วันพฤหัสบดีที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2551

พวกไม่จงรักภักดี 4 เผด็จการ




. the dictater
หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองมา ประชาธิปไตยไทยล้มลุกคลุกคลานมาโดยตลอด มีการล้มรัฐธรรมนูญอยู่หลายครั้งหลายหนโดยคณะปฏิวัติยุคต่างๆ สาเหตุก็เพราะนักการเมืองกับทหารแบ่งเค้กกันไม่ลงตัว นักการเมืองก็หาผลประโยชน์เพื่อตัวเอง โกงกินโกงการเลือกตั้ง ทหารก็ยังบ้าอำนาจไม่ยอมอยู่ภายใต้คำสั่งนักการเมือง

และเมื่อนักการเมืองมีการซื้อเสียงและโกงกิน ทหารก็เลยมีเหตุผลอ้างในการปฏิวัติยึดอำนาจแทบทุกครั้ง แต่พอทหารยึดอำนาจมาบริหารเอง ทหารก็มักจะหลงในอำนาจและไม่ยอมละทิ้งอำนาจ ยึดอำนาจไว้ไม่ยอมปล่อย สุดท้ายก็เข้าอีหรอบเดิมๆแบบนักการเมืองเลวๆ ก็หาผลประโยชน์เข้าตัวเองเหมือนกัน แล้วทหารก็ปฏิวัติพวกทหารด้วยกันเองอีกที

ในสมัยจอมพลป.พิบูลย์สงคราม ครองอำนาจยาวนานจนชักจะเริ่มผูกขาดอำนาจ และที่สำคัญจอมพลป.พยายามลดบทบาทของพระมหากษัตริย์ลงและเพิ่มอำนาจตัวเองเพิ่มขึ้น ประชาชนและนักศึกษาจึงออกมาประท้วงขับไล่ แต่ก็ยังล้มจอมพลป.ไม่ได้ จนกระทั่งได้จอมพลสฤษดื ธนะรัชต์มาเข้าข้างประชาชนและนักศึกษาทำการปฏิวัติยึดอำนาจจอมพลป. ให้ลงจากอำนาจ

ในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกฯและผู้บัญชาการทหารสูงสุด มีอำนาจเผด็จการเต็มรูปแบบ สามารถสั่งประหารใครก็ได้ทันทีหากคิดว่าเป็นภัยต่อชาติบ้านเมือง เมื่อถามผู้คนรุ่นปู่ย่าตายายรุ่นพ่อรุ่นแม่ ที่มีชีวิตอยู่ในยุคจอมพลสฤษดิ์ปกครอง 


ผมมักได้ยินแต่คำชื่นชมชื่นชอบจอมพลสฤษดิ์กันทั้งนั้น เพราะบ้านเมืองมีระเบียบเรียบร้อยแม้จะได้ชื่อว่าเป็นยุคเผด็จการแท้ๆก็ตาม แต่จอมพลสฤษดิ์ ก็อยู่ๆมาเสียชีวิตด้วยโรคไตวายขณะกำลังดำรงตำแหน่งนายกฯมา6ปี

ต่อมาในสมัยจอมพลถนอม กิตติขจรได้สืบทอดอำนาจต่อจากจอมพลสฤษดิ์ มาเป็นนายกฯ แต่เพียงหลังจากเป็นนายกฯไม่กี่ปี เห็นว่ารัฐธรรมนูญขัดขวางอำนาจหลายๆอย่างของตัวเอง จอมพลถนอมก็เลยการทำรัฐประหารปฏิวัติตัวเองเพื่อล้มรัฐธรรมนูญ และจอมพลถนอมก็กลายเป็นผู้นำเผด็จการโดยสมบูรณ์แบบจอมพลสฤษดิ์ และอยู่ในอำนาจนานถึง10ปี ฝ่ายนักศึกษาประชาชนออกมาประท้วงขับไล่ จนกระทั่งมีทหารเข้าปราบปรามเข่นฆ่าประชาชน สุดท้ายในหลวงต้องเข้ามายุติสงครามกลางเมือง ให้จอมพลถนอมลาออกแล้ว
.

ในสมัยพลเอกชาติชาย ชุณหวัณห์เป็นนายกฯ เริ่มมีการทุจริตคอรัปชั่น ที่เรียกกันว่า"กินแบบบุฟเฟ่ต์คาบิเนต" นักศึกษารามคำแหงก่อการประท้วงถึงขนาดมีการเผาตัวตายไป1คนประท้วงรัฐบาลชาติชาย ต่อมาคณะรสช.นำโดยพลเอกสุนทร คงสมพงษ์ ปฏิวัติยึดอำนาจ

หลังจากนั้นพลเอกสุจินดา คราประยูรเสียสัตย์เพื่อชาติเพื่อมาเป็นนายกฯ ภายหลังการเลือกตั้งครั้งแรกหลังมีปฏิวัติรสช. พลเอกสุจินดาโดนประชาชนประท้วงขับไล่อย่างหนัก เพื่อต้องการให้มีนายกฯที่มาจากการเลือกตั้ง จนกระทั่งเกิดการปราบปรามประชาชน มีการเผาสถานที่ราชการ มีการตายของประชาชน สุดท้ายในหลวงก็ทรงเข้ามายุติความขัดแย้งระหว่างผู้นำประชาชนคือพลตรีจำลองศรีเมืองกับพลเอกสุจินดาในฐานะนายกฯ โดยมีพระกระแสแนะนำให้พลเอกสุจินดาลาออก พร้อมกับพระราชดำรัสที่ว่า


"ไม่มีใครแพ้ ใครชนะ แพ้ทั้งคู่ และที่แพ้ที่สุดคือประเทศชาติ อยากจะชนะบนซากปรักหักพังของประเทศหรือ" (ตรงนี้ผมนำสรุปคร่าวๆตามความหมายเท่านั้น ไม่ได้ตรงตามตัวอักษรที่ถูกต้องตามพระราชกระแสฯ)

การขัดแย้งของเผด็จการกับประชาชนในสมัยถนอม หรือจะเป็นการขัดแย้งระหว่างประชาธิปไตยที่สืบทอดต่อด้วยผู้นำปฏิวัติอย่างสุจินดา กระทั่งเกิดการจราจลของประชาชนสู้กับอำนาจรัฐ จนเกิดการกวาดล้างเข่นฆ่าประชาชนเกิดขึ้น เป็นเหตุให้สถาบันฯต้องทรงออกมายุติความขัดแย้ง

สถาบันฯจำเป็นต้องออกมาเพราะหากไม่ทรงออกมา ความเสียหายต่อชาติและประชาชนจะมีมากกว่านี้ สถาบันฯพยายามไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง แต่การเมืองต่างหากที่พยายามมายุ่งเกี่ยวกับสถาบันฯ 


หากไม่มีการฆ่าประชาชนที่ไร้อาวุธ สถาบันฯก็จะพยายามปล่อยให้ประเทศไทยได้เรียนรู้ประชาธิปไตยด้วยตัวเอง (หากไม่จำเป็นจริงๆสถาบันฯจะทรงเป็นกลางให้ถึงที่สุดเท่าที่จะทำได้)

ก็อย่างที่ผมบอกตั้งแต่บทความที่แล้วว่า หากไม่มีสถาบันฯ เผด็จการทหารจะไม่เกรงกลัวพลังของประชาชน สามารถกวาดล้างประชาชนได้ และไทยก็จะกลายเป็นแบบเผด็จการทหารพม่า

แต่เพราะรากฐานวัฒนธรรมที่คนไทยจงรักภักดีต่อสถาบันฯ จึงไม่มีเผด็จการคนไหนกล้าพอที่จะเสี่ยงต่อพลังความรักความเคารพของประชาชนรวมถึงทหารในกองทัพที่มีต่อสถาบันฯได้ 


เพราะประชาชนไทยที่จงรักภักดีส่วนใหญ่ พร้อมที่จะสละชีวิตเพื่อรักษาสถาบันฯ ผิดกับประชาชนพม่าที่ไม่สู้ให้ถึงที่สุด ที่สำคัญทหารพม่าไม่มีสถาบันฯยึดเหนี่ยวจิตใจให้จงรักภักดีเหมือนคนไทย

เมื่อสถาบันฯทรงแนะนำให้นายกฯทั้งสองคนคือถนอมกับสุจินดาลาออก ก็หมายถึงนายกฯเผด็จการทั้งสองนั้นก็รู้ตัวเองว่า ไม่ควรฝืนพระกระแสรับสั่ง ไม่ใช่เพราะกลัวเกรงอำนาจสถาบันฯ แต่เพราะกลัวเกรงในอำนาจพลังความรักของประชาชนและทหารทุกคนในกองทัพที่มีต่อสถาบันฯมากกว่า

พวกไม่จงรักภักดีสถาบันฯ กล่าวหาป้ายสีสถาบันฯราวกับว่า สถาบันฯมีอำนาจวิเศษเหลือล้นจนใครๆก็ต้องเกรงกลัว แต่ที่จริงแล้วฝ่ายจงรักภักดีสถาบันฯอย่างผมกลับคิดว่า สถาบันฯเอาชนะใจทหารและประชาชนได้เพราะความรักและหวังดีอย่างจริงใจที่สถาบันฯมีต่อคนไทยทุกคนมากกว่า (ทหารก็คนไทย)

"ใช้พระเดชย่อมไม่ยั่งยืน แต่พระมหากรุณาธิคุณนั้นยั่งยืนแน่ ! "

แน่นอน ความคิดของผม ถ้าไปถามพวกไม่จงรักภักดีฯย่อมไม่ได้รับการยอมรับอย่างแน่นอน และอาจโดนพวกนี้ด่าอย่างเสียหายได้ แต่อย่างที่ผมบอกไว้ในบทความตอนก่อนๆว่า ผมไม่ได้ต้องการเปลี่ยนความคิดของพวกไม่จงรักภักดีฯ แต่ผมต้องการเพิ่มภูมิต้านทานทางความคิดแก่คนไทยที่จงรักภักดีฯมากกว่า

เช่นเดียวกัน ทักษิณไม่ได้แพ้เพราะอำนาจที่มองไม่เห็นใดๆ แต่ทักษิณแพ้ความโลภและความไม่รู้จักพอของทักษิณเองมากกว่า หากทักษิณไม่โลภ ทักษิณก็คงเป็นนายกฯที่เก่งฯและดีที่สุดเท่าที่ไทยเคยมี

ทักษิณเคยครองใจคนกรุงเทพฯได้เกือบทั้งหมด แต่พอทักษิณโกง คนกรุงเทพฯก็ไม่เอาทักษิณเหมือนกัน ไม่ใช่เหตุผลคนกรุงเทพฯขี้เบื่อตามที่พวกไม่จงรักภักดีฯบางคนกล่าวหาหรอก เพราะไทยรักไทยเองก็ครองกรุงเทพฯมาครบ4ปีแล้ว ก็ยังได้รับความนิยมต่อเนื่องในการเลือกตั้งสมัยที่2 หากไม่มีการโกงเกิดขึ้น คงอยู่ต่อจนครบวาระ

เราต้องยอมรับอย่างนึงว่า คนกรุงเทพฯเข้าถึงข้อมูลข่าวสารมากกว่า และมีโอกาสเข้าถึงการศึกษามากกว่าคนต่างจังหวัด เช่นคนกรุงเทพฯรู้เรื่องหุ้นมากกว่า และเข้าใจถึงภัยแห่งการครอบงำทางเศรษฐกิจจากอำนาจนักการเมืองที่เอื้อประโยชน์ธุรกิจตัวเองและพวกพ้อง

การปฏิวัติยึดอำนาจทักษิณโดย คมช.นั้น คนกรุงเทพฯส่วนใหญ่ให้การยอมรับ และให้การสนับสนุน เพราะคนกรุงเทพฯเข้าใจว่า ประชาธิปไตยที่อยู่ในมือคนเลว ย่อมทำลายล้างประเทศได้ (ฮิตเลอร์เอง ก็มีอำนาจขึ้นมาจากการชนะการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยแบบท่วมท้นเช่นกัน)


ทักษิณจะต่อสู้กับเผด็จการก็ไม่มีใครว่า ผมเองก็ไม่ว่า แต่จะอ้างถูกใส่ร้ายทางคดีโดยพวกเผด็จการ อันนี้ผมขอเถียง เพราะคดีที่ทักษิณก่อขึ้นนั้น คนกรุงเทพฯและคนมีความรู้ต่างก็เห็นว่ามีมูลที่จะดำเนินคดีได้ ก่อนที่จะมีการปฏิวัติด้วยซ้ำ แต่จะเอาผิดได้หรือไม่นั้น ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ผมเชื่อว่าทักษิณผิดแน่ แต่กฏหมายจะตามไปเอาผิดได้หรือไม่? ถ้าหากทักษิณยังคงอยู่ในอำนาจ? อันนี้ตอบยาก

แต่ทักษิณผิดแล้ว กลับไม่ยอมรับผิด กลับถลำลึกลงสู่ความชั่วร้ายที่ยากจะถอนตัว เมื่อแพ้เพราะความโลภแต่กลับแก้ตัวง่ายๆเพื่อหวังเอาตัวรอด โดยอ้างว่ามีอำนาจนอกรัฐธรรมนูญมาเล่นงาน ทำให้บ้านเมืองต้องวุ่นวายและแตกแยก แถมพวกไม่จงรักภักดีสถาบันฯเลยพลอยได้โอกาสนำประเด็นนี้มาใช้โจมตีใส่ร้ายสถาบันฯ เป็นการสมทบ
พวกแพ้แล้วชอบ แถ อ้างเหตุผลชั่วๆมาใส่ร้ายสถาบันฯ อย่างนี้เรียกได้ว่า พวกแพ้แล้วโวย หมาจนตรอกกัดไม่เลือกหน้า

ผมได้อ่านบทความในเว็บหนังสือพิมพ์ต่างประเทศหลายๆเว็บ ที่มีบทความที่ฝรั่งที่ไม่หวังดีต่อชาติไทย(ที่ผมว่าไม่หวีงดี ก็เพราะบทความนี้มีแต่สร้างความแตกแยกและให้ร้ายสถาบันฯ) ได้เขียนกล่าวหาว่า สถาบันฯอยู่เบื้องหลังปัญหาทางการเมืองที่ผ่านมาทุกครั้ง กล่าวหาว่าสถาบันฯเกี่ยวข้องการเมืองมาตั้งแต่สมัยจอมพลป.จอมพลสฤษดิ์ โน่นเลย ซึ่งมันไม่จริง แต่พวกไม่จงรักภักดีฯพวกนี้ไม่เชื่อหรอก

ตามที่ผมเคยอ่านข้อเขียนของพวกไม่จงรักภักดีสถาบันฯ ที่ผ่านๆมา ผมว่า ฝรั่งมันก็ได้ข้อมูลเลวๆแบบนี้ มาจากคนไทยที่มันไม่จงรักภักดีฯมากกว่า เพราะบทความที่ฝรั่งมันเขียนนั้น ก็เขียนออกมาช้ากว่าความคิดของพวกไม่จงรักภักดีฯเคยเขียนหรือเคยกล่าวหาไว้ทั้งนั้น พูดง่ายๆคือ ฝรั่งเขียนช้ากว่าพวกไม่จงรักภักดีเขียนเสียอีก บทความที่ฝรั่งเขียนมีเนื้อหาไม่ต่างจากคนไทยที่ไม่จงรักภักดีเขียนเท่าไหร่เลย

ในเว็บของหนังสือพิมพ์ฝรั่ง เขาก็มีนักเขียนจากมุมมองต่างๆหลายๆด้าน มีทั้งเขียนเทิดทูนสถาบันฯของเราก็มีมาก และมีเขียนแบบหมิ่นฯสถาบันฯของเราก็มี แต่ไม่มากเท่าฝรั่งที่เขียนชื่นชมและเทิดทูนฯสถาบันฯของเราหรอก

พวกไม่จงรักภักดีฯ เรื่องดีๆของสถาบันฯ พวกนี้ไม่สนใจและไม่นำพาอยู่แล้ว พวกฝรั่งที่เขียนวิพากษ์เรื่องในทางร้ายๆต่อสถาบันฯ(ซึ่งเป็นข้อเขียนเชิงความคิดเห็นส่วนตัว) ก็เพราะเรื่องพวกนี้สามารถดึงดูดคนอ่านได้มาก ฝรั่งเขาได้ทั้งเงินและชื่อเสียง ส่วนคนไทยเลวๆกลับนำมาใช้เพื่อโจมตีสถาบันฯ เพื่อสร้างความแตกแยก!

.
องค์การสหประชาชาติก็ร่วมเทิดทูนสถาบันฯของเรา แต่พวกไม่จงรักภักดีฯก็ไม่สนหรอก ก็เพราะพวกนี้มีเจตนาอย่างเดียวคือต้องการล้มล้างสถาบันฯ
.
ผมเชื่อว่า คนรักทักษิณจำนวนมากและส่วนใหญ่ รักและจงรักภักดีต่อสถาบันฯ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่า ตราบใดที่เขายังไม่เลิกละชอบทักษิณ ไม่ปล่อยทักษิณไปซะ พวกเขาอาจโดนหลอกใช้ให้ทำร้ายสถาบันฯทางอ้อมได้ จากกลุมผู้ไม่หวังดีต่อชาติและสถาบันฯ
.
มีอยู่เรื่องนึงที่อยากขอเสริม พอดีอ่านความคิดของพวกไม่จงรักภักดีฯเกี่ยวกับเรื่องการส่งทหารที่ไปรบ พวกไม่จงรักภักดีนี่นะ สุดท้ายก็เป็นพวกดีแต่พูดจริงๆ แต่ละคนด่าว่าเรื่องการที่ผู้บังคับบัญชาระดับสูงของทหาร ที่ไม่ออกไปแนวหน้าเอง ปล่อยให้ทหารผู้น้อยไป ผมว่า พวกนี้ช่างชั่วได้ใจจริงๆ พวกนี้บอกว่า ไม่โง่ออกไปตายแทนพวกผู้บังคับบัญชาหรอก คุณผู้อ่านลองคิดดูสิว่า คนพวกนี้เป็นคนเสียสละเพื่อชาติหรือไม่
.
คนพวกนี้ เป็นได้แค่พวกด่าอย่างเดียว แต่พอถึงคราวตัวเอง ก็รักตัวกลัวตายทั้งนั้น พวกไม่จงรักภักดีฯเกลียดทหาร แต่อยากอยู่อย่างสุขสบายอยู่ในประเทศ อยากให้ทหารปกป้องประเทศ แต่พวกนี้ไม่ยอมให้เกียรติ์และเคารพสถาบันฯที่ทหารรัก (อ่านการตอบแทนผู้เสียสละฯ)
.
ขออภัยประเด็นเรื่องทหารที่เสริมตรงนี้ ผมคงไม่จำเป็นต้องอธิบายนะ ว่าพวกนี้คิดผิดยังไง ผมมั่นใจว่า ผู้จงรักภักดีสถาบันฯย่อมรู้อยู่แล้วว่า การเกี่ยงกันในการรบเพื่อปกป้องชาติ ผลที่ตามจะเป็นยังไง
.
ข้อสรุปในบทความตอนนี้คือ
.
สถาบันฯอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ เพราะรัฐธรรมนูญได้กำหนดพระราชอำนาจไว้ แต่สถาบันฯอยู่เหนือการเมือง จึงมีพระราชอำนาจแต่งตั้งทั้ง3สถาบันฯ ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้
.
สถาบันฯเป็นกลางทางการเมือง แต่ที่ผ่านมาทุกครั้งสถาบันฯทรงออกมาเกี่ยวข้องกับสถานการณ์การเมืองเมื่อถึงคราวจำเป็นจริงๆ เช่นมีการเข่นฆ่าประชาชนเกิดขึ้น
.
ประชาชนที่จงรักภักดีสถาบันฯ ล้วนคิดว่าสถาบันฯคือที่พึ่งสุดท้ายยามบ้านเมืองเกิดภาวะวิกฤติที่รุนแรง หาทางออกไม่ได้ ซึ่งประชาชนมีสิทธิที่จะรู้สึก มีสิทธิที่จะคิดเช่นนั้น
.
เพราะสถาบันฯคือชาติไทย(ชาติไทยประกอบด้วย3สถาบัน) แต่ประชาธิปไตยไม่ใช่ชาติ มันเป็นแค่ระบอบเท่านั้น!

.long live the king
อ่าน ตอน5 .


2 ความคิดเห็น:

  1. บทความทางปัญญา...ทำให้เกิดภูมิต้านทานมากขึ้นจริงๆ ค่ะ
    แต่พวกที่จงเกลียดจงชัง สถาบันฯ...ไม่ยอมรับแน่นอนค่ะ
    ทางที่ดีเราต้องทำให้ กม.ม.112 เป็นสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ได้แล้วค่ะ
    เชือดไก่ให้ลิงแดง..ดูเยอะๆ หน่อย...จะได้ไม่กล้าคิดที่จะทำ
    ให้กลับมาเหมือนยุคของ จอมพล สฤษดิ์ ไปเลยค่ะ...ใช้ กม.คุมคนเลวให้อยู่หมัด
    ปรเทศไทย ควรจับมือกัน เริ่มต้นทำกรอบ ระเบียบให้จริงจังได้แล้วค่ะ

    ขออนุญาตินำไปร่วมแบ่งปันนะคะ

    ตอบลบ

ถ้าแสดงความเห็นตรงช่องนี้ผมจะได้อ่านทุกความเห็นครับ แต่ถ้าความเห็นไม่ขึ้นอาจเพราะระบบรอตรวจสแปม ต้องรอ1-2วัน / ใหม่ เมืองเอก kaeake@ymail.com


ผู้ติดตาม