วันอังคารที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ชั่งแม่.. แต่ได้บุญมหาศาล




ที่จริงบทความนี้ผมเขียนถึงแม่บังเกิดเกล้าของผมเอง

ก่อนอื่นเรามารู้จักรากศัพท์ของคำว่า ชั่งแม่ ก้นก่อนครับ

คำว่า ชั่งแม่ ที่จริงก็คือคำที่มาจากคำว่า ชั่งแม่ง นั่นแหละ ซึ่งมีความหมายว่า ไม่แยแส ไม่ใส่ใจ ชั่งมัน ชั่งหัวมัน

แต่คำว่า ชั่งแม่ง เดิมมาจากคำเต็ม ๆ คือคำว่า ชั่งแม่มึง

แล้วกร่อนเสียงคำว่า แม่มึง เหลือแค่คำ แม่ง (แม่มึง) เท่านั้น

ดังนั้น ชั่งแม่ง จึงมีรากศัพท์มาจาก ชั่งแม่มึง นั่นเองครับ

--------------------------

เข้าเรื่องนะ พ่อผมเสียชีวิตไปกว่า 20 ปีแล้ว แต่ถึงจะไม่มีพ่อ แต่แม่ผมก็ทำหน้าที่ดูแลลูก ๆ ได้สมบูรณ์แบบมาก จนผมกับน้องชายไม่เคยรู้สึกขาดความอบอุ่นแต่อย่างใดที่ไม่มีพ่อแล้ว

ซึ่งแม่ผมแม้จะเก่ง และดีเลิศสุด ๆ ก็ตาม แต่ข้อเสียของแม่อย่างหนึ่งก็คือ แม่จะเป็นคนที่ขี้โมโหง่ายมาก ๆ แถมยังดุมาก ๆ มาตั้งแต่ผมยังเด็ก ๆ

ดังนั้น ผมกับแม่จึงมีปากมีเสียงเถียงกับแม่เป็นประจำแทบทุกเรื่อง ตั้งแต่สากกระเบือยันเรือรบ เพราะผมดันมีสันดานชอบเถียงแม่ที่แก้ไม่เคยหาย

จนกระทั่งเมื่อปี 2553 แม่ผมประสบอุบัติเหตุ จนกระทบกระเทือนสมองอย่างรุนแรง จนเข้าขั้นโคม่า

แม่ได้รับการผ่าตัดสมองครั้งแรกก็ยังอาการไม่ดีขึ้น จนกระทั่งหมอบอกว่า ต้องผ่าตัดครั้งที่ 2 แล้วบอกให้ลูก ๆ เตรียมใจไว้ก่อนว่า แม่อาจตาย หรืออาจเป็นเจ้าหญิงนิทรา หรืออาจฟื้นมาแต่จำใครไม่ได้ หรืออาจต้องพิการนอนเตียงตลอดชีวิต

ในตอนนั้นผมกับน้องชาย เครียดมาก คิดถึงขนาดว่า ไม่ต้องผ่าตัดครั้งที่ 2 ดีไหม ปล่อยให้แม่ตายไปอย่างสบาย ๆ ไม่ต้องมาลำบากนอนพิการหรือนอนไม่รู้เรื่องบนเตียงดีไหม

แต่สุดท้าย ผมกับน้องก็เสี่ยงที่จะผ่าตัดแม่อีกครั้ง แต่ย้ายโรงพยาบาลไปผ่าตัดอีกแห่ง

ซึ่งเหมือนผมกับน้องยังมีบุญที่จะได้อยู่กับแม่ต่อไป เพราะแม่ผมมีอาการดีขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากการผ่าตัดครั้งที่ 2

แล้ววันหนึ่งแม่ก็ฟื้นขึ้นมาพร้อมกับจำผมและน้องชายได้

แต่หลังการผ่าตัดแล้ว สิ่งที่แม่ต้องบกพร่องไปก็คือ การใช้ภาษาและการสื่อสารของแม่จะแย่ลง เพราะเนื้อสมองด้านซ้ายบางส่วนถูกตัดทิ้งไป

เมื่อผ่านเหตุการณ์อุบัติเหตุมาหลายปี แม่ผมก็กลับมาช่วยเหลือตัวเองในกิจวัตรประจำวันส่วนตัวได้

แต่เรื่องการใช้ภาษาและการสื่อสารของแม่ก็ยังมีปัญหาอยู่พอควร ผมก็ต้องเดา ๆ ไปตามสถานการณ์ว่า แม่กำลังสื่อสารเรื่องอะไร บางทีแม่พูดถูกต้องเป๊ะ ๆ  แต่ส่วนใหญ่แม่จะชอบใช้คำอะไรที่ไม่ตรงกับความหมายเลย เช่น บางทีก็เรียก ทีวี เป็นพัดลม หรือเรียกเป็นคำอะไรก็ไม่รู้มั่วไปหมด แต่เราก็จะเดาตามเหตุการณ์พอได้ว่าแม่กำลังสื่อถึงอะไร เพราะผมชินแล้ว

อย่างชื่อเล่นของน้องชายผมเนี่ย แม่แทบไม่เคยเรียกถูกเลย เรียกเป็นชื่อโน้นชื่อนี้ มั่วไปหมด แม้แต่ชื่อผมเอง แม่ก็เรียกถูกบ้างผิดบ้าง

แต่มันไม่สำคัญหรอกว่าแม่จะเรียกชื่อผมกับน้องชายถูกหรือผิด เพราะแค่แม่จำผมกับน้องได้ว่า เป็นลูกของแม่ แค่นี้ก็สุดยอดแล้วล่ะ จริงไหม

นาน ๆ แม่ก็เรียกชื่อน้องชายผม หรือชื่อผม ทั้งชื่อจริงและชื่อเล่นได้ถูกเป๊ะ ๆ เหมือนกัน แล้วแต่อารมณ์สมองของแม่

แต่ที่แม่พูดบ่อย ๆ คือ "ข้าจำชื่อข้าได้คนเดียวก็พอ"

ซึ่งก็จริงตามที่แม่ว่า แม่จำชื่อของแม่ได้จริง ๆ แต่นามสกุล แม่กลับไปจำเป็นแซ่เดิมของแม่แทน 555

---------------

คำด่าของแม่คือคำอวยพรที่ดีสุด ๆ

ตั้งแต่แม่ยังนอนโรงพยาบาลหลังการผ่าตัดสมอง มีสิ่งหนึ่งที่แม่พูดได้ชัดเจนมาก คือคำด่า

ตอนนั้นแม่พูดแทบไม่รู้เรื่อง แต่เวลาไม่พอใจนะ ด่าได้เป๊ะมาก ๆ โดยเฉพาะคำว่า "อีห่าราด" เป็นคำที่แม่ใช้ด่าบ่อยที่สุด

ทุกวันนี้เวลาแม่ผมจะกินยาหลังอาหารนะ บางวันแม่เกิดอารมณ์ไม่ดี แม่จะโมโหแล้วถามว่า "ยาห่าเนี่ยอะไรเยอะแยะ"

ผมก็จะตอบว่า กินไปเถอะน่าแม่

แม่ก็จะหงุดหงิดแต่ก็กินยา แต่ก่อนกินแม่จะด่าว่า "ดี ๆ กิน ๆ ไปให้มันตายเร็ว ๆ ไปเลย อีห่าราด"

555 ผมขำ ผมขำแม่จริง ๆ เพราะเดี๋ยวนี้ ผมไม่เคยนึกโกรธอะไรแม่เลย เวลาแม่บ่น หรือเวลาแม่ด่า หรือเวลาแม่โมโหอะไรโน่นนี่ แม่ยังมีเรื่องบ่นโน่นนี่ได้ตลอด ฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง แต่ผมก็พอจะเดาได้ว่าแม่กำลังบ่นเรื่องอะไร

ทุกวันนี้ คำด่าของแม่ เสียงแม่บ่น มันคือสิ่งที่ไพเราะเสนาะหูที่สุดของผมไปแล้ว ผมคิดเสียว่า คำด่าของแม่ก็คือคำอวยพรให้เราต่างหาก ผมก็เลยขำทุกครั้งที่แม่ด่า

คิดซะว่า มีแม่อยู่บ่นอยู่ด่าสิดี ดีกว่าไม่มีแม่คอยบ่นคอยด่าเราจริงไหม อยากให้แม่บ่นด่าแบบนี้ไปนาน ๆ แหละ 555

ถ้าเราไม่อารมณ์เสียไปกับคำด่าของแม่ แต่เราขำ ๆ ไปแทน ทุกอย่างก็เข้าสู่สภาวะปกติได้รวดเร็ว เพราะแม่ก็ชอบด่าไปเรื่อยอย่างนั้นแหละ ก็แม่เป็นคนขี้โมโหง่ายนี่นามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว อิอิ

แต่เวลาแม่ชักจะเลยเถิดในการบ่น ผมก็จะมักเปลี่ยนเรื่องด้วยการหาเรื่อง หอมแก้มแม่ซ้ายทีขวาที บางทีก็แกล้งหอมแม่ไม่ยอมหยุด จนโดนแม่ด่าว่า

"นี่ เมื่อไหร่จะหยุด หา!! จะหอมวันกี่ทีหา เบื่อ!!"

ผมก็จะขำทุกครั้งที่แม่บ่นแบบนี้ แต่ที่จริงถึงแม่บ่นแต่แม่ก็ชอบที่ลูก ๆ หอมแม่นะ จะมีรำคาญบ้างที่หอมบ่อยเกินไปนี่แหละ 555

------------

คำถามซ้ำ ๆ ซาก ๆ ของแม่ ที่ผมไม่เคยเบื่อ

แม่ผมจะมีคำถามที่ถามทุกวันคือ วันนี้วันอะไร หรือ วันนี้วันที่เท่าไหร่

บางทีแม่ตั้งใจจะถามว่า วันนี้วันที่เท่าไหร่ แต่บางทีแม่กลับไปถามว่า วันนี้วันอะไร หรือ เดือนนี้เดือนอะไร แทน

พอผมตอบไม่ตรงกับคำถามที่แม่ต้องการจะรู้จริง ๆ ก็ต้องสื่อสารอธิบายกันหลายรอบ

แล้วพอแม่รู้และเข้าใจคำตอบแล้ว แม่ก็จะด่าผมว่า "คนอะไรพูดไม่รู้เรื่อง"

ที่จริงแม่ถามไม่รู้เรื่องกับฟังไม่รู้เรื่องต่างหาก แต่แม่กลับด่าผมแทนว่า "เอ็งนั่นแหละพูดไม่รู้เรื่อง" ตลอด 555

บางทีแม่ด่าผมเป็นภาษาไหหลำมั่ว ๆ ก็มีด้วยนะ ผมก็จะขำแล้วถามแม่ว่า "โหมีด่าภาษาจีนด้วย"  555

คือแต่ก่อนแม่จะพูดภาษาไหหลำได้บ้างเป็นบางคำ แต่เดี๋ยวนี้แม่เอามาแต่สำเนียงไหหลำ แต่ภาษามั่วน่ะ 555

หรือบางทีมีด่าเป็นภาษาอังกฤษเช่นด่าว่า Stupid ด้วย แล้วพอผมถามว่า "แปลว่าอะไรอะแม่"

บางทีแม่ก็ตอบถูกว่า แปลว่าโง่ แต่บางทีแม่ก็บอกจำไม่ได้ แถมบางทีด่าเป็นภาษาอังกฤษประโยคยาว ๆ ก็มีนะ แต่ผมฟังไม่รู้เรื่อง เพราะแม่ก็เอามาแต่สำเนียงเท่านั้น

ไอ้เรื่องถามคำถามเรื่องวันที่ หรือ วันอะไร เนี่ย บางทีแม่ผมถามวันละหลายรอบเลยล่ะ ทั้ง ๆ ที่แม่ก็เดินไปขีดวันที่ ๆ ปฏิทินเองทุกวัน แต่บางทีแม่ก็ขี้เกียจเดินไปดู ก็จะถามผมเรื่อยว่า วันนี้วันอะไร

ยิ่งถ้าน้องชายผมไปทำงานต่างจังหวัดนะ แม่จะถามวันละเกือบสิบรอบว่า น้องผมกลับวันไหน

จนบางทีผมก็แกล้งแซวว่า "นี่ถามครั้งที่ 10 แล้วนะ ตอบคราวนี้แล้วแม่ห้ามถามอีกแล้วนะ"

แม่ก็รับปากว่า จะไม่ถามอีก มันจะกลับวันไหนก็ชั่งมัน แต่ผ่านไปสักพัก เดี๋ยวได้มาถามอีกละ 5555

ทุกวันนี้ บางทีผมก็ขี้เกียจตอบคำถามซ้ำ ๆ ของแม่นะ แต่ก็ไม่เคยปฏิเสธที่จะตอบให้แม่รู้ เพราะลองไม่ตอบสิ เดี๋ยวมีอารมณ์เสียแล้วด่าอีกยาว 5555

ผมก็นึก ๆ ดูว่า มีแม่คอยถามคำถามซ้ำ ๆ นี่แหละ ดีที่สุดแล้ว บางทีก็ได้แหย่แม่แซวแม่ไปด้วย มีความสุขจะตาย

ขอให้แม่ได้อยู่ถามคำถามซ้ำ ๆ ซาก ๆ กับผมนาน ๆ เถอะ ผมชอบตอบทุกคำถามของแม่แล้วล่ะ 555

-------------------

แม่ผมผู้ขยันทิ้งของเกะกะ

วันที่ผมกับน้องไม่อยู่บ้าน เวลาแม่อยู่คนเดียว แม่จะขยันเก็บของเหลือใช้ ของเก่า ๆ ที่แม่เคยเก็บสะสมไว้ ไปจนกระทั่งของสะสมดี ๆ ที่ผมกับน้องเก็บไว้ เอาไปขายเจ๊กขายขวดบ้าง เอาไปทิ้งขยะบ้าง เอาไปขายรถรับซื้อของเก่าบ้างจนหมด

ทั้ง ๆ ที่ ของทั้งหลายส่วนใหญ่แม่เก็บสะสมไว้เองทั้งนั้น แต่พอแม่มีปัญหาทางสมองที่ไม่สมบูรณ์เหมือนเดิม แม่จะเห็นของอะไรที่วางทิ้งไว้นาน ๆ แล้วไม่มีใครเอาไปใช้ไม่ค่อยได้

แม่จะบอกว่า เก็บไว้ทำไม เกะกะ สกปรก แล้วแม่ก็จะเก็บเอาไปทิ้งบ้างขายบ้างตามแต่แม่จะตัดสินใจ

ไอ้ของหลายอย่าง พวกจานชาม พลาสติก แก้วน้ำ แก้วเซารามิค หรือพวกของใช้ในครัว หรือของใช้ที่เป็นพลาสติกเก่า ๆ อะไรพวกนี้ที่แม่ผมทิ้งไป ผมก็ไม่ได้เสียดายอะไร

เดี๋ยวนี้บ้านผมก็ดูโล่งขึ้นเยอะ จากอดีตที่แม่เป็นคนชั่งเก็บ กลับกลายเป็นคนชั่งทิ้ง จัดการเก็บกวาดข้าวของเหลือใช้จนบ้านรกน้อยลง ซึ่งผมก็ว่าดีนะ

แต่ปัญหาคือ ของมีราคา ของมีค่า หรือของมีคุณค่าหลายอย่างนี่สิ แม่ผมดันเก็บไปทิ้งด้วยจนหมด

อย่างเครื่องกรองอากาศเก่าเก็บที่ไม่ได้ใช้แต่ยังสภาพดี แม่ก็ขายไปยี่สิบบาท

หรืออย่างเครื่องดูดฝุ่นเก่าเก็บไม่ได้ใช้ แต่ยังใช้งานได้ปกติ แม่เก็บไปขายแค่ 40 บาท และอื่น ๆ ที่ผมกับน้องนึกไม่ออกจำไม่ได้ ก็คงมีอีกเยอะที่แม่จัดการทิ้งไปแล้ว

โอเค ผมยังพอเข้าใจนะ อะไรไม่ได้ใช้ก็ทิ้ง ๆ ไปซะ  ขี้เกียจทะเลาะกับแม่เรื่องนี้ แต่ผมก็แกล้งทำเป็นโมโหบ้าง เพื่อให้แม่เพลา ๆ ลง

อย่างที่ผมเสียดายมาก ๆ แต่แม่เก็บทิ้งตอนไหนก็ไม่รู้ เช่นเทปเพลงเก่า ๆ ซีดีเก่า ๆ หรือ วิดีโอหนังเก่า ๆ ที่ผมกับน้องเก็บสะสมไว้ อย่างเช่น เทปเพลงดิโอฬารโปรเจค ชุดกุมภาพันธ์ 2528

เพราะตอนน้องผมเรียน ม.2 ที่นครปฐม เคยไปเดินหาซื้อเทปชุดกุมภาพันธ์ 2528 ของดิโอฬารโปรเจค ชุดนี้ในตลาดนครปฐม ซื้อมาในราคาม้วนละ 250 บาทจากราคาปกเดิม ๆ คือ 70 บาท

เพราะมันก็กลายเป็นของสะสม ของหายากแล้วในสมัยนั้น ราคาก็เลยแพงขึ้น ซึ่งเดี๋ยวนี้ตอนนี้ ก็น่าจะม้วนละหลักพันแล้วล่ะ

ดิโอฬารโปรเจค ทั้งชุดกุมภาพันธ์ 2528 ทั้งชุดหูเหล็ก แบบออริจินอล แม่ผมเก็บทิ้งหมด 555

ยังมีเทปเพลงเก่า ๆ วิดีโอเก่า ๆ วีซีดีหนังเก่า ๆ อีกเพียบ ที่แม่เก็บทิ้งจนไม่เหลือสักม้วนสักแผ่นในบ้านผม แต่ก็ชั่งเถอะ เดี๋ยวนี้มียูทูปแล้ว อยากฟังอะไร อยากดูอะไรก็ไปหาเอา

ขนาดวิดีโอหนังเรื่องไททานิค ซื้อตอนหนังออกใหม่ ๆ เมื่อร่วม ๆ 20 ปีก่อน ชุดละ 750 บาท ตอนนี้แม่ก็คงจัดการทิ้งไปแล้วแหง ๆ

แม้แต่นาฬิกาดี ๆ ที่น้องผมเก็บไว้หลายเรือนในลิ้นชัก ที่มีคนซื้อให้น้องชายผมเป็นของขวัญวันเกิดบ้าง ปีใหม่บ้าง นับสิบเรือน หรือนาฬิกาดี ๆของผมอีก 2-3 เรือนที่ไม่ได้ใช้ก็อันตรธานหายไปไหนหมดก็ไม่รู้

พอถามแม่ว่า "แม่เอาไปขายหมดแล้วเหรอ"

แม่จะบอก "ไม่เคยเอาไปขายเลย อย่ามาโทษกูนะ" 555

หรืออย่าง หนังสือรุ่นโรงเรียนปานะพันธุ์ของผม  3 เล่ม หรือหนังสือรุ่นโรงเรียน ภ.ป.ร. ราชวิทย์ ของน้องชายผมอีก 2 เล่ม

วันที่ผมกับน้องไม่อยู่บ้าน แม่ผมนั่งตัดหนังสืออนุสรณ์กลายเป็นเศษกระดาษชิ้นเล็กชิ้นน้อยไปจนหมด แล้วเก็บใส่ถุงรอชั่งกิโลขาย

พอผมกลับมาเห็น หัวใจแทบสลาย "แม่ ๆ ตัดทิ้งทำไมเนี่ย หนังสืออนุสรณ์ ของหาไม่ได้แล้วนะ ของมีราคานะนี่"

แม่บอก "จะเก็บไว้ทำไม เกะกะ" 5555

หนังสืออนุสรณ์ของโรงเรียน ตอนซื้อเมื่อสมัย 30 กว่าปีก่อน ราคาเล่มนึงก็ไม่ใช่ถูก ๆ นะ เล่มละสองสามร้อยบาทนะนั่น

แต่แม่ผมตัดทิ้งซะเหลือโลละ 3 บาทเลย 555

แต่หลัง ๆ มานี่ แม่ไม่รอขายกระดาษละ แต่จะทิ้งขยะทีละเป็นถุงใหญ่ ๆ ให้รถขยะเก็บไปแทน

---------------

ชั่งแม่ แต่ได้บุญมหาศาล





ถามว่า ผมโมโหไหมที่แม่ผมทิ้งของใช้หลายอย่างที่ดี ๆ ไป แล้วเกิดพอมีความจำเป็นจะต้องใช้ขึ้นมา ก็ต้องไปหาซื้อใหม่ให้เสียเงินอีก

ผมก็โมโหบ้างนิดหน่อยนะ แต่ไม่มาก เพราะไม่รู้จะโกรธแม่มากไปทำไม

จะว่าไป หากมองในแง่ดี ทิ้งไปซะก็ดีเหมือนกัน จะได้ไม่ต้องยึดติดอะไรมาก

ขนาดของขวัญที่ผู้หญิงที่ผมรักตอน ม.ปลาย ที่เธอซื้อให้ผมตอนวันเกิด แม่เอาไปทิ้งตอนไหนก็ไม่รู้

พอผมถามแม่ แม่ก็บอกไม่รู้เรื่อง จำไม่ได้

ที่จริง ถึงแม่จะมีสมองที่ไม่สมบูรณ์เหมือนแต่ก่อน แต่แม่ก็ยังจัดว่า เป็นคนที่ฉลาดมาก ๆ อยู่ แม่ยังสอนผมได้หลายเรื่อง แม้แม่จะใช้ภาษาผิด ๆ ถูก ๆ ก็ตาม

ตอนนี้ผมมักจะชมแม่เสมอว่า "โห แม่ทำไมเก่งจัง" ,"โห แม่นี่ฉลาดสุด ๆ จริง ๆ" ,"โห เรื่องนี้แม่คิดได้ไงเนี่ย เก่งอะ"

ตอนนี้แม่สัญญาแล้วว่า จะไม่ทิ้งอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าอีกแล้ว (เพราะแทบไม่เหลือของเหลือใช้ดี ๆ แล้วล่ะ 555)

นอกจากเรื่องชอบเก็บเอาของเหลือใช้แต่ยังสภาพยังดีไปทิ้งแล้ว ในเรื่องอื่น ๆ แม่ผมยังจัดว่า ยังเป็นคนที่ฉลาดมาก ๆ อยู่ แม้จะมีปัญหาด้านภาษาและการสื่อสารก็ตาม

ทุกวันนี้ ไม่ว่าแม่จะทำอะไรก็ตาม ถ้าแม่ทำแล้ว แม่มีความสุข แม่ฉลาดขึ้น สมองพัฒนาขึ้น คิดเป็นระบบมากขึ้น

ผมก็มักจะคิดว่า ชั่งแม่แกเถอะ เอาที่แม่สบายใจ แม่อยากทำอะไร อยากจัดของยังไง ก็แล้วแต่แม่เถอะ

บ้านผมทุกวันนี้ก็เลยสะอาด ข้าวของมีระเบียบกว่าเดิม เพราะแม่ขยันจัด ขยันเช็ดโน่นเช็ดนี่ตามชั้น ตามโต๊ะ ตามตู้ ไปเรื่อย

ผมถือว่า การทำงานบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็คือการพัฒนาสมองของแม่อย่างหนึ่ง

-----------------

ดังนั้น ทุกวันนี้ ผมมีความสุขที่ผมยังมีแม่ที่คอยบ่น คอยด่าผมทุกวัน ผมไม่เคยเบื่อเลย

เพราะถ้าวันนี้ไม่มีแม่แล้วนี่สิ ความสุขในบ้านคงหายไป

ผมเข้าใจคำว่า พ่อแม่ คือ ร่มโพธิร่มไทรของลูก จริง ๆ ก็หลังจากที่เกือบจะต้องสูญเสียแม่ไปจากอุบัติเหตุแล้วนี่แหละ

ต่อให้แม่มีสมองไม่สมบูรณ์ปกติเหมือนในอดีต แต่การที่มีแม่อยู่ มันคือความอบอุ่นในบ้าน คือ ความอุ่นใจที่สุดของลูก

ทุกวันนี้ ผมรักแม่ผมมากขึ้นกว่าตอนที่แม่ผมยังปกติดีเสียอีกครับ

เพราะเมื่อเกือบจะต้องสูญเสียแม่ไปจริง ๆ ผมถึงได้รู้ว่า ที่จริงผมรักแม่ยิ่งกว่าชีวิตตัวเองอีก

ขอให้ทุกท่านที่ได้อ่านบทความนี้ อย่าได้เบื่อพ่อแม่ของตัวเองกันเลยนะครับ

ไม่ว่าพ่อแม่จะบ่น จะว่า หรือจะถามคำถามอะไรซ้ำ ๆ ซาก ๆ กับเราทุกวัน เราก็ยินดีตอบท่านไปเถอะ

เพราะที่ท่านถาม เพราะท่านรักและเป็นห่วงเรามากที่สุดนั่นเองครับ ดังนั้น ไม่ว่าพ่อแม่จะบ่น จะว่า หรือจะถามอะไรน่าเบื่อซ้ำซากกับเรา ก็จงชั่งพ่อแม่แกเถอะครับ

การไม่ถือสาพ่อแม่ คือ การสร้างบุญที่มหาศาลนักของลูก

"มีแต่คนที่รักเราจริง ๆ เท่านั้น ที่จะคอยถามสารทุกข์สุกดิบของเราด้วยคำถามซ้ำ ๆ ได้ทุกวัน โดยที่ไม่มีวันเบื่อที่จะถามเรา"



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ถ้าแสดงความเห็นตรงช่องนี้ผมจะได้อ่านทุกความเห็นครับ แต่ถ้าความเห็นไม่ขึ้นอาจเพราะระบบรอตรวจสแปม ต้องรอ1-2วัน / ใหม่ เมืองเอก kaeake@ymail.com


ผู้ติดตาม