วันอาทิตย์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

พันธมิตรกับข้อหาผู้ก่อการร้าย

.
.
ก่อนอื่นเราต้องทำใจมองเรื่องโดยปราศจากอคติและอารมณ์ส่วนตัวก่อน ถึงจะพิจารณาได้เหตุการณ์ได้อย่างเป็นธรรม ทั้งกรณีเสื้อแดงจราจลหรือจะเป็นพันธมิตรบุกสนามบิน

กับข้อหาผู้ก่อการร้ายของกลุ่มพันธมิตรนั้น ฝ่ายเสื้อแดงหรือคนรักทักษิณต่างก็เชื่อไปอย่างสุดตัวว่า พันธมิตรเป็นผู้ก่อการร้ายแน่นอน ก็เหมือนกับตอนบุกยึดทำเนียบรัฐบาลฝ่ายเสื้อแดงก็มั่นใจว่า พันธมิตรเป็นกบฏแน่นอน..

จากกรณีพันธมิตรบุกสนามบินทั้งสองแห่ง โดยเฉพาะสนามบินสุวรรณภูมินั้น จนผอ.การท่าอากาศยานต้องออกมาประกาศปิดสนามบินนั้น ได้ทำให้กลุ่มพันธมิตรเป็นผู้ก่อการร้ายจริงหรือ?

มาตรา135/1 ระบุว่า การก่อการร้ายต้องเป็นการกระทำที่มีลักษณะดังต่อไปนี้จึงจะเข้าองค์ประกอบความผิด
(1) ใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการใดอันก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต หรืออันตรายอย่างร้ายแรงต่อร่างกาย หรือเสรีภาพของบุคคลใดๆ
(2) กระทำการใดอันก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ระบบการขนส่งสาธารณะ ระบบโทรคมนาคม หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะ
(3) กระทำการใดอันก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของรัฐหรือของบุคคลใดหรือต่อสิ่งแวดล้อม อันก่อให้เกิด หรือน่าจะก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างสำคัญ

ถ้าการกระทำนั้นได้กระทำโดยมีความมุ่งหมายเพื่อขู่เข็ญหรือบังคับรัฐบาลไทย รัฐบาลต่างประเทศ หรือองค์การระหว่างประเทศ ให้กระทำหรือไม่กระทำการใดอันจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง หรือเพื่อสร้างความปั่นป่วนเพื่อให้เกิดความหวาดกลัวในหมู่ประชาชน ผู้นั้นกระทำความผิดฐานก่อการร้าย ต้องระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลาดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่สามปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่หกหมื่นบาทถึงหนึ่งล้านบาท

*หากเป็นการกระทำในการเดินขบวน ชุมนุม ประท้วง โต้แย้ง หรือเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องให้รัฐช่วยเหลือ หรือให้ได้รับความเป็นธรรมอันเป็นการใช้เสรีภาพตาม รัฐธรรมนูญ ไม่เป็นการกระทำความผิดฐานก่อการร้าย*

-----------------

จากทั้งในข้อ(1)ถึงข้อ(3) อาจไม่สำคัญเท่ากับประโยคสุดท้ายตรงดอกจันทน์

เพราะเจตนาของกฏหมายไม่ต้องการให้ประชาชนที่ใช้ความรุนแรงตอบโต้รัฐ อาจต้องกลายเป็นต้องคดีผู้ก่อการร้ายเสมอไป เพราะคดีผู้ก่อการร้ายนั้นหนักมาถึงประหารชีวิต เพื่อป้องกันที่รัฐใช้อำนาจทางกฏหมายเกินไปกับประชาชนที่ต้องการเรียกร้องอะไรบางอย่าง

ถ้าความผิดฐานก่อการร้ายมีแค่ข้อ(1)ถึง(3)เท่านั้น ไม่มีประโยคตรงดอกจันทน์ต่อท้ายด้วยเลย ก็คงไม่ยากที่จะตัดสินว่าใครเป็นผู้ก่อการร้ายหรือไม่
แต่ทำไมกฏหมายถึงต้องมีประโยคตรงดอกจันทน์ด้วย อันนี้คือประเด็นสำคัญ ผมอยากให้คุณผู้อ่านต้องพิจารณาว่า ทำไมต้องมีระบุยกเว้นต่อท้ายด้วย ฝากไว้ให้คิดนะครับ

***************************

ตรวจสอบความผิดของพันธมิตรตามกฏหมายข้อต่างๆ

ทีนี้เรามาดูกันว่า ถ้ากลุ่มพันธมิตรไม่ได้โดนข้อหาผู้ก่อการร้ายเพราะมีประโยคตรงดอกจันทน์ช่วยไว้ แล้วข้อเท็จจริงพันธมิตรได้มีการกระทำการรุนแรงในกฏหมายมาตรา135/1ตามข้อ(1)-(3)บ้างหรือไม่? (ถ้ามีก็ดำเนินทางคดีอาญาหรือทางคดีแพ่ง)

ในกฏหมายมาตรา135/1 ข้อ(1) ใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการใดอันก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต หรืออันตรายอย่างร้ายแรงต่อร่างกาย หรือเสรีภาพของบุคคลใดๆ

ต้องพิสูจน์ว่าพันธมิตรได้เข้าไปทำร้ายใครในสนามบินอย่างร้ายแรงต่อร่างกายหรือสิทธิเสรีภาพของใครหรือไม่?

ส่วนในกฏหมายมาตรา135/1ข้อ(2) กระทำการใดอันก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ระบบการขนส่งสาธารณะ ระบบโทรคมนาคม หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะ

ถามว่า กลุ่มพันธมิตรได้ทำความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่สนามบินหรือไม่? เช่นเผาทำลายเครื่องมือเครื่องใช้ หรือทุบลายเครื่องมือเครื่องใช้เพื่อการจัดการระบบของสนามบินหรือไม่? อันนี้ต้องมาพิสูจน์กันในศาล โดยที่ผู้กล่าวหาก็ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่ามีความเสียหายร้ายแรงเกิดขึ้นจริงๆ

ส่วนในกฏหมายมาตราข้อ(3) กระทำการใดอันก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของรัฐหรือของบุคคลใดหรือต่อสิ่งแวดล้อม อันก่อให้เกิด หรือน่าจะก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างสำคัญ

จากข้อ3นี้ดูจะมีเหตุให้ดำเนินคดีกับพันธมิตรได้ แต่จะได้มากแค่ไหน ต้องพิสูจน์กันในศาลครับ แต่เท่าที่ผมเห็นความเสียหายในทรัพย์สินของรัฐ เช่นที่ทำเนียบ หรือที่สนามบินตรงที่พักผู้โดยสารและร้านค้าที่อยู่รายรอบ
ตรงจุดนี้ น่าจะเอาผิดทางแพ่งกับกลุ่มพันธมิตรได้

ส่วนความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างสำคัญนั้น ผมไม่ขอก้าวล่วงครับ เพราะบทความตอนนี้ของผมเน้นเฉพาะคดีผู้ก่อการร้ายเท่านั้น

*************************

ว่าด้วยพ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดบางประการต่อการเดินอากาศ (คลิกอ่านกฏหมาย)

ส่วนความผิดเรื่องการเดินอากาศนั้น ส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับคำว่า "อากาศยาน" ซึ่งหมายถึง เครื่องบิน เป็นหลักใหญ่

แต่ในส่วนคดีของกลุ่มพันธมิตรนั้น เท่าที่ผมดูแล้ว เห็นจะตรงกับมาตรา6ทวิ ที่ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับ "ท่าอากาศยาน" เป็นสำคัญ

มาตรา 6ทวิ ผู้ใด
(1) กระทำการประทุษร้ายผู้อื่นในท่าอากาศยานที่ให้บริการการบิน พลเรือนจนเป็นเหตุให้หรือน่าจะเป็นเหตุให้ผู้อื่นนั้นรับอันตรายสาหัสหรือถึงแก่ ความตายหรือ
(2) ทำลาย หรือทำให้เสียหายอย่างร้ายแรงต่อสิ่งอำนวยความสะดวกของท่าอากาศยานที่ให้บริการการบินพลเรือน หรือต่ออากาศยานที่ไม่อยู่ในระหว่าง บริการและอยู่ในท่าอากาศยานนั้น หรือทำให้การให้บริการของท่าอากาศยานหยุดชะงักลง
ทั้งนี้ โดยใช้กลอุปกรณ์ วัตถุ หรืออาวุธใด ๆ และการกระทำนั้น เป็นอันตรายหรือน่าจะเป็นอันตรายต่อความปลอดภัยของท่าอากาศยานนั้น ต้อง ระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี
[ มาตรา 6ทวิ เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติฯ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2538]

---

มาตรา6ทวิใน(1)นั้นก็คล้ายๆกับกฏหมายเกี่ยวกับผู้ก่อการร้ายในข้อ(1)ที่ผมได้ลองวิเคราะห์คร่าวๆไปแล้ว

แต่ประเด็นสำคัญที่กรณีกลุ่มพันธมิตรน่าจะเข้าข่ายตามที่ผู้กล่าวหาต้องการจะเอาผิดได้ ก็น่าจะเป็นมาตรา6ทวิ(2)ซึ่งก็คล้ายกฏหมายเกี่ยวกับผู้ก่อการร้ายในข้อ(2)เช่นกัน แต่ก็ต้องมาพิสูจน์กันว่า พันธมิตรได้สร้างความเสียหายแก่สนามบินจริงหรือไม่

มาตรา6ทวิ(2) ในวรรคแรกคือ ผู้ใดทำลาย หรือทำให้เสียหายอย่างร้ายแรงต่อสิ่งอำนวยความสะดวกของท่าอากาศยานที่ให้บริการการบินพลเรือน

ถามว่า พันธมิตรได้ไปทำลายอย่างเสียหายร้ายแรงต่อสิ่งอำนวยความสะดวกของท่าอากาศยานจริงหรือไม่?

เช่นทำลายเครื่องมือหรืออุปกรณ์เกี่ยวกับการบิน หรือทำลายเครื่องการอำนวยความสะดวกแก่ผู้โดยสาร อย่างร้ายแรง ต้องไปพิสูจน์กันในศาลครับ

มาตรา6ทวิ(2) ในวรรคถัดมาคือ - หรือต่ออากาศยานที่ไม่อยู่ในระหว่าง บริการและอยู่ในท่าอากาศยานนั้น

ความผิดตรงจุดนี้กลุ่มพันธมิตรคงรอดแน่ๆ เพราะพันธมิตรไม่ได้ไปทำความเสียหายแก่อากาศยาน(เครื่องบิน)แน่ๆครับ

มาตรา6ทวิ(2) ในวรรคสุดท้ายคือ - หรือทำให้การให้บริการของท่าอากาศยานหยุด ชะงักลง

ตรงวรรคสุดท้ายนี้กำกวมครับ ว่าผิดหรือไม่ และถ้าผิดจะมากน้อยแค่ไหน ต้องไปว่ากันในศาล โดยเฉพาะรักษาการผอ.การท่าอากาศยานนายเสรีรัตน์ ประสุตานนท์ ที่มีอำนาจและได้สั่งการปิดสนามบินอย่างเป็นทางการ ท่านต้องไปให้การในศาลแล้วพิสูจน์ให้ศาลเห็นด้วยว่า สนามบินไม่สามารถทำการบริการแก่ผู้โดยสารได้จริงหรือก่อให้เกิดความไม่ปลอดภัยแก่ผู้โดยสารได้ เนื่องมาจากการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตร

ซึ่งก็น่าจะเอาผิดในการเรียกร้องค่าความเสียหายได้ ส่วนความผิดคดีผู้ก่อการร้ายที่ตำรวจตั้งข้อหาให้ นั้น ตำรวจก็ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่า พันธมิตรไม่อยู่ในข่ายข้อยกเว้นตามประโยคตรงดอกจันทน์ที่ยกเว้นให้ในกฏหมายว่าด้วยเรื่องผู้ก่อการร้ายมาตรา135/1

ส่วนความผิดโทษทางอาญาสถานอื่นๆ พันธมิตรจะโดนหรือไม่นั้น ก็ต้องพิสูจน์กันในศาลอีกทีเช่นกันครับ แต่ไม่ใช่ความผิดฐานการก่อการร้ายแน่นอน

******************

แปลก?

หากมีการก่อการร้ายเกิดขึ้นจริง สนามบินก็ควรจะปิดไปโดยปริยายและไม่ต้องรอให้ใครมาสั่งปิด จริงหรือไม่? (ข้อเท็จจริงผอ.การท่าฯได้มีการประกาศสั่งปิดสนามบิน) แล้วตอนที่การก่อการร้ายยุติลง ก็ไม่น่าจะมีการมาทำพิธีรับมอบสนามบินคืนให้ซึ่งกันและกัน

Photobucket
พลตรีจำลองส่งคืนพื้นที่สนามบินให้นายเสรีรัตน์ รักษาการผอ.การท่า



ในกรณีกลุ่มพันธมิตรเลิกชุมนุมในสนามบิน ได้มีการส่งมอบพื้นที่คืนแก่การท่าอากาศยานอย่างเป็นทางการแก่การท่าอากาศยาน ทำเหมือนกลุ่มพันธมิตรไปขอยืมใช้พื้นที่จากการท่าฯ และเมื่อกลุ่มพันธมิตรใช้เสร็จแล้ว ก็มีการส่งมอบคืนและรับมอบคืนอย่างเป็นทางการ

ถามหน่อยว่า มีผู้ก่อการร้ายที่ไหนเขาทำกันอย่างนี้บ้างครับ

แปลกแต่จริง !!
.
สุดท้ายนี้ขอฝากไว้วา ไม่ว่าคำตัดสินของศาลจะออกมาเป้นเช่นไร ถูกใจหรือไม่ถูกใจใครก็ตาม ก็ขอให้ยอมรับคำตัดสินโดยดีทุกฝ่ายแล้วกัน
.
ย้อนกลับไปอ่าน เรื่องพันธมิตรยึดสนามบินยิ่งนานยิ่งพลาด
.
ใakecity

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ถ้าแสดงความเห็นตรงช่องนี้ผมจะได้อ่านทุกความเห็นครับ แต่ถ้าความเห็นไม่ขึ้นอาจเพราะระบบรอตรวจสแปม ต้องรอ1-2วัน / ใหม่ เมืองเอก kaeake@ymail.com


ผู้ติดตาม