วันพุธที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2553

งูเขียวกินตับตุ๊กแก




เมื่อวานข่าวเรื่องเด่นเย็นนี้ ออกข่าวเรื่องงูเขียวกินตับตุ๊กแก หลายๆคนยังแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองว่าเป็นเรื่องจริง จริงๆหรือ??

---------------------------

ช่วงนี้ผมเองก็เป็นหวัดนอนซม น้ำมูกใสๆไหลเป็นทางดั่งเด็กอมมือ

หากพูดถึงเรื่องงูเขียวกินตับตุ๊กแกแล้ว ผมเองก็เคยเห็นกับตาจะจะ เมื่อปี2528 ตอนไปเข้าค่ายลูกเสือที่ค่ายบางมด ช่วงนั้นเป็นช่วงหน้าฝนเหมือนตอนนี้ มีน้ำท่วมในค่ายบางจุด

ในเช้าวันอาทิตย์วันสุดท้ายก่อนเดินทางกลับบ้าน หลังจากเคารพธงชาติเรียบร้อยแล้ว มีเวลาว่างเดินเล่นในค่าย ผมก็เผอิญไปเห็นอะไรเคลื่อนไหวแปลกๆริมถนน เหนือบริเวณน้ำท่วมมาหน่อยนึง

สิ่งที่เห็นแปลกประหลาดมาก ผมเห็นงูเขียวมุดเข้าไปในปากในท้องตุ๊กแก และมันก็อยู่ในปากตุ๊กแกเป็นเวลานานกว่าชั่วโมง ผมจึงรีบไปเรียกเพื่อนๆมาดูกัน

และสั่งไม่ให้เพื่อนๆรบกวนการประกอบภาระกิจเหลือเชื่อตามคำโบราณเคยว่าไว้


เมื่อเวลาผ่านไปราวๆชั่วโมงกว่าๆ มันทั้งสองก็แยกออกจากกัน แล้วก็ต่างตัวก็ต่างไปคนละทาง แถมตุ๊กแกไม่ตาย!!


เหตุการณ์แปลกๆในวัยเด็กครั้งนั้น ผมจดจำได้ไม่ลืมเลือน เอาไปเล่าให้ใครต่อใครฟัง เขาก็ไม่ค่อยจะเชื่อกันเท่าไหร่ว่าเรื่องแบบนี้มีอยู่จริงๆในธรรมชาติ ก็อย่างว่า เรื่องแบบนี้มันต้องเห็นเองกับตาถึงจะเชื่อได้


มาวันนี้ ทุกคนคงเชื่อแล้วล่ะว่า ที่ผมเล่าไว้20กว่าปีก่อน เป็นเรื่องจริงๆ
.
.

วันพฤหัสบดีที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2553

แวะคุยก่อน!!

.
.
ขออภัยที่ไม่ได้เขียนบล้อคมาหลายวัน สารภาพว่าไปถกกับพวกเสื้อแดงในเว็บบอร์ดมา เลยติดลมครับ สนุกดีครับ

ที่จริงผมมีบทความอยากเขียนค้างอยู่2เรื่อง คืออยากนำmou43 ตัวจริงมาลง แล้วอธิบายแบบง่ายๆ

แล้วก็เอกสารแถลงการณ์ร่วมของนายนพดล ว่านายนพดลโกหกอย่างไร

ไว้จะค่อยๆเขียนไปครับ

วันนี้แวะมาบอกแค่นี้ก่อน


ส่วนบทความเรื่องผมชอบดิโอฬารโปรเจคได้อย่างไรตอน2 ขอติดไว้ก่อน เดี๋ยวมีเวลาจะมาเขียนตอน2ต่อครับ ตอนแรกที่จบไป ผมยังไม่ได้ชอบวงนี้เลย ^^


ขอบคุณครับ

newakecity
.
.



Recuerdos de la Alhambra by Korean girl

วันอาทิตย์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ท่านอาริมะขัดคำสั่ง 142

atsuhime 142


ย้อนอ่านเจ้าหญิงอัตสึที่รัก 141



ปัญหาสัทสุมะยกทัพไปเกียวโต สร้างความลำบากใจต่อท่านเท็นโชอินอย่างมาก จนกระทั่งได้มีโอกาสพูดคุยกับท่านอิเอโมจิตามลำพัง

ท่านคุโบ "ป้องกันเอาไว้ก่อนเหรอขอรับ?"

ท่านเท็นโชอิน "ใช่! สัทสุมะถวายฎีกาถึงราชสำนักมีนัยว่า สักวันนึงคงจะมีราชโองการถึงบะขุฝุให้นืรโทษกรรมพวกซามุไรและพวกคุเงะ ที่ถูกกวาดล้างใหญ่ครั้งก่อน เรื่องนี้น่ะ บะขุฝุควรรีบชิงทำเสียก่อน ที่จะได้รับคำสั่งจากจักรพรรดิ จะได้ไม่เสียหน้าไงล่ะ"

"เข้าใจแล้ว ยังไงก็ต้องรีบไปพูดให้พวกที่ปรึกษาเข้าใจ" / "อย่างไรก็ ขอความกรุณาด้วยนะเจ้าคะ" แล้วท่านเท็นโชอินก้มหัวให้ท่านโชกุน ท่านโชกุนก้มหัวเล็กน้อยรับ

"เกิดเรื่องอย่างนี้ ท่านแม่คงลำบากใจแย่เลยนะ"

"ถึงจะเป็นบ้านเกิด แต่เมื่อสัทสุมะทำแบบนี้ก็ให้อภัยไม่ได้เหมือนกัน!" ท่านเท็นโชอินตอบอย่างเข้มแข็ง

---------------------

ขณะนั้นที่เกียวโต

ทาเตวากิ "ท่านอาริมะจะโจมตีเหรอ!!?"

ท่านโอคุโบะ "พวกท่านอาริมะน่ะ คิดจะลอบฆ่าพวกคุเงะและเจ้าแคว้นต่างๆ ที่ช่วยหนุนหลังบะขุฝุอยู่" / "ทำไมมาทำเอาตอนนี้ล่ะ?"

"เพราะท่านคิชิโนะสุเกะไม่อยู่ เลยไม่มีใครขอให้ผู้ใหญ่สนับสนุนสัทสุมะน่ะสิ" / "แต่ราชสำนักมอบหมายหน้าที่ให้พวกเรา รักษาความปลอดภัยในเมืองหลวง.. ถ้าเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น ท่านฮิสสะมิทสึจะอับอายจนอยู่ไม่ได้นะ!!"

ทาเตวากิกังวลอย่างหนัก หากกลุ่มของท่านอาริมะซึ่งเป็นคนสัทสุมะได้กระทำการรุนแรงแบบนั้นขึ้นจริงๆ ก็จะเป็นผลร้ายต่อความน่าเชื่อถือของสัทสุมะ ซึ่งได้รับมอบหมายหน้าที่จากราชสำนักให้ดูแลความสงบสุขของเมืองหลวงแท้ๆ

----------------------------------

ณ.สถานที่แห่งหนึ่ง

ท่านอาริมะสั่งการ "ให้โซชูจัดการมหาเสนาบดี ส่วนพวกเราเด็ดหัวคนอื่นๆ เข้าใจนะ!" / "ครับ!"

แต่ทันใดนั้น!! ทุกคนต่างลุกขึ้น เตรียมพร้อมที่จะชักดาบออกจากฝัก!!

ท่านอาริมะร้องถามไปยังหลังประตู
"นั่นใครน่ะ!?"

"ท่านอาริมะ มีแขกมาขอพบขอรับ"
เสียงจากลูกน้องที่เฝ้าข้างนอกร้องบอก

และคนที่มาขอพบท่านอาริมะ ก็คือท่านโอคุโบะ

ท่านโอคุโบะ
"ท่านอาริมะ ท่านฮิสสะมิสึสั่งห้ามไปลอบสังหารใครเป็นอันขาด!!"

"ตอนนี้คงห้ามไม่หยุดฉุดไม่ได้แล้ว พวกที่มารวมกันอยู่ที่นี่ ทุกคนกล้าเสียสละชีวิตเพื่อปกป้องอนาคตประเทศญี่ปุ่นกันทั้งนั้น"

"ข้าก็เหมือนกับพวกท่านนั่นแหล่ะ แต่รีบนักมันจะเสียการใหญ่นะ"


"ใครไม่ทำ!! ก็อย่ามาห้ามคนอื่น!!" ท่านอาริมะตวาดพร้อมกับทุบพื้นอย่างดัง!!

"โอคุโบะ!! .. ขอให้เจ้าเข้าใจข้าหน่อย"

"ท่านอาริมะ ... ... ขอร้องล่ะนะ!!"

ท่านอาริมะมองดูท่านโอคุโบะด้วยสายตาที่เข้มแข็งดุดัน และท่านอาริมะก็ลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องทันที!

คงปล่อยให้ท่านโอคุโบะผิดหวังอยู่อย่างนั้น..

----------------------

ณ.ที่พักของฝ่ายสัทสุมะ

"ไปตามคนบงการมาหาข้าที่นี่เดี๋ยวนี้!!" ท่านฮิสสะมิทสึสั่งการพวกซามุไรที่ติดตามอย่างเกรี้ยวกราด!!

นาราฮะระ "ถ้าเขาไม่เชื่อ ไม่ยอมมาล่ะขอรับ?"

"ถ้าจำเป็น!! ให้ลงโทษหนักสุดตามสถานการณ์" / "แต่" ท่านโอคุโบะพยายามจะท้วงแต่ไม่ทันเสียแล้ว เพราะท่านฮิสสะมิทสึได้สั่งการต่อทันที

"โคมัทสึ!" / "ขอรับ"

"โอคุโบะ!" / "ขอรับ"

"เจ้าสองคนอยู่กับข้าก่อน!! ส่วนคนอื่นรีบไปทำตามคำสั่ง!!" / "ขอรับ!!!"

.
.


วันเสาร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ผมชอบและรู้จักดิโอฬารโปรเจคได้ยังไง ตอน 1






ขอเริ่มด้วย ผมรู้จักและเห็นหน้านักร้องแก้มป่องที่ชื่อโป่ง ครั้งแรกในรายการเพลงรายการหนึ่งออกอากาศประมาณ 5 ทุ่มช่อง 7 ตอนนั้นผมยังเด็ก ๆ สัก ป.5 นี่แหละ

แต่โป่งตอนนั้น ยังอยู่วงโซดา เพลงที่จำได้ของวงโซดา ร้องว่า "ดึกดื่นคืนนี้ ฉันมีกีต้าร์เป็นเพื่อน" (โอ้ โอฬารก็ร่วมวงอยู่ด้วย แต่ผมไม่รู้จักโอฬารในตอนนั้น)

ผมจำได้ว่ามีเพลงนี้อยู่ในหนังสือเพลงและคอร์ดกีต้าร์เล่มหนึ่งของผม ถ้าจำไม่ผิด เพลงนี้น่าจะชื่อเพลงกีต้าร์พาฝัน

เป็นเพลงช้าๆฟังสบายๆ ซึ่งวงนี้ก็ไม่ได้ดังมากเท่าไหร่ แต่ผมก็จำหน้านักร้องแก้มป่องคนนี้ได้มาตลอด

-----------------------------------

ต่อมาปลาย ๆ ปี 2530 ตอนนั้นผมอยู่ ม.4 เพื่อนสนิทผมได้คุยกับผมว่า "เฮ้ย! เอ็งได้ฟังดิโอฬาร รึยังวะ โคตรเจ๋งเลยว่ะ เมื่อคืนข้านอนฟังที่บ้าน สุดยอดว่ะ"

คือผมได้ข่าวแล้วว่า มีวงชื่อดิโอฬารโปรเจค กำลังออกอัลบั้มใหม่ เพราะผมเห็นในรายการเพลงทางทีวีช่อง5ตอนเย็นๆรายการหนึ่งในวันอาทิตย์ (ที่จำได้ว่าวันอาทิตย์เพราะโรงเรียนผมหยุดวันอาทิตย์ ไม่หยุดวันเสาร์)

ซึ่งวันที่ผมดูรายการเพลงรายการนั้น ผมก็ เฮ้ย!! นี่มันโป่ง นักร้องนำวงโซดานี่หว่า วงโซดาเป็นวงวัยรุ่นเมื่อหลายปีก่อนออกแนวร็อคสไตล์สีสันสดใสด้วยซ้ำ โป่งหายไปหลายปี มาตั้งวงใหม่แล้วเหรอเนี่ย แถมวงออกเฮฟวี่ซะด้วย

แต่ผมไม่ได้สนใจข่าวของวงดิโอฬารมากนัก เพราะตอนนั้นผมคิดว่า เพลงของวงนี้คงร็อคแบบตามกระแสแบบบ้าฝรั่ง อะไรทำนองนั้น แต่ที่ผมกลับสนใจ คือช่วงแนะนำการเล่นกีต้าร์ของโอฬาร พรหมใจ มากกว่า

โอ้ โอฬาร ใส่สีขาวทั้งชุด ดูดี ดูหล่อ ดูเท่ เป็นชุดตามคอนเซ็ปอัลบั้มชุดนั้น คือ ชุดกุมภาพันธ์ 2528 แทนความห่วงใย แต่ออกวางแผนในปี 2530

ผมเห็นการเล่นกีต้าร์ของโอฬาร ยอมรับว่า เจ๋งจริง แต่นั่นก็ยังไม่ทำให้ผมสนใจเพลงของวงดิโอฬารเหมือนเดิม ได้ยินบ้างแค่พอผ่าน ๆ ไม่ได้ใส่ใจ ไม่ได้คิดจดจำ

แต่จำได้ว่า เพลงที่โปรโมทอัลบั้มในรายการเพลงรายการนั้น คือเพลงออกหวาน ๆเหมือนเดิม คงเพราะกลัวคนไทยจะรับเพลงร้อคหนักไม่ไหวมั้ง

เพลงที่ใช้โปรโมท ก็คือ เพลงแทนความห่วงใย(เพลงนี้เป็นเพลงเดียวในอัลบั้มที่โป่งไม่ได้ร้อง) กับเพลงอย่าหยุดยั้ง

ก็เพราะใช้ได้แต่ก็ยังไม่โดนเท่าไหร่ สำหรับผมนะ เพราะตอนนั้นผมไม่ได้คิดสนใจจะฟังเท่าไหร่

ที่เพื่อนสนิทของผมบอกให้ลองฟังสิ เจ๋งมาก ๆ นั้น กลับไม่ใช่ 2 เพลงนี้ครับ

แต่แล้วเรื่องของวงดิโอฬารมันก็ลางเลือนหายไป ผมไม่ได้ใส่ใจที่จะหามาฟังอีกเลย ทั้ง ๆ ที่เพื่อนผมจะยัดเยียดให้ผมยืมเทปมาฟังให้ได้ แต่ผมก็ปฏิเสธไป

ต่อมาพอจบ ม.4 เพื่อนสนิทคนที่พยายามชักชวนให้ผมลองฟังผลงานชุด กุมภาพันธ์ 2528 ของดิโอฬาร ก็ลาออกไปเข้าโรงเรียนเทคนิคแห่งหนึ่ง เพราะเขาไม่ชอบเรียนสายวิทย์คณิต

----------------------------

ฟังเพลงแรกของอัลบั้มแรก "แทนความห่วงใย" (โป่งไม่ได้ร้อง แตงโมมือคีย์บอร์ดร้อง ซึ่งผมเฉยๆกับเพลงนี้มาก)


หลังจากเพื่อนคนนั้นย้ายโรงเรียนไป วงดิโอฬารก็เลือนหายไปในความทรงจำของผม...

คลิกอ่านต่อตอน 2!!

วันพฤหัสบดีที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2553

จับผิดคำพูดนายกฯอภิสิทธิ์

อธิบายอย่างง่าย กรณีเขาพระวิหาร4

(ย้อนอ่านตอน3)

ก่อนอื่นลองฟังนายอภิสิทธิ์อภปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลสมัคร กรณีเขาพระวิหาร ซึ่งนายอภิสิทธิ์ระบุชัดว่า เพราะเหตุใดเขมรถึงได้แค่ตัวปราสาทตามคำสั่งศาลโลกเท่านั้น





จับความหมายของ คำว่า Temple ต่างกับคำว่า Temple area อย่างไร?? 

คำว่า Temple และคำว่า Temple area ดูคลิปตั้งแต่นาทีที่ 13.21 เป็นต้นไป

นายกฯอภิสิทธิ์เคยอภิปรายประเด็นสำคัญไว้ว่า ศาลใช้คำว่า temple area เฉพาะกรณีให้ไทยคืนของ 

 ส่วนในคำตัดสินเกี่ยวกับอธิปไตย ศาลใช้แค่คำว่า temple เท่านั้น นี่คือหัวใจสำคัญว่า ทำไมเขมรจึงได้แค่ตัวปราสาท!!  

--------------------------- 

ทีนี้ผมจะจับผิดคำพูดของนายกฯอภิสิทธิ์ให้รับรู้ ทุกท่านคงฟังกันชัดแล้ว ว่านายกฯอภิสิทธิ์อภิปรายว่า เขมรได้เฉพาะแค่ตัวปราสาทเท่านั้น แปลง่ายๆก็คือ พื้นที่รอบประสาทเขาพระวิหาร เป็นของไทย100%   

นายกฯอภิสิทธิ์ย้ำชัดๆว่า ไม่ใช่พื้นที่ทับซ้อน!! ไม่ใช่พื้นที่ทับซ้อน!! แถมเขมรยังไม่เคยใช้คำว่าพื้นที่ทับซ้อนเลย เขมรเรียกว่าพื้นที่ของเขมรมาตลอด 

ฉะนั้น!! เมื่อนายกฯอภิสิทธิ์ย้ำว่าพื้นที่รอบเขาพระวิหารไม่ใช่พื้นที่ทับซ้อน ก็หมายถึงพื้นที่4.6ตร.กม.รอบเขาพระวิหารก็เป็นของไทย100%นั่นเอง 

นายกฯอภิสิทธิ์ในวันนั้นย้ำ!ว่า ไทยเรายึดหลักสันปันน้ำในการแบ่งเขตมาตลอด พูดง่ายๆว่า แผ่นดินบนเขายกเว้นปราสาทเขาพระวิหาร เป็นของไทยตามหลักสันปันน้ำ และด้านล่างเขาลงไปและเฉพาะตัวปราสาทเขาพระวิหารเท่านั้นเป็นของเขมร   
----------------------------  

ถ้าไทยเรายึดเส้นสันปันน้ำในการแบ่งเขตแดน ตามที่นายอภิสิทธิ์อภิปราย

แล้วทำไม!! ปีพ.ศ.2543 รัฐบาลชวนกลับไปเรียกเขมรมาร่วมกันปักปันเขตแดนในพื้นที่4.6ตร.กม. โดยไปทำข้อตกลงร่วมMOU43 ขึ้น ?

รัฐบาลชวนเปิดโอกาสให้เขมรได้เข้ามามีสิทธิครองครองพื้นที่ร่วมกับไทยในพื้นที่4.6ตร.กม.เป็นครั้งแรกในรอบ38ปี หลังคำตัดสินของศาลโลก  

นี่แหล่ะคือการทำให้ประเทศไทยที่เคยมีพื้นที่เป็นของไทย100%กลับกลายเป็น พื้นที่ทับซ้อน ไปแล้ว 

และMOU43ก็ไปยอมรับให้เขมรนำแผนที่1:200,000เข้ามาร่วมพิจารณาในการปักปันเขตแดนร่วมกับไทย   

----------------------------- 

แล้วทำไมรัฐบาลชวนไปทำข้อตกลงกับเขมรแบบนั้น?? 

ก็เพราะ เขมรเริ่มรุกล้ำเข้ามาจนเกิดการปะทะกับทหารไทยที่พยายามผลักดันทหารเขมรออกไป นายกฯชวนคงกลัวจะบานปลายจนเป็นสงคราม จึงรีบไปเรียกเขมรมาร่วมทำข้อตกลหยุดยิง เพื่อมาปักปันเขตแดนจะได้ไม่ต้องมาทะเลาะกัน 

และเพราะเหตุนี้เอง จึงทำให้ไทยเสียอธิปไตยบนแผ่นดินไทยแท้ๆ เพราะMOU43 ดันไประบุว่า ห้ามทหารและประชาชนทั้งสองฝ่ายเข้ามาบุกรุกในพื้นที่ จนกว่าจะมีการปักปันเขตแดนจนเสร็จ  

แต่เขมรไม่ยึดถื่อสัญญาตามที่เรารู้ๆกัน ส่งประชาชนเข้ามาตั้งหมู่บ้าน สร้างวัด สร้างถนน เต็มไปหมด นี่เพราะอ้างคำว่า กลัวสงคราม จึงทำให้ไทยเสียอธิปไตยไป   ทั้งๆที่ การผลักดันกองกำลังต่างชาติออกจากอธิปไตยไทยนั้น เราไม่เรียกว่าสงคราม!! 

แต่เป็นสิ่งพึงกระทำตามหน้าที่ของทหารและรัฐบาลต่อการถูกรุกรานจากต่างชาติ ซึ่งประเทศไหนๆในโลกเขาก็ทำกันอย่างนี้ทั้งนั้น

วันพุธที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2553

อธิบายกรณีเขาพระวิหารอย่างง่าย 3

ย้อนกลับไปอ่านตอน2



เอกสารข้างบนคือ

มติการประนีประนอมเสนอโดยประธานที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลกครั้งที่ 34 (34 com 7B.66)


คณะกรรมการมรดกโลก

‎1. ได้รับเอกสาร WHC-10/34.COM/7B.Add3 แล้ว

2. ‎ อ้างถึงมติคณะกรรมการมรดกโลก 31 COM8.24, 32 COM 8B.12 และ 33 COM 7B.65, ได้รับรองการประชุมครั้งที่ 31 (ไครซ์เชิร์ท, ค.ศ. 2007), การประชุมครั้งที่ 32 (ควิเบก, ค.ศ. 2008) และการประชุม ครั้งที่ 33 (เซบีย่า, 2009) ตามลำดับ

3. ‎ แจ้งให้ทราบว่าศูนย์มรดกโลกได้รับเอกสารจากรัฐภาคี (กัมพูชา) แล้ว

4. ‎ สิ่งที่จะดำเนินการต่อไปเพิ่มเติม, ดำเนินการตามขั้นตอนต่างๆโดยรัฐภาคีเพื่อนำไปสู่การจัดตั้งคณะกรรมการประสานงานนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์อย่างยั่งยืนของปราสาทพระวิหาร
5. ‎ตัดสินใจพิจารณาเอกสารที่ยื่นเสนอโดยรัฐภาคีในการประชุมครั้งที่ 35 ในปี ค.ศ. 2011

ลายเซ็น สุวิทย์ คุณกิตติ 29/07/2010 ซก อาน 29/07/2010 Juca Ferreira BSB 29/07/2010


-------------------------------------

ประเด็นที่เป็นที่สนใจขณะนี้คือ เอกสารนี้สำคัญแค่ไหน? นายสุวิทย์ไปเซ็นอะไรให้ไทยเสียเปรียบหรือไม่??

มีอีกหลายคนแปลออกมาแบบนี้

ข้อ 1 ได้รับเอกสารหมายเลข WHC-10/34.COM/7B.Add.3. (คือเอกสารที่กัมพูชายื่นในปีนี้)

ข้อ 2 อ้างอิง คำตัดสิน(ของกรรมการมรดกโลก) สามฉบับที่เกิดขึ้นในปี พ.ศ.2550, 2551, และ 2552

ข้อ 3 บันทึกไว้ว่า ศูนย์มรดกโลกมีเอกสาร (หลายฉบับ) ที่ยื่นโดยกัมพูชา

ข้อ 4 ยินดีต้อนรับในโอกาสต่อไปในการที่กัมพูชาจะจัดตั้งคณะกรรมการนานาชาติที่จะดูแลเรื่องการอนุรักษ์อย่างยั่งยืนของวัดเขาพระวิหาร

ข้อ 5 ตัดสินใจ พิจารณาเอกสาร (ตามข้อ 3) ที่ยื่นโดยกัมพูชาในการประชุมปีหน้า

โดยที่อ้างว่า ข้อ2และข้อ4 นั้น อธิบายขยายความว่า


ข้อ 2 Recall คือ เขา "อ้างถึง" ผลการประชุมในครั้งก่อนๆ ซึ่งมีการยอมรับโดย ที่ ป ร ะ ชุ ม รวมเพื่อพิจารณามติไปแล้วในปีก่อน

ข้อ 4 Further Welcome คือ "ยินดีจะให้ความร่วมมือ" ในการจัดตั้ง "คณะกรรมการร่วมระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ปราสาทเขาพระวิหารอย่างยั่งยืน" (โดยที่ไม่เกี่ยวกับ กรรมสิทธิ์ หรือดินแดน!!!!)

---------------------

ผมใช้เวลาตรองเอกสารนี้อยู่1คืนเต็มๆว่า มันหมายความว่ายังไงกันแน่?ใครพูดจริงใครพูดเท็จกันแน่? ผมไม่ขอตัดสินว่าใครถูกใครผิด แต่!!

แต่ผมใช้การตัดสินจากความรู้สึกว่า คำแปลในข้อ2 กับข้อ4มันแทม่งๆอยู่ คือข้อ2 อ้างถึงมติคำตัดสินของคณะกรรมการมรดกโลกตั้งแต่ปี50 51 52

แต่เท่าที่จำได้ ไทยเราไม่ยอมรับการขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารแต่เพียงฝ่ายเดียวของเขมรนะครับ แล้วไหง! อยู่ๆไทยย้อนกลับยอมให้เขาอ้างถึงมติพวกนั้นซะงั้น

นี่คือประเด็นแรก

--------------------------------

ประเด็น2 คือ ในข้อ4 ที่ผมแปลยังไงๆ ผมก็ว่ามันทแม่งๆ เพราะ??

ที่ผ่านมา หลักการของไทยเรายืนยันมาตลอดว่า จะไม่ยอมรับการเป็นแค่เพียงหนึ่งในคณะกรรมการร่วมในการบริหารจัดการเพื่อการอนุรักษ์เขาพระวิหาร ถ้าหากเขมรยังขึ้นทะเบียนเพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น เพราะ

เมื่อเขมรขึ้นทะเบียนฝ่ายเดียว แต่จะมาเอาพื้นที่ในส่วนของไทยเช่น ผามออีแดง สระกราว และองค์ประกอบอื่นๆ ที่อยู่ในเขตไทยไปรวมด้วย แต่ไม่ให้ไทยขึ้นทะเบียนร่วมโดยที่จะให้ไทยเป็นแค่1ในคณะกรรมการร่วม7ชาติเท่านั้น

ทั้งๆที่พื้นที่ดังกล่าว ไทยเรายึดถือว่าเป็นอธิปไตยของไทย100% เราไม่ยอมรับที่ให้มีต่างชาติอีก6ชาติเข้ามาบริหารจัดการในแผ่นดินอธิปไตยของไทย โดยที่ไทยที่เป็นเจ้าของแผ่นดินแท้ๆ!! กลับกลายเป็นแค่เสียงข้างน้อยเท่านั้น

หากจะให้มีคณะกรรมการร่วมจัดการบริหาร ไทยเรายืนยันมาตลอดว่า ต้องขึ้นทะเบียนมรดกโลกร่วมกันเท่านั้น!!

แต่นี่อยู่ดีๆ นายสุวิทยืไปเซ็นเห็นด้วยที่จะให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมขึ้นมากอีกแล้ว แม้ในเอกสารนี้จะไม่ได้ระบุว่าเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่ดินก็ตามเถอะ

ก็แหงแหล่ะครับ ก็มันที่ดินของเรานี่ เขาก็ต้องบอกว่า ยูอย่าพูดเรื่่องกรรมสิทธิ์ที่ดินล่ะ ไอก็ไม่อยากพูด แต่ขอไอเข้ามาบริหารจัดการในแผ่นดินของยูแล้วกัน ส่วนยูก็มีแค่1เสียงในการแสดงความเห็นเท่านั้น


แบบนี้ก็เท่ากับเราสูญเสียอำนาจการจัดการบนแผ่นดินอธิปไตยของเราไปแล้วน่ะสิครับ ใช่มั้ย??

------------------------

ข่าวต่อมาคือ

นางซู วิลเลียมส์ โฆษกยูเนสโก กล่าวว่า "ข้อขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชาในเรื่องประสาทพระวิหารเป็นประเด็นทวิภาคีโดยแท้ และคณะกรรมการมรดกโลกไม่มีอำนาจที่จะจัดการกับปัญหานี้ ส่วนที่มีการะบุว่า คณะกรรมการมรดกโลกได้รับรองแผนบริหารจัดการพื้นที่ของกัมพูชาแล้วนั้น เป็นเรื่องเข้าใจผิด เพราะคณะกรรมการไม่ได้รับ หรือให้ความเห็นชอบแผนการใดๆ
สิ่งเดียวที่พูดได้คือมีการยื่นแผนดังกล่าวแล้ว ทั้งนี้ วิลเลียมส์ระบุด้วยว่า ประเทศสมาชิกทุกประเทศมีสิทธิที่จะถอนตัวออกจากการเป็นภาคียูเนสโก แต่ความเป็นไปได้ ที่จะถอนตัวของไทย จะไม่ส่งผลกระทบกับสถานะของมรดกโลกในประเทศแต่อย่างใด"

*****

เมื่อผมมาอ่านคำพูดของโฆษกยูเนสโกดีๆแล้ว ก็ไม่เห็นว่าจะไปขัดแย้งกับเอกสารด้านบนนั่นอย่างไร เพราะแน่นอนอยู่แล้วว่า การจะรับแผนจัดการเขาเลื่อนไปพิจารณาใหม่ปีหน้า และเขมรก็ได้ยื่นเอกสารให้ยูเนสโกไว้แล้ว เพียงแต่ขอเลื่อนไปพิจารณาต่อปีหน้า

แต่เหมือนนายสุวิทย์จะดันไปเห็นชอบกับเขมรไปทุกข้อแล้วเช่นกัน อย่างที่เห็นชัดๆก็คือ ไปเห็นด้วยที่ให้กัมพูชาจัดตั้งคณะกรรมการขึ้น!!

.
.

วันอาทิตย์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2553

อธิบายอย่างง่าย กรณีขึ้นทะเบียนเขาพระวิหาร! ตอน2





.

ย้อนอ่านตอนแรก

และแล้วการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกที่บราซิล ก็มีมติให้เลื่อนการพิจารณาแผนการจัดการพัฒนาพื้นที่รอบปราสาทเขาพระวิหารของเขมรออกไปอีก1ปี

โดยที่ข้อคัดค้านของไทยคือการใช้ข้อตกลงร่วมหรือMOU43 ว่า เมื่อยังไม่มีการปักปันอย่างชัดเจน การขึ้นทะเบียนมรดกโลกของเขาพระวิหารจะทำให้2ประเทศเกิดความขัดแย้งเรื่องอาณาเขต ซึ่งอาจถึงขั้นเกิดสงครามได้ และอีกข้อคือ เขมรส่งแผนจัดการไม่ทันกำหนดตามระเบียบของคณะกรรมการมรดกโลก

แต่การที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ใช้MOU43ในการดำเนินการคัดค้านนั้น เป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น เพราะรัฐบาลอภิสิทธิ์ยังยอมรับข้อตกลงMOU43ว่ายังคงอยู่ ทั้งๆที่เขมรได้ละเมิดข้อตกลงด้วยการละเมิดบุกรุกเข้าพื้นที่ก่อนมีการปักปันตามข้อตกลง

ปัญหาMOU43ที่แนบด้วยแผนที่1:200,000 ก็ยังคงอยู่ ถ้ารัฐบาลยังยอมรับต่อไป สักวันปัญหาMOU43ก็จะกลับมาเป็นปัญหาอีกในที่สุด

MOU43 ที่ทำขึ้นในสมัยรัฐบาลชวนนั้น มีสาระสำคัญโดยสรุปอยู่ข้อหนึ่งที่กำหนดให้ใช้แผนที่1:200,000ของฝรั่งเศส นั่นคือ

"1. พื้นฐานทางกฎหมาย การสำรวจและปักหลักเขตแดนทางบกจะดำเนินกากรโดยใช้เอกสารหลักฐานที่ผูกพันไทย และกัมพูชาตามกฎหมายระหว่างประเทศ คืออนุสัญญาฉบับลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1904 และ สนธิสัญญาฉบับลงวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 1907 กับพิธีสารแนบท้าย และแผนที่แสดงเส้นเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชามาตราส่วน 1:200,000 ซึ่งจัดทำขึ้นตามผลงานของคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับอินโดจีน"


จากข้อความตัวอักษรสีน้ำเงิน จะเห็นความขัดแย้งในตัวเอง คือมีการระบุว่าจะใช้อนุสัญญาปีค.ศ.1904 ซึ่งอนุสัญญานี้คือให้ยึดหลักเส้นสันปันน้ำ แต่ก็ยังมีระบุต่อไปอีกว่า จะใช้แผนที่1:200,000ด้วย ซึ่งแผนที่1ต่อ2แสนนี้ ไม่ได้ทำตามหลักแบ่งตามเสันสันปันน้ำเลย?? งง!ดีแท้?

แต่การทำMOU43 สมัยนายกฯชวน นั้นไม่ได้ผ่านรัฐสภา จึงทำให้ขัดต่อรัฐธรรมนูญ (น่าจะให้ศาลตัดสินให้โมฆะไป)

แต่สมัยนายกฯสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ได้ผ่านความเห็นชอบกรอบการเจรจาระหว่างไทย-กัมพูชาและเห็นชอบตามบัญชีเอกสาร TOR 2546 และ MOU 2543 อันเป็นการยอมรับ แผนที่ 1 ต่อ 200,000 ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาครั้งแรก

และการที่ยังยอมรับแผนที่1:200,000 อยู่นี้ ก็เท่ากับว่าเรายอมให้เขมรเข้ามามีส่วนในการปักปันเขตแดนด้วย ทั้งๆ ที่ก่อนปี2543 พื้นที่นี้อยู่ในอำนาจอธิปไตยของไทย100%

เมื่อรัฐบาลยังยอมรับในMOU43ที่พ่วงแผนที่1:200,000อยู่ ดังนั้นจากพื้นที่ของไทย100%ไม่มีคำว่าทับซ้อนมาก่อน ก็จะกลายเป็นพื้นที่ทับซ้อนขึ้นมาทันที

----------------------------------

หลายคนอาจคิดว่าโห!รัฐบาลใช้MOU43 หยุดการขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารได้ นั่นเป็นเพียงการหยุดปัญหาเฉพาะหน้า แตยังไม่หยุดต้นเหตุของปัญหา

แต่ก็ยังดี ที่ยังพอมีเวลาอีก1ปีในการหาหนทางแก้ไข


(MOU43 ยกเลิกไม่ยากหรอก เพราะเขมรบุกรุกเข้ามาในพื้นที่ก่อนจะมีการปักปันตามข้อตกลง แต่ตอนนี้รัฐบาลอภิสิทธิ์ใช้วิกฤติจากการมีMOU43 มาใช้ยับยั้งเขมรก่อน)


-----------------------------

บทสรุปของบทความอธิบายกรณีเขาพระวิหารของผมทั้ง2ตอน ประเด็นสำคัญที่สุดคือ

ประเด็นความผิดพลาดของปชป.ในปี43 ไม่ใช่ประเด็นว่าใช้แผนที่ฉบับไหน!

แต่ประเด็นที่ผิดพลาดก็คือ
รัฐบาลชวนไปยอมรับว่าพื้นที่นั้นเป็นพื้นที่ทับซ้อนต่างหาก 


เพราะความเป็นจริงหลังปี2505 จนถึงก่อนปี2543 พื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ในอธิปไตยไทยแท้100% ไม่ใช่พื้นที่ทับซ้อนครับ 

การที่รัฐบาลชวนไปยอมตกลงปักปันเขตร่วมแดนกับกับเขมร ก็หมายถึงเปิดโอกาสให้เขมรมีสิทธิในพื้นที่นี้ร่วมกับเราครับ


ประเด็นการแก้ปัญหาที่ผิดของรัฐบาลชวนก็คือ กลัวสงครามเลยไปยอมทำข้อตกลง43ขึ้นมา

ที่ถูกต้องที่สุดที่รัฐบาลและกองทัพควรทำที่สุดในตอนนั้นคือ ช่วงที่เขมรบุกรุกบริเวณพื้นที่รอบเขาพระวิหาร4.6ตร.กม. เราควรใช้กำลังทหารผลักดันออกไปเท่านั้น!!



" นิสัยหมาป่าที่จะกินลูกแกะ ฝรั่งเศสได้คืบเอาศอก ได้ศอกจะเอาวา เมื่อไทยยอม ตามข้อบังคับของฝรั่งเศสแล้ว ฝรั่งเศสก็เฉไฉไปหาเรื่องอย่างอื่น "


อ่านต่อตอน3



.

ผู้ติดตาม