ปัญหาความรุนแรงใน 3 จังหวัดภาคใต้ของไทย แก้ไม่สำเร็จเพราะใคร ?
ก่อนอื่น ผมต้องขอบอกไว้ก่อนว่า ในบทความนี้ผมจะไม่ย้อนไปถึงที่มาที่ไปแห่งความขัดแย้งในอดีตจนเกิดขบวนการแบ่งแยกดินแดนนะครับ ผมจะขอเริ่มตรงจุดที่ความรุนแรงใน 3 จังหวัดใต้ เริ่มปะทุหนักเมื่อปี 2547 เรื่อยมา
----------------
เกริ่นเล็กน้อย
แม้ใน3จังหวัดใต้ จะมีความรุนแรงเช่นเผาโรงเรียน ยิงทหาร วางระเบิด เป็นระยะ ๆ มาตลอดช่วงเวลาหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง2475 เรื่อยมา
แต่คนไทยพุทธ คนไทยเชื้อสายจีน และพี่น้องมุสลิมใน 3 จังหวัดใต้ ก็ยังสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างดี และไม่ค่อยรู้สึกเป็นปัญหาความแตกแยกเท่าไหร่
เหตุการณ์สังหารในกรือเซะ และเหตุการณ์ที่ตากใบ ทางการทหารมารับรู้ทีหลังว่า นั่นคือหลุมพรางของผู้ก่อความไม่สงบ เพื่อหวังจุดชนวนความเกลียดชังในหมู่ชาวมุสลิมให้รู้สึกว่า มีการฆ่าชาวมุสลิมในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์
ซึ่งทหารและภาครัฐก็ตกหลุมพรางของพวกนี้ โดยที่มารู้ตัวว่าตกหลุมพรางเมื่อเหตุการณ์มันบานปลายไปแล้ว
และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นแรก ที่เริ่มเกิดความรุนแรงแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในประวัติศาสตร์การเรียกร้องแบ่งแยกดินแดน นั่นคือ การฆ่าแบบไม่สนใจว่าจะเป็นฝ่ายไหน ฆ่าทั้งไทยพุทธ ไทยมุสลิม ฆ่าแม้กระทั่งครู และผู้บริสุทธิ์มากมาย
ซึ่งแต่เดิมการต่อต้านรัฐไทย ฝ่ายแบ่งแยกดินแดนมักจะละเว้นผู้บริสุทธิ์ ละเว้นชาวมุสลิมด้วยกัน ละเว้นอาชีพหมอ พยาบาล ผู้พิพากษาและครู เอาไว้ เพื่อดึงมวลชนสนับสนุน
แต่มาระยะหลังเกือบ10ปีมานี้ พวกเขาฆ่าอย่างโหดเหี้ยมโดยไม่เลือกหน้า ไม่สนว่าจะมีคนเกลียดชัง แต่ต้องการให้เกิดความหวาดกลัวของคนในพื้นที่เป็นหลัก
นี่จึงผิดวิสัยแห่งผู้ต่อสู้อย่างมีอุดมการณ์แท้จริง แต่เป็นการฆ่าอย่างเลือดเย็น แล้วเอาศาสนามาบังหน้าแบบผิดๆ เท่านั้น แต่เจตนาจริงๆ คือ ต้องการทำลายทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับรัฐไทย เพื่อ... ???
---------------
เชื่อหรือไม่ชนวนเหตุความรุนแรงหลังปี47 อาจมาจากเรื่องอาหารฮาลาล
เพราะประเทศมาเลเซีย คือผู้ผลิตอาหารฮาลาลรายใหญ่ของโลก และมาเลเซียต้องการเป็นศูนย์กลางอาหารฮาลาลที่สำคัญที่สุดของโลก (คลิกอ่านข้อมูล)
งานฮาลาลเอ๊กโป 2013 ที่กัวลาลัมเปอร์
แต่เมื่อปี พ.ศ. 2546 ตามที่คณะรัฐมนตรีในรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีมติเมื่อวันที่ 13 ส.ค. 2546 เห็นชอบให้มีการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารฮาลาล เพื่อการส่งออกทั่วโลก โดยให้ จ.ปัตตานีเป็นศูนย์กลางนิคมอุตสาหกรรมอาหารฮาลาล ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้
จนถึงขนาดอนุมัติงบประมาณสร้างนิคมอุตสาหกรรมอาหารฮาลาลในพื้นที่ไปหลายร้อยล้านบาท แต่ ณ:วันนี้กลายเป็นนิคมล้าง สร้างไม่เสร็จ
(หมายเหตุ แต่เดิมเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2544 คณะรัฐมนตรีก็เคยมีมติเห็นชอบแผนปฏิบัติการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารฮาลาลในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แผนพัฒนาการตลาด และแผนปรับปรุงกลไกการรับรองฮาลาล ซึ่งได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารฮาลาล โดยมีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา เป็นประธานกรรมการ มีหน้าที่สำคัญ คือ การพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารฮาลาลของประเทศไทยตามนโยบายของรัฐบาล)
ภายหลังจากที่มีมติครม.ทักษิณ เกี่ยวกับอาหารฮาลาลไปไม่กี่เดือน
ความรุนแรงใน3 จังหวัดใต้ก็เริ่มปะทุขึ้นอย่างรุนแรง โดยเริ่มจาก ในวันที่ 28 เมษายน 2547 ได้เกิดเหตุการณ์ที่มัสยิดกรือเซะ จะยะลา จนถึงขั้นเจ้าหน้าที่สังหารหมู่ผู้ก่อความไม่สงบในมัสยิด
ต่อมาเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2547 ก็เกิดกรณีตากใบ จ.นราธิวาส จนมีชาวไทยมุสลิมเสียชีวิต 85 คน
นี่คือข้อสันนิษฐานส่วนตัวของผม ที่ว่า เป็นไปได้หรือไม่ ที่มาเลเซียหวั่นเกรงว่าไทยจะมาเป็นคู่แข่งแย่งการค้าในเรื่องอาหารฮาลาลโลก
เพราะมาเลเซียเหมือนรู้ตัวว่า ถ้าเป็นเรื่องการแข่งขันอาหารกับคนไทย ไม่ว่าจะไทยพุทธหรือไทยมุสลิม คนไทยจะมีความเชี่ยวชาญด้านอาหารที่เหนือกว่ามาเลเซียแน่นอน
หากมาเลเซียต้องมาแข่งขันกับไทยในเรื่องศูนย์กลางอาหารฮาลาลโลก มาเลเซียคงคาดการณ์ว่า อาจจะสู้ไทยไม่ได้ จึงรีบตัดไปเสียแต่ต้นลม
โดยไม่ให้โครงการศูนย์กลางอาหารฮาลาลโลกของไทยได้ผุดได้เกิดขึ้นเลย ด้วยการเริ่มวางแผนและสนับสนุนกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบเพื่อการก่อการร้ายครั้งใหม่ใน 3 จังหวัดใต้ของไทย ในปี 2547 เรื่อยมาจนวันนี้
---------------------
เมื่อไม่มีขบวนการแย่งแยกดินแดนประกาศตัวชัดเจน
ตามปกติหากจะคิดขอแบ่งแยกดินแดน ก็ต้องมีการประกาศตัวว่า ใครคือผู้ก่อเหตุ ต้องแสดงความรับผิดชอบหลังการก่อเหตุร้ายต่างๆ เหมือนดั่งที่ขบวนการแบ่งแยกดินแดนของแท้ในประเทศอื่น ๆ เขาปฏิบัติกัน
และจะต้องมีการประกาศว่า ใครคือผู้นำขบวนการขอแบ่งแยกดินแดน เพื่อว่า หากรัฐไทยมีอยากเจรจาเพื่อจะยกดินแดนให้จริงๆ รัฐไทยก็ควรต้องรู้ว่า ใครจะมาเป็นผู้ปกครองในดินแดนที่แยกตัวนั้นๆ ดั่งที่เกิดขึ้นในหลายๆ ประเทศทั่วโลก
แต่ในกรณีความรุนแรง 3 จังหวัดใต้ กลับไม่มีใครที่ไหนออกมาประกาศความรับผิดชอบในการก่อเหตุ
เมื่อไม่มีใครออกมาแสดงตัวว่า คือผู้นำขอแบ่งแยกดินแดนตัวจริง ซึ่งทุกครั้งที่เกิดเหตุความรุนแรงในพื้นที่ ไม่เคยมีขบวนการใดๆ มาอ้างตัวเพื่อแสดงความรับผิดชอบในการก่อเหตุ
เหตุที่เกิดขึ้นล้วนแต่เป็นกรณีหมาลอบกัด สังหารผู้บริสุทธิ์ ซึ่งขัดกับหลักสันติภาพอย่างรุนแรง แม้แต่โลกมุสลิมก็ไม่อาจยอมรับได้
ฉะนั้น เมื่อผู้ก่อความไม่สงบไม่มีตัวตนแท้จริง และไม่มีผู้นำตัวจริงที่สามารถควบคุมสถานการณ์ความรุนแรงได้ เช่นนั้นแล้ว รัฐไทยถ้าอยากจะยกดินแดนให้ ก็ไม่รู้จะยกให้ใครที่เป็นผู้นำตัวจริง
ซึ่งวิธีพิสูจน์ว่า ใครคือผู้นำก่อความไม่สงบตัวจริง ก็คือ ต้องสามารถสั่งให้หยุดความรุนแรงให้ได้อย่างน้อย 1 ปี ขึ้นไป
เมื่อหยุดความรุนแรงได้อย่างน้อย 1 ปีได้แล้ว รัฐไทยถึงจะยอมเจรจาสันติภาพด้วยได้
แต่หากผู้ก่อความไม่สงบยังไร้มโนธรรม ยังสังหารผู้บริสุทธิ์อยู่แทบทุกวัน มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่รัฐไทยจะต้องไปขอเจรจากับพวกชั่วไร้อุดมการณ์ที่ฆ่าผู้บริสุทธิ์อย่างเลือดเย็นเหล่านั้นด้วย
เว้นแต่ว่า รัฐบาลไทยที่คิดไปเจรจาปาหี่กับผู้ก่อการร้ายตัวปลอม จะคิดไม่ซื่อต่อประเทศไทยเสียเอง!!
ฉะนั้น ในเรื่องขอแบ่งแยกดินแดนคราวนี้ มันจึงมีอะไรที่ซับซ้อนกว่า แค่ขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่ผ่านมาในอดีตแน่นอน
และใครคือตัวการสำคัญ ในการสนับสนุนพวกชั่วเหล่านี้ ??
-----------------------
เมื่อผู้ก่อการร้ายไม่ประกาศตัวชัดเจน แล้วพวกนี้หวังอะไร ?
ตามรัฐธรรมนูญไทย ย่อมไม่อาจแบ่งแยกดินแดนได้ เพราะราชอาณาจักรไทยเป็นอันหนึ่งอันเดียวแบ่งแยกมิได้ และหากจะใช้การต่อสู้ด้วยกำลังและสงครามเปิดเผยเพื่อขอแบ่งแยกดินแดน พวกขบวนการแบ่งแยกดินแดนก็รู้ดีว่า สู้รัฐไทยไม่ได้เช่นกัน
ถามว่า ในอดีตจนปัจจุบัน เวลาเจ้าหน้าที่ตามจับพวกผู้ก่อการร้าย ทำไมมักจับไม่ได้ ?
คำตอบคือ พวกผู้ก่อการร้ายใต้ และผู้นำขบวนการแบ่งแยกดินแดน มักหลบหนีเข้าไปในมาเลเซีย และเพราะมาเลเซียไม่เคยมีความจริงใจที่จะช่วยไทยในการแก้ปัญหาบุคคล2 สัญชาติ
มาเลเซียไม่เคยร่วมมือในการส่งผู้นำขบวนการแบ่งแยกดินแดนให้ไทย มาเลเซียมักเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น แต่แอบให้ที่หลบซ่อนแก่กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบในไทยมาโดยตลอดหลายสิบปี
ทำให้ปัญหาขบวนการแบ่งแยกดินแดนในไทย จึงไม่เคยแก้ได้จนวันนี้
ในขณะที่ไทยช่วยปราบจีนคอมมิวนิสต์มลายู ที่ต้องการแบ่งแยกดินแดนกับมาเลเซียจนสำเร็จ จนมาเลเซียมีความสงบมาจนวันนี้ แต่ในทางกลับกัน มาเลเซียกลับไม่เคยช่วยไทยอย่างจริงใจ และจริงจัง จึงทำให้ปัญหาผู้ก่อการร้ายหนีไปฝึก ไปกบดาน ไปซื้ออาวุธ ไปซื้อวัตถุระเบิดยี่ห้อของมาเลเซียเอง มาใช้ปฏิบัติการความรุนแรงในไทยได้อย่างสม่ำเสมอ
ฉะนั้นในเบื้องแรก ผมขอฟันธงไปว่า มาเลเซียคือตัวการสนับสนุนที่สำคัญที่สุด ในการช่วยเหลือกลุ่มขบวนการแบ่งแยกดินแดนในไทย (นอกเหนือจากกลุ่มเศรษฐีในแถบอาหรับที่อาจเคยให้เงินสนับสนุนขบวนการแบ่งแยกดินแดน)
เพราะถ้ามาเลเซียไม่ให้คนพวกนี้ได้มีที่หลบซ่อนอย่างจริงจัง ไมให้การช่วยเหลือพวกนี้อย่างลับๆ ป่านนี้ขบวนการแบ่งแยกดินแดนเหล่านี้ มันต้องตายไปจากไทยนานแล้ว
แต่เพราะมาเลเซียก็รู้ว่า ถ้าจะสนับสนุนลับๆ ให้พวกขบวนการแบ่งแยกดินแดนก่อการร้ายด้วยวิธีการเดิมๆ เหมือนในอดีตที่ผ่านมาหลายสิบปี ย่อมไม่มีทางสำเร็จแน่นอน จึงได้วางแผนที่ลึกซึ้งไปกว่านั้น นั่นคือ
คลิกอ่าน แผนชั่วของมาเลเซีย ใน 3 จังหวัดใต้
ปิดชายแดนสร้างกำแพงกับป้อมยามเลยครับสงสารคนบริสุทธิ์ครับ
ตอบลบ