ตอนนี้คนไทยแบ่งเป็นพวกใหญ่ ๆ 2 พวก คือ พวกที่ชอบนายกฯ ประยุทธฺ กับ พวกที่เกลียดนายกฯ ประยุทธ์
คนที่เกลียดนายกฯ ประยุทธ์ มีพื้นฐานมาจากพวกนิยมทักษิณ ยิ่งลักษณ์ และพวกต่อต้านการรัฐประหาร
ส่วนพวกที่ชอบนายกฯ ประยุทธ์ ก็มีพื้นฐานมาจากเกลียดนักการเมืองคอร์รัปชันที่สร้างความเสียหายให้ประเทศชาติอย่างไม่ละอายใจ และคิดว่า มีเผด็จการเข้ามาเว้นวรรคการเมืองย่อมดีกว่าปล่อยให้นักการเมืองทำลายชาติต่อไปเรื่อย ๆ
นั่นคือ 2 พวกใหญ่ ๆ ที่ผมขอบอกว่า ทุกคนมีสิทธิที่จะเลือกชอบได้ และเลือกที่จะไม่ชอบก็ได้ ไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด
แต่บทความนี้ผมอยากจะเขียนถึงเรื่อง นายกฯประยุทธ์ มักอารมณ์เสียกับคำถามจากผู้สื่อข่าวอย่างสม่ำเสมอ
คือโดยส่วนตัว ผมคิดว่า การตอบคำถามกับสื่อนั้น นายกฯ ประยุทธ์ ไม่อาจเทียบชั้นกับพลเอกสุจินดา คราประยูรได้เลย
ถ้าใครเกิดทันยุค รสช. ยึดอำนาจรัฐบาลพลเอกชาติชาย เมื่อปี 2534 คงจะจำนายทหารหน้าตาหล่อ ที่ชื่อ พลเอกสุจินดา กันได้
พลเอกสุจินดา มีศิลปะในการตอบคำถามกับสื่อได้อย่างเหนือชั้น จนทำให้มีคนชอบพลเอกสุจินดามากกว่านายทหาร รสช. นายอื่น ๆ
แต่พลเอกสุจินดา กลับมาพลาดตรงที่เคยพูดว่า จะไม่เป็นนายกรัฐมนตรีภายหลังจากการเลือกตั้ง แต่สุดท้ายกลับตระบัดสัตย์รับเป็นนายกรัฐมนตรีในที่สุด จนเกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 ในเวลาต่อมา
------------------------
นายกฯ ประยุทธ์ อารมณ์เสีย เพราะนักข่าวไทยห่วย ??
คือการตอบคำถามของนายกรัฐมนตรีไทย กับนักข่าว เป็นการตอบแบบเป็นกันเองมากจนเกินไป ทำให้บางครั้งทั้งตัวนายกฯ และผู้สื่อข่าวต่างก็ไม่เกรงใจซึ่งกันและกัน
ถ้าเป็นในต่างประเทศ ถ้านักข่าวจะตั้งคำถามต่อนายกรัฐมนตรีหรือประธานาธิบดี นักข่าวก็ต้องบอกชื่อของตนเอง และบอกชื่อต้นสังกัดเสียก่อน และถามคำถามด้วยไมค์ขยายเสียงเพื่อให้ทุกคนในห้อง รวมถึงผู้ชมทีวีได้ยินคำถามอย่างชัดเจน
แต่การถามของนักข่าวไทยกับนายกรัฐมนตรี คุณผู้อ่านลองสังเกตสิครับ เราจะไม่ได้เห็นหน้านักข่าว ไม่รู้จักชื่อนักข่าว และไม่รู้จักต้นสังกัดของนักข่าวเลย
แถมเวลานักข่าวถาม เราก็ไม่ค่อยได้ยินคำถามของนักข่าว เราจึงไม่รู้ว่า นักข่าวถามอะไรกันแน่ ถึงทำให้นายกรัฐมนตรีจึงต้องตอบแบบนั้น หรือเกิดอารมณ์เสีย
คุณผู้อ่านก็น่าจะรู้ว่า สื่อไทยส่วนใหญ่ยังขาดความรับผิดชอบต่อสังคม เพราะไม่มีบทลงโทษตามกฎหมายเมื่อสื่อนำเสนอข่าวที่ไม่เหมาะสมต่อสังคมหรือขาดจรรยาบรรณ
เช่น สื่อไทยมักนำเสนอข่าวห่วย ๆ สอนให้คนไทยหลงใหลความเชื่องมงายแบบผิด ๆ เสมอ โดยเฉพาะใกล้วันหวยออก ก็มักมีการเสนอข่าวโง่ ๆ เน้นเรื่องความงมงายออกมาตลอด เพื่ออะไร ??
การที่คนไทยยังไม่พ้นความงมงาย ยังหลงเชื่อไสยศาสตร์มากกว่าวิทยาศาสตร์ เหตุผลสำคัญก็เพราะสื่อไทยนี่แหละตัวดี
แล้วสื่อไทยก็จะใช้ข้ออ้างแถ ๆ ว่า เพราะคนไทยชอบเสพข่าวแบบนี้ จึงจำเป็นต้องนำเสนอ เพื่อขายข่าว
เฮ่อ.. แทนที่สื่อจะเป็นผู้นำหรือเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงที่ช่วยนำพาสังคมไทยให้พ้นจากความงมงายโง่ ๆ นำพาไปในสิ่งที่ถูกต้องและเสริมสร้างปัญญาให้ประชาชน แต่สื่อไทยกลับสนับสนุนให้คนไทยยิ่งโง่ลงต่อไป
---------------------
ฉะนั้น การที่นายกรัฐมนตรีอารมณ์เสียกับผู้สื่อข่าว
แน่นอน นายกรัฐมนตรีนั้นผิดเต็ม ๆ เพราะยังควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ไม่ดีพอ
แต่นักข่าวไทยล่ะ ได้ตั้งคำถามโง่ ๆ หรือมีเจตนาเสี้ยมคำถามให้นายกรัฐมนตรีโกรธรึเปล่าด้วย เพื่อหวังขายข่าว และเพื่อทำลายภาพลักษณ์นายกฯ ในจุดอ่อน ตามคำสั่งนักการเมืองที่จ้างมาหรือไม่?
แต่ผมรู้อยู่อย่างนึงนะ คือ ถ้าเราตั้งใจทำอะไรเพื่อบางสิ่งบางอย่างอย่างเต็มที่แบบไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แต่แล้วเสือกมีพวกมือไม่พายเอาเท้าราน้ำ มาถามคำถามกวนตีนเพื่อหวังให้เราโกรธ ถ้าเป็นผม ผมก็อาจตบะแตกได้เหมือนกัน
ตัวอย่างเช่น เช่น ถ้าผมเกิดระดมทุนหาเงินบริจาคเพื่อมาสร้างห้องสมุดสาธารณะให้ชุมชนจนสำเร็จลุล่วงด้วยดี ผมทำอย่างโปร่งใส ตั้งใจทำด้วยเจตนาบริสุทธิ์ ผู้ร่วมบริจาคก็เชื่อใจผมทุกคน แต่แล้วจู่ ๆ ดันมีพวกมือไม่พายเอาเท้าราน้ำมาถามว่า โกงเงินบริจาคบ้างรึเปล่า ?
แน่นอน ผมย่อมมีบัญชีรายรับรายจ่ายให้ตรวจสอบได้อยู่แล้ว เพราะเราทำอย่างโปร่งใส แต่ก็อดนึกโมโหไม่ได้เช่นกันว่า ทำไมไอ้คนที่ไม่ทำห่าอะไรเลย เสือกมาทำลายเจตนาดีของเราได้ง่าย ๆ แบบนี้ เพราะการถามแบบนี้ย่อมทำให้มีทั้งคนเชื่อและคนไม่เชื่อแน่นอน
ซึ่งคนที่มีเจตนาทำอย่างบริสุทธิ์ใจ ก็จะเสียกำลังใจได้มากทีเดียว ยิ่งพวกจ้องแต่จะจับผิดแบบมีอคติ หรือเจตนาจ้องจะหาเรื่อง คนพวกนี้ยิ่งทำให้คนดี ๆ ท้อใจได้มาก
ผมจึงไม่แปลกใจที่นายกฯ ประยุทธ์ ผู้ที่ไม่ใช่นักการเมือง จึงโมโหได้ง่ายกว่านักการเมือง เพราะคุณผู้อ่านก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่า นักการเมืองไทยเสแสร้งหรือเล่นละครได้เก่งกว่าอาชีพดาราเสียอีก
--------------------------
มีคนที่ด่าพลเอกประยุทธฺ กรณีโมโหนักข่าว ทำนองว่า ก็เพราะคุณมาจากรัฐประหารน่ะสิ ถึงได้ตอบคำถามแบบนี้ เพราะถ้าคุณมาจากการเลือกตั้ง คงไม่ตอบคำถามด้วยอารมณ์โมโหแบบนี้หรอก อย่างทักษิณ ก็ไม่ตอบคำถามด้วยอารมณ์แบบนี้
คนที่ด่านายกฯ ประยุทธ์ และไปยกยอทักษิณแทนเนี่ย แสดงว่า คุณไม่รู้อะไรเลย
ทักษิณนี่แหละ ใส่อารมณ์กับนักข่าวบ่อย ๆ แต่ทักษิณเขามีวิธีปราบนักข่าวพวกนี้ง่าย ๆ ก็คือ สั่ง AIS ไม่ลงโฆษณาในสื่อพวกนี้ซะ ถอนโฆษณา AIS และบริษัทในเครือชิน ออกจากสื่อนั้น ๆ ซะ ถ้าสื่อต้นสังกัดยังปล่อยให้นักข่าวถามคำถามที่ทักษิณไม่อยากตอบ
นี่แหละที่ทำให้สื่อและนักข่าวที่หวังโฆษณาจากทักษิณ เลยไม่กล้าถามคำถามอะไรที่อาจทำให้ต้นสังกัดถูกถอนโฆษณาได้
หรืออย่าง มติชน ข่าวสด ในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์มีอำนาจก็จะสั่งให้หน่วยงานราชการมาลงโฆษณาให้ 2 สื่อนี้โดยตลอด ทำให้ทั้งสองสื่อนี้จะไม่ตั้งคำถามกวนใจยิ่งลักษณ์เลย
แต่หากเรามองในอีกแง่นึง การที่นายกฯ ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ก็ดีตรงที่ไม่ต้องเกรงใจหัวคะแนนที่มักจะเป็นพวกมาเฟีย หรืออันธพาลทั้งหลายที่คุมผลประโยชน์จากการละเมิดกฎหมาย จึงทำให้สามารถปฏิรูปบ้านเมืองได้เพราะไม่กลัวจะเสียคะแนนเสียง เช่น จับพวกค้าขายริมหาดที่พวกหัวคะแนนคุมอยู่ จับพวกนายทุนที่สนิทกับพวกนักการเมืองที่บุกรุกป่าสงวน เป็นต้น
--------------------
สรุปแล้วกัน
ผมว่า รัฐบาลไทยไม่ว่าจะรัฐบาลไหน ๆ ก็ตาม ควรเริ่มต้นเสียตั้งแต่เดี๋ยวนี้ คือ ทำให้การตั้งคำถามของนักข่าวต่อนายกรัฐมนตรีเป็นทางการมากขึ้น ไม่ควรปล่อยให้เป็นกันเองจนเลยเถิดเกินไปแบบทุกวันนี้ เพราะจะเกิดความไม่เกรงใจกัน และกลายเป็นวิวาทะเกิดขึ้น
รัฐบาลควรให้นักข่าวลุกขึ้นถามคำถามอย่างเป็นทางการ และต้องบอกชื่อนามสกุล และต้นสังกัดของนักข่าว ก่อนที่จะตั้งคำถามก้บนายกรัฐมนตรี และสื่อทีวีควรถ่ายภาพที่ตัวนักข่าวคนนั้น ๆ ให้เห็นหน้าตาด้วย
คนดูทางบ้านจะได้รู้ว่า นักข่าวคนนั้น ๆ ได้ถามคำถามกวนตีนหรือ ถามคำถามโง่ ๆ ชวนทะเลาะหรือไม่
แล้วคนดูจะวิเคราะห์ได้เองว่า ที่นายกรัฐมนตรีตอบแบบโมโหนั้น โมโหเพราะนายกฯ ไร้วุฒิภาวะที่ดี หรือเพราะนักข่าวไทยมันห่วยแตก เพราะอย่างไหนมากกว่ากัน
แต่ผมสรุปตรงที่ว่า คนที่ชอบนายกฯ ประยุทธ์ เขาก็จะสะใจมากที่นายกฯ ด่านักข่าว เพราะคนกลุ่มนี้เขาคิดว่า นักข่าวไทยมันก็ห่วยจริง ๆ นั่นแหละ
ส่วนคนที่เกลียดนายกฯ ประยุทธ์ เขาก็จะด่านายกฯ ประยุทธ์ว่า ถ้าคุมอารมณ์ตัวเองยังไม่ได้ แล้วจะคุมประเทศได้ยังไง
-------------------
ฐานันดรที่ 4 คือ นักข่าวไทย อภิสิทธิ์ชนตัวจริง
ทุกสิ้นปี บรรดานักข่าวไทยในวงการต่าง ๆ มักจะตั้งฉายาให้คนนั้นคนนี้เสมอ แถมตั้งฉายาแรง ๆ จนอาจเข้าข่ายหมิ่นประมาทด้วยซ้ำ
แต่นักข่าวไทยกลับไม่ตั้งฉายาให้ตัวเอง ว่าปีที่ผ่านมา นำเสมอข่าวที่ขาดความรับผิดชอบต่อสังคม หรือละเมิดสิทธิคนอื่นหรือเปล่า
อย่างกรณี งานศพ ปอ ทฤษฎี ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่สะท้อนความห่วยในวงการสื่อไทยว่า สื่อไทยห่วยจริง ๆ จนประชาชนต้องตั้งฉายาให้สื่อไทยว่า แร้งลง !!
----------------
อัพเดทข่าวล่าสุด
หลังจากผมเขียนบทความนี้ไปได้ 6 วัน ล่าสุดนายกฯ ลุงตู่ก็ได้จัดระเบียบนำข่าวประจำทำเนียบใหม่แล้ว ตามข่าวนี้
แล้วในรายการคืนความสุขฯ เมื่อวันที่ 19 ก.พ. 59 นายกฯ ก็ได้พูดในรายการเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่า
"..ไม่ใช่หาแต่คนที่มันขัดแย้ง มาสร้างข่าวอยู่ทุกวัน ๆ แบบนี้ สื่อไปหาแบบนี้มาไปหาที่เป็นประโยชน์กับประเทศชาติ ให้กำลังใจคนจน ให้กำลังใจคนทำดีไม่ค่อยเห็นนะ มีแต่เรื่องอะไรที่ไร้สาระอยู่เยอะมากกว่าสาระนะ
นี่ผมก็ทะเลาะกับเขาอีก วันนี้ก็ให้ 4 คำถาม ถามกันว่าทำไมต้อง 4 คำถาม เออแปลกดีเหมือนกันนะ ผมไปเมืองนอกเขาก็ทำแบนี้ คำถามเดียวเขายังไม่ให้เลย นี่ผมให้ความเป็นกันเอง แต่ไม่ได้ สรุปแล้วไม่ได้ ผมกลายเป็นลูกไล่ให้กับท่าน ผมโมโหก็ไม่ได้อีก
เพราะฉะนั้นมีกติกาก็แล้วกัน เรื่องความเกื้อกูลซึ่งกันและกันนะ ย้อนกลับไปที่ผมทำให้คือผมเกื้อกูล ให้ท่านมีงาน มีข่าวเขียน ปรากฏว่า แทนที่จะช่วยผม มาทำร้ายผมด้วย บางคนนะ บางคนนั่นแหละ ก็ต้องรับไปด้วยกัน เพราะนั่งอยู่ด้วยกัน เวลาถามผม ก็ไปดูกันเองว่าใครชอบสร้างความขัดแย้ง..."
จะเห็นหรือไม่เห็นบทความของคุณใหม่เมืองเอก ผลลัพธ์ก็เป็นอย่างที่คุณแนะนำ น่าภาคภูมิใจและน่ายินดีอย่างยิ่ง
ตอบลบคนที่มาเป็นผู้นำต้องรับผิดชอบอะไรมากมาย ดังนั้นสิ่งที่ควรรับผิดชอบด้วย คือ ใจของตัวเอง ที่ควรนิ่ง มั่นคง อย่างหินผา ผู้คนจะได้ยำเกรง ให้เกียรติ และฟัง