วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

สปิริตคนญี่ปุ่นในwar2 ตอน1





ประเทศญี่ปุ่นนั้น มีทั้งภัยธรรมชาติมากมายตามที่รู้กัน ทรัพยากรธรรมชาติก็มีจำนวนจำกัด ไม่ค่อยพอกิน

ก่อนสงครามโลกครั้งที่2นั้น ญี่ปุ่นอดอยากมากๆ คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ยากจน เป็นชาวนาที่ไม่มีนาเป็นของตัวเอง ต้องเช่านาจากนายทุน โดยที่ค่าเช่าก็คือข้าวมีผลิตได้ทั้งหมด คงเหลือแต่ปลายข้าวเท่านั้นที่เก็บไว้กินหุงผสมกับหัวไชเท้า

จักพรรดิฮิโรฮิโต ทรงเลือกวิธีแก้ปัญหาความยากจนความอดอยากของประเทศด้วยการทำสงคราม เพื่อไปยึดประเทศที่อุดมสมบูรณ์กว่า เพื่อส่งอาหารมาเลี้ยงคนในประเทศ

(บ้างก็ว่าพวกนายทหารระดับสูงเป็นผู้เริ่มคิดก่อสงคราม แต่อ้างรบในนามพระจักรพรรดิ เพราะพระจักรพรรดิญี่ปุ่นก็เหมือนในหนังโบราณ ที่บางครั้งพระราชอำนาจก็ถูกคุมโดยเหล่าขุนนาง)

ญี่ปุ่นเขาเก่งในการผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ได้เอง มีเจริญทางด้านอาวุธกว่าชาติใด ๆในเอเชีย ญี่ปุ่นจึงสามารถรบเอาชนะประเทศในเอเซียได้ไม่ยากนัก

ภายหลังจึงเกิดเป็นสงครามมหาเอเชียบูรพา ด้วยข้ออ้างในการยึดครองประเทศอื่น ๆ ว่า ต้องการปลดปล่อยไม่ให้ประเทศเหล่านั้น ตกเป็นเมืองขึ้นของชาติตะวันตกอีกต่อไป

------------------------------

ญี่ปุ่นจะมีหน่วยเครื่องบินรบกามิกาเซ่ หรือหน่วยโจมตีทางอากาศแบบสละชีวิต เพราะลำพังอาวุธที่มีนั้น ก็ยังด้อยกว่าฝ่ายพันธมิตร ยิ่งพอมีอเมริกามาร่วมแจมด้วย ญี่ปุ่นสู้ไม่ได้ด้วยอาวุธที่มี

แต่ขอสู้ด้วยใจ จึงใช้วิธีขับเครื่องบินพุงชนเรือรบแทน



-----------------------------

ต่อมาเมื่อญี่ปุ่นแพ้สงครามจากระเบิดปรมณูของอเมริกาที่ฮิโรชิมาและนางาซากิแล้ว

พระจักรพรรดิญี่ปุ่นทรงอ่านคำประกาศยอมแพ้ มีการถ่ายทอดทางวิทยุทั่วประเทศ แต่คนญี่ปุ่นก็ไม่อยากเชื่อว่าญี่ปุ่นแพ้แล้วจริงๆ เพราะประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น ก็คล้ายไทยคือ ไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของชาติตะวันตก แม้แต่จีนก็ยังแพ้แก่ญี่ปุ่น

ที่สำคัญ สำหรับคนญี่ปุ่นแล้ว พระจักรพรรดิทรงเป็นเสมือนเทพเจ้า เป็นโอรสของเทพพระอาทิตย์ คนญี่ปุ่นนับถือพระองค์ราวกับเทพเจ้า ยอมตายแทนพระองค์ได้

คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ไม่เคยเห็นหน้าพระจักรพรรดิ และการประกาศยอมแพ้สงครามครั้งนั้น ก็เป็นครั้งแรกที่คนญี่ปุ่นได้ยินพระสุรเสียงขององค์พระจักรพรรดิ

คนญี่ปุ่นบางคนเลยไม่เชื่อว่า องค์จักรพรรดิมทรงยอมแพ้แล้วจริงๆ


สมเด็จพระจักรพรรดิอิโรฮิโต ทรงประกาศยอมแพ้สงคราม


------------------------------

จนเมื่อคนญี่ปุ่นเชื่อกันทั้งประเทศว่าญี่ปุ่นแพ้แล้วจริงๆ ก็ตอนที่ทหารอเมริกันบุกเข้ามาในญี่ปุ่น เพื่อควบคุมเรื่องต่าง ๆ แล้ว

มีคนญี่ปุ่นจำนวนมากมาย ซึ่งมากจริงๆ ทำการฆ่าตัวตายเพราะทำใจไม่ได้ที่ญี่ปุ่นพ่ายแพ้ เพราะคนญี่ปุ่นภูมิใจมาตลอดว่า ญี่ปุ่นไม่เคยแพ้สงครามแก่ต่างชาติ เพราะพวกเขาเชื่อว่า พวกเขาเป็นเชื้อสายแห่งองค์เทพเจ้าพระอาทิตย์ ไม่เคยแพ้ใคร

นักบินกามิกาเซ่จะเป็นนักบินหนุ่มๆวัยรุ่น ที่ยอมสละชีวิตได้เพื่อชาติและองค์พระจักรพรรดิ หลังแพ้สงครามนักบินกามิกาเซ่หลายคนเสียใจที่ไม่มีโอกาสสละชีพตายอย่างมีเกียรติในการขับพุ่งชนเรือรบอเมริกา เพราะพวกเขาต่างให้สัญญาแก่เพื่อนๆที่สละชีวิตไปก่อนแล้วว่า จะไปพบกันบนสวรรค์ ดินแดงแห่งเทพเจ้า

นักบินกามิกาเซ่ หลายคนจึงผูกคอตายบ้าง คว้านท้องตัวเองตายบ้าง เพื่อรักษาเกียรติ์แห่งนักรบ เพราะเมื่อทำหน้าที่ไม่สำเร็จ ก็ขอยอมตายเพื่อชดใช้ความผิดอย่างมีเกียรติ

--------------------------------

ทหารญี่ปุ่นคนสุดท้ายในสงครามโลกครั้งที่2


ร้อยโท ฮิรุ โอโนดะ ได้รับคำสั่งจากพันโทโยชิมา ตานาคูชิ ให้ไปรบในเกาะลูบังในฟิลิปปินส์

เมื่อญี่ปุ่นแพ้สงคราม แต่เขาไม่รู้ เขาจึงยังอยู่ในป่าต่อไป เพื่อนพ้องก็ตายกันหมดแล้ว (ลูกน้องคนสุดท้ายของเขาตายในปีค.ศ.1972 หลังสงครามจบไป17ปีถ้าจำไม่ผิดน่าจะถูกยิงจากตำรวจท้องถิ่น ขณะที่ทั้งสองคนไปเผายุ้งฉางชาวนา)

เมื่อเครื่องบินของอเมริกาบินมาโปรยใบปลิว และประกาศเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า ญีี่ปุ่นได้ยอมแพ้สงครามแล้ว ให้ทหารญี่ปุ่นออมามอบตัวซะ

เขาไม่เชื่อ เพราะเขาคิดว่านั่นเป็นการโฆษณาชวนเชื่อ เป็นแผนหลอกของฝ่ายตรงข้าม หลอกเขาให้ออกไปโดนฆ่าโดยพวกทหารอเมริกันแน่ๆ

เขาจึงซ่อนตัวอยู่ในป่าฟิลิปปินส์ต่อไป เขาต่อสู้แบบสงครามกองโจรกับทหารลูกน้อง3คนของเขา ลูกน้องที่จากไปคนแรกเข้ามอบตัวยอมแพ้ ส่วนอีก2คนต่อมาถูกยิง และตายในเวลาต่อมา

หลังจากนั้นเขาเองจึงไม่ได้คิดสู้กับใคร เหลือแค่ป้องกันตัวเองเท่านั้น เขาอาศัยหาของกินในป่าบ้าง ออกมาขโมยอาหารจากชาวบ้านบ้าง เขาเพียงแค่ไม่ยอมแพ้เท่านั้น เขาพยายามเอาตัวรอดไปวันๆ เพราะคิดว่าสงครามยังดำเนินอยู่

หลายสิบปีผ่านไป รัฐบาลญี่ปุ่นพยายามตามหาเขา และพยายามหาทางให้เขาวางอาวุธแล้วกลับบ้าน ด้วยการนำสำเนาพระบรมราชโองการยอมแพ้ขององค์พระจักรพรรดิไปติดให้ทั่วป่า

แต่เขาไม่เชือว่านี่คือพระบรมราชโองการของจริง



ร้อยโทฮิรุ กับโนริโอะ ซูซูกินักท่องเที่ยวญี่ปุ่นคนนั้น


จนกระทั่ง3อาทิตย์ก่อนเขาจะวางอาวุธ มอบตัว นักท่องเที่ยวญี่ปุ่นไปเที่ยวในป่า บังเอิญไปพบเขา และเล่าความจริงให้เขาฟัง เล่าถึงความเจริญของญี่ปุ่นในตอนนั้น ว่าญี่ปุ่นแพ้สงครามแล้วหลายสิบปี และตอนนี้ญี่ปุ่นคือมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลกแล้วด้วย

ญี่ปุ่นมีความเจริญมากมาย นักท่องเที่ยวคนนั้นโชว์ของใช้ที่ไฮเทคหลายอย่างให้เขาดู แต่เขาก็ยังไม่เชือ

ร้อยโทฮิรุ โอโนดะ บอกว่าถ้าจะให้เขาเชื่อ ต้องให้ผู้บังคับบัญชาของเขาพันโทโยชิมา ตานาคูชิ มายืนยันด้วยตัวเองเท่านั้น เขาถึงจะเชื่อ

นักท่องเที่ยวคนนั้น จึงถายรูปเขากลับมาแจ้งทางการญี่ปุ่น รัฐบาลญี่ปุ่นจึงพยายามตามหาพันโทโยชิ ผู้บังคับบัญชาของเขาจนพบ และส่งพันโทโยชิมาไปแจ้งข่าวการยอมแพ้ของญี่ปุ่นให้เขารู้ถึงที่ฟิลิปปินส์ และออกคำสั่งให้เขายอมวางอาวุธ เขาจึงยอมวางอาวุธและออกจากป่าในที่สุด

ร้อยโทฮิรุ โอโนดะอยู่ในป่า ไม่ยอมแพ้สงครามนานถึง29ปี

สิ่งที่เหลือติดตัวเขาเหลือเพียงชุดทหารขาดกระรุ่งกระริ่ง ปืนเล็กยาวพร้อมกระสุน และดาบซามุไรเท่านั้น

ในวันที่9 มี.ค. ค.ศ.1974เขาเดินทางออกจากเกาะลูบังในฟิลิปปินส์กลับญี่ปุ่น เขาได้รับการต้อนรับจากคนญี่ปุ่นสมดังวีรบุรุษ

เขาไม่ยอมแพ้สงครามทั้งๆที่สงครามจบลงไปแล้วถึง 29ปี!

ต่อมาเขาได้เดินทางออกจากญี่ปุ่น ไปตั้งรกรากที่ประเทศบราซิล ทำฟาร์มปศุสัตว์อยู่ที่นั่น และใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นอย่างมีความสุข จะกลับญี่ปุ่นบ้างในบางครั้งที่ได้รับเชิญ




ผมเคยดูสารคดีเมื่อประมาณ7-8ปีที่แล้ว ตอนนั้นเขายังไม่ตายครับ แต่ปัจจุบันไม่แน่ใจเหมือนกัน (เสียชีวิตแล้วเมื่อเดือนมกราคม 2014)

นี่คือคลิปสารคดีของทหารผู้ที่ยอมแพ้เป็นคนสุดท้ายแห่งกองทัพญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่ 2 ช่วงท้ายๆคลิปจะเป็นภาพเหตุการณ์จริงของเขาครับ





-------------------------------

และเมื่อญี่ปุ่นแพ้สงคราม

"ฮิตเล่อร์" พันธมิตรของญี่ปุ่นก็ตายไปแล้ว นานาชาติที่ได้รับความเสียหายจากสงครามที่ญี่ปุ่นก่อขึ้น และพวกฝ่ายพันธมิตรต่างเรียกร้องที่จะให้นำองค์สมเด็จพระจักรพรรดิมารับการดำเนินคดีที่ศาลโลก

อ่านต่อ สปิริตคนญี่ปุ่นในwar2 ตอน2.


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ถ้าแสดงความเห็นตรงช่องนี้ผมจะได้อ่านทุกความเห็นครับ แต่ถ้าความเห็นไม่ขึ้นอาจเพราะระบบรอตรวจสแปม ต้องรอ1-2วัน / ใหม่ เมืองเอก kaeake@ymail.com


ผู้ติดตาม