.
.
พวกเสื้อแดงเหวงๆบางคน ยังคิดอยู่ว่า พวกพันธมิตรกำลังเรียกร้องเอาปราสาทเขาพระวิหารคืน ซึ่งนั่นคือความคิดโง่ๆของคนที่เอาแต่ฟังแกนนำเสื้อแดงไปวันๆ โดยไม่ได้ศึกษาข้อมูลความเป็นจริง
ผมเคยเขียนเรื่องเขาพระวิหารอย่างละเอียดไปหลายๆครั้งแล้ว ใครอยากอ่านก็ไปหาอ่านในบทความเก่าๆ ซึ่งขอย้ำสักหน่อยจากบทความเก่าๆของผมอีกครั้งว่า ความผิดมันเริ่มจากสมัยจอมพลสฤษดิ์!! ที่เสือกไปขึ้นศาลโลกในคดีเขาพระวิหาร ทั้งๆที่ไม่มีความจำเป็นต้องขึ้นก็ได้
นั่นเพราะ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ก็ดันคิดว่าตัวเองเจ๋ง มีหลักฐานเจ๋งกว่า เก่งกฎหมายกว่าเขมร เลยบอกจอมพลสฤษดิ์ว่า ไทยเราควรขึ้นศาลโลก เพื่อสั่งสอนเขมร
ทั้งๆที่ศ.ดร.สมปอง สุจริตกุล เอกอัครราชทูตไทยประจำเนเธอร์แลนด์ในตอนนั้น ได้ เคยทักท้วงว่าไทยเราไม่จำเป็นต้องไปขึ้นศาลโลก แต่ม.ร.ว.เสนีย์ไม่สนใจ เพราะหม่อมเสนีย์มั่นใจในตัวเองเกินไป!!
ตัวอย่างเช่น หลังพ้นยุคล่าอาณานิคม รัฐบาลเหมาเจ๋อตุงของจีนแดง ยังกล้าฉีกสนธิสัญญาหรือแผนที่ ที่พวกฝรั่งทำเอาเปรียบจีนทิ้ง โดยอ้างว่า จีนทำสนธิสัญญาเพราะโดนฝรั่งบังคับได้เลย ซึ่งเหตุผลนี้ย่อมฟังขึ้น เพราะหลักการของสหประชาชาติจะไม่ยอมรับ สนธิสัญญาที่เกิดจากการบังคับขู่เข็ญ
เช่นเดียวกัน ไทยเราก็สามารถฉีกสนธิสัญญาและแผนที่ที่ฝรั่งเศส เขียนเอาเปรียบไทยได้เช่นกัน โดยไม่จำเป็นต้องไปขึ้นศาลโลกกับเขมร
------------------------
โดยเฉพาะในปี พ.ศ. 2509 ไทยได้ลงนามในอนุสัญญาเวียนนา ค.ศ. 1969 ว่าด้วยสนธิสัญญา
ซึ่งในมาตรา 51 และ52 ได้ระบุชัดเจนว่า สนธิสัญญาใดที่เกิดจากการข่มขู่ บังคับ สนธิสัญญานั้นย่อมไม่สมบูรณ์ ซึ่งตอนที่ไทยทำสนธิสัญญากับฝรั่งเศสในยุคล่าอาณานิคม หากสนธิสัญญาไหน ที่ไทยเสียเปรียบ และโดนข่มขู่ เราควรประกาศยกเลิกไปเลย
มาตรา 51 สนธิสัญญาที่เกิดจากการบังคับข่มขู่ต่อตัวแทนของรัฐ เมื่อตัวแทนถูกข่มขู่ บังคับให้ลงนาม ให้สัตยาบันในสัญญา เป็นเหตุที่ทำให้สัญญาไม่สมบูรณ์ การข่มขู่ต่อตัวแทน หมายความรวมถึง การข่มขู่ตัวแทนโดยทางอ้อมด้วย อาจไม่ข่มขู่ต่อตัวแทนโดยตรง แต่จับลูกเมียของตัวแทนเป็นตัวประกัน
มาตรา 52 การคุกคามต่อรัฐเพื่อบังคับให้เข้าผูกพันในสนธิสัญญา การคุกคามต่อรัฐ เช่น ยกกองกำลังมาประชิดชายแดน หรือนำกำลังกองทัพเรือปิดอ่าว ปิดทะเล โดยขู่ว่าถ้าไม่ยอมลงนามผูกพันในข้อสัญญาจะใช้ขีปนาวุธยิงถล่มประเทศ นี่เป็นการคุกคามต่อรัฐบังคับให้ลงนาม
สรุปง่าย ๆ คือ ถ้าในตอนนั้นไทยเราไม่ไปขึ้นศาลโลก และรออีกแค่ไม่กี่ปี พออนุสัญญาเวียนนา 1969 ออกมา เราก็ฉีกแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนที่ฝรั่งเศสพยายามยัดเยียดให้เราทิ้งไปได้เลย
และวันนี้ขออธิบายเรื่องนี้อีกครั้งอย่างง่ายๆเพื่อให้คนที่ขี้เกียจอ่านข้อมูลได้เข้าใจแบบง่ายๆ
--------------------------
ศาลโลกตัดสินให้ตัวปราสาทเขาพระวิหาร เฉพาะตัวปราสาทไป ได้เป็นกรรมสิทธิของเขมรเมื่อปี2505 ดังนั้นจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ก็มีคำสั่งตามมติคณะรมต.ปี2505 ให้ล้อมรั้วบริเวณรอบตัวปราสาทเขาพระวิหารตรงบันไดนาคขั้นที่156ห่างจากตัวปราสาทลงมา20เมตร (ซึ่งเขมรก็ไม่เคยทักท้วงเรื่องรั้วนี้เลยเป็นเวลาหลายสิบปี)
----------------------
แต่หลังจากนั้นมาเป็นเวลาร่วม40ปี ก็อยู่กันอย่างสงบมาตลอด จนกระทั่งช่วงเขมรแดงเรืองอำนาจในเขมรก็มีการรุกล้ำขึ้นบนเขาพระวิหารจนไทยต้องยิงขับไล่อยู่เป็นระยะ
แต่ต่อมาเมื่อสงครามเขมรสงบ ทหารไทยรัฐบาลไทยเริ่มปล่อยปละละเลย ปล่อยให้เขมรรื้อรั้วที่ล้อมในสมัยจอมพลสฤษดิ์ออกไป
ดูรูปมุมขวาล่างคือรั้วไทยตามมติครม.2505 , ส่วนรูปขวาบน เขมรรื้อรั้วไทยไม่แน่ใจว่าปีไหนแน่(แต่คาดว่าในช่วงปี40เป็นต้นมา) แล้วมาสร้างรั้วใหม่ที่เชิงเขาแล้วเก็บเงิน
ต่อมาเขมรบุกรุกเข้ามาในพื้นที่4.6ตร.กม.อีกในช่วงปีพ.ศ.2541-2542 และเริ่มรุกล้ำลงมาตีนเขา จนกระทั่งมีการยิงปะทะกันระหว่างทหารไทยกับทหารเขมร
จนปี2543 รัฐบาลนายกชวน ได้ทำข้อตกลงปักปันเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา (MOU2543 ได้อนุญาคให้เขมรจะใช้แผนที่1ต่อ2แสนของฝรั่งเศสมาใช้ในข้อตกลงด้วย) และในระหว่างอยู่ในการเจรจาปักปันเขตแดน ตกลงกันว่า ห้ามทหารและประชาชนทั้งสองฝ่ายรุกล้ำเข้ามาในพื้นที่ที่ยังไม่ได้ปักปัน
ตรงจุดนี้ก็เท่ากับรัฐบาลนายชวนทำไทยเสียดินแดนไปครึ่งหนึ่งแล้วครับ เพราะพื้นที่ตรงนั้นก่อนที่จะทำMOU2543 ตั้งแต่ปี2505พื้นที่บริเวณ4.6ตร.กม.เป็นของไทยมาตลอด
แต่อยู่ดีๆ รัฐบาลนายชวนกลับไปทำข้อตกลงMOU2543 ให้ทั้งสองชาติมาปักปันเขตแดนในพื้นที่นี้ด้วยกันใหม่ นั่นก็เท่ากับเราไปยอมรับว่าเขมรมีสิทธิในพื้นที่นี้แล้ว ทั้งๆที่ความเป็นจริงพื้นที่ตรงนี้เป็นของไทย100%
คงเพราะนายกฯ ชวน เป็นนักกฎหมายจึงไม่ชอบสงคราม เลยคิดแบบนักกฎหมาย ไม่ได้คิดแบบทหาร จึงทำให้ต้องเสียดินแดนแบบรู้เท่าไม่ถึงการณ์
(สังเกตมั้ยครับว่า ผมไม่เคยใช้คำว่าพื้นที่ทับซ้อน เพราะถ้าใช้คำว่าทับซ้อนแสดงว่าเขมรก็เข้ามามีสิทธิในพื้นที่ด้วย)
---------------------------
รัฐบาลชวนไปตกลงMOU43 จึงไล่ประชาชนไทยที่เคยหากินในบริเวณนั้นต้องออกจากพื้นที่ไป แถมให้ทหารไทยถอยไกลออกไปอีก แต่กลับกลายเป็นว่า พวกเขมรย้ายเข้ามาแทน !!
ตรงนี้ควรนับว่า ทำให้ข้อตกลงในปี2543 ควรต้องเป็นโมฆะไปโดยเขมรเอง
พูดง่ายๆก็คือ ข้อตกลงปี43ต้องเป็นโมฆะไปเพราะเขมรรุกล้ำพื้นที่ ไทยก็สามารถอ้างสิทธิเหนือดินแดนได้เหมือนเดิม แต่นั่นก็ทำให้เขมรอ้างได้ว่า ไทยเคยยอมรับว่าเขมรมีสิทธิในพื้นที่มาแล้ว เพราะไทยเคยยินยอมให้เขมรเข้ามาร่วมปักปันเขตแดนใหม่
ซึ่งตามความเป็นจริง เขมรไม่สิทธิเข้ามาในพื้นที่นี้ เพราะหลังปี2505พื้นที่นี้อยู่เป็นของไทยมาตลอด แต่ในสมัยรัฐบาลนายชวนกลับไปยอมรับการเข้ามาของเขมร เขมรจึงถือโอกาสอ้างสิทธิโดยใช้แผนที่1:200,000เข้ามาอ้างสิทธิ
------------------------
แต่เมื่อเขมรไม่รักษาข้อตกลงMOU43 รัฐบาลก็ควรประกาศไม่ยอมรับข้อตกลงนั้นเสียทันที และไม่ยอมรับแผนที่1:200,000 ใน MOU43 ไปพร้อมกัน
-----------------------
ต่อมาไทยยังได้ทำ MOU44 เกี่ยวกับพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล โดยอ้างอิงจากMOU43 เป็นหลักในสมัยรัฐบาลทักษิณอีกฉบับ ซึ่งเป็นการตอกย้ำยอมรับสิทธิในพื้นที่4.6 ตร.กม.ของเขมรซ้ำอีกรอบ
ส่วนเขมรไม่ยอมหยุดละเมิดMOU43 รุกล้ำเข้ามาในพื้นที่เพิ่มเติมเข้ามาเรื่อยๆ ในสมัยรัฐบาลทักษิณ
แม้ทหารโดยกองกำลังสุรนารีรายงานต่อนายวิษณุ เครืองาม แล้วรายงานต่อทักษิณว่าเขมรละเมิดMOU43 บุกรุกเข้ามา จะให้ผลักดันออกไปหรือไม่? (ที่จริงทหารไม่ควรต้องถามนายกฯ เพราะมันเป็นหน้าที่โดยตรงของทหารอยู่แล้ว)
ทักษิณกลับบอกว่าไม่อยากให้เกิดสงครามเพราะจะกระทบความสัมพันธ์ จึงปล่อยให้เขมรเข้ามาตั้งบ้านเรือนเรื่อยๆ เพราะทักษิณตั้งใจอยากจะทำให้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ เพื่อเก็บค่าเช่าจากผู้ค้าไทยและผู้ค้าเขมร
ทหารไทยจึงถอยร่นออกจากพื้นที่ไป ซึ่งต่อมาฝ่ายไทยเราละเลยในพื้นที่ จนเขมรเข้าสร้างเป็นหมู่บ้าน สร้างวัด สร้างถนน และยึดครองพื้นที่โดยสมบูรณ์ (ไม่มีใครรู้ว่า ทักษิณจงใจปล่อยปละละเลยหรือไม่)
(หมายเหตุ ผมเพิ่งได้ลำดับช่วงเวลาที่ทหารไทยถอนกำลังจากเขาพระวิหาร คลิกอ่าน บทความ เอาชนะเขมร คดีเขาพระวิหารด้วยกฎหมายปิดปากคืน)
------------------------
ต่อมาเขมรพยายามจะขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก แต่ฝ่ายไทยคัดค้านมาตลอด เพราะไทยมีพื้นที่รอบตัวปราสาท เป็นพื้นที่ๆสำคัญเชิงประวัติศาสตร์เช่นกัน ไทยขอขึ้นทะเบียนร่วมกัน แต่เขมรไม่ยอม
คาราคาซังกันมาหลายปี จนกระทั่งสมัยรัฐบาลสมัคร ได้ปลดศาสตราจารย์อดุลย์ วิเชียรเจริญ ประธานมรดกโลกของไทยที่อยู่ในตำแหน่งนี้มากว่า25ปี ซึ่งท่านได้คัดค้านการขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารของเขมรฝ่ายเดียวมาตลอด ทำให้เขมรไม่สามารถขึ้นทะเบียนมรดกโลกได้
พอรัฐบาลสมัครกลับปลดอาจารย์อดุลย์แล้ว ก็ตั้งนายปองพล อดิเรกสารเป็นประธานมรดกโลกไทยแทน
(รายละเอียดเรื่องปลดอาจารย์อดุลย์ ให้ย้อนอ่านที่บทความ เขมรขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกได้พราะนพดล)
------------------------------
นายนพดล ปัทมะ อ้างว่า เขมรขอให้เราเซ็นยินยอมเพื่อให้เขมรขึ้นเฉพาะตัวปราสาทเขาพระวิหาร เพราะเขมรนำแผนที่เฉพาะตัวปราสาทมาให้ดูว่าจะขึ้นเฉพาะตัวปราสาทเท่านั้น
(แต่นพดลไม่เคยนำแผนที่ที่เขมรจะยื่นยูเนสโกมาแสดง มีแต่นพดลพูดเอาเองฝ่ายเดียว และกางแผนที่ที่ตัวเองอ้างว่าเขมรจะขึ้นเท่านั้นเท่านี้ ซึ่งเป็นแผนที่ของไทยเองมาแสดงเท่านั้น)
พิรุธก็คือ หากเขมรขึ้นเฉพาะตัวปราสาทจริงๆเท่านั้น ก็ไม่จำเป็นต้องมาให้ไทยเซ็น
เพราะหากโบราณสถานอยู่ในพื้นที่ตัวเองทั้งหมดอยู่แล้ว เขมรจะมาให้ไทยเราเซ็นทำหอกอะไร??
แต่เพราะเขมรยังไม่มีหลักฐานชี้ชัดว่าพื้นที่ตรงนั้นเป็นของเขมร จึงมาขอให้รัฐบาลสมัครเซ็นเพื่อให้ยอมรับให้หนักแน่นเข้าไปอีก โดยอ้างเรื่องขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารมาเป็นตัวหลอก
เพราะความเป็นจริง เขมรต้องการขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารทั้งหมดรวมทั้งพื้นที่รอบๆเขาพระวิหารในเขตไทยด้วย จึงมาขอให้ไทยเราเซ็น ซึ่งรัฐบาลสมัครก็เซ็นยินยอมให้เขมรไป (ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้เป็นแถลงการณ์ร่วมฯนั้นไม่ชอบด้วยกฏหมาย)
แล้วเขมรก็สอดไส้นำแผนที่1:200,000ไปสอดไส้ใในหลักฐานคำขอเพื่อไปขอขึ้นทะเบียนมรดกโลก ตามด้วยลายเซ็นยินยอมจากฝ่ายรัฐบาลไทยแนบไป โดยที่นายนพดลโง่ไม่รู้จริงๆ หรือแกล้งโง่ปล่อยให้เขมรสอดไส้แผนที่กันแน่??
เท่ากับรัฐบาลสมัครและนายนพดลไปช่วยตอกย้ำให้สิทธิในพื้นที่4.6ตร.กม.ให้เขมรซ้ำเข้าไปอีก เพราะเขมรยื่นขอขึ้นทะเบียนโดบใช้แผนที่1ต่อ200,000 กินอาณาเขตในพื้นที่4.6ตร.กม. โดยมีหนังสือสนับสนุนของรัฐบาลสมัครแนบไปพร้อมเอกสารทั้งหมด
[แต่เพราะติดที่MOU43 ที่ต้องปักปันเขตแดนก่อน ทำให้เขมรไม่สามารถส่งแผนที่ได้ จึงต้องอ้างส่งเป็นแผนผังไป(เลี่ยงคำ) แต่แผนผังก็คือแผนที่1ต่อ2แสนอันเดิมนั่นแหล่ะ]
--------------------------------
สรุปง่ายๆก็คือ รัฐบาลชวน กับรัฐบาลสมัคร ช่วยกันทำให้ไทยกำลังจะเสียดินแดนจริงๆครับ
(ถ้านายนพดลไม่รู้มาก่อนว่าเขมรแอบสอดไส้ เท่ากับว่านายนพดลโง่เสียรู้เขมร แต่ถ้ารู้เห็นกับการสอดไส้ของเขมร หรือรู้เห็นเป้นใจแต่แรกกับเขมร ก็เท่ากับว่านายนพดลก็คือคนขายชาติ)
------------------------------
วิธีแก้ไขก็คือ
1. ไทยต้องประกาศว่าMOU43 เป็นโมฆะไปแล้ว เพราะเขมรละเมิด ไทยไม่ยอมรับแผนที่1:200,000 ในMOUฉบับนั้น
2. ไทยต้องประกาศว่า ข้อตกลงที่รัฐบาลสมัครเซ็น เป็นโมฆะ เพราะศาลตัดสินว่าผิดกฏหมายของไทย
3. ถ้ายังไม่สำเร็จ เขมรกำลังจะขึ้นทะเบียนได้อีก ไทยต้องประกาศลาออกจากสมาชิกมรดกโลก เหมือนที่อเมริกาเคยลาออกมาแล้ว หรืออาจถึงขั้นลาออกจากสมาชิกยูเนสโก้ก็เป็นไปได้
เมื่อไทยไม่ได้เป็นสมาชิกมรดกโลก ก็ไม่ต้องทำตามคำสั่งของคณะกรรมการมรดกโลกอีกต่อไป และส่งกำลังทหารคุมพื้นที่4.6ตร.กม.ไว้ ไม่ให้ไอ้หน้าไหนเข้ามาแผ่นดินไทย หรือจัดการในพื้นที่ได้ เมื่อไม่สามารถจัดการในพื้นที่ตามที่นำเสนอได้ เขาพระวิหารก็จะถูกยกเลิกถอดถอนจากความเป็นมรดกโลกในที่สุด (ซึ่งอาจทำให้เขมรต้องเปิดฉากทำสงครามกับไทย)
4. mou43 ผิดรธน.40 มาตรา224 คือทำข้อตกลงกับต่างชาติในเรื่องความมั่นคงโดยไม่ผ่านสภา
--------------------------
ขอทบทวนอีกครั้งนะครับ คณะกรรมการมรดกโลกอนุมัติให้เขาพระวิหารขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก แต่ยังไม่ได้ขึ้นโดยสมบูรณ์ เพราะอยู่ระหว่างที่ให้เขมรนำเสนอแผนจัดการในพื้นที่ ซึ่งไทยไม่ยอมร่วมมือในแผนจัดการที่เขมรทำขึ้น
ซึ่งช่วงขณะเขียนบทความนี้ กำลังมีการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกอยู่ที่บราซิล เขมรกำลังจะส่งแผนจัดการพื้นที่รอบปราสาทให้คณะกรรมการมรดกโลกพิจารณา ว่าจะให้ปราสาทเขาพระวิหารได้เป็นมรดกโลกโดยสมบูรณ์หรือไม่
หากเขมรขึ้นทะเบียนมรดกโลกตามแผนที่1ต่อ2แสนสำเร็จโดยสมบูรณ์ เขมรก็จะใช้บรรทัดฐานจากการขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารอ้างจากแผนที่นี้เพื่อจะกินดินแดนไทย เรื่อยไปอีกในหลายๆจังหวัด ปราสาทตามเมือนธม ปราสาทตาควาย รวมทั้งพื้นที่ในทะเล ก็จะถูกกลืนจากแผนที่1ต่อ2แสนนี้ด้วยครับ
(เขมรดำเนินแผนทุกอย่างเพื่อสร้างความชอบธรรมต่อนานาชาติว่าเขาเป็นเจ้าของพื้นที่เหล่านี้ ตามแผนที่1ต่อ2แสน โดยมีกรณีขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารด้วยแผนที่นี้เป็นบรรทัดฐาน)
สรุปง่ายๆอีกทีว่า เขาพระวิหารไม่ใช่ประเด็นหลักที่เขมรต้องการหรอกครับ เป็นแค่หนทางกินดินแดนไทยในพื้นที่อื่นๆต่อไปต่างหาก โดยเฉพาะผลประโยชน์จากแหล่งทรัพยากรธรรมชาติในทะเลอ่าวไทยครับ
.