แนะนำย้อนอ่าน สุวิทย์ประกาศไทยลาออกจากภาคีมรดก โลก (แนะนำอ่านบทความนี้ก่อนนะครับ แล้วค่อยอ่านบทความนี้ต่อ)
ผมเพิ่งเข้าบ้านมาเมื่อตี1 ขณะเขียนบทความนี้ ก็เป็นเวลาตี2กว่าๆ แล้ว บทความนี้คิดว่าจะเขียนไม่ยาวนัก แค่อยากจะหยิบบางประเด็นหลังไทยประกาศลาออกจากภาคีมรดกโลกไปเมื่อ2วันก่อน
คือพอหลังจากไทยลาออก วันต่อมาสื่อเขมรโหมตีพิมพ์ตามคำสั่งฮุนเซ็น ประกาศชัยชนะเหนือไทยในเวทีมรดกโลก แต่พอผ่านไปอีกวัน ฮุนเซ็นออกอาการโมโหไทยอย่างมาก จนท้าท้ายให้ไทยลาออกจากยูเนสโกด้วยสิ
คุณผู้อ่านครับ ผมอยากเขียนตรงประเด็นนี้ว่า เขมรมันไม่ได้ชนะไทยอะไรตามที่มันตีปี๊บ!! หรอกครับ เพราะถ้าเขมรมันชนะจริงๆ มันต้องดีใจที่ไทยลาออกไปตลอด ไม่ใช่อีกวัน ฮุนเซ็นออกมาเดือดที่ไทยลาออกจนท้าให้ไทยลาออกจากยูเนสโก้อีก
ที่เขมร โดยฮุนเซ็นมันเดือดมาก ก็เพราะ ถ้าไทยไม่ร่วมมือในแผนบริหารจัดการกับมัน เขาพระวิหารมันก็จะขึ้นทะเบียนมรดกโลกไม่สำเร็จโดยสมบูรณ์
ผมอยากจะย้ำ!! ตรงนี้อีกครั้งว่า เขาพระวิหาร ได้รับการอนุมัติให้ขึ้นทะเบียนมรดกโลกก็จริง แต่ยังได้ขึ้นทะเบียนอย่างสมบูรณ์ เป็นแค่ได้รับอนุมัติให้ขึ้นทะเบียนเท่านั้น แต่ยังไม่ได้รับการประกาศว่าเป็นมรดกโลกอย่างเป็นทางการ
ในช่วงนี้ จึงเป็นแค่ช่วงดำเนินงานเพื่อให้ขึ้นทะเบียนให้สำเร็จ และจะสำเร็จเป็นมรดกโลกโดยสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อ มีการพัฒนาพื้นที่โดยรอบตามแผนบริหารจัดการพื้นที่จนเสร็จสิ้นแล้ว นั่นแหล่ะถึงจะได้เป็นมรดกโลกโดยสมบูรณ์
แต่ถ้าไม่สามารถจัดการบริหารพื้นที่โดยรอบได้ ยังมีการสู้รบ มีการยิง มีอาวุธอยู่ในพื้นที่ที่เตรียมขึ้นเป็นมรดกโลก ตราบนั้นเขาพระวิหารก็ยังไม่ได้เป็นมรดกโลกอย่างเป็นทางการครับ
เผลอๆ ถ้ามีปัญหาสงครามคาราคาซังไปแบบนี้ เขาพระวิหารก็จะเป็นแม่สายบัวแต่งตัวรอเก้อ!! ครับ
แปลว่า เขาพระวิหารยังไม่ได้เป็นมรดกโลกอย่างเป็นทางการ คงเป็นได้เพียง "ว่าที่มรดกโลก" เท่านั้น
ด้วยเหตุนี้นี่เอง ที่ทำให้ฮุนเซ็นเดือดดาล ออกมาแต่งเรื่องใส่ความไทยเรามากมายในข่าวช่วงวันสองวันที่ผ่านมานี้
-------------------------------
ทีนี้พอไทยประกาศลาออกไปแล้ว ทางยูเนสโก้ ก็รีบออกมาแถลงว่า ยังไม่มีแผนบริหารจัดการอะไรทั้งนั้น หาว่าไทยตีตนไปก่อนไข้ไปเอง
คุณผู้อ่านครับ นี่แหล่ะครับสันดานฝรั่งขี้โกง ตอนเราทักท้วง พวกนี้มันทำเป็นไม่สนใจฟังเรา
พอเราลาออกจริงๆ ทีนี้ถึงทำเป็นมาเสียดาย เสียใจที่ไทยลาออก ก็เพราะยูเนสโก้หน้าแหกน่ะสิครับ ที่มีชาติสมาชิกลาออก ก็ทำให้ยูเนสโก้เสียหน้าพอควร
ตอนนี้ทั่วโลกเลยหันมาสนใจที่ไทยกันใหญ่ ว่า ทำไมไทยที่ทำตัวเป็นมิตรที่ดีของสหประชาชาติมาตลอด ดันงอนลาออกซะงั้น??
ผมว่า ตอนนี้ไทยเราเลยถือไพ่เหนือกว่าแล้วครับ เพราะจากเดิมที่ไทยเราพูดอะไรไป ไม่มีใครสนใจจะฟัง ทีนี้แหล่ะ เสียงเราจะดังขึ้นในเวทีโลกทันที (ไทยเราไม่ต้องเข้าประชุม แค่ส่งผู้สังเกตการณ์ไปดูเท่านั้น และทีนี้ถ้าไทยอยากพูดอะไร ก็ตั้งโต๊ะแถลง รับรองนักข่าวทั่วโลกจะรีบมาทำข่าวทันที)
คุณผู้อ่านไม่ต้องกลัวไปหรอกครับ เพราะวันนี้เราออก แต่ถ้าวันหน้าเราพอใจ เราอยากจะกลับไปสมัครใหม่ก็ได้ ยักษ์ใหญ่อย่างอเมริกา อังกฤษก็เคยทำมาแล้ว
ซึ่งนายสุวิทย์ ได้บอกว่า ตอนแรกได้พยายามถามไปถึงแผนบริหารจัดการว่ามีอยู่ในวาระการประชุมหรือไม่? แต่กลับไม่มีใครตอบให้ชัดเจนว่า มีแผนบริหารอยู่ในวาระหรือไม่ มีแต่อ้ำๆอึ้งๆกัน ประหนึ่งจะมีวาระซ่อนเร้น ซึ่งเรื่องแบบนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว
--------------------------
ขอย้อนเล่าทบทวนถึงที่มาปัญหาอีกครั้งนะครับ
ในสมัยรัฐบาลสมัคร สั่งปลดอาจารย์อดุล วิเชียรเจริญ ออกจากประธานมรดกโลกไทย เพื่อแต่งตั้งให้นายปองพล อดิเรกสาร ลิ่วล้อทักษิณมานั่งตำแหน่งนี้แทน
(นั่นเพราะอาจารย์อดุล ยืนยันขัดขวางการขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกฝ่ายเดียวของเขมรมาโดยตลอด เพราะเขมรต้องการพื้นที่ในส่วนของไทยนำไปขึ้นทะเบียนด้วย แต่เขมรจะขอขึ้นทะเบียนมรดกในนามเขมรฝ่ายเดียว)
ต่อมานายนพดล ปัทมะ ไปเซ็นยินยอมว่า ไทยเห็นด้วยที่จะให้เขมรนำเขาพระวิหารไปขึ้นทะเบียนมรดโลกเพียงฝ่ายเดียว!! แล้วนายนพดลก็อ้างว่า ได้เจรจาให้เขมรยอมขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาทเท่านั้นจนสำเร็จ
ซึ่งมันคือคำโกหกคำโต เพราะตามหลักการของการขึ้นทะเบียนมรดกโลก จะขึ้นแค่ตัวโบราณสถานโดดๆไม่ได้ ต้องมีพื้นที่ประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องรวมอยู่ด่วย
และหนังสือที่นายนพดล ไปเซ็นยินยอมนั้น เขมรก็เอาไปยื่นเพื่อขอขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก โดยแนบแผนที่1ต่อ2แสนไปด้วย
แปลความได้2อย่าง คือ
ประเด็นแรกก็คือ เขมรหลอกนายนพดล ว่าเขมรจะขอขึ้นแค่ตัวปราสาทเท่านั้น ทำให้นายนพดลยอมเซ็นยินยอมว่าไทยจะไม่คัดค้าน ซึ่งที่จริงนายนพดลก็เป็นนักกฏหมาย ไม่น่าที่จะไม่รู้ว่า มันผิดหลักการการขอขึ้นทะเบียนมรดกโลก ที่ไม่สามารถขึ้นเฉพาะตัวปราสาทได้เท่านั้น
ฉะนั้น จึงน่าจะเป็นประเด็นที่2 ก็คือ นายนพดล ร่วมมือกับเขมร ยกพื้นที่4.6ตร.กม.ให้เขมร แล้วนายนพดลก็มาโกหกคนไทยว่า ตัวเองได้ช่วยให้เขมรยอมรับแผนที่1ต่อ5หมื่นของไทย เขมรยอมขึ้นเฉพาะตัวปราสาทเท่านั้น
----------------------
และเมื่อเขมรยื่นเอกสารขอจดทะเบียนมรดกโลกจริงๆ เขมรก็ยื่นเอกสารที่นายนพดลได้เซ็นยินยอม เพราะถ้าไม่มีเอกสารนี้เขมรไม่มีทางขึ้นทะเบียนได้ แต่แทนที่เขมรจะทำตามเหมือนที่นายนพดลคุยโม้ ว่าเขมรจะขอขึ้นเฉพาะตัวปราสาทเท่านั้น เขมรมันยื่นแผนที่1ต่อ2แสน ซึ่งรวมพื้นที่4.6ตร.กม.ไปด้วย
เพราะมันเป็นไปตามหลักการของมรดกโลก ที่ต้องมีพื้นที่ประวัติศาตร์โดยรอบด้วยนั่นเอง
แม้ศาลรัฐธรรมนุญจะตัดสินว่า เอกสารที่นายนพดลไปเซ็นนั้น ขัด รธน.มาตรา190 ที่ต้องผ่านความเห็นชอบต่อสภาก่อนก็ตาม แต่คำสั่งศาลรัฐธรรมนูญก็ไม่สามารถไปหยุดยั้งเอกสารฉบับนั้นได้
เพราะยูเนสโก้ เขาถือว่า เอกสารที่นายนพดลเซ็นเป็นเอกสารที่รัฐทำต่อรัฐทำโดยสมบูรณ์ไปแล้ว ส่วนจะผิดกฏหมายของไทยหรือไม่ ไม่ใช่หน้าที่ของยูเนสโก้จะต้องมาสนใจหรือตรวจสอบ
เรื่องผิดรธน.มาตรา190นั้นเป็นเรื่องภายในของไทย ไทยเราต้องก็ไปไล่เบี้ยกับคนที่กระทำโดยพลการเอง แต่ระหว่างรัฐต่อรัฐ ถือว่า เป็นเอกสารที่สมบูรณ์ไปแล้วนั่นเอง
-------------------------------
ก่อนจบ ผมขอสรุปคร่าว เพื่อความเข้าใจง่ายๆว่า
โดยปกติ การขอขึ้นทะเบียนมรดกโลกใดๆ ถ้าสิ่งนั้นมีพื้นที่อยู่ในประเทศนั้นๆทั้งหมด ประเทศนั้นๆก็สามารถทำเรื่องยื่นขอขึ้นทะเบียนได้เองเพียงชาติเดียว
เช่น เขาใหญ่ ซึ่งอยู่ในประเทศไทย ไทยเราก็ไปยื่นขอขึ้นทะเบียนได้เอง ไม่ต้องให้ชาติไหนมาร่วมเซ็นยินยอมด้วย
สมมุติว่า เขมรขอขึ้นเฉพาะตัวปราสาทเขาพระวิหารได้เท่านั้น ซึ่งมันก็เป็นของเขมรอยู่แล้ว อยู่ในอธิปไตยของเขมรอยู่แล้ว เขมรก็ไปยื่นขอขึ้นทะเบียนได้เลย ไม่ต้องมาขอให้รัฐบาลไทยเซ็นเห็นด้วยหรอก
แต่ที่เขมรต้องมาขอให้รัฐบาลไทยเซ็นเห็นด้วย หรือเซ็นยินยอมด้วยนั้น นั่นเพราะเขมรไม่ได้ยื่นขอขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาทเท่านั้น แต่เขมรต้องการพื้นที่ประวัติศาตร์ร่วมข้างเคียงไปยื่นด้วย นั่นก็คือพื้นที่4.6ตร.กม.นั่นเอง
และนายนพดล ก็ไปเซ็นยินยอมให้พื้นที่4.6ตร.กม.แก่เขมร เอาเอกสารไปยื่นขอขึ้นทะเบียนได้นั่นเองครับ
-------------------------
**หมายเหตุ เท่าที่ติดตามข่าว นายสุวิทย์ได้ประกาศเจตจำนงว่าไทยขอลาออกจากภาคีมรดกโลก แต่ยังไม่ถือว่าได้ลาออกอย่างเป็นทางการ เพราะจะเป็นทางการได้ก็ต่อเมื่อ มีหนังสือลาออกจากรัฐบาลไทยแจ้งไปอย่างเป็นทางการแล้วเท่านั้น แต่ตอนนี้รัฐบาลไทยยังไม่มีหนังสือดังกล่าว
และถึงแม้จะมีหนังสือลาออกอย่างเป็นทางการแล้วก็ตาม แต่การลาออกจริงๆก็จะมีผลก็ต่อเมื่อภายหลังไปอีก1ปี
ย้ำ!! ว่า ไทยเรามีจุดยืนที่ว่า
ตอบลบถ้าเขาพระวิหารจะเป็นมรดกโลก โดยจะเอา สระตาว สถูปคู่ ผามออีแดง และพื้นที่4.6ตร.กม.เข้าไปรวมอยู่ด้วยซึ่งไทยบอกว่าเป็นของไทย ก็ต้องขึ้นมรดกโลกร่วมกันทั้ง2ประเทศ
แต่เขมรต้องการพื้นที่ในส่วนของไทยไปขึ้นด้วย แต่ไม่ยอมให้ไทยร่วมเป็นเจ้าภาพร่วม
ไทยเราถึงคัดค้านการขึ้นทะเบียนฝ่ายเดียวของเขมรมาโดยตลอด เขมรมา
ขึ้นสำเร็จเพราะนพดลไปเซ็นยินยอม
ถ้าไทยยอมให้มีแผนบริหารจัดการโดยเขมรได้ ต่อไปพื้นที่ผามออีแดง สระตาว สถูปคู่ และพื้นที่4.6ตร.กม. ก็จะทำให้ไทยเราเป็นแค่คณะกรรมการร่วม1ใน6ชาติเท่านั้น
ซึ่งทั้ง5ชาติที่เหลือเขาเป็นฝ่ายเดียวกับเขมร เพราะมีผลประโยชน์ร่วมกับเขมร (ในฐานะที่เขมรเป็นเจ้าของมรดกโลก)
นั่นเท่ากับว่า ไทยเราเสียอำนาจในการจัดการบนแผ่นดินในส่วนไทยไปโดยปริยาย หรือที่เรียกว่า เสียอธิปไตยบนดินแดน
แต่เขมรเขาพยายามจะบอกทั่วโลกว่า พื้นที่4.6ตร.กม.เป็นของเขมร ไม่ใช่ของไทย
หากไทยเรายอมรับแผนบริหารจัดการของเขมร ก็เท่ากับไทยเราอาจสูญเสียพื้นที่4.6ตร.กม.ไป เพราะเท่ากับไทยไปยอมรับแผนที่1ต่อ2แสนของเขมรในการใช้เป็นหลักฐานในการขอขึ้นทะเบียนมรดกโลก
เพราะถ้าต่อไปขึ้นศาลโลกอีก เขมรก็จะใช้หลักฐานตรงนี้ไปอ้างว่า ไทยยอมรับแผนที่1ต่อ2แสนแล้ว
ตรงนี้แหล่ะที่จะทำให้ไทยเสียดินแดนอีกมาก ในหลายจังหวัด ทั้งทางบกและในทะเล
การขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารจึงเป็นเพียงบันไดขั้นแรกของเขมรเท่านั้น