วันอังคารที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ไม่ใช่ของในหลวงภูมิพล





บทความนี้ขยายความจากบทความเรื่อง พวกไม่จงรักภักดี ตอน FOBES

มีเพื่อนถามส่งข้อความมาถามผมว่า พวกล้มเจ้าพยายามโยงว่า ในหลวงถือหุ้นปตท. ผ่านทางสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นข้อมูลที่บิดเบือนเพื่อให้คนเข้าใจผิด

เฉกเช่นที่พยายามโยงว่า ในหลวงคือกษัตริย์ที่รวยที่สุดในโลก ซึ่งนี่คือการบิดเบือนข้อมูลที่แย่มาก

คลิกอ่าน ทักษิณ กับ ปตท. สันดานเดียวกันคือ โกง ซุก เลี่ยงภาษี


ผมขอชี้แจงว่า สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์จะเคยมีหุ้นปตท. หรือไม่ก็ตาม (ซึ่งปัจจุบันไม่มีหุ้นในปตท.แล้ว) แต่นั่นก็ไม่ใช่พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ของในหลวงองค์ภูมิพล แต่อย่างใด

เพราะทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เป็นทรัพย์ของแผ่นดิน เป็นทรัพย์ของคนไทยทั้งชาติ ไม่ใช่ของในหลวง!! ตามที่มีกลุ่มชั่วพยายามให้ร้าย

ถ้าใครอยากทราบรายละเอียดเรื่อง ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ แตกต่างจาก ทรัพย์สินส่วนพระองค์ อย่างไร

ผมขอแนะนำให้อ่านเรื่อง "พวกไม่จงรักภักดีฯตอน นิตยสารFOBES" ได้ที่ http://akelovekae.blogspot.com/2008/12/5-fobes.html

เดิมสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เป็นแค่หน่วยงานหนึ่งสังกัดกระทรวงการคลัง ต่อมาได้มีการออกกฎหมายให้เป็นนิติบุคคลแยกต่างหาก แต่ก็ยังมีรมว.คลัง เป็นประธานคณะกรรมการดูแลทรัพย์สินฯโดยตำแหน่ง

ตามรายละเอียดต่างๆในรูปนี้

คลิกที่รูปเพื่อขยาย!!



ส่วนกฎหมายเกี่ยวกับสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และทรัพย์สินส่วนพระองค์ ไปอ่านได้ที่ คลิก!!

-----------------

คำถามง่าย ๆ ที่แสดงให้เห็นชัดว่า ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ไม่ใช่ของในหลวงภูมิพล 

ก่อนที่ผมจะอธิบายรายละเอียดด้านกฎหมาย ผมจะยกตัวอย่างคำถามง่าย ๆ ที่ทำให้ทุกคนมองเห็นภาพและเข้าใจได้ทันที

ถามว่า ในหลวงสามารถเอาพระบรมมหาราชวังไปขายได้ไหม ? ในหลวงสามารถนำพระตำหนักสวนจิตรลดา หรือ ในหลวงสามารถนำพระราชวังไกลกังวลไปขายได้ไหม ?

คำตอบคือ ในหลวงทรงขายไม่ได้แน่นอน เพราะนี่ไม่ใช่ทรัพย์สินส่วนพระองค์ แต่ทั้งหมดที่กล่าวมาคือทรัพย์แผ่นดิน ซึ่งเป็นทรัพย์ของสถาบันพระมหากษัตริย์

ดังนั้น ตรรกะพวกล้มเจ้าที่ยกเอาทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์มาอ้างว่าเป็นของในหลวงภูมิพล จึงเป็นตรรกะที่หลอกคนโง่เท่านั้น

----------------------

การทูลเกล้าถวายเงินแด่พระมหากษัตริย์


มีเพื่อนที่เฟซบุ๊คได้ถามผมมาว่า

"ขอถามนิดนึงค่ะ ทรัพย์สินที่รัฐถวาย ฯ หรือทรัพย์สินที่ทรงได้มาไม่ว่าในทางใดและเวลาใดนอกจากที่ทรงได้มาในฐานะที่ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ คือที่ถวายเป็นการส่วนพระองค์ใช่ไหมคะ"

ผมได้ตอบไปว่า

เงินที่ประชาชนถวายแด่ในหลวง จะต้องถือเป็นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เท่านั้นตามมาตรา 5 พระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2479 (ดูกฎหมายด้านล่างบทความประกอบ)

แต่เมื่อหักค่าใช้จ่ายแล้วตามมาตรา 6 ในพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2479  หากเหลือเท่าใดก็จะทูลเกล้าถวายให้ใช้สอยได้ตามพระราชอัธยาศัย ไม่ว่ากรณีใด ๆ (ซึ่งพอในหลวงทรงได้เงินส่วนนี้มาแล้วถึงจะกลายเป็นพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ โดยจะให้สำนักทรัพย์สินส่วนพระองค์ดูแล)

ส่วนเงินที่ถวายให้แก่พระบรมวงศานุวงศ์ ถือเป็นทรัพย์ส่วนพระองค์ ส่วนที่มักจะมีต่อท้ายว่า โดยเสด็จพระกุศล ก็แปลว่า ประชาชนเจาะจงให้นำไปทำการกุศล

แต่ถ้าในกรณีถวายพระมหากษัตริย์ ก็จะต่อท้ายว่า โดยเสด็จพระราชกุศล ก็ให้ตามพระราชหฤทัยว่าจะทรงนำไปใช้ทำบุญอะไรก็ได้

โดยความเห็นส่วนตัว ผมมองทรัพย์ที่โดยเสด็จพระราชกุศล จะเป็นเงินที่ประชาชนถวายแก่ผู้ดำรงตำแหน่งพระมหากษัตริย์ เงินส่วนนี้เป็นของสถาบันกษัตริย์ไม่ต้องเสียภาษี


ส่วนถวาย ตามพระอัธยาศัย ให้แก่พระบรมวงศานุวงศ์ ก็แปลว่า ให้พระองค์ทรงนำไปใช้ทำอะไรก็ได้ ถือเป็นทรัพย์ส่วนพระองค์ ซึ่งทรัพย์ส่วนพระองค์ต้องเสียภาษี


ส่วนการถวายทรัพย์ให้แก่พระบรมวงศานุวงศ์ เช่นถวายสมเด็จพระเทพรัตนฯ หรือพระองค์อื่น ๆ ก็ต้องถือว่าเป็นทรัพย์ส่วนพระองค์ทั้งสิ้น และต้องเสียภาษีรายได้ประจำปีด้วย


แต่ถ้าหากประชาชนต้องการเจาะจงว่าจะทูลเกล้าถวายเพื่อประโยชน์อันใด เช่นต้องการถวายเพื่อมูลนิธิสายใจไทย

ตัวอย่าง นายA ทูลเกล้าถวายเงินแด่สมเด็จพระเทพฯ ก็จะระบุต่อท้ายว่า เพื่อทรงใช้ในกิจการมูลนิธิสายใจไทย เป็นต้น

แปลว่า เราจะทูลเกล้าถวายให้แต่ละพระองค์ แบบตามใจพระองค์ท่านเห็นควร หรือ เราจะระบุที่หมายของเงินก็ได้ว่า เราต้องการให้นำเงินนั้นไปใช้เพื่อประโยชน์ใด ก็ได้ครับ



คลิกที่รูปเพื่อขยาย!!



--------------------


พวกไม่หวังดีโจมตีเรื่องพระราชอำนาจควบคุมสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์

พวกมันพยายามโจมตีเรื่องสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ว่า ในหลวงยังทรงมีพระราชอำนาจควบคุมอยู่ ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่า พวกนี้มันโง่หรืออย่างไร

ก็ในเมื่อในหลวงทรงดำรงตำแหน่งเป็นพระมหากษัตริย์ ก็ย่อมมีพระราชอำนาจในการเข้าไปดูแลทรัพย์สินของพระมหากษัตริย์ได้ตามสมควร ตามกฎหมาย ซึ่งเป็นไปโดยตำแหน่งเท่านั้น

ซึ่งผมเคยเขียนไว้คร่าวๆ ในบทความ พวกไม่จงรักภักดี ตอนนิตยสาร fobes ไว้บ้างแล้ว แต่จะมาขอขยายความเพิ่มเติมอีกสักนิด คือ

ถึงแม้ในหลวงจะมีพระราชอำนาจตามกฎหมายในการแต่งตั้งคณะกรรมการเข้ามาดูแลสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ก็ตาม นั่นถือเป็นการให้เกียรติตำแหน่งพระมหากษัตริย์

และก็ไม่เห็นต้องแปลกใจอะไร ก็องค์ภูมิพลฯ ทรงดำรงตำแหน่งพระมหากษัตริย์ ก็ย่อมมีพระราชอำนาจมาดูแลได้บ้าง คือพระองค์ทำไปโดยตำแหน่งของพระองค์

ก็เหมือน รมว.คลังวันนี้เป็นของพรรคเพื่อไทย ก็มีอำนาจดูแลงบประมาณชาติ

ผมขอสมมุติเช่น ในอีก100 ปีข้างหน้า หากพระมหากษัตริย์ไทยไม่ได้มาจากราชสกุลมหิดล อาจมาจากราชสกุลอื่นๆ คณะกรรมการดูแลสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ก็จะได้รับพระราชทานแต่งตั้งจากพระมหากษัตริย์ในราชสกุลอื่นๆ ต่อไป

ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ไม่ได้ตกทอดมาเป็นของราชสกุลมหิดลสักหน่อย

ถ้าวันนี้ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นขององค์ภูมิพลจริงๆ ทรัพย์สินส่วนนี้ก็ต้องอยู่ในราชสกุลมหิดลต่อไปจริงมั้ย? แต่ความจริงไม่ได้เป็นแบบนั้น

ผมอธิบายแบบนี้พอเข้าใจไหมครับ?

และความจริงแล้ว ในหลวงก็ทรงไม่ได้ก้าวก่ายงานบริหารสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เกินกว่าที่กฎหมายกำหนดแต่อย่างใด มีบางเรื่องเท่านั้น ที่ผู้อำนวยการสำนักทรัพย์สินฯ จะต้องให้ในหลวงทรงลงพระปรมาภิไธย เพื่อมีพระบรมราชานุญาต ก็เป็นไปตามกฎหมายกำหนด

ถ้าจะเปรียบเทียบเป็นบริษัทมหาชน เรื่องสำคัญๆ บางเรื่องก็ต้องผ่านการลงนามเห็นชอบจากประธานบริษัทเสียก่อน ก็เท่านั้น แต่คนบริหารกิจการจริงๆ กลับเป็นกรรมการผู้จัดการ MD หรือ ประธานบริหาร CEO เป็นต้น

ผมจะเขียนให้เห็นภาพง่าย ๆ เปรียบเช่น

ในหลวง ทรงเป็น ประธานกิตติมศักดิ์ แต่ได้พระราชอำนาจพิเศษจากกฎหมาย โดยให้เกียรติพระองค์มีพระราชอำนาจแต่งตั้งคณะกรรมการได้

รมว.คลัง เป็น ประธานกรรมการบรฺิษัท

ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ก็เป็น CEO

แต่ทุกตำแหน่งก็ไม่ใช่เจ้าของบริษัท เพียงแต่มีอำนาจในการจัดการเท่านั้น

และที่ผมเปรียบเทียบคล้ายบริษัท ก็แค่เปรียบเทียบเพื่อให้มองเห็นภาพได้ชัดมากขึ้นเท่านั้น


และในความเป็นจริง สนง.ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ไม่ใช่บริษัท แต่เป็นองค์กรพิเศษ ที่มีกฎหมายพิเศษควบคุมโดยเฉพาะ นั่นคือ พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ 2479



เช่น ถ้าสนง.ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เป็นของในหลวงภูมิพลจริง ๆ

ถามว่า ในหลวงภูมิพลจะทรงเขียนพินัยกรรมยก สนง.ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ให้ไปเป็นของใครก็ตามที่พระองค์พอพระราชหฤทัยได้หรือไม่ ?

คำตอบ คือไม่ได้ เพราะผิดกฎหมาย

ดังนั้น ใครที่กล่าวหาว่า สนง.ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นของในหลวงภูมิพล จึงมีแต่พวกโง่เท่านั้น

---------------------

ประเด็นมาตรา 6 ที่พวกล้มเจ้าชอบอ้าง

มาตรา 6 พระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พุทธศักราช 2479

การที่มีกฎหมายกำหนดเกี่ยวกับพระราชอำนาจในสำนักงานทรัพย์สินฯ ก็แสดงว่า ในหลวงจะทรงทำอะไรที่นอกเหนือจากกฎหมายกำหนดไม่ได้

ทีนี้เรามาเริ่มดูที่มาตรา 5 ต่อเนื่องมาตรา 6 ครับ

มาตรา 5 ทรัพย์สินส่วนสาธารณสมบัติของแผ่นดินและทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์บรรดาที่เป็นเครื่องอุปโภคบริโภค ให้อยู่ในความดูแลรักษาของสำนักพระราชวัง
ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์นอกจากที่กล่าวในวรรคก่อน ให้อยู่ในความดูแลรักษาและจัดหาผลประโยชน์ของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
ทรัพย์สินส่วนพระองค์นั้น การดูแลรักษาและการจัดหาผลประโยชน์ให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย

มาตรา 6* รายได้จากทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ที่กล่าวใน มาตรา 5 วรรคสองนั้น จะจ่ายได้ก็แต่เฉพาะในประเภทรายจ่ายที่ต้อง จ่ายตามข้อผูกพัน รายจ่ายที่จ่ายเป็นเงินเดือน บำเหน็จ บำนาญ เงินรางวัล เงินค่าใช้สอย เงินการจร เงินลงทุน และรายจ่ายในการพระราชกุศลเหล่านี้เฉพาะที่ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตแล้วเท่านั้น

รายได้ซึ่งได้หักรายจ่ายตามความในวรรคก่อนแล้ว จะจำหน่าย ใช้สอยได้ก็แต่โดยพระมหากษัตริย์ตามพระราชอัธยาศัย ไม่ว่าในกรณีใด ๆ หรือโดยคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เฉพาะในกรณีที่เกี่ยวกับการ พระราชกุศลอันเป็นการสาธารณะหรือในทางศาสนาหรือราชประเพณี บรรดาที่เป็นพระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์เท่านั้น


*[มาตรา 6 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติฯ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2491)



มาตรา 6 รายจ่ายในชั้นแรก ก็จะจ่ายตามภาระผูกพันประเภท เงินเดือน บำเหน็จ บำนาญของเจ้าหน้าที่ ค่าใช้จ่ายของสำนักงานทรัพย์สิน ตลอดจนเงินลงทุน อื่น ๆ ซึ่งเป็นอำนาจของคณะผู้บริหาร สนง.ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ที่มีผู้อำนวยการสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เป็นผู้บริหาร

รายจ่ายในชั้นต่อมา คือเงินพระราชกุศลเพื่อการสาธารณะต่าง ๆ ก็จะต้องมาขอพระบรมราชานุญาตก่อน

ส่วนประเด็นสำคัญจากมาตรา 6 ในประโยคที่ว่า "รายได้ซึ่งได้หักรายจ่ายตามความในวรรคก่อนแล้ว จะจำหน่าย ใช้สอยได้ก็แต่โดยพระมหากษัตริย์ตามพระราชอัธยาศัย ไม่ว่าในกรณีใด ๆ"

ตรงส่วนนี้พวกล้มเจ้ามักนำมาอ้าง ตรงนี้นี่แหละ ที่ทำให้ในหลวงภูมิพลคือเจ้าของสำนักงานทรัพย์สินฯ โดยอ้างว่า ผลประโยชน์ที่เหลือตรงส่วนนี้ ในหลวงภูมิพลทรงนำไปใช้ได้ตามพระราชอัธยาศัย ไม่ว่ากรณีใด ๆ

แต่นั่นต้องมีเงินเหลือจากการหักค่าใช้จ่ายแล้วเท่านั้น จึงจะเหลือให้ ผู้ดำรงตำแหน่งพระมหากษัตริย์นำไปใช้ได้ ซึ่งจะกลายเป็นทรัพย์สินส่วนพระองค์และต้องเสียภาษีรายได้ประจำปี

แต่ถ้าไม่มีเงินเหลือล่ะ เช่นบางปีงบสมดุล หรือบางปีงบขาดทุนล่ะ??

ถามว่า ถ้าปีไหนงบขาดดุล หรืองบสมดุลพอดี ก็แปลว่า ก็จะไม่มีเงินเหลือมาให้พระมหากษัตริย์ทรงได้พิจารณาว่าจะนำไปใช้ในสิ่งใด จริงไหม ?

ที่มาปัญหาก็มาจาก สนง.ทรัพย์สินฯ บริหารดีมีกำไรเหลือ พวกล้มเจ้าจึงจ้องอยากจะได้ จ้องจะหาเรื่อง!!

กฎหมายกำหนดไว้ว่า ต้องหักค่าใช้จ่ายก่อน ถ้ามีเงินเหลือถึงจะนำมาถวายให้พระมหากษัตริย์สามารถนำไปใช้ได้ตามพระราชอัธยาศัย

นี่ก็เท่ากับว่า สนง.ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ไม่ใช่ของในหลวงภูมิพลอย่างแน่นอน เพราะถ้าเป็นของในหลวงจริง ๆ ทำไมต้องรอจนปลายปีว่า ต้องมีเงินเหลือก่อน ถึงจะได้สิทธิใช้เงินตามพระราชอัธยาศัย 

ถ้า สนง. ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นของในหลวงภูมิพลจริง ๆ ถ้าพระองค์อยากได้เงินจากส่วนไหนเวลาไหนก็ต้องได้เลยสิ อยากจะโอนทรัพย์สินไปให้ใครก็ต้องทำได้เลยสิ โดยไม่ต้องทรงขออนุญาตจากใคร แต่พระองค์ก็ทำไม่ได้ เพราะมีกฎหมายห้ามไว้!!

หรือหากในแต่ละปีสำนักงานทรัพย์สินมีเงินเหลือจากหักค่าใช้จ่ายแล้วถวายให้ผู้ดำรงตำแหน่งพระมหากษัตริย์

ผมก็ว่าไม่เห็นจะแปลกที่จะถวายเงินส่วนที่เหลือให้ผู้ดำรงตำแหน่งพระมหากษัตริย์ได้ใช้สอยบ้าง เพราะผมตีความผลประโยชน์ส่วนนี้เป็นเสมือน เป็นรายได้ประจำตำแหน่งพระมหากษัตริย์

ซึ่งไม่ว่าใคร ๆ ในโลกนี้ ถ้าได้เงินจากตำแหน่ง ก็สามารถนำไปใช้และถือเป็นเงินส่วนตัวของตนก็ได้ จริงหรือไม่ ?

เช่น ถ้าคุณได้เงินเดือนจากตำแหน่งทางราชการ คุณก็สามารถนำไปใช้ในเรื่องส่วนตัวก็ได้ใช่หรือไม่ ? 

แต่พวกล้มเจ้ามันโง่และแถ พวกมันจะไม่ยอมให้เงินที่ถวายให้พระมหากษัตรย์ไปใช้ในเรื่องส่วนพระองค์เลย พวกล้มเจ้ามันเลวจริง ๆ

ซึ่งในความเชื่อของผม ผมว่า ถ้ามีเงินเหลือพระมหากษัตริย์ไทยก็จะให้นำไปใช้เพื่อประโยชน์สาธารณะอยู่ดี

"เพราะสมบัติตรงนี้แต่เดิมเป็นของกษัตริย์ ผลประโยชน์ที่เหลือจะมอบให้ผู้ดำรงตำแหน่งกษัตริย์รับผลประโยชน์บ้าง มันไม่เห็นจะผิดตรงไหนเลย จริงไหมครับ"

หรือในแต่ละปีพระองค์อาจไม่นำไปใช้อะไรเลยก็ได้ ก็คืนกลับ สนง.ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ไป

--------------------------

สรุป สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เป็นของใคร ?

ผมขอสรุปว่า สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นของแผ่นดิน ในนามสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็น 1 ใน 3 สถาบันหลักของชาติ (จึงถือว่าเป็นของคนไทยทั้งชาติเช่นกัน)

สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ไม่ใช่องค์กรรัฐ แต่มีสภาพเป็นนิติบุคคลอิสระ ที่มีกฎหมายควบคุมกำหนดเป็นพิเศษ

สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ไม่ใช่ของในหลวงภูมิพล ไม่ใช่ในหลวงพระองค์ใด ๆ ทั้งนั้น

ไม่ว่าพระมหากษัตริย์จะมาจากราชสกุลไหนก็ตาม ก็จะได้พระราชอำนาจตามกฎหมายในการกำกับดูแลสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ทั้งสิ้น

และในแต่ละปี เงินและผลประโยชน์ของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ก็ได้นำมาทำเพื่อสาธารณะประโยชน์มากมาย ซึ่งมากกว่าหน่วยงานของรัฐในหลาย ๆ หน่วยงานด้วยซ้ำครับ

คลิกอ่าน เงินพระราชทานแก่ท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์ ตอกย้ำ สนง.ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ไม่ใช่ของในหลวงภูมิพล


4 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ23 กุมภาพันธ์, 2556 11:40

    เอาไว้ในอนาคต ความคิดเห็นแตกต่างกัน เมื่อถึงเวลาอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด อย่าให้เป็นเหมือนกบเลือกนายนะ จะตายกันหมด

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ26 มีนาคม, 2556 13:09

    คุณคนไม่ระบุชื่อ ยังไงก็จะโน้มท่านลงมาให้ได้ใช่มั้ย ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ขอให้นรกกินกบาล

    ตอบลบ
  3. ไม่ระบุชื่อ16 ธันวาคม, 2557 23:55

    คนกินเงินภาษีประชาชนนี่ซินรกน่าจะกินกบาลมากกว่า

    ตอบลบ
  4. ไม่ระบุชื่อ16 พฤษภาคม, 2558 05:12

    คำโบราณ ว่าสีซอให้ควายฟัง คนบางกล่ม.กะโหลกหนาแน่นกว่าควาย.อธิบายยังไง ก็ยังเชื่อแบบ ควายๆๆ.ไม่แหกหู แหกตา ดูโลกภายนอก.อยากรู้ว่าใครรวยที่สุดในโลก ก็กดเข้าไปใน Internet ก็เห็นแล้ว ยังไม่เห็นคนไทยคนไหนติดอันดับ 1เลย

    ตอบลบ

ถ้าแสดงความเห็นตรงช่องนี้ผมจะได้อ่านทุกความเห็นครับ แต่ถ้าความเห็นไม่ขึ้นอาจเพราะระบบรอตรวจสแปม ต้องรอ1-2วัน / ใหม่ เมืองเอก kaeake@ymail.com


ผู้ติดตาม