ข่าวเมื่อวานนี้ มีข่าวหลายเรื่องที่ผมอยากหยิบยกมาเขียน ก็คือ ข่าวศาลปกครองระยองพิพากษาให้มาบตาพุดเป็นพื้นที่ควบคุมมลพิษ (คลิก) และ ข่าวศาลปกครองเชียงใหม่สั่งกฟผ.จ่ายค่าชดเชยให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากมลพิษจากโรงงานไฟฟ้าแม่เมาะ (คลิก)
.
จากข่าวทั้งสองได้แสดงให้เห็นถึงความเจริญทางอุตสาหกรรมที่ไม่เคยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตประชาชนในพื้นที่
.
จากวิกฤติเศรษฐกิจโลกที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือประชาชนที่อยู่ในภาคอุตสาหกรรมที่ต้องเผชิญกับสภาพตกงานบ้าง โดนลดวันทำงานและค่าแรงบ้าง หรือทั้งตกงานและถูกโกงค่าชดเชย
.
แต่แค่ตกงานและถูกโกงก็ยังไม่พอ ประชาชนไทยที่อาจไม่ได้ทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมเหล่านั้นก็ยังต้องเผชิญกับมลภาวะที่เป็นพิษที่มาจากอุตสาหกรรมด้วย ซึ่งมีคดีความให้เห็นเสมอมา
.
ทั้งหมดนี้ก็เพรารัฐบาลทั้งหมดที่ผ่านมาสนับสนุนให้มีผู้ลงทุนจากต่างชาติมากมายเข้ามาลงทุนแสวงหาประโยชน์ในประเทศไทยอย่างไร้การควบคุมโดยเคร่งครัด
.
ยิ่งไทยเราอยากได้นักลงทุนเข้ามาลงทุนมากเท่าใด ไทยเราก็ต้องจัดหาพลังงานราคาถูกมาป้อนให้แก่โรงงานมากมายเหล่านี้ ไทยเราต้องสร้างโรงงานไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงราคาถูกซึ่งมาพร้อมมลพิษทางอากาศเพื่อแลกกับได้ค่าแรงขั้นต่ำจากนักลงทุนต่างชาติ
.
พวกต่างชาติเขาคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมในประเทศเขา แต่เขาไม่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมในประเทศคนอื่น โดยเฉพาะนักลงทุนแถบเอเซียเช่นสิงคโปร์นี่แหล่ะตัวดี ที่ประเทศตัวเองไม่ยอกให้สกปรกแต่เอาความสกปรกมาทิ้งที่ประเทศไทย เมื่อประเทศเขาผลิตแล้วจะเกิดมลพิษเขาก็ย้ายมาผลิตในประเทสไทยแทน
.
แล้วสุดท้ายเราได้อะไร คุ้มหรือไม่ พอทรัพยากรเราสิ้นสูญ มลพิษตกค้าง เขาก็หนีกลับประเทศเขาไปง่ายๆ ทิ้งคนงานไทยให้ตกงาน ทิ้งมลพิษมลภาวะให้คนไทยได้เจ็บป่วย ทิ้งปัญหาไว้ให้รัฐบาลตามแก้ นี่เรายังภูมิใจอยู่หรือเปล่า ที่ไทยยังอยากเป็นประเทศที่น่าลงทุนอยู่?
.
.
ดูรายการคมชัดลึกทอลค์ ตอน ประกาศเขตควบคุมมลพิษมาบตาพุด (คลิกคลิปข่าวเกี่ยวข้อง)
.
คลิกดู สารคดีแผ่นดินไท ตอน ความเจ็บปวดของประชาชนรอบๆนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด (ฟื้นความสุขด้วยฐานไท)
**********************************
.
ข่าวเรื่องรัฐบาลพิจารณาลดภาษีสรรพสามิตรถยนต์
.
วันนี้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจได้มีการนำเรื่องการพิจารณาลดภาษีสรรพสามิตรถยนต์ ก็เพื่อจะกระตุ้นการซื้อรถยนต์ในประเทศที่ยอดขายตกลงจากสภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ
.
และหากยอดขายรถยังซบเซาอย่างนี้ต่อไปอีก คาดว่าธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับายการผลิตรถยนต์ทั้งหมดจะมีการปลดคนงานออกนับหมื่นๆคน
.
แต่สุดท้ายรัฐบาลอภิสิทธิ์ก็ตัดสินใจไม่ลดภาษี ซี่งผมเองก็เห็นด้วย ก็เพราะธุรกิจรถยานยนต์นั้นก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำลายสภาวะแวดล้อม และที่สำคัญประเทศไทยก็ไม่ได้ขาดแคลนรถยนต์สักหน่อย เพราะที่ผ่านมาคนไทยจำนวนมากฟุ้งเฟ้อ ซื้อรถกันง่ายๆ เปลี่ยนกันง่ายๆ หลายๆรายซื้อมาก็ไม่มีปัญญาผ่อน ก็ต้องขายให้เป็นรถมือสองใหม่ๆจอดทิ้งในเต็นท์จำนวนมาก หรือกลายเป็นขยะอุตสาหกรรมมากมาย
.
ก็เหมือนกับคนไทยที่บ้ามือถือ ที่ใช้กันไม่ค่อยคุ้มเท่าไหร่ ยังไม่ทันเสียหรือใช้ไม่ทันคุ้มก็เปลี่ยนมือถือใหม่กันแล้ว หลายรายก็หาเงินในทางที่ผิดเพื่อบำรุงบำเรอความฟุ้งเฟ้อที่ไม่รู้จักจบสิ้น
..
ถึงเวลาที่เราคนไทยต้องยอมรับความจริงซะบ้าง และรัฐบาลก็ไม่ควรกระตุ้นเศรษฐกิจที่เป็นไปเพื่อความฟุ้งเฟ้อด้วยจึงจะถูกต้อง
.
****************************.
ข่าว รัฐบาลญี่ปุ่นก็แจกเงินคนญี่ปุ่นเหมือนกัน.รัฐบาลญี่ปุ่นผ่านกฏหมายเพื่อจะแจกเงินให้ประชาชนทุกบ้าน โดยจะแจกคนละ12,000เยน หรือประมาณ4,358บาท แต่ถ้าเป็นเด็กอายุต่ำกว่า18ปี และผู้สูงอายุที่อายุเกิน65ปี ก็จะได้มากถึง 20,000เยนทุกคน ส่วนรายละเอียดปลีกย่อยหรือข้อยกเว้นมีอย่างไร ข่าวไม่ได้แจ้งไว้
.
ตัวอย่างเงิน12,000เยนทำอะไรได้บ้าง เช่น ซื้อตั๋วเที่ยวดิสนีย์แลนด์ได้3ใบ , ซื้อตั๋วดูหนังได้8เรื่อง , ซื้อตั๋วรถไฟชินกันเซนจากโตเกียวถึงเกียวโตได้หนึ่งที่ เป็นต้น
.
คลิก อ่านข่าวนี้จากbbc
.
ผมว่าผมชอบการแจกเงินแบบญี่ปุ่นมากกว่าการแจกของรัฐบาลอภิสิทธิ์นะ เพราะดูจะทั่วถึงกว่าและไม่ดูเลือกที่รักมักที่ชัง และยังให้ความสำคัญแก่เด็กและคนชรามากกว่าคนวัยอื่น
.
ส่วนพวกลิ่วล้อทักษิณที่ดูถูกการแจกเงินว่าประชานิยมยิ่งกว่าที่ทักษิณทำ ก็คงดูถูกมันสมองของรัฐบาลญี่ปุ่นบ้างเหมือนกันมั้ง
.
แต่ถึงยังไงรัฐบาลญี่ปุ่นก็ยังแจกเงินได้ดูฉลาดกว่ารัฐบาลไทยแจกอยู่ดี คุณว่ามั้ย?
.
คลิกอ่าน ทักษิณขี้โม้ ทักษิณไม่ได้เก่งเท่าไหร่หรอก
.
ขอบคุณครับสำหรับบทความ
ตอบลบ