วันพฤหัสบดีที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2553

จับผิดคำพูดนายกฯอภิสิทธิ์

อธิบายอย่างง่าย กรณีเขาพระวิหาร4

(ย้อนอ่านตอน3)

ก่อนอื่นลองฟังนายอภิสิทธิ์อภปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลสมัคร กรณีเขาพระวิหาร ซึ่งนายอภิสิทธิ์ระบุชัดว่า เพราะเหตุใดเขมรถึงได้แค่ตัวปราสาทตามคำสั่งศาลโลกเท่านั้น





จับความหมายของ คำว่า Temple ต่างกับคำว่า Temple area อย่างไร?? 

คำว่า Temple และคำว่า Temple area ดูคลิปตั้งแต่นาทีที่ 13.21 เป็นต้นไป

นายกฯอภิสิทธิ์เคยอภิปรายประเด็นสำคัญไว้ว่า ศาลใช้คำว่า temple area เฉพาะกรณีให้ไทยคืนของ 

 ส่วนในคำตัดสินเกี่ยวกับอธิปไตย ศาลใช้แค่คำว่า temple เท่านั้น นี่คือหัวใจสำคัญว่า ทำไมเขมรจึงได้แค่ตัวปราสาท!!  

--------------------------- 

ทีนี้ผมจะจับผิดคำพูดของนายกฯอภิสิทธิ์ให้รับรู้ ทุกท่านคงฟังกันชัดแล้ว ว่านายกฯอภิสิทธิ์อภิปรายว่า เขมรได้เฉพาะแค่ตัวปราสาทเท่านั้น แปลง่ายๆก็คือ พื้นที่รอบประสาทเขาพระวิหาร เป็นของไทย100%   

นายกฯอภิสิทธิ์ย้ำชัดๆว่า ไม่ใช่พื้นที่ทับซ้อน!! ไม่ใช่พื้นที่ทับซ้อน!! แถมเขมรยังไม่เคยใช้คำว่าพื้นที่ทับซ้อนเลย เขมรเรียกว่าพื้นที่ของเขมรมาตลอด 

ฉะนั้น!! เมื่อนายกฯอภิสิทธิ์ย้ำว่าพื้นที่รอบเขาพระวิหารไม่ใช่พื้นที่ทับซ้อน ก็หมายถึงพื้นที่4.6ตร.กม.รอบเขาพระวิหารก็เป็นของไทย100%นั่นเอง 

นายกฯอภิสิทธิ์ในวันนั้นย้ำ!ว่า ไทยเรายึดหลักสันปันน้ำในการแบ่งเขตมาตลอด พูดง่ายๆว่า แผ่นดินบนเขายกเว้นปราสาทเขาพระวิหาร เป็นของไทยตามหลักสันปันน้ำ และด้านล่างเขาลงไปและเฉพาะตัวปราสาทเขาพระวิหารเท่านั้นเป็นของเขมร   
----------------------------  

ถ้าไทยเรายึดเส้นสันปันน้ำในการแบ่งเขตแดน ตามที่นายอภิสิทธิ์อภิปราย

แล้วทำไม!! ปีพ.ศ.2543 รัฐบาลชวนกลับไปเรียกเขมรมาร่วมกันปักปันเขตแดนในพื้นที่4.6ตร.กม. โดยไปทำข้อตกลงร่วมMOU43 ขึ้น ?

รัฐบาลชวนเปิดโอกาสให้เขมรได้เข้ามามีสิทธิครองครองพื้นที่ร่วมกับไทยในพื้นที่4.6ตร.กม.เป็นครั้งแรกในรอบ38ปี หลังคำตัดสินของศาลโลก  

นี่แหล่ะคือการทำให้ประเทศไทยที่เคยมีพื้นที่เป็นของไทย100%กลับกลายเป็น พื้นที่ทับซ้อน ไปแล้ว 

และMOU43ก็ไปยอมรับให้เขมรนำแผนที่1:200,000เข้ามาร่วมพิจารณาในการปักปันเขตแดนร่วมกับไทย   

----------------------------- 

แล้วทำไมรัฐบาลชวนไปทำข้อตกลงกับเขมรแบบนั้น?? 

ก็เพราะ เขมรเริ่มรุกล้ำเข้ามาจนเกิดการปะทะกับทหารไทยที่พยายามผลักดันทหารเขมรออกไป นายกฯชวนคงกลัวจะบานปลายจนเป็นสงคราม จึงรีบไปเรียกเขมรมาร่วมทำข้อตกลหยุดยิง เพื่อมาปักปันเขตแดนจะได้ไม่ต้องมาทะเลาะกัน 

และเพราะเหตุนี้เอง จึงทำให้ไทยเสียอธิปไตยบนแผ่นดินไทยแท้ๆ เพราะMOU43 ดันไประบุว่า ห้ามทหารและประชาชนทั้งสองฝ่ายเข้ามาบุกรุกในพื้นที่ จนกว่าจะมีการปักปันเขตแดนจนเสร็จ  

แต่เขมรไม่ยึดถื่อสัญญาตามที่เรารู้ๆกัน ส่งประชาชนเข้ามาตั้งหมู่บ้าน สร้างวัด สร้างถนน เต็มไปหมด นี่เพราะอ้างคำว่า กลัวสงคราม จึงทำให้ไทยเสียอธิปไตยไป   ทั้งๆที่ การผลักดันกองกำลังต่างชาติออกจากอธิปไตยไทยนั้น เราไม่เรียกว่าสงคราม!! 

แต่เป็นสิ่งพึงกระทำตามหน้าที่ของทหารและรัฐบาลต่อการถูกรุกรานจากต่างชาติ ซึ่งประเทศไหนๆในโลกเขาก็ทำกันอย่างนี้ทั้งนั้น

3 ความคิดเห็น:

  1. "อดุล"ตำหนิหน.คณะเจรจาไม่ทันเกม

    ด้าน นายอดุล วิเชียรเจริญ ที่ปรึกษาคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลกของไทย และอดีตประธานคณะกรรมการมรดกโลกยู เนสโก กล่าวถึงกรณีที่นายสุวิทย์ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนรัฐบาลไทย ระบุว่าประสบความสำเร็จในการเลื่อนพิจารณาแผนบริหารจัดการปราสาทพระวิหารออกไปในปี 2554 ว่า ไม่ถือเป็นความสำเร็จของฝ่ายไทย แต่ถือเป็นชัยชนะของกัมพูชาอย่างที่นายสก อาน รองนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ระบุ เพราะการที่นายสุวิทย์ลงนามรับทราบมติกรณีปราสาทพระวิหารเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม ที่ประเทศบราซิล โดยเฉพาะข้อ 4 คือ การยินดีต่อมาตรการของรัฐภาคี ในการจัดตั้งคณะกรรมการประสานงานระหว่างประเทศ เพื่อการคุ้มครองปราสาทพระวิหารอย่างยั่งยืน (ไอซีซี) เป็นประเด็นที่จะผูกปมให้ไทยเสียเปรียบกัมพูชายิ่งขึ้น

    "2 ปีที่ผ่านมา หลังกัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร ไทยเคยมีจุดยืนมาตลอดว่าจะไม่เข้าร่วมกรรมการไอซีซี ด้วยสาเหตุที่ว่าไม่เคยมีกลไกแบบนี้ต่อการขึ้นทะเบียนมรดกโลก ขณะที่กรรมการที่เบื้องต้นอาจจะมี 7 ชาติ ประเมินว่าน่าจะมีชาติที่ยืนข้างกัมพูชา และเข้ามาแทรกแซงเนื่องจากหวังผลประโยชน์ทางทรัพยากรในกัมพูชา คือ จีน ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส หรือแม้แต่สหรัฐอเมริกา ซึ่งจะทำให้ไทยแพ้เสียงไปโดยปริยาย" นายอดุลกล่าว และว่า ทั้งนี้ในช่วงประชุมมรดกโลกที่บราซิล นายสุวิทย์ยังมีหนังสือและคุยทางโทรศัพท์ปรึกษากับตนในเรื่องนี้ ตนให้คำแนะนำไปว่าไทยต้องประกาศต่อต้านและไม่ยอมไปร่วมอย่างเด็ดขาด และให้ลาออกจากภาคีสมาชิกด้วย แต่กลายเป็นว่านายสุวิทย์กลับรับมติ 5 ข้อ และรัฐบาลยังจะประกาศชิงเป็นเจ้าภาพประชุมมรดกโลกในปี 2555

    "ผมว่ามันบ้ากันไปใหญ่ เรื่องนี้เราต้องตามเกมให้ทัน อย่างไรก็ตาม ผมเห็นด้วยที่รัฐบาลจะเริ่มออกมาแสดงสิทธิในพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร บนอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร ด้วยการจัดการและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่ชาวกัมพูชาเข้ามาตั้งหมู่บ้าน เพราะที่ผ่านมา ได้ปล่อยให้มีการเข้ามารุกล้ำครอบครองพื้นที่ในเขตอำนาจอธิปไตยของไทยมาหลายปี ทั้งนี้ โดยเชิงสิทธิอำนาจอธิปไตย ถือว่าประเทศไทยสามารถดำเนินการได้ โดยไม่ต้องกลัวว่าจะไปละเมิดสิทธิใคร" นายอดุลกล่าว
    ผู้สื่อข่าวถามว่า จะยิ่งให้เกิดความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา มากขึ้นหรือไม่ นายอดุลกล่าวว่า จำเป็นต้องแข็งกร้าว เพราะตามคำพิพากษาของศาลโลก เฉพาะตัวปราสาทพระวิหารเท่านั้นที่เป็นของกัมพูชา แต่ดินแดนทางด้านทิศตะวันตกกับทิศเหนือเป็นของไทย และเป็นราชอาณาจักรไทย มีสิทธิอำนาจอธิปไตย การที่ปล่อยปัญหาทิ้งไว้นานจนขยายหมู่บ้านในเขตแดนของไทยต้องผลักดันออกไป

    http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1280934326&grpid=00&catid=

    ตอบลบ
  2. จากMOU43ในข้อ3 (2ก.)

    ข้อ3 (2ก.)พิสูจน์ทราบตำแหน่งที่แน่ชัดหลักเขตแดงทั้ง73หลักซึ่งจัดทำขึ้นโดยคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับอินโดจีนเมื่อปีค.ศ.1909และค.ศ.1919และรายงานพิสูนน์ทราบต่อคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมพิจารณา


    --------------------------


    ปี1908-1909 ฝรั่งเศสจัดทำแผนที่1:200,000ครับ

    MOU43จึงไปยอมรับให้เขมรเอาแผนที่1:200,000เข้ามาร่วมพิจาณาในการปักปันเขตแดน

    ซึ่งก่อนหน้านี้ พื้นที่ทั้งหมดเป็นอธิปไตย100%ตามแนวสันปันน้ำตามหลักสากล(ยกเว้นเฉพาะตัวปราสาท) แต่พอรัฐบาลชวนกลับไปชวนเขมรและยอมรับให้มีการปักปันตามแผนที่1:200,000เพิ่มเข้ามาด้วย

    และด้วยMOU43 นี้เอง ที่ทำให้เขมรได้ใจส่งประชาชนเข้ามารุกล้ำตั้งบ้านเรือน (คล้ายะจะมาครอบครองปรปักษ์)มาเกือบ10ปีแล้วครับ และเขมรก้ไม่เคยใช้คำว่า พื้นที่ทับซ้อนเลย

    มีแต่ฝ่ายไทยที่ชอบใช้คำว่าพื้นที่ทับซ้อน

    จากเดิมที่เป็นพื้นที่ๅไทยแท้100% กลับกลายเป็นพื้นที่ทับซ้อนเพราะMOU43นี่แหล่ะครับ

    ตอบลบ
  3. ที่จริงไทยเราปักปันเขตแดนตามหลักสันปันน้ำ เสร็จเป็นร้อยปีแล้วครับ ตามอนุสัญญาค.ศ.1904และ1907

    แต่พอเกิดปัญหาเขมรทวงประสาทเขาพระวิหาร ไทยเราเลยเสียเฉพาะตัวปราสาทไป

    แต่พื้นที่ส่วนอื่นก็ยังเป็นของเราตามหลักสันปันน้ำครับ

    ทีนีี้พอผ่านมาร้อยปี หลักเดิมชำรุดสูญหาย(คืออ้างจากที่ม.ร.ว.สุขุมพันธ์พูด)ประกอบกับเขมรก็บุกรุกจนปะทะกับทหารไทยในปี2542

    รัฐบาลชวนกลัวการเกิดสงคราม ทั้งๆที่มันไม่ใช่สงคราม เพราะเป็นแค่การผลักดันกองกำลังต่างชาติออกไปตามหลักสากลปฏิบัติ เหมือนที่ไทยผลักดันทหารพม่าบ่อยๆ

    รัฐบาลชวนไม่อยากให้มีการปะทะกัน จึงไปเชิญเขมรมาร่วมปักปันเขตแดน และดันไปให้เขมรกลับเอาแผนที่1:200,000เข้ามาร่วมพิจารณาปักปันด้วยนะ่สิครับ

    เพราะในMOU43 ระบุว่า ใช้ทั้งหลักสีนปันน้ำค.ศ.1904 และแผนที่1:200,000มาพิจารณาร่วมกัน

    กลายเป็นว่า เดิมที่เราปักปันไว้ด้วยหลักเส้นสันปันน้ำ ก็กลายเป็นไปยอมรับเอาแผนที่1:200,000เข้ามาร่วมพิจารณาด้วย

    รัฐบาลชวนไปยอมรับว่ากลายเป็นพื้นที่ทับซ้อนไปซะแล้ว ทั้งๆที่หลังปี2505ไม่มีพื้นที่ทับซ้อน นอกจากแผ่นดินใต้ตัวปราสาทเท่านั้นที่เราถือว่าเป็นพื้นที่ทับซ้อนครับ


    ทั้งหมดเพราะไทยไปเปิดโอกาสให้เขมรได้เข้ามามีสิทธิในพื้นที่4.6ตร.กม. และจุดนี้เองที่ทำให้เขมรเริ่มแผนชั่วตามมาเรื่อยๆ ยิ่งมีการสำรวจพบว่า พื้นที่ทางทะเลมีทรัพยากรธรรมชาติมากมาย ทักษิณเลยได้โอกาสทำtor46ซ้ำเข้าไปเพื่อหวังทรัพยากรในทะเล แบ่งประโยชน์ร่วมกันกับฮุนเซ็นนั่นเองครับ

    หากไม่มีMOU43 เขมรจะไม่ขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกฝ่ายเดียวแน่ๆครับ จุดเริ่มต้นมันเพราะMOU43นั่นเอง

    ถ้าไม่มีMOU43เสียแต่แรก รัฐบาลชวนไม่อ่อนข้อ ใช้กำลังผลักดันกงกำลังต่างชาติตามหลักสากลเสียแต่แรก ปัญหาจะไม่เกิดอย่างทุกวันนี้ครับ

    ตอบลบ

ถ้าแสดงความเห็นตรงช่องนี้ผมจะได้อ่านทุกความเห็นครับ แต่ถ้าความเห็นไม่ขึ้นอาจเพราะระบบรอตรวจสแปม ต้องรอ1-2วัน / ใหม่ เมืองเอก kaeake@ymail.com


ผู้ติดตาม