบราณสถานที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ให้ ที่นับวันจะโรยราลงไป เพราะความเห็นแก่เงินของคนไทยมากกว่าเห็นแก่ชาตินั่นเอง

*************************************

ภาษาดีมีชัย?


คนสิงคโปร์มีความสามารถด้านภาษาอย่างสูง เพราะผู้คนส่วนใหญ่สามารถพูดได้มากกว่า2ภาษา เช่นภาษาจีน ภาษาอังกฤษ ภาษามาลายู ภาษาอินเดีย และมีอีกจำนวนมากที่พูดไทยได้คล่องแคล่วจนหลอกขายสินค้าให้นักช้อปฯคนไทยได้อย่างเนียนสนิท

และทักษะทางภาษาของคนสิงคโปร์นี่เอง ที่ทำให้คนสิงคโปร์สามารถค้าขายกับคนต่างชาติได้ง่ายยิ่งขึ้น จึงได้เปรียบชาติอื่นๆในละแวกใกล้เคียงกันอย่างเทียบกันไม่ติด

ทำให้บริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกแทบทุกบริษัทต้องมาเปิดสาขาใหญ่ที่สิงคโปร์เป็นแห่งที่2 ก็เพื่อสะดวกในการติดต่อค้าขายกับชาติในเอเซีย

แล้วคนไทยล่ะ! เก่งเรื่องภาษามากแค่ไหน?

และที่จริงหากคนไทยฉลาดและเก่งเหมือนคนญี่ปุ่น ก็ไม่จำเป็นต้องง้อภาษาที่2 ก็ได้ เพราะคนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ก็ยังแย่เรื่องภาษาต่างชาติเหมือนกัน แต่คนไทยเราเก่งได้เหมือนคนญี่ปุ่นหรือไม่ล่ะ? ถามหน่อย...
.
*********************************
.akecity
เชื้อชาติฉลาดสร้างชาติได้?
.
นอกจากสิงคโปร์จะได้เปรียบทางด้านภูมิประเทศและเรื่องทักษะด้านภาษาแล้ว คนสิงคโปร์ยังประกอบด้วยคนเชื้อสายจีนเป็นส่วนใหญ่ด้วย และเชื้อสายจีนนี่เองก็เป็นปัจจัยสำคัญของความสำเร็จในทุกๆด้านของสิงคโปร์ เพราะคนจีนฉลาด ซึ่งทั่วโลกต่างยอมรับในข้อนี้
.
หรือตัวอย่างเช่นอิสราเอล ประเทศที่ถูกเกลียดชังรอบด้าน ประเทศที่ถูกรุมจากชาติตะวันออกกลาง ประเทศที่ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์เหมือนไทย แต่ประเทศของเขาเจริญ รวย และไม่ขาดแคลนน้ำดื่มและน้ำเพื่อการเกษตร เพราะอะไร ก็เพราะชนชาติยิวเป็นชนชาติฉลาดนั่นเอง
.
อาจดูเหมือนผมจะดูถูกคนไทยว่าไม่ฉลาดเท่าเชื้อชาติอื่นอย่างนั้นหรือเปล่า ?

ไม่เลย เพราะผมเชื่อว่าคนไทยฉลาดมาก ๆ แต่คนไทยนิสัยไม่ดี นิสัยขี้เกียจ รักสบายมากขึ้นจนเกินไปแล้ว และความไม่เข้มแข็งในการรักษาวัฒนธรรมที่ดีงามให้คงอยู่ และเพราะความไม่เข้มแข็งทางวัฒนธรรมที่ดีงามนี่เอง ที่ทำให้คนไทยโง่มากขึ้นๆเรื่อยๆ
.
เพราะความฉลาดอย่างสร้างสรรค์คือพัฒนาการแห่งมนุษยชาติ

คุณลองดูประเพณีวัฒนธรรมของไทยที่เปลี่ยนไปแล้วสิ ว่าได้แสดงให้เห็นถึงความโง่ที่มากขึ้นของคนไทยหรือเปล่า?
.
อย่างเช่นประเพณีสงกรานต์เป็นต้น ดูสิ อุบาทว์ รุนแรง บ้าระห่ำเพิ่มทุกปี ผู้หญิงหน้าด้าน ผู้ชายเมาอาละวาดแถมลามก

ประเพณีวัฒนธรรมไทยที่เสื่อมลงก็แสดงให้เห็นว่าคนไทยโง่ลง เพราะประเพณีวัฒนธรรมต้องสร้างสรรค์สิ่งดีงามขึ้นเสมอ ไม่ใช่กลับเสื่อมทรามลงเรื่อยๆ เพราะการเสื่อมลงย่อมไม่เรียกว่าวัฒนธรรม
.
.
******************************

คลิกอ่าน ไทยเราจะเจริญแบบสิงคโปร์ได้มั้ย? ตอน 2

.
.
"

ผู้ติดตาม