เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 วันนั้นตรงกับวันครบรอบ 7 ปี การถึงแก่พิราลัยของ หม่อมหลวง บัว กิตติยากร พระชนนีในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ บรมราชินีนาถ
(หม่อมหลวงบัว กิติยากร ถึงแก่พิราลัย ในวันที่19 กันยายน พ.ศ.2542 สิริอายุ 89 ปี )
ซึ่งในวันนั้นบรรดาองคมนตรีทั้งหมดก็เข้าวัง ตามคำเชิญของสมเด็จพระนางเจ้า เพื่อร่วมงานบำเพ็ญพระราชกุศล เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันถึงแก่พิราลัยหม่อมหลวงบัว กิติยากร
หลังเสร็จสิ้นงานบำเพ็ญพระราชกุศลแล้ว
แต่ !! เนื่องจากว่าวันที่ 19 กันยายน 2549 ได้ตรงกับวันอังคารพอดี ซึ่งปกติคณะองคมนตรีจะประชุมกันทุกวันอังคาร ที่ทำเนียบองคมนตรี ใน วังสราญรมย์
วันนั้นคณะองคมนตรีจึงได้ถือทูลขอพระบรมราชานุญาต ขอเปลี่ยนสถานที่ประชุมคณะองคมนตรีมาเป็นที่พระตำหนักจิตรลดาฯ แทนเป็นการชั่วคราว เนื่องจาก
ในเย็นวันนั้น สมเด็จพระนางเจ้าฯ จะทรงพระราชทานงานเลี้ยงอาหารค่ำแก่องคมนตรีและบุคคลใกล้ชิดด้วย
รูปข่าว(ตัวอย่าง) จากงานบำเพ็ญพระราชกุศลการถึงแก่พิราลัย ม.ล.บัว ในวันที่ 19 กันยายน 2553
คลิกที่รูปเพื่อขยาย!!
ซึ่งในวันค่ำวันนั้นเช่นกัน ก็เกิด
การรัฐประหารของคมช. ยึดอำนาจจากทักษิณ
บรรดาองคมนตรีซึ่งร่วมงานเลี้ยงอาหารเสร็จ ก็ทยอยกลับบ้านกันไปแล้ว แต่หลายท่านยังกลับไปไม่ทันจะถึงไหน ก็ต้องรีบวกกลับเข้าวังด่วนในเวลา3ทุ่ม
โดยเฉพาะพลเอกเปรม ซึ่งท่านเป็นประธานองคมนตรี ท่านจึงมักจะกลับบ้านช้ากว่าองคมนตรีท่านอื่น ๆ แต่วันนั้นพลเอกเปรมยังไม่ทันจะได้กลับ ก็เกิดเหตุการณ์รัฐประหารขึ้นเสียก่อน
ซึ่งคราวนี้เกิดจากมีการประกาศยึดอำนาจรัฐบาลรักษาการณ์ของอดีตนายกทักษิณ ของ คมช. ซึ่งขณะนั้นนายก ฯ ทักษิณอยู่ในช่วงบินไปปฏิบัติภารกิจที่สหรัฐอเมริกา
เมื่อประธาน คมช. โดย
พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ได้มาขอเข้าเฝ้าในตอน 5 ทุ่ม จึงไม่แปลกที่เราจะเห็นพลเอกเปรม ประธานองคมนตรีนั่งอยู่ในห้องนั้นด้วย
ส่วนองคมนตรีท่านอื่น ๆ ก็ยังอยู่ในพระตำหนักจิตรลดา เช่นกัน
แต่กลับมีคนนำเหตุการณ์วันนั้นมากล่าวหาว่า พลเอกเปรมเป็นผู้พา คมช.มาเข้าเฝ้าฯ ซึ่งอาจทำให้มองว่าพลเอกเปรมเกี่ยวข้องกับ การรัฐประหารของ คมช.
แต่ที่จริงแล้ว หากเมื่อสถานกาณ์บ้านเมืองไม่ปกติ ประธานองคมนตรีจะต้องเป็นคนแรกที่ต้องรีบเข้าวัง เพื่อถวายรายงานสถานการณ์ต่อในหลวง และต้องอยู่คอยรับใช้พระองค์ ซึ่งเป็นถือเรื่องที่ปกติอยู่แล้ว
--------------------------
สมัยทักษิณยังเป็นนายกรัฐมนตรี ได้เป็นคนคัดเลือกผู้ที่จะมาเป็นผบ.เหล่าทัพด้วยตัวเองทุกคน
เช่น พลเอกสนธิ บุญรัตกลิน ผบ.ทบ. , พลอากาศเอกชลิต พุกผาสุข ผบ.ทอ. , พลเรือเอก สถิรพันธุ์ เกยานนท์ ผบ.ทร.
ทั้ง3คน เป็นทหารที่มีบุคลิกเรียบร้อยและไม่เด่นดังอะไรมากนักในกองทัพ หรือพูดง่าย ๆ ว่า ไม่ได้เป็นพวกมีบารมีมากเท่าไหร่นักในทั้ง 3 กองทัพ
ด้วยที่ทั้ง 3 คนดูไม่โด่งดัง และไม่มีบารมีนักในกองทัพ จึงเหมาะที่ทักษิณจะเลือกมาเป็นผบ.เหล่าทัพเพื่ออุ้มชูรัฐบาลของตน เพราะทักษิณไม่คิดว่าทั้ง3คนนี้จะกล้าหือกับตนเอง
แต่เมื่อเกิดการปฏิวัติขึ้นในปี 2549 ล้มทักษิณลงจากอำนาจ
ทักษิณจึงไม่เชื่อว่า ผบ.เหล่าทัพทั้ง3คนนี้ จะมีบารมีมากพอจะก่อการปฏิวิติตนได้ เพราะทักษิณอุตส่าห์คัดเลือกประเภทนายพลเจี๋ยมเจี้ยมในกองทัพมาดำรงตำแหน่ง ผบ. แล้ว
ทักษิณจึงคิดว่า ต้องมีผู้มีบารมีมาก ๆ มาจัดการให้เกิดการรัฐประหารขึ้นมาแน่ ๆ ซึ่งทักษิณ
อ้างว่าคือ พลเอกเปรม ประธานองคมนตรี คือผู้อยู่เบื้องหลังการรัฐประหาร
ส่วนพวกล้มเจ้า มันตีความคำว่า
ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ ที่ทักษิณมันใช้เรียกไปไกลกว่านั้นอีก
คลิกอ่าน ฤา คมช.รัฐประหารเป็นแผนทักษิณ
---------------------------
รายงานกรุงเทพฯ วันที 27มี.ค. 53
วันนี้ผมผ่านไปบนถนนพหลโยธิน สังเกตว่าตั้งแต่ช่วงหน้าวัดไผ่ตัน เรื่อยไปจนถึงสะพานควาย ผมเห็นพ่อค้าแม่ค้าริมถนนใส่เสื้อแดงกันเยอะกว่าทุกวัน
(แต่คนไม่ใส่เสื้อแดงก็ยังเยอะกว่า)
และเมื่อเรื่อยไปจนถึงอนุสาวรีย์ก็จะเห็นพ่อค้าแม่ค้าใส่เสื้อแดงกัน เช่นพวกรถตู้อนุสาวรีย์ก็ใส่ คนเดินถนนก็ใส่เยอะกว่าทุกๆวัน
ก็เพราะวันนี้เป็นวันแดงนัดชุมนุมใหญ่อีกแล้ว แถมมีการตระเวนไปหลายๆจุดในเมืองหลวง
ยอมรับว่ามีคนยืนต้อนรับเสื้อแดงกันอยู่ตลอดทาง ส่วนใหญ่ก็คนที่ทำมาหากินบนฟุตบาทนั่นแหล่ะครับ ส่วนคนเดินถนนก็มีต้อนรับเสื้อแดงอยู่พอควร
ช่วงค่ำๆได้ข่าวว่า ช่อง5โดนปาระเบิด รถจึงติดย่านพหลโยธินช่วงสนามเป้า ผมคาดการณ์เอาว่า เมื่อช่อง5โดนแล้ว
เดี๋ยวช่อง11ก็อาจโดนเหมือนกัน!?
ผมจึงเลี่ยงเส้นทางทั้งสอง คือไม่ไปพหลโยธิน ไม่ไปวิภาวดีเพราะต้องผ่านช่อง11 ผมเลือกไปถนนเลียบคลองประปาแทน
เมื่อถึงบ้าน ก็ได้ข่าวว่าช่อง11โดนระเบิดm79ยิงให้เข้าแล้ว ไม่ผิดที่ผมคาดไว้เลย
เฮ่อ!! อะเมสซิ่งไทยแลนด์จริงๆ