บทความนี้ขยายความจากบทความเรื่อง พวกไม่จงรักภักดี ตอน FOBES
มีเพื่อนถามส่งข้อความมาถามผมว่า พวกล้มเจ้าพยายามโยงว่า ในหลวงถือหุ้นปตท. ผ่านทางสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นข้อมูลที่บิดเบือนเพื่อให้คนเข้าใจผิด
เฉกเช่นที่พยายามโยงว่า ในหลวงคือกษัตริย์ที่รวยที่สุดในโลก ซึ่งนี่คือการบิดเบือนข้อมูลที่แย่มาก
คลิกอ่าน ทักษิณ กับ ปตท. สันดานเดียวกันคือ โกง ซุก เลี่ยงภาษี
ผมขอชี้แจงว่า สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์จะเคยมีหุ้นปตท. หรือไม่ก็ตาม (ซึ่งปัจจุบันไม่มีหุ้นในปตท.แล้ว) แต่นั่นก็ไม่ใช่พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ของในหลวงองค์ภูมิพล แต่อย่างใด
เพราะทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เป็นทรัพย์ของแผ่นดิน เป็นทรัพย์ของคนไทยทั้งชาติ ไม่ใช่ของในหลวง!! ตามที่มีกลุ่มชั่วพยายามให้ร้าย
ถ้าใครอยากทราบรายละเอียดเรื่อง ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ แตกต่างจาก ทรัพย์สินส่วนพระองค์ อย่างไร
ผมขอแนะนำให้อ่านเรื่อง "พวกไม่จงรักภักดีฯตอน นิตยสารFOBES" ได้ที่ http://akelovekae.blogspot.com/2008/12/5-fobes.html
เดิมสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เป็นแค่หน่วยงานหนึ่งสังกัดกระทรวงการคลัง ต่อมาได้มีการออกกฎหมายให้เป็นนิติบุคคลแยกต่างหาก แต่ก็ยังมีรมว.คลัง เป็นประธานคณะกรรมการดูแลทรัพย์สินฯโดยตำแหน่ง
ตามรายละเอียดต่างๆในรูปนี้
คลิกที่รูปเพื่อขยาย!!
ส่วนกฎหมายเกี่ยวกับสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และทรัพย์สินส่วนพระองค์ ไปอ่านได้ที่ คลิก!!
-----------------
คำถามง่าย ๆ ที่แสดงให้เห็นชัดว่า ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ไม่ใช่ของในหลวงภูมิพล
ก่อนที่ผมจะอธิบายรายละเอียดด้านกฎหมาย ผมจะยกตัวอย่างคำถามง่าย ๆ ที่ทำให้ทุกคนมองเห็นภาพและเข้าใจได้ทันที
ถามว่า ในหลวงสามารถเอาพระบรมมหาราชวังไปขายได้ไหม ? ในหลวงสามารถนำพระตำหนักสวนจิตรลดา หรือ ในหลวงสามารถนำพระราชวังไกลกังวลไปขายได้ไหม ?
คำตอบคือ ในหลวงทรงขายไม่ได้แน่นอน เพราะนี่ไม่ใช่ทรัพย์สินส่วนพระองค์ แต่ทั้งหมดที่กล่าวมาคือทรัพย์แผ่นดิน ซึ่งเป็นทรัพย์ของสถาบันพระมหากษัตริย์
ดังนั้น ตรรกะพวกล้มเจ้าที่ยกเอาทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์มาอ้างว่าเป็นของในหลวงภูมิพล จึงเป็นตรรกะที่หลอกคนโง่เท่านั้น
----------------------
การทูลเกล้าถวายเงินแด่พระมหากษัตริย์
มีเพื่อนที่เฟซบุ๊คได้ถามผมมาว่า
"ขอถามนิดนึงค่ะ ทรัพย์สินที่รัฐถวาย ฯ หรือทรัพย์สินที่ทรงได้มาไม่ว่าในทางใดและเวลาใดนอกจากที่ทรงได้มาในฐานะที่ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ คือที่ถวายเป็นการส่วนพระองค์ใช่ไหมคะ"
ผมได้ตอบไปว่า
เงินที่ประชาชนถวายแด่ในหลวง จะต้องถือเป็นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เท่านั้นตามมาตรา 5 พระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2479 (ดูกฎหมายด้านล่างบทความประกอบ)
แต่เมื่อหักค่าใช้จ่ายแล้วตามมาตรา 6 ในพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2479 หากเหลือเท่าใดก็จะทูลเกล้าถวายให้ใช้สอยได้ตามพระราชอัธยาศัย ไม่ว่ากรณีใด ๆ (ซึ่งพอในหลวงทรงได้เงินส่วนนี้มาแล้วถึงจะกลายเป็นพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ โดยจะให้สำนักทรัพย์สินส่วนพระองค์ดูแล)
ส่วนเงินที่ถวายให้แก่พระบรมวงศานุวงศ์ ถือเป็นทรัพย์ส่วนพระองค์ ส่วนที่มักจะมีต่อท้ายว่า โดยเสด็จพระกุศล ก็แปลว่า ประชาชนเจาะจงให้นำไปทำการกุศล
แต่ถ้าในกรณีถวายพระมหากษัตริย์ ก็จะต่อท้ายว่า โดยเสด็จพระราชกุศล ก็ให้ตามพระราชหฤทัยว่าจะทรงนำไปใช้ทำบุญอะไรก็ได้
โดยความเห็นส่วนตัว ผมมองทรัพย์ที่โดยเสด็จพระราชกุศล จะเป็นเงินที่ประชาชนถวายแก่ผู้ดำรงตำแหน่งพระมหากษัตริย์ เงินส่วนนี้เป็นของสถาบันกษัตริย์ไม่ต้องเสียภาษี
ส่วนถวาย ตามพระอัธยาศัย ให้แก่พระบรมวงศานุวงศ์ ก็แปลว่า ให้พระองค์ทรงนำไปใช้ทำอะไรก็ได้ ถือเป็นทรัพย์ส่วนพระองค์ ซึ่งทรัพย์ส่วนพระองค์ต้องเสียภาษี
ส่วนการถวายทรัพย์ให้แก่พระบรมวงศานุวงศ์ เช่นถวายสมเด็จพระเทพรัตนฯ หรือพระองค์อื่น ๆ ก็ต้องถือว่าเป็นทรัพย์ส่วนพระองค์ทั้งสิ้น และต้องเสียภาษีรายได้ประจำปีด้วย
แต่ถ้าหากประชาชนต้องการเจาะจงว่าจะทูลเกล้าถวายเพื่อประโยชน์อันใด เช่นต้องการถวายเพื่อมูลนิธิสายใจไทย
ตัวอย่าง นายA ทูลเกล้าถวายเงินแด่สมเด็จพระเทพฯ ก็จะระบุต่อท้ายว่า เพื่อทรงใช้ในกิจการมูลนิธิสายใจไทย เป็นต้น
แปลว่า เราจะทูลเกล้าถวายให้แต่ละพระองค์ แบบตามใจพระองค์ท่านเห็นควร หรือ เราจะระบุที่หมายของเงินก็ได้ว่า เราต้องการให้นำเงินนั้นไปใช้เพื่อประโยชน์ใด ก็ได้ครับ
คลิกที่รูปเพื่อขยาย!!
--------------------
พวกไม่หวังดีโจมตีเรื่องพระราชอำนาจควบคุมสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
พวกมันพยายามโจมตีเรื่องสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ว่า ในหลวงยังทรงมีพระราชอำนาจควบคุมอยู่ ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่า พวกนี้มันโง่หรืออย่างไร
ก็ในเมื่อในหลวงทรงดำรงตำแหน่งเป็นพระมหากษัตริย์ ก็ย่อมมีพระราชอำนาจในการเข้าไปดูแลทรัพย์สินของพระมหากษัตริย์ได้ตามสมควร ตามกฎหมาย ซึ่งเป็นไปโดยตำแหน่งเท่านั้น
ซึ่งผมเคยเขียนไว้คร่าวๆ ในบทความ พวกไม่จงรักภักดี ตอนนิตยสาร fobes ไว้บ้างแล้ว แต่จะมาขอขยายความเพิ่มเติมอีกสักนิด คือ
ถึงแม้ในหลวงจะมีพระราชอำนาจตามกฎหมายในการแต่งตั้งคณะกรรมการเข้ามาดูแลสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ก็ตาม นั่นถือเป็นการให้เกียรติตำแหน่งพระมหากษัตริย์
และก็ไม่เห็นต้องแปลกใจอะไร ก็องค์ภูมิพลฯ ทรงดำรงตำแหน่งพระมหากษัตริย์ ก็ย่อมมีพระราชอำนาจมาดูแลได้บ้าง คือพระองค์ทำไปโดยตำแหน่งของพระองค์
ก็เหมือน รมว.คลังวันนี้เป็นของพรรคเพื่อไทย ก็มีอำนาจดูแลงบประมาณชาติ
ผมขอสมมุติเช่น ในอีก100 ปีข้างหน้า หากพระมหากษัตริย์ไทยไม่ได้มาจากราชสกุลมหิดล อาจมาจากราชสกุลอื่นๆ คณะกรรมการดูแลสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ก็จะได้รับพระราชทานแต่งตั้งจากพระมหากษัตริย์ในราชสกุลอื่นๆ ต่อไป
ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ไม่ได้ตกทอดมาเป็นของราชสกุลมหิดลสักหน่อย
ถ้าวันนี้ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นขององค์ภูมิพลจริงๆ ทรัพย์สินส่วนนี้ก็ต้องอยู่ในราชสกุลมหิดลต่อไปจริงมั้ย? แต่ความจริงไม่ได้เป็นแบบนั้น
ผมอธิบายแบบนี้พอเข้าใจไหมครับ?
และความจริงแล้ว ในหลวงก็ทรงไม่ได้ก้าวก่ายงานบริหารสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เกินกว่าที่กฎหมายกำหนดแต่อย่างใด มีบางเรื่องเท่านั้น ที่ผู้อำนวยการสำนักทรัพย์สินฯ จะต้องให้ในหลวงทรงลงพระปรมาภิไธย เพื่อมีพระบรมราชานุญาต ก็เป็นไปตามกฎหมายกำหนด
ถ้าจะเปรียบเทียบเป็นบริษัทมหาชน เรื่องสำคัญๆ บางเรื่องก็ต้องผ่านการลงนามเห็นชอบจากประธานบริษัทเสียก่อน ก็เท่านั้น แต่คนบริหารกิจการจริงๆ กลับเป็นกรรมการผู้จัดการ MD หรือ ประธานบริหาร CEO เป็นต้น
ผมจะเขียนให้เห็นภาพง่าย ๆ เปรียบเช่น
ในหลวง ทรงเป็น ประธานกิตติมศักดิ์ แต่ได้พระราชอำนาจพิเศษจากกฎหมาย โดยให้เกียรติพระองค์มีพระราชอำนาจแต่งตั้งคณะกรรมการได้
รมว.คลัง เป็น ประธานกรรมการบรฺิษัท
ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ก็เป็น CEO
แต่ทุกตำแหน่งก็ไม่ใช่เจ้าของบริษัท เพียงแต่มีอำนาจในการจัดการเท่านั้น
และที่ผมเปรียบเทียบคล้ายบริษัท ก็แค่เปรียบเทียบเพื่อให้มองเห็นภาพได้ชัดมากขึ้นเท่านั้น
และในความเป็นจริง สนง.ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ไม่ใช่บริษัท แต่เป็นองค์กรพิเศษ ที่มีกฎหมายพิเศษควบคุมโดยเฉพาะ นั่นคือ พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ 2479
เช่น ถ้าสนง.ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เป็นของในหลวงภูมิพลจริง ๆ
ถามว่า ในหลวงภูมิพลจะทรงเขียนพินัยกรรมยก สนง.ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ให้ไปเป็นของใครก็ตามที่พระองค์พอพระราชหฤทัยได้หรือไม่ ?
คำตอบ คือไม่ได้ เพราะผิดกฎหมาย
ดังนั้น ใครที่กล่าวหาว่า สนง.ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นของในหลวงภูมิพล จึงมีแต่พวกโง่เท่านั้น
---------------------
ประเด็นมาตรา 6 ที่พวกล้มเจ้าชอบอ้าง
มาตรา 6 พระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พุทธศักราช 2479
การที่มีกฎหมายกำหนดเกี่ยวกับพระราชอำนาจในสำนักงานทรัพย์สินฯ ก็แสดงว่า ในหลวงจะทรงทำอะไรที่นอกเหนือจากกฎหมายกำหนดไม่ได้
ทีนี้เรามาเริ่มดูที่มาตรา 5 ต่อเนื่องมาตรา 6 ครับ
มาตรา 5 ทรัพย์สินส่วนสาธารณสมบัติของแผ่นดินและทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์บรรดาที่เป็นเครื่องอุปโภคบริโภค ให้อยู่ในความดูแลรักษาของสำนักพระราชวัง
ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์นอกจากที่กล่าวในวรรคก่อน ให้อยู่ในความดูแลรักษาและจัดหาผลประโยชน์ของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
ทรัพย์สินส่วนพระองค์นั้น การดูแลรักษาและการจัดหาผลประโยชน์ให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย
มาตรา 6* รายได้จากทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ที่กล่าวใน มาตรา 5 วรรคสองนั้น จะจ่ายได้ก็แต่เฉพาะในประเภทรายจ่ายที่ต้อง จ่ายตามข้อผูกพัน รายจ่ายที่จ่ายเป็นเงินเดือน บำเหน็จ บำนาญ เงินรางวัล เงินค่าใช้สอย เงินการจร เงินลงทุน และรายจ่ายในการพระราชกุศลเหล่านี้เฉพาะที่ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตแล้วเท่านั้น
รายได้ซึ่งได้หักรายจ่ายตามความในวรรคก่อนแล้ว จะจำหน่าย ใช้สอยได้ก็แต่โดยพระมหากษัตริย์ตามพระราชอัธยาศัย ไม่ว่าในกรณีใด ๆ หรือโดยคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เฉพาะในกรณีที่เกี่ยวกับการ พระราชกุศลอันเป็นการสาธารณะหรือในทางศาสนาหรือราชประเพณี บรรดาที่เป็นพระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์เท่านั้น
*[มาตรา 6 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติฯ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2491)
มาตรา 6 รายจ่ายในชั้นแรก ก็จะจ่ายตามภาระผูกพันประเภท เงินเดือน บำเหน็จ บำนาญของเจ้าหน้าที่ ค่าใช้จ่ายของสำนักงานทรัพย์สิน ตลอดจนเงินลงทุน อื่น ๆ ซึ่งเป็นอำนาจของคณะผู้บริหาร สนง.ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ที่มีผู้อำนวยการสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เป็นผู้บริหาร
รายจ่ายในชั้นต่อมา คือเงินพระราชกุศลเพื่อการสาธารณะต่าง ๆ ก็จะต้องมาขอพระบรมราชานุญาตก่อน
ส่วนประเด็นสำคัญจากมาตรา 6 ในประโยคที่ว่า "รายได้ซึ่งได้หักรายจ่ายตามความในวรรคก่อนแล้ว จะจำหน่าย ใช้สอยได้ก็แต่โดยพระมหากษัตริย์ตามพระราชอัธยาศัย ไม่ว่าในกรณีใด ๆ"
ตรงส่วนนี้พวกล้มเจ้ามักนำมาอ้าง ตรงนี้นี่แหละ ที่ทำให้ในหลวงภูมิพลคือเจ้าของสำนักงานทรัพย์สินฯ โดยอ้างว่า ผลประโยชน์ที่เหลือตรงส่วนนี้ ในหลวงภูมิพลทรงนำไปใช้ได้ตามพระราชอัธยาศัย ไม่ว่ากรณีใด ๆ
แต่นั่นต้องมีเงินเหลือจากการหักค่าใช้จ่ายแล้วเท่านั้น จึงจะเหลือให้ ผู้ดำรงตำแหน่งพระมหากษัตริย์นำไปใช้ได้ ซึ่งจะกลายเป็นทรัพย์สินส่วนพระองค์และต้องเสียภาษีรายได้ประจำปี
แต่ถ้าไม่มีเงินเหลือล่ะ เช่นบางปีงบสมดุล หรือบางปีงบขาดทุนล่ะ??
ถามว่า ถ้าปีไหนงบขาดดุล หรืองบสมดุลพอดี ก็แปลว่า ก็จะไม่มีเงินเหลือมาให้พระมหากษัตริย์ทรงได้พิจารณาว่าจะนำไปใช้ในสิ่งใด จริงไหม ?
ที่มาปัญหาก็มาจาก สนง.ทรัพย์สินฯ บริหารดีมีกำไรเหลือ พวกล้มเจ้าจึงจ้องอยากจะได้ จ้องจะหาเรื่อง!!
กฎหมายกำหนดไว้ว่า ต้องหักค่าใช้จ่ายก่อน ถ้ามีเงินเหลือถึงจะนำมาถวายให้พระมหากษัตริย์สามารถนำไปใช้ได้ตามพระราชอัธยาศัย
นี่ก็เท่ากับว่า สนง.ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ไม่ใช่ของในหลวงภูมิพลอย่างแน่นอน เพราะถ้าเป็นของในหลวงจริง ๆ ทำไมต้องรอจนปลายปีว่า ต้องมีเงินเหลือก่อน ถึงจะได้สิทธิใช้เงินตามพระราชอัธยาศัย
ถ้า สนง. ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นของในหลวงภูมิพลจริง ๆ ถ้าพระองค์อยากได้เงินจากส่วนไหนเวลาไหนก็ต้องได้เลยสิ อยากจะโอนทรัพย์สินไปให้ใครก็ต้องทำได้เลยสิ โดยไม่ต้องทรงขออนุญาตจากใคร แต่พระองค์ก็ทำไม่ได้ เพราะมีกฎหมายห้ามไว้!!
หรือหากในแต่ละปีสำนักงานทรัพย์สินมีเงินเหลือจากหักค่าใช้จ่ายแล้วถวายให้ผู้ดำรงตำแหน่งพระมหากษัตริย์
ผมก็ว่าไม่เห็นจะแปลกที่จะถวายเงินส่วนที่เหลือให้ผู้ดำรงตำแหน่งพระมหากษัตริย์ได้ใช้สอยบ้าง เพราะผมตีความผลประโยชน์ส่วนนี้เป็นเสมือน เป็นรายได้ประจำตำแหน่งพระมหากษัตริย์
ซึ่งไม่ว่าใคร ๆ ในโลกนี้ ถ้าได้เงินจากตำแหน่ง ก็สามารถนำไปใช้และถือเป็นเงินส่วนตัวของตนก็ได้ จริงหรือไม่ ?
เช่น ถ้าคุณได้เงินเดือนจากตำแหน่งทางราชการ คุณก็สามารถนำไปใช้ในเรื่องส่วนตัวก็ได้ใช่หรือไม่ ?
แต่พวกล้มเจ้ามันโง่และแถ พวกมันจะไม่ยอมให้เงินที่ถวายให้พระมหากษัตรย์ไปใช้ในเรื่องส่วนพระองค์เลย พวกล้มเจ้ามันเลวจริง ๆ
ซึ่งในความเชื่อของผม ผมว่า ถ้ามีเงินเหลือพระมหากษัตริย์ไทยก็จะให้นำไปใช้เพื่อประโยชน์สาธารณะอยู่ดี
"เพราะสมบัติตรงนี้แต่เดิมเป็นของกษัตริย์ ผลประโยชน์ที่เหลือจะมอบให้ผู้ดำรงตำแหน่งกษัตริย์รับผลประโยชน์บ้าง มันไม่เห็นจะผิดตรงไหนเลย จริงไหมครับ"
หรือในแต่ละปีพระองค์อาจไม่นำไปใช้อะไรเลยก็ได้ ก็คืนกลับ สนง.ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ไป
--------------------------
สรุป สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เป็นของใคร ?
ผมขอสรุปว่า สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นของแผ่นดิน ในนามสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็น 1 ใน 3 สถาบันหลักของชาติ (จึงถือว่าเป็นของคนไทยทั้งชาติเช่นกัน)
สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ไม่ใช่องค์กรรัฐ แต่มีสภาพเป็นนิติบุคคลอิสระ ที่มีกฎหมายควบคุมกำหนดเป็นพิเศษ
สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ไม่ใช่ของในหลวงภูมิพล ไม่ใช่ในหลวงพระองค์ใด ๆ ทั้งนั้น
ไม่ว่าพระมหากษัตริย์จะมาจากราชสกุลไหนก็ตาม ก็จะได้พระราชอำนาจตามกฎหมายในการกำกับดูแลสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ทั้งสิ้น
และในแต่ละปี เงินและผลประโยชน์ของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ก็ได้นำมาทำเพื่อสาธารณะประโยชน์มากมาย ซึ่งมากกว่าหน่วยงานของรัฐในหลาย ๆ หน่วยงานด้วยซ้ำครับ
คลิกอ่าน เงินพระราชทานแก่ท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์ ตอกย้ำ สนง.ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ไม่ใช่ของในหลวงภูมิพล
เอาไว้ในอนาคต ความคิดเห็นแตกต่างกัน เมื่อถึงเวลาอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด อย่าให้เป็นเหมือนกบเลือกนายนะ จะตายกันหมด
ตอบลบคุณคนไม่ระบุชื่อ ยังไงก็จะโน้มท่านลงมาให้ได้ใช่มั้ย ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ขอให้นรกกินกบาล
ตอบลบคนกินเงินภาษีประชาชนนี่ซินรกน่าจะกินกบาลมากกว่า
ตอบลบคำโบราณ ว่าสีซอให้ควายฟัง คนบางกล่ม.กะโหลกหนาแน่นกว่าควาย.อธิบายยังไง ก็ยังเชื่อแบบ ควายๆๆ.ไม่แหกหู แหกตา ดูโลกภายนอก.อยากรู้ว่าใครรวยที่สุดในโลก ก็กดเข้าไปใน Internet ก็เห็นแล้ว ยังไม่เห็นคนไทยคนไหนติดอันดับ 1เลย
ตอบลบ