วันเสาร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

คนไทยไม่มีวันเจริญเหมือนญี่ปุ่นได้


.
.
นิสัยดีๆคนไทยที่สั่งสมมาแต่โบราณก็เริ่มหายไป เเต่นิสัยแย่ๆที่สั่งสมมาและนิสัยที่ก่อเกิดใหม่ส่วนใหญ่มีแต่แย่ลง
(ผมมีความเชื่อส่วนตัวว่าคนไทยในสมัยก่อนฉลาดและแหลมคมกว่าคนไทยในปัจจุบัน)


จากคำกล่าวที่ว่า "ทำอะไรตามสบายคือไทยแท้" คือนิสัยที่แย่ๆ ที่คนไทยยุคนี้พยายามรักษาไว้ ส่วนข้อดีของคนไทยโบราณหลายๆอย่างกลับไม่คิดรักษา กลับเลือกข้อเสียบางอย่างเช่น นิสัยตามสบายคือไทยแท้ให้ดำรงอยู่แทน  ซึ่งสิ่งนี้เป็นลักษณะสำคัญที่ขัดขวางความเจริญทางเทคโนโลยีของคนไทย เพราะคนไทยส่วนใหญ่รักความสบายมากไป อยากได้อะไรๆมาง่ายๆ โดยไม่ต้องคิด ไม่ต้องค้นโดยเฉพาะเรื่องเทคโนโลยี


เพราะการคิดค้นมันยากและเหนื่อยมากๆ ต้องใช้ความพยายามและอดทนสูงกว่ามนุษย์ธรรมดาๆทั่วไปหลายเท่า ซึ่งบางครั้งผู้คิดค้นอาจโดนดูถูกจากสังคมหรือถูกหาว่าบ้า หรืออาจจะล้มเหลวในที่สุดก็เป็นได้

คนไทยส่วนใหญ่อยากไฮเทคเหมือนญี่ปุ่น แต่ถามหน่อยเถอะว่า จะมีคนไทยสักกี่เปอร์เซนต์ที่ชอบเรียนวิทยาศาสตร์ หรือคณิตศาสตร์ ยิ่งฟิสิกส์ เคมี ยิ่งแทบไม่ต้องพูดถึง มีน้อยถึงน้อยที่สุด เห็นมีแต่ชอบเรียนวิชาง่ายๆ หรือไม่ชอบเรียนเลยเป็นส่วนใหญ่ ยิ่งเรื่องร้องรำทำเพลงนั้น เด็กไทยชอบมากถึงชอบที่สุด!!


นิสัยคนไทยส่วนใหญ่ไม่ชอบคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ไฮเทค ชอบคิดแต่สิ่งประดิษฐ์ที่ง่ายๆดาษดื่นพวกเทคโนโลยีธรรมดาๆ สิ่งประดิษฐ์ไฮเทคขนาดยากๆถึงขนาดเปลี่ยนแปลงโลกได้(นวัตกรรม) เท่าที่ผมคิดได้ยังไม่เห็นมี แต่ถึงมีก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรือขายได้เท่าไหร่นัก จึงไม่เป็นที่รู้จักทั่วไป

สิ่งประดิษฐ์ที่เปลี่ยนแปลงโลกได้ตัวอย่างเช่นคิดประดิษฐ์ไฟฟ้า คิดโทรศัพท์ คิดทีวี คิดวิทยุ คิดเกมกด คิดนาฬิกาดิจิตอล คิดเครื่องคิดเลข คิดรถยนต์ คิดวีดีโอ คิดเซาวอะเบาท์ คิดอะไรยากๆ แบบนี้ที่เป็นครั้งแรกของโลกและสามารถทำให้โลกเปลี่ยนยุค ไม่เห็นคนไทยคิดได้เองเลย (ที่จริงก็ไม่จำเป็นต้องถึงขนาดนั้นก็ได้)

คนญี่ปุ่นเขายังคิดนวัตกรรมใหม่ขึ้นได้ แม้บางอย่างญี่ปุ่นอาจไม่ได้เป็นผู้ให้กำเนิด แต่ญี่ปุ่นกลับคิดทำได้เหนือชั้นกว่าชาติที่เป็นต้นกำเนิดเสียอีก และขายตีตลาดโลกได้

เช่นฝรั่งคิดสร้างรถยนต์ แต่ญี่ปุ่นกลับยึดตลาดรถยนต์ได้มากที่สุดในโลก

ฝรั่งคิดเครื่องใช้ไฟฟ้าได้ แต่ญี่ปุ่นก็ยึดตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าได้มากที่สุดในโลก

ฝรั่งคิดทำเครื่องคิดเลขได้ แต่ญี่ปุ่นคิดเครื่องคิดเลขระบบอิเลคโทรนิคส์ได้ก่อน
.
คนญี่ปุ่นเป็นคนที่ขยันอดทนสูงโดยสายเลือด มีจินตนาการสูงเป็นเลิศชาติหนึ่งของโลก คนญี่ปุ่นชอบคิดค้นสิ่งประดิษฐ์กันแทบทุกคน ดูได้จากรายการเกมซ่าท้ากึ๋น (Kasou Taishou) เป็นรายการตัวอย่าง ทำให้ผมเห็นได้ว่า คนญี่ปุ่นชอบจินตนาการและชอบประดิษฐ์คิดค้นกันจนถึงระดับครอบครัวทั่วไป จนถึงระดับรากหญ้าจริงๆ เรียกว่าจินตนาการสูงกันทั้งประเทศ

และจินตนาการนี่แหล่ะคือหัวใจของการคิดค้น ยิ่งเมื่อจินตนาการรวมเข้ากับความชอบวิทยาศาสตร์แบบที่มีในคนญี่ปุ่น สุดท้ายก็จะได้สิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้น

สิ่งหนึ่งที่แสดงให้เห็นได้ชัดว่าคนญี่ปุ่นมีจินตนาการล้ำเลิศได้ดี ก็คือ การ์ตูนญี่ปุ่นที่ปัจจุบันนี้คือเจ้าตลาดโลกไปแล้ว เพราะแม้แต่พวกฝรั่งยังบ้ายังคลั่งไคล้ตามกระแสการ์ตูนญี่ปุ่นกันไปทั้งโลกแล้วในตอนนี้ สังเกตได้จากตอนนี้มีการประกวดแต่คอสเพลย์(COSPLAY) ทั่วทั้งโลกแล้ว (คอสเพลย์คือการแต่งกายเลียนแบบตัวการ์ตูน cosume+play)

ตราบใดคนไทยไม่สามารถเจริญทางเทคโนโลยีไฮเทคได้ด้วยตัวเอง ตราบนั้นคนไทยก็ต้องยากจนกว่าชาติอื่นๆ ที่ชอบคิดค้นสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมใหม่ๆเองได้ (หากความรวยหรือความจนใช้เรื่องเงินเป็นเกณฑ์ตัดสินชี้วัด)


เพราะการมีสิ่งประดิษฐ์คิดค้นใหม่เกิดขึ้นนั้น แน่นอนชาติที่คิดค้นได้เขาย่อมต้องการทุนการคิดค้นคืน จึงทำให้สินค้าไฮเทคจึงมีราคาแพง (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงแรก) ยิ่งคนไทยอยากได้มากเท่าไหร่ก็ต้องยิ่งต้องยอมควักกระเป๋าจ่ายมากขึ้นเท่านั้น หากใครมีกำลังทรัพย์พอจะตอบสนองความต้องการได้อย่างสบายๆ ก็คงไม่มีใครเขาว่าหรอก

แต่ปัญหามันอยู่ที่ ตอนนี้คนไทยเริ่มมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆที่มีความต้องการสูงแต่มีกลับมีทุนทรัพย์ต่ำกว่าความต้องการมาก ทำให้มีคนไทยจำนวนไม่น้อยยอมที่จะเป็นหนี้ เป็นราชาเงินผ่อนกันเพิ่มขึ้น เพื่อตอบสนองความอยาก เพียงเพื่อไม่ต้องการเชย หรือตกยุค โดยมักจะอ้างว่าเดี๋ยวตามโลกไม่ทัน ดังที่เราพบเห็นได้ในปัจจุบันว่า คนไทยเป็นหนี้บัตรเครดิตมากมาย เพิ่มขึ้นทุกปี พร้อมกับๆหนี้เสียที่เพิ่มขึ้นทุกปี

ยิ่งหากไปดูหนี้นอกระบบยิ่งไม่ต้องพูดถึง มีให้เห็นติดแทบทุกเสาไฟฟ้า "เงินด่วนได้ทันทีติดต่อ..."

เพราะอะไรถึงเป็นเช่นนี้ ก็เพราะคนไทยอยากได้อยากมีแต่ไม่อยากเรียนรู้เพื่อคิดค้น แม้ไม่ต้องถึงกับคิดค้นเองก็ได้ ขอแค่ต่อยอดได้ คนไทยเรายังไม่ค่อยมีให้เห็นเลย น้อยมาก


ผมชอบยกตัวอย่างเรื่อง โทรศัพท์มือถือ ที่ตอนนี้ชาติที่เขาประดิษฐ์เองได้ เขาค้าขายจนรวยแล้วรวยอีก คนไทยก็แห่ซื้อทุกรุ่นทุกแบบ "แพงไม่ว่าขอข้าอย่าตกรุ่น" คนไทยนิสัยแบบนี้มีมากมาย

นิสัยแย่ๆ ของคนไทย อย่างหนึ่งที่มีมากขึ้นในยุคนี้ ก็คือ ความเป็นชาตินิยมเราน้อยลงมาก คนญี่ปุ่นได้ชื่อว่า เป็นชาติที่มีความเป็นชาตินิยมสูงที่สุดในโลกชาติหนึ่ง ซึ่งก็คือความรักชาติมากๆ นั่นเอง แต่คนญี่ปุ่นรักชาติมากถึงขั้นที่เรียกว่าคลั่งไคล้ ยอมตายเพื่อชาติได้แทบทุกคน

ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ทหารญี่ปุ่นนั้นยอมสละชีวิตขับเครื่องบินพุ่งชนเรือรบอเมริกัน เพราะรู้ว่าอาวุธสู้ไม่ได้ แต่เรื่องใจมีมากกว่า (ความกล้าบ้าบิ่น)

คนญี่ปุ่นในอดีตมีนิสัยไม่ชอบการยอมแพ้ ขอตายดีกว่าอยู่อย่างแพ้ ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง จึงมีทหารญี่ปุ่นฆ่าตัวตายด้วยการฮาราคีรีหนีความอับอายที่พ่ายแพ้เป็นจำนวนมากมาย

และด้วยนิสัยบ้าบิ่น และการไม่ยอมแพ้ของคนญี่ปุ่นอดีตนี่เองที่แปรเปลี่ยนเป็นความพยายามและช่วยผลักให้คนญี่ปุ่นมีพลังที่จะเอาชนะอุปสรรคยากๆได้ และนี่เองก็คือนิสัยที่สำคัญยิ่งของ สัญชาติญาณนักประดิษฐ์

แต่คนไทยจำนวนมากขึ้นเหยียบขี้ไก้ไม่ฝ่อ ชอบได้มาง่ายๆ รวยง่ายๆ อาศัยโชคเป็นหลัก ดูได้จากคนไทยบ้าหวย บ้าดูละครประเภทแย่งสมบัติกันเป็นต้น


เด็กไทยตอนนี้นอกจากอ่อนเรื่องคำนวณเรื่องวิทยาศาตร์กันมากขึ้น เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า เป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่ประเทศไทยจะเจริญทัดเทียมญี่ปุ่นได้


เด็กผู้หญิงวัยรุ่นหรือเด็กสาวมีจำนวนเพิ่มขึ้นที่อยากได้ของแบรนด์เนมอยากได้เงินง่ายๆ โดยเลือกใช้วิธีขายตัวแลกเงินมาบำรุงความฟุ้งเฟ้อ นี่ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า ตอนนี้สังคมไทยมันเลวร้ายลงแค่ไหน ไม่ใช่เฉพาะผู้หญิงเท่านั้น

เด็กผู้ชายหรือชายไทยก็แย่ไม่แพ้กัน แถมยิ่งมีพฤติกรรมป่าเถื่อนและถ่อยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ การใช้ความรุนแรงแสดงให้เห็นถึงไอคิวและอีคิวของเด็กไทยต่ำลงทุกวัน (I.Q.ไอคิว คือความฉลาดทางปัญญา, E.Q.อีคิว คือความฉลาดทางอารมณ์)


ผมเคยได้ยินเรื่องนึงจากคนรู้จักที่ไปญี่ปุ่นเมื่อ 27 ปีที่แล้ว เขาเล่าว่า ไกด์ญี่ปุ่นที่พูดไทยได้เคยพูดให้ฟังว่า ประเทศญี่ปุ่นเจริญกว่าไทยอย่างน้อย 50 ปี แต่เมื่อไม่นานมานี้ผมกลับเคยได้ยินมาใหม่ว่า ประเทศญี่ปุ่นเจริญกว่าไทยอย่างน้อย 200 ปี


ซึ่งก็น่าจะจริง เพราะประเทศไทยเราตอนนี้แม้แต่รถยนต์ก็ยังคิดค้นเองไม่ได้ รถไฟก็ยังคิดค้นสร้างเองไม่ได้ แต่ญี่ปุ่นกำลังจะส่งคนไปอวกาศแล้ว ยิ่งจีนยิ่งไปกันใหญ่เพราะจีนส่งคนไปอวกาศด้วยเทคโนโลยีตัวเองแล้ว ส่วนญี่ปุ่นเรื่องอวกาศก็ไล่ๆ ตามมา แต่เรื่องหุ่นยนต์ก้าวหน้าเป็นอันดับต้นๆ ของโลกทีเดียว


ที่จริงยังมีอีกหลายๆ อย่างที่ทำให้คนไทยไม่มีทางเจริญเท่าญี่ปุ่นได้ แต่ผมคงจะบรรยายได้ไม่หมด แต่บทสรุปในเรื่องนี้ผมอยากจะบอกว่า


คนไทยไม่จำเป็นต้องเจริญแบบญี่ปุ่นหรือเจริญเท่าญี่ปุ่นก็ได้ แต่คนไทยสามารถมีความสุขมากกว่าคนญี่ปุ่นได้ และเจริญขึ้นอย่างพอเพียงอย่างมั่นคง คนไทยเมื่อไม่ชอบคิดค้น ก็ต้องรู้จักยับยั้งชั่งใจให้มากขึ้น


การไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ การเห็นช้างขี้อยากขี้ตามช้าง การไม่รู้จักพอเพียง นี่เองแหล่ะที่ทำให้คนไทยล้าหลังและไม่มีความสุข เพราะไล่ตามกระแสความเจริญโดยไม่ปรับปรุงพื้นฐานของตัวเอง


หากเราอยากฟุ้งเฟ้อบนเทคโนโลยีของพวกเราเอง ก็คงทำให้ไทยไม่ยากจนเหมือนเช่นทุกวันนี้ แต่ทุกวันนี้คนไทยอยากฟุ้งเฟ้อบนเทคโนโลยีคนอื่นนี่สิ คนไทยถึงได้ต้องจนตลอดชาติ (หากยังไม่ละนิสัยเสียๆออกไป)

คนไทยที่มีพร้อมทุกอย่าง อยากได้อะไรก็ได้ อยากซื้ออะไรก็ได้โดยไม่เดือดร้อน ผมว่ามีไม่ถึง 0.1% หรอกครับ แต่คนไทยที่ไม่พร้อมที่จะซื้อได้ แต่อยากซื้อเพื่อความฟุ้งเฟ้อมีนับไม่ถ้วนแน่นอน
.
หากชาติไทยไม่เริ่มปลูกเพาะค่านิยมที่ดีที่ถูกต้องให้แก่คนไทยใหม่ ไทยก็ยังจนต่อไปแน่นอน
.
และอย่าโทษรัฐบาลเท่านั้น เพราะคนญี่ปุ่นเช่นโตโยต้า หรือฮอนด้า เขาก็คิดค้นได้มาตั้งแต่ญี่ปุ่นยังไม่เจริญ เขาไม่เห็นต้องพึ่งพารัฐบาลอะไรเลย พวกเขาดิ้นรนต่อสู้จากภูมิปัญญาของเขาเอง
.
เช่น รถโตโยต้าที่ผลิตออกมาคันแรกก็เกิดก่อนสงครามโลกครั้งที่2หลายปี(รถโตโยต้าคันแรกออกปี1938) ในขณะที่ตอนนั้นคนไทยยังไม่รู้จักการผลิตวิทยุเองด้วยซ้ำ
.
(บริษัทนาฬิกาไซโกถือกำเนิดปีค.ศ.1881 , บริษัทโตโยต้ามอเตอร์ถือกำเนิดปีค.ศ.1934, บริษัทคาสิโอถือกำเนิดปีค.ศ.1946 , บริษัทฮอนด้าถือกำเนิดปีค.ศ.1946 , บริษัทโซนี่ถือกำเนิดปีค.ศ.1946 , บริษัทเนชั่นแนล(พานาโซนิค)ถือกำเนิดปีค.ศ.1927เป็นต้น)
.akecity
ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง พวกอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆของกองทัพญี่ปุ่น ญี่ปุ่นก็สามารถสร้างได้เองตั้งแต่ กระสุนยันเครื่องบินและเรือรบ แต่พี่ไทยซื้อลูกเดียวเหมือนเดิมมานานแล้วจนถึงทุกวันนี้
.
ยังมีอีกหลายเหตุผลที่ทำให้คนญี่ปุ่นเก่งกว่าเราในเรื่องเทคโนโลยี(ยากที่จะอธิบายหมด) ผมไม่ได้ห้ามว่าคนไทยอยากมีหรืออยากซื้อเทคโนโลยี แต่อยากให้คนไทยฉลาดในการซื้อมากขึ้น (เพราะเราไม่มีปัญญาคิดค้นเอง)
.
เพราะ"คนไทยเราใช้เงินซื้อความเจริญ แต่คนญี่ปุ่นใช้สติปัญญาสร้างความเจริญ" ประโยคนี้ผมอยากให้เราคนไทยทุกคนตระหนักให้มากขึ้นครับ
.
**ลองคิดดูซิว่า ในเมื่อนิสัยความถนัดของคนไทยไม่สามารถเหมือนคนญี่ปุ่นหรือเกาหลีได้ เราควรจะเดินทางไหนถึงจะเจริญในแบบของเราและมีความสุขกว่าไล่ตามเขาอย่างไร้ความรู้ตัวเองเหมือนทุกวันนี้
.
(เรื่องสาเหตุไทยไม่เจริญยังมีตัวอย่างเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆอีก ไว้โอกาสต่อไปจะกล่าวถึง)


.
****************************************
.
ทุกวันนี้ประเทศไทยขาดแคลนแพทย์อย่างหนัก ที่ผ่านมา คนไทยเชื้อสายจีนคือผู้ที่มีโอกาสเรียนแพทย์มากกว่าคนไทยเชื้อชาติอื่น ทำไมจึงเป้นเช่นนั้น?
.
สิงคโปร์เจริญมากเพราะมีชนชาติจีนเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ และสิงคโปร์ก็คือประเทศที่มีความเจริญทางด้านการแพทย์และการค้ามากที่สุดชาติหนึ่งในโลก?
.
คนจีน เกาหลี ญี่ปุ่น ล้วนมีเชื้อสายชาติกำเนิดใกล้เคียงกันมาก ประเทศทีมีชนชาติเหล่านี้เป็นส่วนประกอบจำนวนมากในประเทศจึงมีความเจริญทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาก เพราะอะไร? ลองคิดดู
.
ผมขอทิ้งไว้ให้คิดเท่านี้ก่อนครับ
.
***ยังมีประเด็นที่เคยเขียนไว้แล้วบ้างว่า ทำไมคนไทยถึงไม่เจริญแบบสิงคโปร์และญี่ปุ่น? ในบทความเรื่อง พวกไม่จงรักภักดีฯตอน3พวกฝันเฟื่อง ที่ได้กล่าวถึงนิสัยแย่ๆของคนไทยอีกหลายประเด็น ที่เป็นตัวขัดขวางความเจริญของชาติ
.
คลิกอ่าน ทักษิณขี้โม้ตอน2
.
.
อ่านคนไทยจะเจริญแบบสิงคโปร์ได้มั้ย?
"
"

11 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ30 เมษายน, 2552 11:21

    เขียนได้ดีมากครับ

    แต่คนไทยคงทำไม่ได้หรอก ถ้ายังมีคนโง่ๆจำนวนมากที่รักทักษิณมากกว่า...

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ04 มกราคม, 2553 09:53

    เห็นด้วย

    คนสมัยก่อนฉลาดหลักแหลมแถมเก่งกาจ กว่าคนสมัยนี้เสียอีก

    เห็นด้วยมากๆ

    แต่ก่อนสยามกรุงศรีเคยได้ขึ้นชื่อ เจริญที่สุดในชนชาติผิวคล้ำ(รวมทั้งอินเดีย)

    ตอบลบ
  3. ไม่ระบุชื่อ04 มกราคม, 2553 09:54

    และก็ยังทำไม่ได้หรอก ถ้ายังมีควายหลายตัวที่คิดว่าการปิดสนามบิน ยึดโน่น ยึดนี่ แล้วตัวเองถูกต้อง ตอนนั้นก็ยังเป็นแบบนี้

    ตอบลบ
  4. ไม่ระบุชื่อ06 กุมภาพันธ์, 2553 21:57

    เห็นด้วย
    หยุดด่ากันไปมาและขอให้เคารพศาล
    เพราะเป็นกระบวนการสุดท้ายแล้วของบ้านเมือง
    และมาร่วมกันสร้างบ้านสร้างเมืองดีกว่า ที่จะมาด่ากันเอง ต้องเคารพศาล

    ตอบลบ
  5. ไม่ระบุชื่อ16 มิถุนายน, 2553 01:23

    เนื้อเรื่องไม่เห็นจะเกี่ยวกับเรื่องการเมือง
    แต่ัคนตอบก็ยังสามารถทำให้มันเกี่ยวได้
    นี่ไง โคตรจะเก่งเลยยยยย

    หากคนไทยทุกคนเอาำำพลังงานที่ใช้ในการปาขี้ใส่กัน ไปใช้เป็นพลังงานสมอง ก็คงจะฉลาดกว่านี้เยอะ

    ตอบลบ
  6. ไม่ระบุชื่อ08 ธันวาคม, 2553 22:13

    ขอบคุณมากครับ
    เขียนออกมาได้ดีมาก
    ใช้คำพูดที่สื่อสารได้ดีและไมาหยาบคาย
    ผมอยากให้คนไทยซัก 20 เปอร์เซ็นท์ อ่านบทความนี้จังเลยครับ
    หรือ 10 เปอร์เซ็นต์ก็ยังดี
    จะได้รู้ตัวว่าตอนนี้เราทำอะไรอยู่
    ทำเพื่อความสุข เพื่อตัวเอง หรือเพื่อชาติบ้านเมือง

    ขอบคุณสำหรับบทความดีดีครับ

    ตอบลบ
  7. ไม่ระบุชื่อ16 ธันวาคม, 2553 12:37

    ^
    ^

    ครับ ^^

    ตอบลบ
  8. ไม่ระบุชื่อ06 กรกฎาคม, 2554 02:15

    ดีใจมากค่ะที่ได้อ่านบทความนี้ เห็นด้วยที่สุดและภูมิใจมากที่ไม่ตัวเองไม่ได้ตกอยู่หนึ่งในคนฟุ้งเฟ้อพวกนั้นถ้าดิชั้น มีลูกจะอบรมให้เค้าเป็นคนรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อยู่อย่างพอเพียง รักสามัคคีต่อพี่น้องคนไทยทุกคน

    ตอบลบ
  9. ไม่ระบุชื่อ11 กรกฎาคม, 2554 17:49

    ดิฉันเป็นคนหนึ่งที่มีสามีเป็นชาวญี่ปุ่น สิ่งที่สามีจะพูดจนติดปากและใช้บ่อยมากคือคำว่าพยายาม เวลาที่ดิฉันจะทำอะไร หรือเวลาที่เค้าสอนลูกน้องเค้าจะบอกว่า พยายามนะ(เป็นภาษาญี่ปุ่น)มันทำให้เกิดความรู้สึกของการไม่ท้อและต้องสู้ให้สำเร็จให้ได้

    ตอบลบ
  10. ผมคนนึงล่ะครับที่เห็นด้วยอย่างมากกับบทความนี้ ผมเองก็เคยไปใช้ชีวิตอยู่ที่ญี่ปุ่นอยู่ประมาณ 3 เดือน รู้สึกได้ถึงความแตกต่างตั้งแต่วันแรกที่ไปอยู่เลยล่ะครับ ทั้งอากาศดีมาก ผู้คนก็อัธยาศัยดี แถมหากเราขอความช่วยเหลือพวกเค้าจะพยายามช่วยอย่างสุดความสารถ แม้พวกเค้าจะจำได้บ้างไม่ได้บ้างก็ตาม ไปที่ไหนๆก็มีแต่ร้านขายสินค้าของประเทศเค้าทั้งนั้นครับ แต่ละจังวัดหรือพื้นที่ก็มีวัฒนธรรมและสินค้าไม่เหมือนกัน แต่ทุกที่เหมือนกันคือ ทำในญี่ปุ่น โดยคนญี่ปุ่น เพื่อชุมชน ยิ่งตอนเกิดสินามิแล้ว ผมยิ่งรักญี่ปุ่นขึ้นไปอีกเลยล่ะครับ ประเทศเค้าไม่ใช่แข็งแกร่งแค่ชื่อ แต่แข็งแกร่งจากรากหญ้าไปสู่ปลายยอด ผู้คนมีวินัยสูงมาก ผมเองก็มีแฟนเป็นคนญี่ปุ่นคบกันมาก 7 ปีแล้วล่ะครับ ตั้งแต่มัธยมต้นจนจบมัธยมปลาย แต่ตอนมัธยมปลายเธอต้องกลับญี่ปุ่นเนื่องจากเกิดความไม่สงบขึ้นในบ้านเรา แต่ละคนบอกผมว่าเธอทิ้งผมไปแล้วไปหาแฟนใหม่เถอะ จนเธอติดต่อกลับมาหาผมเพื่อถามว่าผมเป็นยังไงมั่งสบายดีไหม? และเธอก่อนที่เธอจะกลับญี่ปุ่นเธอได้พูดกับผมว่า "อย่าลืมสัญญาของเรา 2 คนนะ" นั่นทำให้ผมเชื่ออีกอย่างนึงว่า คนญี่ปุ่นนั้นจริงจังกับคำมั่นสัญญามากๆ แม้จะเป็นเรื่องเล็กๆก็ตาม หากสัญญากันไว้แล้วจะต้องรักษาให้ดีที่สุด

    อ้อ อีกอย่างครับ อีกบริษัทหนึ่งของชาวญี่ปุ่นที่ผมพูดแล้วใครหลายๆคนต้องร้องอ๋อแน่ๆ คือ Mitsubishi บ.นี้ล่ะครับผลิตทุกอย่างจริงๆ ทั้งแต่ทีวี ตู้เย็น แอร์ ยันรถถัง เครื่องบิน และ เรือรบ ทำอย่างงี้ตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้วล่ะครับ

    ตอบลบ

ถ้าแสดงความเห็นตรงช่องนี้ผมจะได้อ่านทุกความเห็นครับ แต่ถ้าความเห็นไม่ขึ้นอาจเพราะระบบรอตรวจสแปม ต้องรอ1-2วัน / ใหม่ เมืองเอก kaeake@ymail.com


ผู้ติดตาม