วันอาทิตย์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2551

พวกไม่จงรักภักดี 3 พวกฝันเฟื่อง



.
ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนว่าบทความเรื่องนี้ ผมไม่สามารถแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมาได้ เพราะอาจเป็นการไปหมิ่นฯสถาบันฯโดยที่ผมไม่ตั้งใจได้ เพราะการที่จะลบล้างคำกล่าวหาของพวกไม่จงรักภักดีนั้น หากผมยกตัวอย่างตรงๆขึ้นมา ก็จะกลายเป็นหมิ่นสถาบันฯไปเสียเอง

จากตอนที่ผ่านมา ผมได้บอกไว้แล้วว่าพวกไม่จงรักภักดีสถาบันฯนั้น มีมาจากหลายกลุ่มคน คนพวกนี้มักชอบโยนหรือแกล้งโยน ปัญหาความไม่เจริญของประเทศไทยไปที่สถาบันฯเป็นต้นเหตุ โดยไม่ค่อยเห็นหรือสนใจปัญหาจากสาเหตุอื่นเลย ก็เพราะพวกนี้มีเจตนาไม่บริสุทธิ์เป็นหลักแต่แรกแล้ว มุ่งโจมตีใส่ร้ายสถาบันฯเป็นหลัก เหตุผลที่อ้างก็มักเกิดจากความเชื่อและคิดเองเออเองของพวกตัวเองเป็นส่วนใหญ่ พอเชื่อแล้ว ก็ร่วมกันสรรค์สร้างเหตุผลตรรกะรองรับ แต่พอเจอผู้จงรักภักดีฯที่รู้จริงกว่าเขาไปหักล้างได้ พวกนี้ก็จะไช้วิธีด่าและดูถูก คนที่มีความคิดตรงข้ามกับพวกตนแทน


หรือบางทีพวกไม่จงรักภักดีสถาบันฯมักชอบอ้างว่า ถ้าไทยเปลี่ยนระบอบเป็นสาธารณรัฐจะดีจะเจริญแบบสิงคโปร์ แต่หากพวกไม่จงรักภักดีสถาบันฯไปเจอคนที่จงรักภักดีเก่งกว่าเข้าไปเถียงหักล้างในเว็บ พวกไม่จงรักภักดีฯพอเถียงสู้เหตุผลคนที่จงรักภักดีสถาบันฯที่เข้าไปต่อสู้ในเว็บหมิ่นฯไม่ได้
พวกนี้ก็จะหาทางเลี่ยงการโต้เถียงโดยอ้างว่า ไม่ได้คิดล้มล้างสถาบันฯ แต่อยากให้มีการปรับเปลี่ยนบ้าง แล้วก็จะไปเปรียบเทียบกับประเทศที่มีสถาบันฯอย่างประเทศอังกฤษบ้าง หรือญี่ปุ่นบ้าง อยากให้ไทยเราเอาอย่างประเทศเหล่านี้
(มีผู้จงรักภักดีคนนึงที่เก่งขนาดเถียงหักล้างจนพวกหมิ่นฯเงียบจ๋อยไปเลย เขาใช้นามแฝงว่า คุณBMW F1 เขาโต้ตอบแบบผู้รู้ลึกรู้จริง จนพวกนี้กลัวหนีหายจากกระทู้นั้นไปเลย แต่เขาก็ไม่ได้เข้าไปเถียงบ่อยนัก ผมอยากขอขอบคุณคุณBMW F1ไว้ณ.ที่นี้ด้วยครับ ผมไม่รู้ว่าคุณเป็นใคร แต่คุณได้ปกป้องสถาบันฯที่เรารักได้อย่างสุดยอดครับ นับถือๆ)

ผมอยากจะบอกว่า ที่ประเทศไทยไม่เจริญเท่าสิงคโปร์หรือญี่ปุ่นนั้น ที่จริงใครๆก็รู้ว่าเพราะอะไร? แต่ในเมื่อผมจะต้องหักล้างบ้าง ก็จำเป็นต้องยกตัวอย่างสักเรื่องสองเรื่อง ว่าทำไมไทยถึงเจริญสู้เขาไม่ได้?

สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ทำให้สิงคโปร์หรือประเทศญี่ปุ่นเจริญ หรือในอีกหลายๆประเทศในโลก นั่นก็คือ คนในชาติเหล่านี้ มีระเบียบวินัยและเคารพกฏหมายมากๆ กฏระเบียบต่างๆที่รัฐบาลตราขึ้น แม้กระทั่งเรื่องที่ดูแสนจะเล็กน้อย คนของเขาก็ยังไม่ละเลย ส่วนคนไทยอยากให้คนอื่นเคารพสิทธิของตัวเอง แต่ตัวเองกลับไม่เคารพสิทธิผู้อื่น คนไทยชอบใช้สิทธิ แต่ไม่รู้จักทำหน้าที่พลเมืองที่ดี

สิงคโปร์ รัฐบาลออกจะเผด็จการด้วยซ้ำ สั่งโน่นสั่งนี่ ให้ประชาชนทำตาม แต่ประชาชนเขาก็ทำตาม เพราะลองไม่ทำตามดูสิ กฏหมายลงโทษหนัก พูดง่ายๆก็คือ ประเทศไทยกฏหมายไม่ศักดิ์สิทธิ์ คนไทยเป็นพวกชอบละเมิดกฏ ถ้าจับไม่ได้ไล่ไม่ทันก็จะหาทางกะล่อนไปเรื่อย สันดานศรีธนญชัยในสังคมไทยนับวันยิ่งมีมากขึ้นๆ เป็นนิสัยที่เห็นแก่ตัว ชอบเอาเปรียบสังคม

สิงคโปร์ ห้ามกระทั่ง ไม่ให้ขายหมากฝรั่งในประเทศ ทิ้งก้นบุหรี่ในที่ห้ามทิ้ง ปรับอานหลายหมื่นบาท ส่วนคนไทยน่ะเหรอ แค่ให้ข้ามถนนด้วยสะพานลอย คนไทยยังข้ามใต้สะพานลอยกันเห็นๆ


คนไทยขนาดเรื่องง่ายๆที่ไม่ต้องใช้กฏหมายบังคับ เช่นระเบียบวินัยของการขึ้นรถเมล์ หรือรอซื้ออาหารตามฟาสฟู้ด ยังไม่เป็นระเบียบเลย จะมีคนไทยสักกี่คนที่รักษาระเบียบวินัยอย่างเคร่งครัด น้อยมากๆ แม้แต่พวกไม่จงรักภักดีสถาบันฯเองก็เถอะ อยากเป็นเหมือนเขา แต่ไม่ดูตัวเองซะก่อน เป็นประเภท รำไม่ดีโทษปี่โทษกลอง (ยังมีตัวอย่างอีกเยอะมากมายเกี่ยวกับความไร้ระเบียบวินัยไว้โอกาสหน้าค่อยมาเขียนเรื่องนี้)

ส่วนประเทศญี่ปุ่น เรื่องระเบียบวินัยเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ โดยเฉพาะเรื่องความตรงต่อเวลา ใครก็ตามหากทำธุรกิจกับญี่ปุ่น แล้วไม่ตรงต่อเวลา อันนี้มีแต่เจ๊งลูกเดียว

นอกจากเรื่องระเบียบวินัยที่เคร่งครัดของคนญี่ปุ่นแล้ว คนญี่ปุ่นเองก็เป็นชาติพันธุ์ที่ฉลาดมากๆ มีความคิดสร้างสรรค์เป็นเลิศ ชอบการประดิษฐ์คิดค้นสิ่งใหม่ๆ ดูได้จากประวัติบริษัทชั้นนำของญี่ปุ่นเช่นโตโยต้าหรือ ฮอนด้า ฯลฯ ผู้ก่อตั้งบริษัทนับเป็นอัจฉริยะบุคคลที่น่ายกย่องทั้งนั้นในการประดิษฐ์พัฒนาเทคโนโลยี

"คนญี่ปุ่นชอบคิดสร้าง ส่วนคนไทยชอบคิดซ่อม" คำๆนี้ดูจะเป็นความจริงไม่มากก็น้อย คนไทยส่วนใหญ่ชอบทันสมัยบ้าไฮเทค แต่เป็นไฮเทคที่ต้องซื้อมาจากคนอื่น ไม่ค่อยชอบคิดค้นเอง เพราะมันยาก ขี้เกียจน่ะ

เด็กไทยส่วนใหญ่ไม่ชอบเรียนเลข ขณะที่เด็กจีน ญี่ปุ่น เวียตนามส่วนใหญ่ กลับบอกว่าชอบเรียนเลขมากที่สุด เพียงแค่นี้ก็พอจะมองออกแล้วว่า ทำไมไทยเราถึงประดิษฐ์เทคโนโลยีที่ซับซ้อนอย่างประเทศอื่นไม่ได้

แต่ถ้ามองเรื่องระบบของการเมือง สิ่งที่ทำให้ชาติไทยไม่เจริญมากที่สุด ก็เป็นเพราะนักการเมืองโกงกิน ข้าราชการก็คอรัปชั่นกันมากมาย ตั้งแต่ระดับผู้น้อยจนระดับใหญ่โต จริยธรรมนักการเมิองไทยแย่มากเมือเทียบกับประเทศที่เจริญแล้ว หน้าด้านหน้าทน เช่นต่างประเทศแค่รถไฟตกราง รมต.เขาก็ลาออกแสดงความรับผิดชอบทันที


พวกไม่จงรักภักดีสถาบันฯในเว็บหมิ่นฯ ไม่ค่อยเห็นปัญหา เรื่องนักการเมืองโกงกินหรือข้าราชการคอรัปชั่นนั้นเป็นเรื่องสำคัญที่สุดที่ขัดขวางการพัฒนาประเทศ วันๆมุ่งประเด็นโจมตีไปที่สถาบันฯเท่านั้น อย่างนี้ถ้าไม่เรียกว่า อคติแล้วจะเรียกว่ายังไง


พวกไม่จงรักภักดีสถาบันฯในเว็บ ควรรู้ไว้ว่า หากแก้ปัญหานักการเมืองไทยให้มีจริยธรรม ไม่โกงกินได้ก่อน หรือนิสัยคนไทยมีระเบียบวินัยมากขึ้นก่อน ถ้าประเทศไทยยังไม่เจริญเท่าที่ควร ค่อยมาโทษเรื่องอื่นน่าจะดูดีกว่า


พวกไม่จงรักภักดีสถาบันฯคงฝันเฟื่องว่า ถ้าเปลี่ยนระบอบการปกครองเป็นแบบประธานาธิบดีแล้วจะเจริญแบบสิงคโปร์ พวกนี้คงฝันเฟื่องไปจริงๆ เพราะนิสัยสันดานคนไทยน่ะ มันชอบทะเลาะกันเองมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว หากประเทศไทยไม่มีสถาบันฯที่เราเคารพไว้เป็นที่ยึดเหนี่ยวหัวใจคนไทยไว้ ผมค่อนข้างเชื่อว่า ไทยเราน่าจะมีโอกาสเป็นแบบเผด็จการพม่า หรือเป็นแบบสาธารณรัฐที่มีแต่การโกงกินแบบฟิลิปปินส์มากกว่า คนไทยน่ะบ้าอำนาจและขี้โกงมากกว่าชาติอื่น

เพราะหากไม่มีสถาบันฯยึดเหนี่ยวใจคนไทยไว้ ป่านนี้ทหารคงยึดอำนาจทั้งหมด แบบไม่ต้องเกรงใจใครอีก และไทยก็จะกลายเป็นแบบพม่าไปแล้ว ที่ผ่านมาตั้งแต่14ต.ค.16 ถ้าเผด็จการทหารปราบปรามแบบไม่เกรงใจใคร (เหมือนที่จีนปราบประชาชนที่เทียนอันเหมิน) ป่านนี้ก็นักศึกษาประชาชนคงตายกันเป็นเบือ แต่เพราะสถาบันฯที่ทหารซึ่งรักและภักดีต่อสถาบันฯ จึงได้ยอมแพ้แก่พระมหากรุณาธิคุณจากสถาบันฯอันเป็นที่รักและเคารพ

และถ้าการเป็นสาธารณรัฐนั้นดีเลิศวิเศษจริง ทำไมฟิลิปปินส์ที่ใช้ต้นแบบการปกครองจากอเมริกาถึงได้เจริญน้อยกว่าไทยในวันนี้ล่ะ ยังมีประเทศอีกมากมายในโลกนี้ที่เป็นสาธารณรัฐแต่ก็ไม่เจริญมากกว่าไทยเรา หรือแม้แต่อเมริกาเจ้าตำรับเองก็ยังต้องเจอวิกฤติเศรษฐกิจ

ฉะนั้นความเจริญหรือความล้าหลังมันไม่ได้อยู่ที่ระบอบเป็นสำคัญ แต่มันอยู่ที่คุณภาพของคนในประเทศนั้นมากกว่า โดยเฉพาะเรื่องคุณธรรมและจิตสำนึกของคนไทยเริ่มน้อยลง
พวกไม่จงรักภักดีสถาบันฯ ผมว่า หลายคนอาจจะศรัทธากับระบอบปกครองที่เขาเชื่อจริงๆ แต่ผมว่าต้องมีอีกจำนวนมาก เป็นพวกที่บางทีอาจะคล้ายกับคนมีปมด้อย ขี้อิจฉา เห็นคนอื่นเขามีความสุขกับการจงรักภักดี แล้วเกิดปมอยากแกล้งอยากทำลายความรู้สึกคนอื่น พวกนี้ไม่ได้เคารพสิทธิผู้อื่น ประกอบกับความที่ไม่ได้จงรักภักดีเป็นทุน เลยผสมโรงให้ร้ายหรือกระทั่งดูหมิ่นล่วงเกินสถาบันฯ เพื่อความสะใจกลบเกลื่อนปมด้อยของตัวเอง สิ่งใดที่เขาห้ามก็เหมือนยิ่งยุ เห็นประเทศไทยมีกฏหมายหมิ่นพระบรมฯ ก็กระสันอยากจะหมิ่นฯ อะไรทำนองนี้
.
ความรักความภักดีต่อสถาบันฯก็คล้ายเป็นความเชื่อความศรัทธาเฉพาะตน ถ้าเปรียบก็คล้ายๆความเชื่อทางศาสนา ที่ทุกคนที่มีจิตสำนึกย่อมจะไม่ดูถูกศาสานาของคนอื่น แต่พวกไม่จงรักภักดีฯนี้กลับไม่สนจริยธรรม ที่ต้องเคารพกฏกติกาของบ้านเมือง เช่นหากเราไปที่ประเทศไหน เขามีกฏห้ามอะไร เราก็ควรให้ความเคารพไม่ลบหลู่กฏหมายและความเชื่อของคนในประเทศเขา ด้วยเหตุนี้ผมจึงไม่ค่อยเชื่อว่า พวกไม่จงรักภักดีสถาบันฯจะเป็นนักประชาธิปไตยจริงๆ
.
คนพวกนี้อาจมักคิดไปเองว่า ตัวเองเดือดร้อนที่ต้องอยู่ในระบอบปัจจุบัน แต่ในความจริงแล้ว ไม่ได้มีใครเดือดร้อนจริงๆ คืออยากจะหมิ่นฯด้วยความสนุกปากไปวันๆมากกว่า ซึ่งถ้าไม่ได้ระบายคงประสาทกิน
.
ผมกลับรู้สึกสมเพช และสมน้ำหน้าคนพวกนี้ ที่ทนดูเห็นคนอื่นเขามีความสุขไม่ค่อยได้ พวกเขาคงนึกว่า การดูหมิ่นสถาบันฯจะทำให้ผู้จงรักภักดีที่บังเอิญไปพบไปเห็นการหมิ่นฯในเว็บ เขาจะเกิดทุกข์ไปกับคำกล่าวหาของคนพวกนี้ที่ป้ายสีขึ้น
.
แต่คงไม่เป็นอย่างนั้นหรอก ผมคิดว่า ผู้จงรักภักดีหลายๆคนที่ไปเจอส่วนใหญ่ฉลาด รู้เท่าทันคนพวกนี้ และน่าจะรู้สึกสมเพชพวกไม่จงรักภักดีเสียมากกว่า จะเป็นทุกข์

.
พวกไม่จงรักภักดีดูถูกบรรพบุรุษตัวเอง ที่จงรักภักดีสถาบันฯ ทรยศบรรพบุรุษที่ร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับสถาบันฯเพื่อปกป้องชาติและสถาบันฯไว้ ดูถูกสิ่งที่ปู่ย่าตายายพ่อแม่ของตัวเองเคารพรัก คนพวกนี้ต้องเรียกได้ว่า "เสียชาติเกิดจริงๆ"
.
บทความนี้ ผมยอมรับว่าคงเขียนได้ไม่ดีเท่าที่ควร ไม่สามารถเชียนได้มากเท่าที่ต้องการจะเขียน เพราะมีข้อจำกัดและเป็นเรื่องละเอียดอ่อน จะให้เขียนตรงๆเลยก็คงไม่เหมาะ จึงอยากขออภัยไว้ณ.ที่นี้ด้วย ที่เขียนมา3บท ค่อนข้างเป็นเรื่องแก่นๆที่เกี่ยวกับเรื่องระบอบเป็นสำคัญ ส่วนตอนหน้าจะขอเก็บตกเรื่องกระพี้ๆบ้าง
.
บทสรุปของตอน3นี้ก็คือ
.
ชาติไทยต้องประกอบด้วยสถาบันหลักทั้ง3 คือชาติ(ประชาชน) ศาสนา และพระมหากษัตริย์ หากขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไป ย่อมไม่ใช่ชาติไทย
.
การเป็นคนไทยไม่ใช่แค่เพียงอาศัยเกิดในแผ่นดินไทยเท่านั้น หากใครไม่มีใจจงรักภักดีและปกปักรักษาให้ครบทั้ง3สถาบัน ย่อมไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นคนไทย คงเป็นคนไทยได้แค่ตัว แต่จิตใจมันไม่ใช่ไทย
.
.
ประเทศไทยมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่เรียกง่ายๆว่า วิญญาณบรรพบุรุษที่รักและปกป้องรักษาสถาบันฯทั้ง3ไว้ เชื่อเถอะใครมันคิดร้ายต่อสถาบันฯ ต่อให้มีอำนาจแค่ไหน มีเงินมากแค่ไหน ก็จะต้องแพ้พ่ายไปในที่สุด
.
ฝ่ายต่อต้านสถาบันฯ ที่แฝงตัวอยู่ข้างเชียร์ทักษิณ ยิ่งหมิ่นฯสถาบันฯมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งแพ้เท่านั้น เพราะประชาชนผู้จงรักภักดียอมตายเพื่อสถาบันฯได้ ส่วนพวกไม่จงรักภักดีสถาบันฯ แค่เปิดเผยตัว เปิดเผยชื่อจริง คนพวกนี้มันยังไม่กล้าเลย หากคิดจะเปลี่ยนแปลง แต่ไม่เผยตัว ไม่กล้าแลกด้วยชีวิต เพียงเท่านี้ก็เท่ากับพวกมันได้พ่ายแพ้ตั้งแต่ในมุ้งแล้ว (มีคนๆนึงที่เขาไม่จงรักภักดี แต่สู้ด้วยอุดมกาณ์อย่างกล้าหาญก็เห็นมีอยู่คนเดียวในเว็บหมิ่นฯ โดยเขากล้าโพสชื่อจริง และรูปถ่ายตัวเองจริงๆ ชื่อสมศักดิ์ เจียมธีรสกุลเป็นอาจารย์ธรรมศาสตร์ อย่างนี้แม้เห็นต่างแต่ก็น่านับถือในอุดมการณ์ความกล้า และเขาก็ไม่ได้โพสด่าไปวันๆ เหมือนส่วนใหญ่ในเว็บ )
.
ถ้าแน่จริง มันต้องกล้าออกมาแลกด้วยชีวิต ผิดกับพวกจงรักภักดีสถาบันฯ อย่างประชาชนที่เป็นพันธมิตร ที่แม้ถูกฝ่ายตรงข้ามฆ่าตายไปหลายครั้งหลายคน พวกเขาไม่เคยถอย เพราะพวกเขายอมแลกด้วยชีวิต พวกเขาจึงชนะ
.
คนที่ไร้อุดมการณ์อาจดูถูกพวกที่ยอมตายเพื่ออุดมการณ์ว่าโง่ แต่ก็เพราะยอมโง่นี่แหล่ะ ถึงได้ปกป้องชาติไทยได้
.
แกนนำพันธมิตรจะดีหรือไม่ดีจริงผมไม่รู้ แต่ประชาชนที่มาออกมาสู้ ผมเชื่อว่าเขามาด้วยใจจริงๆ เพราะถ้าไม่มีใจแล้ว พอเห็นมีคนตายมากๆ ก็คงกลัวหัวหดหนีกลับบ้านไปหมดแล้ว
.
พวกไม่จงรักภักดี พอแพ้ ก็อ้างแถๆ ว่าแพ้อำนาจมืด น่าขำจริงๆ พวกนี้คงไม่เชื่อว่า ผู้จงรักภักดีทั้งหลายส่วนใหญ่เขาสามารถกล้าสละชีวิตเพื่อรักษาทั้ง3สถาบันได้ พวกเขาถึงเข้มแข็งกว่าที่คิด
.
นี่แหล่ะคือสาเหตุสำคัญที่พวกไม่จงรักภักดีฯ จึงได้พ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะดูถูกอุดมการณ์ผู้จงรักภักดีนี่เอง เรียกได้ว่า พวกไม่จงรักภักดีเป็นพวก "ไม่รู้เขาร้อยครั้งมันก็ต้องแพ้ไปร้อยครั้งนั่นแหล่ะ"
.
อย่างที่ผมบอกไว้ในตอนที่แล้ว มีคนสนับสนุนพันธมิตรมีมากมาย ทั้งภาคธุรกิจและเอกชน แม้แต่ทหารเองเขาก็ไม่ต้องให้ใครมาบอกว่าต้องปกป้องสถาบันฯ ทหารเขารู้หน้าที่ของเขาเอง ฝ่ายใดอยู่ข้างสถาบันฯ ทหารส่วนใหญ่ย่อมโดดเข้าไปเข้าข้างด้วยแน่นอน ไม่จำเป็นต้องมีมือที่มองไม่เห็นมาสนับสนุนหรอก เขาทำด้วยตัวเขาเอง!
.
อ่านตอนต่อไป ตอนที่4
.

6 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ11 ธันวาคม, 2551 08:11

    สื่อก็มีส่วนสำคัญในการให้ข้อมูลที่ถูกต้อง

    ถ้าข้อมูลคลาดเคลื่อนหรือไม่เป็นกลาง

    บางทีก็ทำให้สังคมระส่ำระสายเหมือนกัน

    ตอบลบ
  2. ขอบคุณครับสำหรับความคิดเห็น แต่ถ้าโดยส่วนตัวผม ผมคิดว่า สื่อควรเป็นคือ ผู้ช่วยตรวจสอบสังคมอีกทางหนึ่ง สือต้องเลือกข้างครับ แต่ต้องเป็นข้างแห่งความถูกต้อง โดยใช้คุณธรรมตัดสิน

    ส่วนประชาชนจะเลือกเชื่อสื่อไหน ก็เป็นสืทธิของประชาชน

    สรุปสื่อเป็นกลางในบางบทบาท และต้องเลือกข้างในบางบทบาทครับ
    (แต่ทั้งหมดต้องไม่ก้าวล่วงสถาบันฯอันเป็นที่รักของคนไทย เพราะสถาบันฯไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะมาตอบโต้ได้ครับ)

    ตอบลบ
  3. เสือข่านฟ้า28 มีนาคม, 2552 21:05

    มันคลุมเคลือมาก ทำให้ชาวบ้านสับสนและเบื่อการเมืองมาก แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีชาวบ้านมากมายตกอยู่ภายใต้เหยื่อจิตวิทยาและปรัชญาของคนระดับปัญญาชน เฮ่อจะทำอย่างไรให้คนไทยระดับชาวบ้านฉลาดซะที

    ตอบลบ
  4. ไม่ระบุชื่อ24 ตุลาคม, 2554 07:51

    เรื่องที่คุณเขียน ผมยอมรับว่าจริง แต่ขอเสริมตอนที่ประเทศไทยทำไมเจริญสู้ญี่ปุ่นไม่ได้อีกนิดนึงนะครับ ผมว่าเป็นเพราะคนไทยเราไม่ใช่ไม่ถนัดวิทยาศาสตร์หรอก แต่เป็นเพราะเราไม่ยอมศึกษาให้ถ่องแท้ ถ้าเราไม่ฉลาดจริง เราคงไม่มีนักเรียนที่เก่งระดับโอลิมปิกหรอกครับ ถึงแม้ว่าจะเป็นส่วนน้อยก็ตามที

    ตอบลบ
  5. ไม่ระบุชื่อ16 กุมภาพันธ์, 2555 23:40

    นักการเมืองปูทางให้ประชาชนเรียกร้อง"สิทธิ"กันมากเกินไปนะครับ ไม่ได้อะไรๆก็ปิดถนน ทำไมไม่ทำตาม"หน้าที่"กันบ้างน้อ

    ตอบลบ
  6. บรรพบุรุษของพวกเราชาวไทยสมัยก่อนร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับพระเจ้าแผ่นดิน เพื่อรักษาแผ่นดินทองนี้ไว้ให้ลูกหลาน...แต่บรรพบุรุษของคนบางจำพวกชอบหลบหนีเข้าป่าเวลามีศึกสงคราม (รักตัวกลัวตาย) จึงไม่แปลกใจเลยที่จะมีพวกไม่จงรักภักดีคอยเป็นกาฝากอยู่ในประเทศไทย

    ตอบลบ

ถ้าแสดงความเห็นตรงช่องนี้ผมจะได้อ่านทุกความเห็นครับ แต่ถ้าความเห็นไม่ขึ้นอาจเพราะระบบรอตรวจสแปม ต้องรอ1-2วัน / ใหม่ เมืองเอก kaeake@ymail.com


ผู้ติดตาม