วันอังคารที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ชั่งแม่.. แต่ได้บุญมหาศาล




ที่จริงบทความนี้ผมเขียนถึงแม่บังเกิดเกล้าของผมเอง

ก่อนอื่นเรามารู้จักรากศัพท์ของคำว่า ชั่งแม่ ก้นก่อนครับ

คำว่า ชั่งแม่ ที่จริงก็คือคำที่มาจากคำว่า ชั่งแม่ง นั่นแหละ ซึ่งมีความหมายว่า ไม่แยแส ไม่ใส่ใจ ชั่งมัน ชั่งหัวมัน

แต่คำว่า ชั่งแม่ง เดิมมาจากคำเต็ม ๆ คือคำว่า ชั่งแม่มึง

แล้วกร่อนเสียงคำว่า แม่มึง เหลือแค่คำ แม่ง (แม่มึง) เท่านั้น

ดังนั้น ชั่งแม่ง จึงมีรากศัพท์มาจาก ชั่งแม่มึง นั่นเองครับ

--------------------------

เข้าเรื่องนะ พ่อผมเสียชีวิตไปกว่า 20 ปีแล้ว แต่ถึงจะไม่มีพ่อ แต่แม่ผมก็ทำหน้าที่ดูแลลูก ๆ ได้สมบูรณ์แบบมาก จนผมกับน้องชายไม่เคยรู้สึกขาดความอบอุ่นแต่อย่างใดที่ไม่มีพ่อแล้ว

ซึ่งแม่ผมแม้จะเก่ง และดีเลิศสุด ๆ ก็ตาม แต่ข้อเสียของแม่อย่างหนึ่งก็คือ แม่จะเป็นคนที่ขี้โมโหง่ายมาก ๆ แถมยังดุมาก ๆ มาตั้งแต่ผมยังเด็ก ๆ

ดังนั้น ผมกับแม่จึงมีปากมีเสียงเถียงกับแม่เป็นประจำแทบทุกเรื่อง ตั้งแต่สากกระเบือยันเรือรบ เพราะผมดันมีสันดานชอบเถียงแม่ที่แก้ไม่เคยหาย

จนกระทั่งเมื่อปี 2553 แม่ผมประสบอุบัติเหตุ จนกระทบกระเทือนสมองอย่างรุนแรง จนเข้าขั้นโคม่า

แม่ได้รับการผ่าตัดสมองครั้งแรกก็ยังอาการไม่ดีขึ้น จนกระทั่งหมอบอกว่า ต้องผ่าตัดครั้งที่ 2 แล้วบอกให้ลูก ๆ เตรียมใจไว้ก่อนว่า แม่อาจตาย หรืออาจเป็นเจ้าหญิงนิทรา หรืออาจฟื้นมาแต่จำใครไม่ได้ หรืออาจต้องพิการนอนเตียงตลอดชีวิต

ในตอนนั้นผมกับน้องชาย เครียดมาก คิดถึงขนาดว่า ไม่ต้องผ่าตัดครั้งที่ 2 ดีไหม ปล่อยให้แม่ตายไปอย่างสบาย ๆ ไม่ต้องมาลำบากนอนพิการหรือนอนไม่รู้เรื่องบนเตียงดีไหม

แต่สุดท้าย ผมกับน้องก็เสี่ยงที่จะผ่าตัดแม่อีกครั้ง แต่ย้ายโรงพยาบาลไปผ่าตัดอีกแห่ง

ซึ่งเหมือนผมกับน้องยังมีบุญที่จะได้อยู่กับแม่ต่อไป เพราะแม่ผมมีอาการดีขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากการผ่าตัดครั้งที่ 2

แล้ววันหนึ่งแม่ก็ฟื้นขึ้นมาพร้อมกับจำผมและน้องชายได้

แต่หลังการผ่าตัดแล้ว สิ่งที่แม่ต้องบกพร่องไปก็คือ การใช้ภาษาและการสื่อสารของแม่จะแย่ลง เพราะเนื้อสมองด้านซ้ายบางส่วนถูกตัดทิ้งไป

เมื่อผ่านเหตุการณ์อุบัติเหตุมาหลายปี แม่ผมก็กลับมาช่วยเหลือตัวเองในกิจวัตรประจำวันส่วนตัวได้

แต่เรื่องการใช้ภาษาและการสื่อสารของแม่ก็ยังมีปัญหาอยู่พอควร ผมก็ต้องเดา ๆ ไปตามสถานการณ์ว่า แม่กำลังสื่อสารเรื่องอะไร บางทีแม่พูดถูกต้องเป๊ะ ๆ  แต่ส่วนใหญ่แม่จะชอบใช้คำอะไรที่ไม่ตรงกับความหมายเลย เช่น บางทีก็เรียก ทีวี เป็นพัดลม หรือเรียกเป็นคำอะไรก็ไม่รู้มั่วไปหมด แต่เราก็จะเดาตามเหตุการณ์พอได้ว่าแม่กำลังสื่อถึงอะไร เพราะผมชินแล้ว

อย่างชื่อเล่นของน้องชายผมเนี่ย แม่แทบไม่เคยเรียกถูกเลย เรียกเป็นชื่อโน้นชื่อนี้ มั่วไปหมด แม้แต่ชื่อผมเอง แม่ก็เรียกถูกบ้างผิดบ้าง

แต่มันไม่สำคัญหรอกว่าแม่จะเรียกชื่อผมกับน้องชายถูกหรือผิด เพราะแค่แม่จำผมกับน้องได้ว่า เป็นลูกของแม่ แค่นี้ก็สุดยอดแล้วล่ะ จริงไหม

นาน ๆ แม่ก็เรียกชื่อน้องชายผม หรือชื่อผม ทั้งชื่อจริงและชื่อเล่นได้ถูกเป๊ะ ๆ เหมือนกัน แล้วแต่อารมณ์สมองของแม่

แต่ที่แม่พูดบ่อย ๆ คือ "ข้าจำชื่อข้าได้คนเดียวก็พอ"

ซึ่งก็จริงตามที่แม่ว่า แม่จำชื่อของแม่ได้จริง ๆ แต่นามสกุล แม่กลับไปจำเป็นแซ่เดิมของแม่แทน 555

---------------

คำด่าของแม่คือคำอวยพรที่ดีสุด ๆ

ตั้งแต่แม่ยังนอนโรงพยาบาลหลังการผ่าตัดสมอง มีสิ่งหนึ่งที่แม่พูดได้ชัดเจนมาก คือคำด่า

ตอนนั้นแม่พูดแทบไม่รู้เรื่อง แต่เวลาไม่พอใจนะ ด่าได้เป๊ะมาก ๆ โดยเฉพาะคำว่า "อีห่าราด" เป็นคำที่แม่ใช้ด่าบ่อยที่สุด

ทุกวันนี้เวลาแม่ผมจะกินยาหลังอาหารนะ บางวันแม่เกิดอารมณ์ไม่ดี แม่จะโมโหแล้วถามว่า "ยาห่าเนี่ยอะไรเยอะแยะ"

ผมก็จะตอบว่า กินไปเถอะน่าแม่

แม่ก็จะหงุดหงิดแต่ก็กินยา แต่ก่อนกินแม่จะด่าว่า "ดี ๆ กิน ๆ ไปให้มันตายเร็ว ๆ ไปเลย อีห่าราด"

555 ผมขำ ผมขำแม่จริง ๆ เพราะเดี๋ยวนี้ ผมไม่เคยนึกโกรธอะไรแม่เลย เวลาแม่บ่น หรือเวลาแม่ด่า หรือเวลาแม่โมโหอะไรโน่นนี่ แม่ยังมีเรื่องบ่นโน่นนี่ได้ตลอด ฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง แต่ผมก็พอจะเดาได้ว่าแม่กำลังบ่นเรื่องอะไร

ทุกวันนี้ คำด่าของแม่ เสียงแม่บ่น มันคือสิ่งที่ไพเราะเสนาะหูที่สุดของผมไปแล้ว ผมคิดเสียว่า คำด่าของแม่ก็คือคำอวยพรให้เราต่างหาก ผมก็เลยขำทุกครั้งที่แม่ด่า

คิดซะว่า มีแม่อยู่บ่นอยู่ด่าสิดี ดีกว่าไม่มีแม่คอยบ่นคอยด่าเราจริงไหม อยากให้แม่บ่นด่าแบบนี้ไปนาน ๆ แหละ 555

ถ้าเราไม่อารมณ์เสียไปกับคำด่าของแม่ แต่เราขำ ๆ ไปแทน ทุกอย่างก็เข้าสู่สภาวะปกติได้รวดเร็ว เพราะแม่ก็ชอบด่าไปเรื่อยอย่างนั้นแหละ ก็แม่เป็นคนขี้โมโหง่ายนี่นามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว อิอิ

แต่เวลาแม่ชักจะเลยเถิดในการบ่น ผมก็จะมักเปลี่ยนเรื่องด้วยการหาเรื่อง หอมแก้มแม่ซ้ายทีขวาที บางทีก็แกล้งหอมแม่ไม่ยอมหยุด จนโดนแม่ด่าว่า

"นี่ เมื่อไหร่จะหยุด หา!! จะหอมวันกี่ทีหา เบื่อ!!"

ผมก็จะขำทุกครั้งที่แม่บ่นแบบนี้ แต่ที่จริงถึงแม่บ่นแต่แม่ก็ชอบที่ลูก ๆ หอมแม่นะ จะมีรำคาญบ้างที่หอมบ่อยเกินไปนี่แหละ 555

------------

คำถามซ้ำ ๆ ซาก ๆ ของแม่ ที่ผมไม่เคยเบื่อ

แม่ผมจะมีคำถามที่ถามทุกวันคือ วันนี้วันอะไร หรือ วันนี้วันที่เท่าไหร่

บางทีแม่ตั้งใจจะถามว่า วันนี้วันที่เท่าไหร่ แต่บางทีแม่กลับไปถามว่า วันนี้วันอะไร หรือ เดือนนี้เดือนอะไร แทน

พอผมตอบไม่ตรงกับคำถามที่แม่ต้องการจะรู้จริง ๆ ก็ต้องสื่อสารอธิบายกันหลายรอบ

แล้วพอแม่รู้และเข้าใจคำตอบแล้ว แม่ก็จะด่าผมว่า "คนอะไรพูดไม่รู้เรื่อง"

ที่จริงแม่ถามไม่รู้เรื่องกับฟังไม่รู้เรื่องต่างหาก แต่แม่กลับด่าผมแทนว่า "เอ็งนั่นแหละพูดไม่รู้เรื่อง" ตลอด 555

บางทีแม่ด่าผมเป็นภาษาไหหลำมั่ว ๆ ก็มีด้วยนะ ผมก็จะขำแล้วถามแม่ว่า "โหมีด่าภาษาจีนด้วย"  555

คือแต่ก่อนแม่จะพูดภาษาไหหลำได้บ้างเป็นบางคำ แต่เดี๋ยวนี้แม่เอามาแต่สำเนียงไหหลำ แต่ภาษามั่วน่ะ 555

หรือบางทีมีด่าเป็นภาษาอังกฤษเช่นด่าว่า Stupid ด้วย แล้วพอผมถามว่า "แปลว่าอะไรอะแม่"

บางทีแม่ก็ตอบถูกว่า แปลว่าโง่ แต่บางทีแม่ก็บอกจำไม่ได้ แถมบางทีด่าเป็นภาษาอังกฤษประโยคยาว ๆ ก็มีนะ แต่ผมฟังไม่รู้เรื่อง เพราะแม่ก็เอามาแต่สำเนียงเท่านั้น

ไอ้เรื่องถามคำถามเรื่องวันที่ หรือ วันอะไร เนี่ย บางทีแม่ผมถามวันละหลายรอบเลยล่ะ ทั้ง ๆ ที่แม่ก็เดินไปขีดวันที่ ๆ ปฏิทินเองทุกวัน แต่บางทีแม่ก็ขี้เกียจเดินไปดู ก็จะถามผมเรื่อยว่า วันนี้วันอะไร

ยิ่งถ้าน้องชายผมไปทำงานต่างจังหวัดนะ แม่จะถามวันละเกือบสิบรอบว่า น้องผมกลับวันไหน

จนบางทีผมก็แกล้งแซวว่า "นี่ถามครั้งที่ 10 แล้วนะ ตอบคราวนี้แล้วแม่ห้ามถามอีกแล้วนะ"

แม่ก็รับปากว่า จะไม่ถามอีก มันจะกลับวันไหนก็ชั่งมัน แต่ผ่านไปสักพัก เดี๋ยวได้มาถามอีกละ 5555

ทุกวันนี้ บางทีผมก็ขี้เกียจตอบคำถามซ้ำ ๆ ของแม่นะ แต่ก็ไม่เคยปฏิเสธที่จะตอบให้แม่รู้ เพราะลองไม่ตอบสิ เดี๋ยวมีอารมณ์เสียแล้วด่าอีกยาว 5555

ผมก็นึก ๆ ดูว่า มีแม่คอยถามคำถามซ้ำ ๆ นี่แหละ ดีที่สุดแล้ว บางทีก็ได้แหย่แม่แซวแม่ไปด้วย มีความสุขจะตาย

ขอให้แม่ได้อยู่ถามคำถามซ้ำ ๆ ซาก ๆ กับผมนาน ๆ เถอะ ผมชอบตอบทุกคำถามของแม่แล้วล่ะ 555

-------------------

แม่ผมผู้ขยันทิ้งของเกะกะ

วันที่ผมกับน้องไม่อยู่บ้าน เวลาแม่อยู่คนเดียว แม่จะขยันเก็บของเหลือใช้ ของเก่า ๆ ที่แม่เคยเก็บสะสมไว้ ไปจนกระทั่งของสะสมดี ๆ ที่ผมกับน้องเก็บไว้ เอาไปขายเจ๊กขายขวดบ้าง เอาไปทิ้งขยะบ้าง เอาไปขายรถรับซื้อของเก่าบ้างจนหมด

ทั้ง ๆ ที่ ของทั้งหลายส่วนใหญ่แม่เก็บสะสมไว้เองทั้งนั้น แต่พอแม่มีปัญหาทางสมองที่ไม่สมบูรณ์เหมือนเดิม แม่จะเห็นของอะไรที่วางทิ้งไว้นาน ๆ แล้วไม่มีใครเอาไปใช้ไม่ค่อยได้

แม่จะบอกว่า เก็บไว้ทำไม เกะกะ สกปรก แล้วแม่ก็จะเก็บเอาไปทิ้งบ้างขายบ้างตามแต่แม่จะตัดสินใจ

ไอ้ของหลายอย่าง พวกจานชาม พลาสติก แก้วน้ำ แก้วเซารามิค หรือพวกของใช้ในครัว หรือของใช้ที่เป็นพลาสติกเก่า ๆ อะไรพวกนี้ที่แม่ผมทิ้งไป ผมก็ไม่ได้เสียดายอะไร

เดี๋ยวนี้บ้านผมก็ดูโล่งขึ้นเยอะ จากอดีตที่แม่เป็นคนชั่งเก็บ กลับกลายเป็นคนชั่งทิ้ง จัดการเก็บกวาดข้าวของเหลือใช้จนบ้านรกน้อยลง ซึ่งผมก็ว่าดีนะ

แต่ปัญหาคือ ของมีราคา ของมีค่า หรือของมีคุณค่าหลายอย่างนี่สิ แม่ผมดันเก็บไปทิ้งด้วยจนหมด

อย่างเครื่องกรองอากาศเก่าเก็บที่ไม่ได้ใช้แต่ยังสภาพดี แม่ก็ขายไปยี่สิบบาท

หรืออย่างเครื่องดูดฝุ่นเก่าเก็บไม่ได้ใช้ แต่ยังใช้งานได้ปกติ แม่เก็บไปขายแค่ 40 บาท และอื่น ๆ ที่ผมกับน้องนึกไม่ออกจำไม่ได้ ก็คงมีอีกเยอะที่แม่จัดการทิ้งไปแล้ว

โอเค ผมยังพอเข้าใจนะ อะไรไม่ได้ใช้ก็ทิ้ง ๆ ไปซะ  ขี้เกียจทะเลาะกับแม่เรื่องนี้ แต่ผมก็แกล้งทำเป็นโมโหบ้าง เพื่อให้แม่เพลา ๆ ลง

อย่างที่ผมเสียดายมาก ๆ แต่แม่เก็บทิ้งตอนไหนก็ไม่รู้ เช่นเทปเพลงเก่า ๆ ซีดีเก่า ๆ หรือ วิดีโอหนังเก่า ๆ ที่ผมกับน้องเก็บสะสมไว้ อย่างเช่น เทปเพลงดิโอฬารโปรเจค ชุดกุมภาพันธ์ 2528

เพราะตอนน้องผมเรียน ม.2 ที่นครปฐม เคยไปเดินหาซื้อเทปชุดกุมภาพันธ์ 2528 ของดิโอฬารโปรเจค ชุดนี้ในตลาดนครปฐม ซื้อมาในราคาม้วนละ 250 บาทจากราคาปกเดิม ๆ คือ 70 บาท

เพราะมันก็กลายเป็นของสะสม ของหายากแล้วในสมัยนั้น ราคาก็เลยแพงขึ้น ซึ่งเดี๋ยวนี้ตอนนี้ ก็น่าจะม้วนละหลักพันแล้วล่ะ

ดิโอฬารโปรเจค ทั้งชุดกุมภาพันธ์ 2528 ทั้งชุดหูเหล็ก แบบออริจินอล แม่ผมเก็บทิ้งหมด 555

ยังมีเทปเพลงเก่า ๆ วิดีโอเก่า ๆ วีซีดีหนังเก่า ๆ อีกเพียบ ที่แม่เก็บทิ้งจนไม่เหลือสักม้วนสักแผ่นในบ้านผม แต่ก็ชั่งเถอะ เดี๋ยวนี้มียูทูปแล้ว อยากฟังอะไร อยากดูอะไรก็ไปหาเอา

ขนาดวิดีโอหนังเรื่องไททานิค ซื้อตอนหนังออกใหม่ ๆ เมื่อร่วม ๆ 20 ปีก่อน ชุดละ 750 บาท ตอนนี้แม่ก็คงจัดการทิ้งไปแล้วแหง ๆ

แม้แต่นาฬิกาดี ๆ ที่น้องผมเก็บไว้หลายเรือนในลิ้นชัก ที่มีคนซื้อให้น้องชายผมเป็นของขวัญวันเกิดบ้าง ปีใหม่บ้าง นับสิบเรือน หรือนาฬิกาดี ๆของผมอีก 2-3 เรือนที่ไม่ได้ใช้ก็อันตรธานหายไปไหนหมดก็ไม่รู้

พอถามแม่ว่า "แม่เอาไปขายหมดแล้วเหรอ"

แม่จะบอก "ไม่เคยเอาไปขายเลย อย่ามาโทษกูนะ" 555

หรืออย่าง หนังสือรุ่นโรงเรียนปานะพันธุ์ของผม  3 เล่ม หรือหนังสือรุ่นโรงเรียน ภ.ป.ร. ราชวิทย์ ของน้องชายผมอีก 2 เล่ม

วันที่ผมกับน้องไม่อยู่บ้าน แม่ผมนั่งตัดหนังสืออนุสรณ์กลายเป็นเศษกระดาษชิ้นเล็กชิ้นน้อยไปจนหมด แล้วเก็บใส่ถุงรอชั่งกิโลขาย

พอผมกลับมาเห็น หัวใจแทบสลาย "แม่ ๆ ตัดทิ้งทำไมเนี่ย หนังสืออนุสรณ์ ของหาไม่ได้แล้วนะ ของมีราคานะนี่"

แม่บอก "จะเก็บไว้ทำไม เกะกะ" 5555

หนังสืออนุสรณ์ของโรงเรียน ตอนซื้อเมื่อสมัย 30 กว่าปีก่อน ราคาเล่มนึงก็ไม่ใช่ถูก ๆ นะ เล่มละสองสามร้อยบาทนะนั่น

แต่แม่ผมตัดทิ้งซะเหลือโลละ 3 บาทเลย 555

แต่หลัง ๆ มานี่ แม่ไม่รอขายกระดาษละ แต่จะทิ้งขยะทีละเป็นถุงใหญ่ ๆ ให้รถขยะเก็บไปแทน

---------------

ชั่งแม่ แต่ได้บุญมหาศาล





ถามว่า ผมโมโหไหมที่แม่ผมทิ้งของใช้หลายอย่างที่ดี ๆ ไป แล้วเกิดพอมีความจำเป็นจะต้องใช้ขึ้นมา ก็ต้องไปหาซื้อใหม่ให้เสียเงินอีก

ผมก็โมโหบ้างนิดหน่อยนะ แต่ไม่มาก เพราะไม่รู้จะโกรธแม่มากไปทำไม

จะว่าไป หากมองในแง่ดี ทิ้งไปซะก็ดีเหมือนกัน จะได้ไม่ต้องยึดติดอะไรมาก

ขนาดของขวัญที่ผู้หญิงที่ผมรักตอน ม.ปลาย ที่เธอซื้อให้ผมตอนวันเกิด แม่เอาไปทิ้งตอนไหนก็ไม่รู้

พอผมถามแม่ แม่ก็บอกไม่รู้เรื่อง จำไม่ได้

ที่จริง ถึงแม่จะมีสมองที่ไม่สมบูรณ์เหมือนแต่ก่อน แต่แม่ก็ยังจัดว่า เป็นคนที่ฉลาดมาก ๆ อยู่ แม่ยังสอนผมได้หลายเรื่อง แม้แม่จะใช้ภาษาผิด ๆ ถูก ๆ ก็ตาม

ตอนนี้ผมมักจะชมแม่เสมอว่า "โห แม่ทำไมเก่งจัง" ,"โห แม่นี่ฉลาดสุด ๆ จริง ๆ" ,"โห เรื่องนี้แม่คิดได้ไงเนี่ย เก่งอะ"

ตอนนี้แม่สัญญาแล้วว่า จะไม่ทิ้งอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าอีกแล้ว (เพราะแทบไม่เหลือของเหลือใช้ดี ๆ แล้วล่ะ 555)

นอกจากเรื่องชอบเก็บเอาของเหลือใช้แต่ยังสภาพยังดีไปทิ้งแล้ว ในเรื่องอื่น ๆ แม่ผมยังจัดว่า ยังเป็นคนที่ฉลาดมาก ๆ อยู่ แม้จะมีปัญหาด้านภาษาและการสื่อสารก็ตาม

ทุกวันนี้ ไม่ว่าแม่จะทำอะไรก็ตาม ถ้าแม่ทำแล้ว แม่มีความสุข แม่ฉลาดขึ้น สมองพัฒนาขึ้น คิดเป็นระบบมากขึ้น

ผมก็มักจะคิดว่า ชั่งแม่แกเถอะ เอาที่แม่สบายใจ แม่อยากทำอะไร อยากจัดของยังไง ก็แล้วแต่แม่เถอะ

บ้านผมทุกวันนี้ก็เลยสะอาด ข้าวของมีระเบียบกว่าเดิม เพราะแม่ขยันจัด ขยันเช็ดโน่นเช็ดนี่ตามชั้น ตามโต๊ะ ตามตู้ ไปเรื่อย

ผมถือว่า การทำงานบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็คือการพัฒนาสมองของแม่อย่างหนึ่ง

-----------------

ดังนั้น ทุกวันนี้ ผมมีความสุขที่ผมยังมีแม่ที่คอยบ่น คอยด่าผมทุกวัน ผมไม่เคยเบื่อเลย

เพราะถ้าวันนี้ไม่มีแม่แล้วนี่สิ ความสุขในบ้านคงหายไป

ผมเข้าใจคำว่า พ่อแม่ คือ ร่มโพธิร่มไทรของลูก จริง ๆ ก็หลังจากที่เกือบจะต้องสูญเสียแม่ไปจากอุบัติเหตุแล้วนี่แหละ

ต่อให้แม่มีสมองไม่สมบูรณ์ปกติเหมือนในอดีต แต่การที่มีแม่อยู่ มันคือความอบอุ่นในบ้าน คือ ความอุ่นใจที่สุดของลูก

ทุกวันนี้ ผมรักแม่ผมมากขึ้นกว่าตอนที่แม่ผมยังปกติดีเสียอีกครับ

เพราะเมื่อเกือบจะต้องสูญเสียแม่ไปจริง ๆ ผมถึงได้รู้ว่า ที่จริงผมรักแม่ยิ่งกว่าชีวิตตัวเองอีก

ขอให้ทุกท่านที่ได้อ่านบทความนี้ อย่าได้เบื่อพ่อแม่ของตัวเองกันเลยนะครับ

ไม่ว่าพ่อแม่จะบ่น จะว่า หรือจะถามคำถามอะไรซ้ำ ๆ ซาก ๆ กับเราทุกวัน เราก็ยินดีตอบท่านไปเถอะ

เพราะที่ท่านถาม เพราะท่านรักและเป็นห่วงเรามากที่สุดนั่นเองครับ ดังนั้น ไม่ว่าพ่อแม่จะบ่น จะว่า หรือจะถามอะไรน่าเบื่อซ้ำซากกับเรา ก็จงชั่งพ่อแม่แกเถอะครับ

การไม่ถือสาพ่อแม่ คือ การสร้างบุญที่มหาศาลนักของลูก

"มีแต่คนที่รักเราจริง ๆ เท่านั้น ที่จะคอยถามสารทุกข์สุกดิบของเราด้วยคำถามซ้ำ ๆ ได้ทุกวัน โดยที่ไม่มีวันเบื่อที่จะถามเรา"



วันอังคารที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2560

เฉลย ทำไมหมอดูอีทีทายแม่นแต่ทำนายไม่ค่อยแม่น




คงจะทราบกันทั่วแล้วว่า หมอดูอีที ชาวพม่า ได้เสียชีวิตแล้วด้วยวัย 58 ปี เมื่อวันที่ 10 ก.ย. 2560 ที่ผ่านมา

"ตายในวันที่ 10 เดือน 9"  แหม ถ้าเกิดแกตายวันที่ 9 เดือน 9 ล่ะก็ จะต้องเรียกว่าแม้แต่ตายยังเลือกวันตายได้สุดยอด

จากชื่อบทความนี้คือ "เฉลย ทำไมหมอดูอีทีทายแม่นแต่ทำนายไม่ค่อยแม่น" คุณผู้อ่านบทความอาจงง ว่าหมายความว่าอะไรกันแน่

สังเกตว่า ผมจะใช้คำสองคำคือ ทาย กับ ทำนาย

เพื่อไม่ให้เยิ่นเย้อขอเข้าเรื่องเลยแล้วกัน

จากที่ทุกคนคงเคยอ่านวิธีทายและทำนายของหมอดูอีที แกมักจะเริ่มด้วยเขียนหมายเลขธนบัตรในกระเป๋าเงินของผู้มารับการดูชะตาจากแก ซึ่งเวลาแกทายถูกตรงเป๊ะ ผู้คนก็จะทึ่งอึ้งกันใหญ่

ต่อมาแกก็จะทายชื่อนามสกุลและวันเดือนปีเกิดของผู้เข้ารับการดูชะตาจากแก

ซึ่งถ้าแกทายถูก แกก็จะทายและทำนายชะตาบุคคลคนนั้นต่อไป

แต่ถ้าแกทายผิด แกจะเลิกดูชะตาให้คน ๆ นั้นทันที

ผู้แปลและอธิบายคำทำนายแทนหมอดูอีที  ซึ่งก็คือน้องสาวของแก จะอธิบายกรณีแกทายผิดทำนองว่า ฟ้ายังไม่เปิดให้ทำนายทายทักบุคคลคนนี้

คน ๆ นั้นก็จะอดได้รับการทำนายทายทักต่อไปจากแก

--------------------

ขอเล่ากรณีเพื่อนผมไปดูชะตากับหมอดูอีที

เพื่อนผมคนนึง ซึ่งเป็นผู้บริหารสถาบันการเงินเอกชนระดับประเทศแห่งหนึ่ง เคยได้มีโอกาสไปให้หมอดูอีทีทำนายทายทัก เมื่อปีที่แล้ว

เพื่อนผมเล่าว่า หมอดูอีที เขียนหมายเลขธนบัตร 1 ใบที่อยู่ในกระเป๋าเงินเพื่อนผมถูกต้องเป๊ะ ยังทายจำนวนเงินที่อยู่ในกระเป๋าเงินเพื่อนผมถูกต้องอีกด้วย

แกเขียนหมายเลขของธนบัตรใบละ 10 ดอลล่าห์สหรัฐ 1 ใบในกระเป๋าของเพื่อนผม แล้วส่งคืนธนบัตรใบนั้นให้เพื่อนผมเก็บไว้ แต่เงินที่เหลือในกระเป๋าของเพื่อนผมทั้งหมด ประมาณสัก 300 กว่าดอลล่าห์ แกดึงเอาไปจนหมด

แล้วแกยังสามารถเขียนชื่อคนขับรถ เขียนชื่ออดีตกิ๊ก 2 คนของเพื่อนผม ได้ถูกต้องทั้งหมด ซึ่งบุคคลเหล่านี้ไม่ได้เดินทางมาที่พม่าด้วย

แล้วชื่ออดีตกิ๊ก 2 คนของเพื่อนผม ก็มีแต่เพื่อนผมเท่านั้นที่รู้ แต่หมอดูอีทีกลับเขียนชื่อได้ถูกต้องหมด

ซึ่งหมอดูอีที ไม่ได้รู้ล่วงหน้าด้วยว่า เพื่อนผมคนนี้จะมาดูกับแก เพราะคนที่จองคิวให้เพื่อนผม ก็เป็นคนพม่าที่ทำงานให้กับองค์กรของเพื่อนผม ซึ่งคนพม่าคน ๆ นี้ก็ไม่ได้รู้ชื่อคนขับรถ หรือชื่อกิ๊กของเพื่อนผมแน่นอน เพราะไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น

หมอดูอีที ยังเขียนชื่อกระทรวงการคลังเป็นภาษาอังกฤษ ให้เพื่อนผมดู แล้วบอกว่า ต่อไปเพื่อนผมจะได้เป็นรัฐมนตรีกระทรวงนี้

เพื่อนผมอึ้งมาก ๆ ว่า ทำไมหมอดูอีทีแกรู้ว่า เพื่อนผมอยากเป็นรัฐมนตรี

แต่ที่จริงแล้ว เพื่อนผมแม้จะทำงานที่สถาบันการเงินใหญ่ แต่ใจจริงเพื่อนผม บอกผมว่า ใจจริงไม่ค่อยอยากเป็น รมว.คลัง สักเท่าไหร่ ใจเพื่อนผมอยากเป็น รมว.พาณิชย์มากกว่า

แต่นั่นก็เป็นเรื่องของอนาคตอีกนานพอควร แกจะทำนายถูกหรือไม่ ก็ยังไม่มีใครรู้


รูปหมอดูอีทีถ่ายกับเพื่อนผม คนเสื้อขาวข้าง ๆ คือเพื่อนผมที่เล่าให้ผมฟัง

---------------

จากที่เพื่อนผมเล่าให้ผมฟัง พอฟังปุ๊บ

ผมก็คุยกับเพื่อนผมว่า หมอดูอีที แกคงเป็นคนที่อ่านใจคนอื่นออก และอาจจะพอมีตาทิพย์ที่เก่งพอสมควร จึงสามารถทายหมายเลขธนบัตรในกระเป๋าและจำนวนเงินในกระเป๋าของเพื่อนผมได้ถูกต้อง

แต่เรื่องอื่น ๆ ที่แกทำนายถูก แกคงอ่านจากใจของเพื่อนผมทั้งหมดนั่นแหละ ทั้งชื่อ คนขับรถ ชื่ออดีตกิ๊ก และการอยากเป็นรัฐมนตรีในอนาคตของเพื่อนผม

ซึ่งแกก็นำมาเขียนเป็นคำภาษาอังกฤษเป็นคำ ๆ ไป แล้วน้องสาวแกก็จะเป็นคนอธิบายเสริมจากแกอีกที


หมอดูอีทีกำลังเขียนคำทำนายเป็นภาษาอังกฤษเป็นคำ ๆ แก่คุณหนุ่ม คงกระพัน

เพื่อนผมเล่าว่า แกก็ทำนายให้เพียงเท่านี้

แกไม่ได้ทำนายมากเกินไปกว่าที่ใจเพื่อนผมได้คิดได้วางแผนชีวิตของตัวเองไว้แล้ว

----------------

หมอดูอีที ทำนายเรื่องคนอื่นที่ฝากให้ช่วยทำนายไม่ค่อยแม่น

คือจากเท่าที่ผมติดตามข่าวการทำนายของหมอดูอีที

ถ้าคนของฝ่ายไหนไปถามแก ในเรื่องของอีกคนนึงแทน แกก็จะตอบเอาใจคนที่ถาม ตอบได้ตรงกับใจของคนที่ถามอยากจะได้ฟังนั่นแหละ

ไม่ว่าจะเป็นข่าวทำนายยิ่งลักษณ์ ทักษิณ ธัมมชโย หรือดวงประเทศไทย ผมมองแล้วว่า แกทำนายโดยการอ่านใจจากคนที่ไปถามแกนั่นแหละ ว่า คิดกลัวอะไร คิดอยากฟังอะไร แกก็ทำนายไปตามที่คนไปถามแกคิดอยู่ในใจนั่นแหละ

เช่น ถ้าคนที่ไม่ชอบยิ่งลักษณ์ไปให้แกทำนายเรื่องยิ่งลักษณ์ แกก็จะทำนายว่า ต่อไปยิ่งลักษณ์จะตกอับอะไรทำนองนั้น

หรืออย่างสาวกของธรรมกายไปให้แกทำนายเรื่องของธัมมชโย แกก็ทำนายชื่นชมธัมมชโยยกใหญ่ ซึ่งก็ทำเอาสาวกธรรมกายได้ปลื้มดีใจไปตาม ๆ กัน

หรืออย่างเมื่อปลายปี 2554 มีนักข่าวไทยให้แกทำนายว่าประเทศไทยปี 2555 จะน้ำท่วมไหม แกก็ทำนายว่าจะท่วมมากเหมือนกัน แต่ไม่มากเท่าปี 2554 (ผมว่า ใคร ๆ ก็สามารถทำนายเรื่องนี้ได้แบบแกแหละ)

ซึ่งคำทำนายปี 2555 แกทำนายไม่ค่อยถูกนักครับ

เพราะปี 2555 น้ำท่วมใหญ่ ๆ ไม่มีในประเทศไทย จะมีบ้างในบางจังหวัดเท่านั้น แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นอุทกภัยที่ใหญ่นัก ซึ่งมันก็มีท่วมของมันทุกปีแหละ มากบ้างน้อยบ้าง

จริง ๆ มีการทำนายของแกอีกหลายอย่าง ผมมองว่า แกก็ทำนายเหมือนหมอดูทั่วไปทำนายแหละ ก็มีตรงบ้างไม่ตรงบ้าง ออกจะใช้ทริคแบบทำนายกว้าง ๆ ไว้ก่อน แล้วให้คนตีความกันเอาเอง

ผมเชื่อว่า แกต้องรับรู้ข่าวสารทั่วไปในโลกไว้ด้วย เพื่อทำนายไปในทางแนวโน้มว่าน่าจะเป็นแบบนั้น ซึ่งก็ไม่ต่างจากนักวิเคราะห์สถานการณ์โลกทั่วไปนั่นแหละ

ผมเชื่อว่า หมอดูอีที แกต้องเป็นคนฉลาดระดับอัจฉริยะคนนึง ซึ่งบางคนอาจมองว่าขัดแย้งกับรูปร่างหน้าตาของแก

แต่ถ้าใครได้รับการทำนายหรือทายเป็นการส่วนตัวโดยตรงกับแก แกก็คงอ่านใจคน ๆ นั้น แล้วพูดไปตามที่ใจคน ๆ นั้นอยากได้ยินหรือได้วางแผนชีวิตไว้อยู่แล้ว จึงดูเหมือนว่าแกทำนายได้แม่นมาก

ซึ่งแกก็อาจจะมีเซนส์ในการดูลักษณะโหงวเฮ้งของคนเป็นด้วย ว่า คน ๆ นั้นจะมีโอกาสจะประสบความสำเร็จไปตามแผนการที่อยู่ในใจของคน ๆ นั้นหรือไม่
(แกไม่ได้ตาบอดสนิทนะ น่าจะพอมองเห็นเลาๆ จึงเขียนหนังสือภาษาอังกฤษได้)


แต่โดยหลักทั่วไปของหมอดู ก็มักจะทำนายเพื่อให้กำลังใจคน ทำนายเพื่อให้คนมีความหวังไว้ก่อนจะดีกว่า คือ แฮปปี้เอนดิ้ง วินวินด้วยกันทั้งสองฝ่าย

คือ คนที่มาให้แกทำนายก็อยากได้กำลังใจเพื่อกลับไปต่อสู้ชีวืตต่อไป และจะได้เต็มใจจ่ายค่าดูราคาแพงให้หมอดูอีทีอีกด้วย

สรุปคือ หมอดูอีทีแกคงได้พรจากสวรรค์ในการอ่านใจคนได้หรือการดูลักษณะของคนเก่งนั่นแหละ

ที่ผมบอกว่า แกทายแม่น ก็คือ ทายใจคนแม่น

แต่ที่ว่าแกทำนายไม่ค่อยแม่น ก็เพราะ แกทำนายตามที่ใจคนที่ถามแกคนนั้น คิดและอยากฟังอะไรนั่นแหละ คำทำนายแกจึงไม่ค่อยแม่น

-------------------

ส่วนค่าดูหมอราคาแพงของหมอดูอีที ส่วนใหญ่แกจะนำไปบริจาคให้การกุศล และนำไปก่อสร้างสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมมากมาย

เพราะแกเคยบอกว่า การที่แกเกิดมาไม่สมประกอบแบบนี้ คงเพราะแกมีบาปกรรมเก่าเยอะ แกจึงต้องทำบุญในชาตินี้เยอะ ๆ ครับ

-----------------

ข้อคิดท้ายบทความ

คนเราชอบที่จะได้ยินได้ฟังเรื่องในทางดีของตัวเอง ซึ่งหมอดูส่วนใหญ่ก็มักจะทำนายในทางให้กำลังใจผู้คนให้มีกำลังใจในการมีชีวิตอยู่ต่อไป

"คนที่เรารักแม้เขาจะพูดไม่ดีกับเรา เราก็จะให้อภัยคนที่เรารักได้เสมอ
แต่ถ้าเราเผลอไปพูดไม่ดีกับคนที่ไม่ได้รักเรา คน ๆ นั้นอาจจะพาลโกรธ พาลเกลียดเราได้ง่าย ๆ นะครับ จำไว้"




วันศุกร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2560

หมุดเสนียด กับ คำประกาศจัญไรของคณะราษฎร




เป็นข่าวดราม่ามาหลายวัน เมื่อหมุดเสนียดจัญไรของคณะราษฎรที่ปักหมุดไว้บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า ซึ่งเป็นเขตพระราชฐาน ได้หายสาบสูญไป

ซึ่งพวกคณะราษฎรปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 นั้น ได้ใช้อำนาจบาตรใหญ่ไม่เคารพสถานที่ ที่ซึ่งประชาชนในอดีตได้ร่วมกันบริจาคเงินเพื่อสร้างพระบรมรูปทรงม้าถวายแด่รัชกาลที่ 5 ด้วยความจงรักภักดีและความรักที่มีต่อรัชกาลที่ 5 (ซึ่งเงินบริจาคที่เหลือจากการสร้างพระบรมรูปทรงม้านั้น ร.6 ทรงนำไปสร้างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยต่อ)

แต่คณะราษฎรกลับไม่มีความเกรงใจ ไม่เคารพในสถานที่ เสือกเอาหมุดเสนียดจัญไรมาปักลงบนลานพระบรมรูปทรงม้า

ดังน้้น หมุดคณะราษฎร 2475 นี้ จึงเป็นหลักฐานแห่งความระยำตำบอน เนรคุณบ้านเมืองของไอ้พวกไม่จงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์ ที่เสือกมาหมุดลงในที่ ๆ มิบังควรเช่นนี้

แม้จะอ้างว่า เป็นที่ ๆ พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา อ่านคำประกาศคณะราษฎรฉบับแรกในวันเปลี่ยนแปลงการปกครองก็ตาม

แต่ถามหน่อยว่า มันสมควรหรือไม่ ที่จู่ ๆ จะเอาวัตถุอะไรก็ตามแต่ไปหมุดลงในลานพระบรมรูปทรงม้า ซึ่งเป็นเขตพระราชฐาน ?

ซึ่งการสร้างหมุดทองเหลืองนี้ก็เป็นดำริของนายกรัฐมนตรีคนที่ 2 ของไทย คือ พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา หัวหน้าคณะราษฎร เป็นผู้จัดสร้างขึ้นในช่วงที่ท่านเป็นนายกรัฐมนตรีในสมัยที่ 3 เองนั่นแหละ

ถามว่า ตอนที่พวกท่านคิดจัดทำหมุดคณะราษฎร แล้วเอาไปหมุดไว้ลงตรงนั้นเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2479 พวกท่านได้เคยขอพระบรมราชานุญาตจากพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 8 แล้วรึยัง ?

หรือใช้อำนาจบาตรใหญ่ของคณะราษฎรที่คิดจะทำอะไรตามอำเภอใจในเขตพระราชฐานก็ได้เช่นนั้นหรือ ?

สำหรับผม ใหม่เมืองเอก มีความเห็นว่า แม้คณะราษฎรจะปกครองบ้านเมืองในเวลานั้นแล้ว แต่ก็ต้องให้เกียรติเขตพระราชฐานด้วย

ดังนั้นคณะราษฎรและผู้จัดทำหมุดนี้ ก็ควรทำหนังสือขอพระบรมราชานุญาตจากรัชกาลที่ 8 เสียก่อน ว่าจะขอปักหมุดทองเหลืองนี้เพื่อแสดงให้เห็นถึงจุดที่คณะราษฎรได้อ่านประกาศปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองได้หรือไม่

ตกลงมีไหม หนังสือพระบรมราชานุญาตจากรัชกาลที่ 8 ทรงอนุญาตให้ปักหมุดในเขตพระราชฐาน ?? (อันนี้ผมก็ไม่รู้ข้อมูล เพราะยังหาไม่เจอ)

แต่หากไม่มีหนังสือพระบรมราชานุญาตจากรัชกาลที่ 8 ทรงอนุญาตให้ปักหมุดลงในบริเวณลานพระบรมรูปทรงม้านำมาแสดงให้ประชาชนได้เห็นแล้วล่ะก็

ย่อมก็ถือว่า หมดุคณะราษฎรนั้นเป็นหมุดเถื่อน  ที่ไม่เคารพยำเกรงและเกรงใจพระมหากษัตริย์เลย

หมุดคณะราษฎรจึงเป็นเสมือนหลักฐานความระยำของคณะราษฎรเสียเอง

--------------------

คำประกาศจัญไรของคณะราษฎร


พลเอก พลเรือเอก พลอากาศเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา เป็นนายกรัฐมนตรีไทยคนที่ 2


ในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา หัวหน้าคณะราษฎรได้อ่านคำประกาศคณะราษฎร ฉบับแรก ซึ่งเขียนโดยนายปรีดี พนมยงค์ มีเนื้อหาใส่ร้ายพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 7 เกินความเป็นจริง ดังนี้

คำประกาศคณะราษฎร ฉบับที่ 1 

" ราษฎรทั้งหลาย

เมื่อกษัตริย์องค์นี้ได้ครองราชย์สมบัติสืบต่อจากพระเชษฐานั้น ในชั้นต้นราษฎรบางคนได้หวังกันว่ากษัตริย์องค์ใหม่นี้จะปกครองราษฎรให้ร่มเย็น แต่การณ์ก็หาได้เป็นไปตามที่คิดหวังกันไม่ กษัตริย์คงทรงอำนาจอยู่เหนือกฎหมายเดิม ทรงแต่งตั้งญาติวงศ์และคนสอพลอไร้คุณความรู้ให้ดำรงตำแหน่งที่สำคัญ ๆ ไม่ทรงฟังเสียงราษฎร ปล่อยให้ข้าราชการใช้อำนาจหน้าที่ในทางทุจริต มีการรับสินบนในการก่อสร้างและการซื้อของใช้ในราชการ หากำไรในการเปลี่ยนเงิน ผลาญเงินของประเทศ ยกพวกเจ้าขึ้นให้สิทธิพิเศษมากกว่าราษฎร กดขี่ข่มเหงราษฎร ปกครองโดยขาดหลักวิชา ปล่อยให้บ้านเมืองเป็นไปตามยถากรรม ดังที่จะเห็นได้จากความตกต่ำในทางเศรษฐกิจและความฝืดเคืองในการทำมาหากินซึ่งพวกราษฎรได้รู้กันอยู่โดยทั่วไปแล้ว รัฐบาลของกษัตริย์เหนือกฎหมายมิสามารถแก้ไขให้ฟื้นขึ้นได้

การที่แก้ไขไม่ได้ก็เพราะรัฐบาลของกษัตริย์มิได้ปกครองประเทศเพื่อราษฎรตามที่รัฐบาลอื่นๆ ได้กระทำกัน รัฐบาลของกษัตริย์ได้ถือเอาราษฎรเป็นทาส (ซึ่งเรียกว่าไพร่บ้าง ข้าบ้าง) เป็นสัตว์เดียรัจฉาน ไม่นึกว่าเป็นมนุษย์ เหตุฉะนั้น แทนที่จะช่วยราษฎร กลับพากันทำนาบนหลังราษฎร จะเห็นได้ว่า ภาษีอากรที่บีบคั้นเอาจากราษฎรนั้น กษัตริย์ได้หักเอาไว้ใช้ปีหนึ่งเป็นจำนวนหลายล้าน ส่วนราษฎรสิ กว่าจะหาได้แม้แต่เล็กน้อย เลือดตาแทบกระเด็น ถึงคราวเสียเงินราชการหรือภาษีใดๆ ถ้าไม่มีเงินรัฐบาลก็ยึดทรัพย์หรือใช้งานโยธา แต่พวกเจ้ากลับนอนกินกันเป็นสุข ไม่มีประเทศใดในโลกจะให้เงินเจ้ามากเช่นนี้ นอกจากพระเจ้าซาร์และพระเจ้าไกเซอร์เยอรมัน ซึ่งชนชาตินั้นก็ได้โค่นราชบัลลังก์ลงเสียแล้ว

รัฐบาลของกษัตริย์ได้ปกครองอย่างหลอกลวงไม่ซื่อตรงต่อราษฎร มีเป็นต้นว่าหลอกว่าจะบำรุงการทำมาหากินอย่างโน้นอย่างนี้ แต่ครั้นคอย ๆ ก็เหลวไป หาได้ทำจริงจังไม่ มิหนำซ้ำกล่าวหมิ่นประมาทราษฎรผู้มีบุญคุณเสียภาษีอากรให้พวกเจ้าได้กิน ว่าราษฎรยังมีเสียงทางการเมืองไม่ได้ เพราะราษฎรโง่ 

คำพูดของรัฐบาลเช่นนี้ใช้ไม่ได้ ถ้าราษฎรโง่ เจ้าก็โง่เพราะเป็นคนชาติเดียวกัน ที่ราษฎรรู้ไม่ถึงเจ้านั้นเป็นเพราะขาดการศึกษาที่พวกเจ้าปกปิดไว้ไม่ให้เรียนเต็มที่ เพราะเกรงว่าเมื่อราษฎรได้มีการศึกษา ก็จะรู้ความชั่วร้ายที่พวกเจ้าทำไว้ และคงจะไม่ยอมให้เจ้าทำนาบนหลังคนอีกต่อไป

ราษฎรทั้งหลายพึงรู้เถิดว่า ประเทศเรานี้เป็นของราษฎร ไม่ใช่ของกษัตริย์ตามที่เขาหลอกลวง บรรพบุรุษของราษฎรเป็นผู้ช่วยกันกู้ให้ประเทศเป็นอิสรภาพพ้นมือจากข้าศึก พวกเจ้ามีแต่ชุบมือเปิบและกวาดทรัพย์สมบัติเข้าไว้ตั้งหลายร้อยล้าน เงินเหล่านี้เอามาจากไหน? ก็เอามาจากราษฎรเพราะวิธีทำนาบนหลังคนนั้นเอง บ้านเมืองกำลังอัตคัดฝืดเคือง ชาวนาและพ่อแม่ทหารต้องทิ้งนา เพราะทำนาไม่ได้ผล รัฐบาลไม่บำรุง รัฐบาลไล่คนงานออกอย่างเกลื่อนกลาด นักเรียนที่เรียนสำเร็จแล้วและทหารที่ปลดกองหนุนแล้วก็ไม่มีงานทำ จะต้องอดอยากไปตามยถากรรม เหล่านี้เป็นผลของกษัตริย์เหนือกฎหมาย บีบคั้นข้าราชการชั้นผู้น้อย นายสิบ และเสมียน เมื่อให้ออกจากงานแล้วก็ไม่ให้เบี้ยบำนาญ ความจริงควรเอาเงินที่พวกเจ้ากวาดรวบรวมไว้มาจัดบำรุงบ้านเมืองให้คนมีงานทำ จึงจะสมควรที่สนองคุณราษฎรซึ่งได้เสียภาษีอากรให้พวกเจ้าได้ร่ำรวยมานาน แต่พวกเจ้าก็หาได้ทำอย่างใดไม่ คงสูบเลือดกันเรื่อยไป เงินเหลือเท่าไหร่ก็เอาไปฝากต่างประเทศ คอยเตรียมหนีเมื่อบ้านเมืองทรุดโทรม ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก การเหล่านี้ย่อมชั่วร้าย

เหตุฉะนั้น ราษฎร ข้าราชการ ทหาร และพลเรือน ที่รู้เท่าถึงการกระทำอันชั่วร้ายของรัฐบาลดังกล่าวแล้ว จึงรวมกำลังตั้งเป็นคณะราษฎรขึ้น และได้ยึดอำนาจของกษัตริย์ไว้ได้แล้ว 

คณะราษฎรเห็นว่าการที่จะแก้ความชั่วร้ายนี้ได้ก็โดยที่จะต้องจัดการปกครองโดยมีสภา จะได้ช่วยกันปรึกษาหารือหลาย ๆ ความคิดดีกว่าความคิดเดียว ส่วนผู้เป็นประมุขของประเทศนั้น คณะราษฎรไม่ประสงค์ทำการแย่งชิงราชสมบัติ ฉะนั้น จึงได้อัญเชิญให้กษัตริย์องค์นี้ดำรงตำแหน่งกษัตริย์ต่อไป แต่จะต้องอยู่ใต้กฎหมายธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน จะทำอะไรโดยลำพังไม่ได้ นอกจากด้วยความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎร คณะราษฎรได้แจ้งความประสงค์นี้ให้กษัตริย์ทราบแล้ว เวลานี้ยังอยู่ในความรับตอบ 

ถ้ากษัตริย์ตอบปฏิเสธหรือไม่ตอบภายในกำหนดโดยเห็นแก่ส่วนตนว่าจะถูกลดอำนาจลงมาก็จะได้ชื่อว่าทรยศต่อชาติ และก็เป็นการจำเป็นที่ประเทศจะต้องมีการปกครองแบบอย่างประชาธิปไตย กล่าวคือ ประมุขของประเทศจะเป็นบุคคลสามัญซึ่งสภาผู้แทนราษฎรได้เลือกตั้งขึ้น อยู่ในตำแหน่งตามกำหนดเวลา ตามวิธีนี้ราษฎรพึงหวังเถิดว่าราษฎรจะได้รับความบำรุงอย่างดีที่สุด ทุก ๆ คนจะมีงานทำ เพราะประเทศของเราเป็นประเทศที่อุดมอยู่แล้วตามสภาพ 

เมื่อเราได้ยึดเงินที่พวกเจ้ารวบรวมไว้จากการทำนาบนหลังคนตั้งหลายร้อยล้านมาบำรุงประเทศขึ้นแล้ว ประเทศจะต้องเฟื่องฟูขึ้นเป็นแม่นมั่น การปกครองซึ่งคณะราษฎรจะพึงกระทำก็คือ จำต้องวางโครงการอาศัยหลักวิชา ไม่ทำไปเหมือนคนตาบอด เช่นรัฐบาลที่มีกษัตริย์เหนือกฎหมายทำมาแล้ว เป็นหลักใหญ่ ๆ ที่คณะราษฎรวางไว้ มีอยู่ว่า

๑.จะต้องรักษาความเป็นเอกราชทั้งหลาย เช่นเอกราชในทางการเมือง ในทางศาล ในทางเศรษฐกิจ ฯลฯ ของประเทศไว้ให้มั่นคง

๒.จะต้องรักษาความปลอดภัยภายในประเทศ ให้การประทุษร้ายต่อกันลดน้อยลงให้มาก

๓.ต้องบำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหม่จะจัดหางานให้ราษฎรทุกคนทำ จะวางโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก

๔.จะต้องให้ราษฎรมีสิทธิเสมอภาคกัน (ไม่ใช่พวกเจ้ามีสิทธิยิ่งกว่าราษฎรเช่นที่เป็นอยู่ในเวลานี้)

๕.จะต้องให้ราษฎรได้มีเสรีภาพ มีความเป็นอิสระ เมื่อเสรีภาพนี้ไม่ขัดต่อหลัก ๔ ประการดังกล่าวข้างต้น

๖.จะต้องให้การศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร

ราษฎรทั้งหลายจงพร้อมใจกันช่วยคณะราษฎรให้ทำกิจอันจะคงอยู่ชั่วดินฟ้านี้ให้สำเร็จ คณะราษฎรขอให้ทุกคนที่มิได้ร่วมมือเข้ายึดอำนาจจากรัฐบาลกษัตริย์เหนือกฎหมายพึงตั้งตนอยู่ในความสงบและตั้งหน้าทำมาหากิน อย่าทำการใด ๆ อันเป็นการขัดขวางต่อคณะราษฎร การที่ราษฎรช่วยคณะราษฎรนี้ เท่ากับราษฎรช่วยประเทศและช่วยตัวราษฎร บุตร หลาน เหลน ของตนเอง 

ประเทศจะมีความเป็นเอกราชอย่างพร้อมบริบูรณ์ ราษฎรจะได้รับความปลอดภัย ทุกคนจะต้องมีงานทำไม่ต้องอดตาย ทุกคนจะมีสิทธิเสมอกัน และมีเสรีภาพพ้นจากการเป็นไพร่ เป็นข้า เป็นทาสพวกเจ้า หมดสมัยที่เจ้าจะทำนาบนหลังราษฎร สิ่งที่ทุกคนพึงปรารถนาคือ ความสุขความเจริญอย่างประเสริฐซึ่งเรียกเป็นศัพท์ว่า “ศรีอาริยะ” นั้น ก็จะพึงบังเกิดขึ้นแก่ราษฎรถ้วนหน้า

คณะราษฎร

๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ "

-----------------------

จริง ๆ แล้ว ในช่วงที่รัชกาลที่ 7 ขึ้นครองราชย์ เศรษฐกิจทั่วโลกก็ตกต่ำอยู่แล้วไปทั่ว รัชกาลที่ 7 ก็ทรงตัดรายจ่ายทั้งส่วนพระองค์ ทั้งส่วนของเจ้านายเชื้อพระวงศ์ต่าง ๆ รวมไปถึงตัดรายจ่ายของรัฐบาลลงอย่างมาก รวมถึงปลดข้าราชการออก หากได้ไปศึกษากัน

รวมทั้งยังทรงวางแผนจะพระราชทานประชาธิปไตยให้แก่ประชาชนไทยเช่นกัน แต่ทรงเห็นว่า คนไทยในเวลานั้นยังไม่มีความรู้ในเรื่องประชาธิปไตยดีพอ ซึ่งหากเปลี่ยนแปลงระบอบไปแล้ว รังแต่อำนาจจะตกอยู่ในมือนักการเมืองเท่านั้น อำนาจอธิปไตยและประชาธิปไตยที่เป็นของปวงชนชาวไทยจะไม่ตกไปถึงมือราษฎรโดยแท้จริง

แต่คณะราษฎรกลับชิงสุกก่อนห่ามรีบเปลี่ยนแปลงการปกครอง เพราะคิดว่า ตัวเองจะเก่งพอที่จะควบคุมบ้านเมืองได้อยู่ แต่ก็หาเป็นเช่นนั้นไม่ คณะราษฎรก็แย่งชิงอำนาจกันเอง

จนในที่สุดรัชกาลที่ 7 ทรงสละราชสมบัติ เพราะทรงไม่อยากตกเป็นเครื่องมือให้คณะหนึ่งคณะใดแอบอ้างพระองค์เพื่อผลประโยชน์ส่วนตนอีก


ลายพระราชหัตถ์ของรัชกาลที่ 7 ในวันประกาศสละราชสมบัติ


“ข้าพเจ้า มีความเต็มใจที่จะสละอำนาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิมให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใด คณะใดโดยเฉพาะ เพื่อใช้อำนาจนั้นโดยสิทธิขาด และโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎร” ประชาธิปก ปร.   วันที่ ๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๗

----------------------

หมุดคณะราษฎรหายไปไหนก็ชั่งมันเถอะ

จริง ๆ แล้ว หมุดคณะราษฎร ผมเห็นว่า เป็นหมุดเถื่อนมาแต่แรกอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อเป็นหมุดเถื่อนจะหายไปไหนก็ไม่เห็นจะต้องเสียดายอะไรเลย จริงไหม ?

พวกที่อ้างว่า หมุดนี้เป็นหลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์นั้น ในเวลานี้ก็เห็นมีแต่พวกล้มเจ้าเสียเป็นส่วนใหญ่ที่หวงแหนหมุดเสนียดนี้นักหนา

พวกล้มเจ้าคิดล้มล้างสถาบันกษัตริย์ไทยที่อยู่คู่คนไทยมาหลายร้อยปีลงได้ โดยที่พวกมันไม่เคยนึกเสียดายหรือเสียใจอะไรเลย แต่เสร่อมาเสียดายหมุดจัญไรนี้

ดังนั้น ผู้จงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์ ก็ไม่รู้สึกเสียดายหมุดทองเหลืองที่มีอายุแค่ 80 กว่าปีนี้จะหายไปเช่นกัน

ในเมื่อมีคนเอาหมุดเสนียดของคณะราษฎรออกไปแล้ว ก็ไม่ต้องไปเสียดายอะไร แม้แต่หมุดใหม่ที่คนขโมยไปเอามาใส่ไว้แทน ผมก็เฉย ๆ นะ เพราะหมุดหน้าใสดันเขียนข้อความที่ประดักประเดิดเกินไป

ในความเห็นของผม ผมว่า สมควรเทปูนปิดทับตรงจุดนั้นให้เรียบร้อยไปเลยดีกว่า แล้วไม่ต้องมีหมุดอะไรมาแทนทั้งนั้น จะได้ไม่ต้องเหลือประเด็นดราม่าอะไรกันอีก

เพราะหมุดเถื่อนของคณะราษฎร อยู่ในเขตพระราชฐาน ซึ่งเขตพระราชฐานอยู่ในอำนาจของสำนักพระราชวังกำกับดูแล

หากหมุดคณะราษฎรหายไป แล้วเจ้าของสถานที่คือ สำนักพระราชวังเขาไม่เดือดร้อนจะตามหา ก็เท่ากับว่า หมุดนั้นไม่มีใครอยากให้อยู่ในเขตพระราชฐานอีกแล้ว

ส่วนถ้าใครอยากจะตามหาหมุดคณะราษฎร ก็ตามหาต่อไปเองเถิด แต่ผมขอแนะนำว่า อย่าเอามาหมุดไว้ที่เดิม เพราะมันเป็นหมุดเถื่อนที่ไม่เคยขอพระบรมราชานุญาตในการติดตั้งมาก่อน

ส่วนหมุดหน้าใส ที่มาแทนก็เหมือนกัน ในความเห็นของผม ก็ถือว่า หมุดนี้ก็เป็นหมุดเถื่อน จึงสมควรเอาออกไปเช่นกัน จะได้ไม่มีประเด็นได้เปรียบเสียเปรียบอะไรกัน แล้วเทปูนปิดทับบริเวณไปให้หมดเถอะ จะได้ไม่มีเหตุดราม่าให้ต้องทะเลาะกันอีก

(หรืออาจจะเทปูนยกพื้นตรงนั้นให้สูงขึ้นมาสักนิด ให้พอรู้ว่า เคยเป็นจุดที่พ.อ.พระพหลฯ เคยอ่านแถลงการณ์บัดซบไว้ตรงจุดนั้น)

แต่ถ้าเจ้าของสถานที่คือสำนักพระราชวัง เขาไม่เดือดร้อนอะไรที่จะมีหมุดใหม่หน้าใสมาอยู่ตรงนั้น ก็แล้วแต่...เอาที่สบายใจเถอะ เพราะสำนักพระราชวังเขาวางตัวเป็นกลางมากในกรณีนี้ คือ ไม่ออกความเห็นใด ๆ ทั้งสิ้น

(แต่เห็นมีการล้อมรั้วกั้นตรงจุดที่หมุดหน้าใสอยู่เอาไว้ คงเพื่อป้องกันความวุ่นวายและการมาทะเลาะกันของฝ่ายโหยหาอยากกราบหมุดคณะราษฎร กับพวกที่นิยมชมชอบหมุดหน้าใส มั้ง?)

แต่ที่แน่ ๆ หมุดหน้าใส ไม่ใช่หมุดของคณะที่กระทำการลบหลู่ดูหมิ่นพระเกียรติของรัชกาลที่ 7 แน่นอน จริงไหม ?

----------------

ประเด็นต้องรื้อทุกอย่างที่คณะราษฎร สร้างไว้ทิ้งไปทั้งหมดหรือไม่ ?

คือ พอดีมีพวกร่านบางคนมันประชดทำนองนี้เอาไว้ (ซึ่งเป็นความคิดสะเออะและเสร่อมาก)

ผมเลยขอตอบว่า เหรียญมี 2 ด้านเสมอ คือการที่คณะราษฎรเข้ามาสร้างความเจริญให้ประเทศชาติในด้านใดก็ตาม ก็ถือว่า ทำไปตามหน้าที่จะมาลำเลิกบุญคุณคงไม่ได้

ใครก็ตามที่มาเป็นนักการเมืองและเป็นรัฐบาล คือการอาสาเข้ามาปกครองและพัฒนาประเทศย่อมมีหน้าที่ทำประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติและประชาชน ซึ่งเป็นเรื่องปกติวิสัยอยู่แล้ว

ส่วนการจะตัดสินว่านักการเมืองคนใดเลวนั้น เขาไม่ได้ดูที่นักการเมืองคนนั้น ๆ เคยทำประโยชน์อะไรแก่ชาติบ้านเมืองหรือไม่ แต่เขาให้ดูว่า เคยกระทำความเลวอะไรต่อชาติบ้านเมืองหรือไม่ต่างหาก

กรณีสิ่งใดที่คณะราษฎรทำไว้ดีแล้ว ก็ต้องถือว่า แล้วไป

แต่กรณีหมุดคณะราษฎร นี่สิ ถือว่าเป็นหมุดเถื่อนที่แสดงเป็นหลักฐานถึงความระยำในการอ่านคำประกาศคณะราษฎรฉบับที่ 1 เพื่อใส่ร้ายรัชกาลที่ 7 เกินควร จึงสมควรเอาออกไปน่ะเหมาะสมดีแล้วครับ

---------------------

คนไทยส่วนใหญ่ไม่รู้จักหมุดคณะราษฎร



เชื่อหรือไม่คนไทยส่วนใหญ่ไม่เคยรู้ว่า มีหมุดคณะราษฎรอยู่ที่ลานพระบรมรูปทรงม้ารัชกาลที่ 5 มาก่อน จนเมื่อหมุดเสนียดมันหายไปจนเป็นข่าวดังแล้ว หลายคนถึงเพิ่งจะรู้จักหมุดนี้นี่เอง ก็ขนาดคนใหญ่คนโตในบ้านเมืองเราหลายคนก็ไม่เคยรู้จักหมุดนี้มาก่อน

เช่น นายพิชัย รัตตกุล อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อดีตประธานรัฐสภา ก็เพิ่งจะรู้จักหมุดคณะราษฎร หลังจากที่มันหายไปแล้ว

“ผมไม่ทราบมาก่อนเลยว่า คณะราษฎร ได้ทำหมุดเกี่ยวกับเหตุการณ์ การเปลี่ยนแปลงการปกครองนั้น และนำไปฝังไว้ที่ลาน พระบรมรูปทรงม้า มาทราบอีกที และเป็นครั้งแรกก็เมื่อ มีข่าวว่ามีคนมาขุดเอาหมุดนี้ออก และนำหมุดใหม่มาใส่แทนที่ แสดงว่าใครก็ตาม ที่ทำการนี้จะต้องมีแผนการ ไว้ล่วงหน้า หมุดนี้ไม่ใช่หมุดหัวจ่ายน้ำประปา หมุดเดิมที่คณะราษฎร์ ได้นำมาฝังไว้ 85 ปี มาแล้ว อาจจะไม่มีค่างวดอะไรนัก แต่ค่างวดของหมุดนี้ มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ และทางจิตใจ อย่างยิ่ง ซึ่งไม่สามารถนำมา คำนวณ เป็นตัวเงินได้ ผู้ที่กระทำการเอาหมุดเดิมออก ไม่ได้คิดสักนิดว่า การกระทำของเขา กระทบกระเทือนจิตใจ และความรู้สึกที่ไม่ดี ต่อผู้กระทำอย่างมาก และเป็นการกระทำ ที่ไม่คำนึงถึง ความปรองดอง ความรักใคร่สามัคคี ของชนในชาติเลย เจ้าหน้าที่ตำรวจก็แสนจะดี โดยแจ้งให้ผู้ไปแจ้งความว่า “ใครเป็นเจ้าของหมุด ต้องให้เจ้าของมาแจ้งความเอง” นายพิชัย แถลงข่าวเมื่อวันที่ 18 เม.ย. ที่ผ่านมา

โถ ๆ ปู่พิชัย ไม่เคยรู้จักหมุดคณะราษฎรมาก่อน แต่กลับมาเพิ่งรู้ซึ้งคุณค่าทางประวัติศาสตร์เนี่ยนะ เหอะ ๆ

---------------------

แถม คำสารภาพปรีดี

นายปรีดี พนมยงค์ เคยขอเข้าเฝ้าสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ซึ่งสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีได้ทรงเล่าว่า ปรีดี ได้มาขอโทษและกราบทูลว่า

"ข้าพระพุทธเจ้าตอนนั้นยังเด็ก คิดอะไรหัวมันรุนแรงเกินไป ไม่นึกว่าจะลำบากยากเย็นถึงเพียงนี้ ถ้ารู้ยังงี้ ก็ไม่ทำ"

(จากหนังสือเบื้องแรกประชาธิตัย)


หรือแม้แต่ตอนที่นายปรีดี ได้ลี้ภัยไปอยู่ฝรั่งเศสในบั้นปลายชีวิตแล้ว ก็เคยให้สัมภาษณ์แก่สื่อต่างประเทศ

นักข่าวถามว่า "ท่านคิดว่าอะไรที่น่าจะเป็นความผิดอันใหญ่หลวงของท่าน? ถ้าท่านมีอำนาจกลับไปและแก้ไขเพียงส่วนหนึ่งของชีวิตของท่าน การตกลงใจหรือการกระทำอันไหนที่ท่านอยากเปลี่ยนมากที่สุด? "

ปรีดี ตอบ "ถ้าท่านถามถึงว่าอะไรที่ข้าพเจ้าจะทำ ถ้าข้าพเจ้ากลับไปเป็นนายกรัฐมนตรี..เอาละ ข้าพเจ้าขอตอบว่า ข้าพเจ้าไม่สนใจที่จะกลับสู่การเมืองอีกหรอก เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้าแก่มากแล้ว แต่ข้าพเจ้าตอบท่านได้ถึงความผิดในอดีตของข้าพเจ้า

ในปี ค.ศ.๑๙๒๕ เมื่อเราเริ่มจัดตั้งแกนกลางของพรรคอภิวัฒน์ในปารีส ข้าพเจ้ามีอายุเพียง ๒๕ ปี เท่านั้น หนุ่มมาก หนุ่มทีเดียว ขาดความจัดเจน แม้ว่าข้าพเจ้าได้รับปริญญาแล้วและได้คะแนนสูงสุด แต่ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าทางทฤษฎี (ของกฎหมายเปรียบเทียบ)

ข้าพเจ้าไม่มีความเจนจัด และโดยปราศจากความเจนจัด บางครั้งข้าพเจ้าประยุกต์ทฤษฎีอย่างนักตำรา

ข้าพเจ้าไม่ได้นำเอาความเป็นจริงในประเทศของข้าพเจ้ามาคำนึงด้วย ข้าพเจ้าติดต่อกับประชาชนไม่พอ ความรู้ทั้งหมดของข้าพเจ้า เป็นความรู้ตามหนังสือ

ข้าพเจ้าไม่ได้เอาสาระสำคัญของมนุษย์มาคำนึงด้วยให้มากเท่าที่ข้าพเจ้าควรจะมี

ในปี ค.ศ.๑๙๓๒ ข้าพเจ้าอายุ ๓๒ ปี พวกเราได้ทำการอภิวัฒน์ แต่ข้าพเจ้าก็ขาดความจัดเจน และครั้นข้าพเจ้ามีความจัดเจนมากขึ้น ข้าพเจ้าก็ไม่มีอำนาจ"

คำสารภาพปรีดี จากเว็บปรีดี พูนศุข พนมยงค์


คลิกอ่าน ถ้าคณะราษฎรเลว ก็อย่าโทษปรีดีคนเดียว



วันอังคารที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2560

ยุคเสื่อมนักมวยสากลอาชีพไทยกับความล้าหลังไม่พัฒนา




ปัจจุบันในขณะที่ผมเขียนบทความนี้นับว่า ยังเป็นยุคเสื่อมถอยของวงการมวยสากลอาชีพของไทย เสื่อมถอยขนาดที่ว่า ณ เวลานี้นักมวยแชมป์โลกของไทยในระดับสถาบันหลักเช่น WBA WBC และ IBF เอาแค่ 3 สถาบันหลักนี้ก็พอ ว่า ณ เวลานี้ตอนนี้เรามีแชมป์โลกชาวไทยที่ยังครองเข็มชัดแชมป์เปี้ยนโลกอยู่กี่คน ?

มีใครพอจำได้บ้าง ?

ผมมานึก ๆ ย้อนดูว่า มวยสากลอาชีพระดับโลกของไทยเริ่มตกต่ำมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ?

ผมพอจะนึกได้ว่า ก็ตั้งแต่มีแชมป์ PABA หรือแชมป์อะไรต่อมิอะไรมั่วซั่วเกิดขึ้นมานั่นแหละครับ น่าจะสิบกว่าปีที่ผ่านมานี่แหละ

คือ ยุคแรก ๆ ตั้งแต่มีแชมป์แยกย่อยระดับภูมิภาคพวก PABA แบบนี้ขึ้นมาหลายต่อหลายแชมป์ พวกนักพากย์มวยถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ ก็มักจะชอบเรียกว่า แชมป์โลกพาบ้า แล้วก็มีแชมป์โลกกระจอก ๆ ที่ไม่ใช่แชมป์โลกจริง ๆ ของสถาบันหลักอีกมากมายเกิดขึ้นมาจนคนดูมวยจำไม่หวัดไม่ไหว คือนักพากย์ชอบพากย์เหมาเรียกแชมป์โลกไปหมด

มีการถ่ายทอดสดชิงแชมป์โลกและป้องกันแชมป์กระจอก ๆ ที่ไม่ใช่แชมป์โลกของจริงแบบนี้บ่อยมากทางทีวี จนผู้ดูมวยทั่วไปเริ่มเห็นความเกร่อและความกระจอก จนเริ่มไม่อยากสนใจชมมวยถ่ายทอดสดทางทีวีตอนบ่าย ๆ พวกนี้สักเท่าไหร่นัก

เพราะความที่มีแชมป์โลกกระจอก ๆ จนเกร่อ ถ่ายทอดสดทางทีวีแทบทุกสัปดาห์นี่แหละ คือ ยุคเริ่มต้นความเสื่อมของวงการมวยอาชีพบ้านเรา

เพราะคนดูเริ่มงง ว่า ตกลงแชมป์ไหนเป็นแชมป์โลกของจริงกันแน่ ซึ่งพอผ่านมาสักกว่า 10 ปี คนพากย์มวยทีวีเพิ่งจะรู้ตัวว่า ถ้าเรียกแชมป์โลกไปซะหมด ก็จะยิ่งทำให้คนดูเบื่อหน่าย ไม่เห็นความสำคัญของคำว่า แชมป์เปี้ยนโลก อีก

ตอนหลังคนพากย์มวยก็เลยกลับมาเรียกว่า แชมป์พาบ้า เฉย ๆ ตัดคำว่า โลก ออกไป

---------------------

ประเทศญี่ปุ่น ให้ความสำคัญแค่ 2 สถาบันหลักเท่านั้น

คือถ้าผมจำไม่ผิดนะ วงการมวยญี่ปุ่น เขาจะเน้นให้นักมวยของเขาชิงแชมป์เปี้ยนโลกจากสถาบันหลักคือ WBA หรือ WBC เท่านั้น เพราะนี่คือ 2 สถาบันมวยโลกที่เก่าแก่ที่สุดในโลก

ซึ่งถ้าเมื่อสัก 30 ปีก่อน ญี่ปุ่นจะเน้นแค่สถาบันหลักเดียวด้วยซ้ำ คือให้ความสำคัญแค่สถาบัน WBA เท่านั้น เพราะคือสถาบันมวยโลกแรกของโลก

ปัจจุบันนี้ ผมไม่แน่ใจว่า แชมป์มวยสากลอาชีพโลกของญี่ปุ่นมีกี่สถาบันแล้ว แต่เท่าที่เห็น ๆ ญี่ปุ่นเขาเน้นที่แชมป์โลก WBA และ WBC เป็นหลัก

ในขณะที่วงการมวยสากลอาชีพไทย กลับไปนำแชมป์พาบ้า เข้ามาทำลายวงการมวยอาชีพของไทยเอง เพราะนักชกไทยก็วนชกอยู่แค่นักชกจากฟิลิปปินส์ หรืออินโดนีเซีย เป็นหลัก ๆ จนเหมือนวนเวียนฝึกฝีมือในกะลาอาเซียนแท้ ๆ พอเจอนักชกของจริงจากทวีปอเมริกาและอเมริกาใต้ทีไร นักมวยไทยเรามักจอดพ่ายน็อคเอาง่าย ๆ เสมอ ๆ

อันนี้คือความเห็นส่วนตัวของผมนะ ที่คิดว่า มัวแต่พาบ้า เลยพาห่วยลง

---------------------

สิ่งที่ห่วยและขาดไปในนักมวยสากลอาชีพไทยในยุคนี้

ผมเห็นการชิงแชมป์โลกสถาบันหลักของนักชกไทยในยุคหลัง ๆ หากนักมวยไม่ได้มาจากมวยสากลสมัครเล่นมาก่อน สิ่งที่ขาดหายไปของนักมวยสากลอาชีพไทยก็คือ หมัดแย็บนำ หรือที่เรียกว่า หมัดหน้า

โดยเฉพาะเวลานักชกไทยไปชิงแชมป์โลกหรือป้องกันแชมป์โลกกับนักชกญี่ปุ่น

สิ่งที่เราเห็นความแตกต่างได้ชัดเจนก็คือ นักชกญี่ปุ่นจะฟุตเวิร์คได้ดี และมีหมัดหน้าหรือหมัดแย็บนำตลอด ซึ่งสามารถทำลายจังหวะ และเก็บคะแนนได้มาก แถมบางครั้งสร้างบาดแผลและความเจ็บปวดให้นักมวยไทยได้มากทีเดียว

ในขณะที่นักมวยสากลอาชีพไทยก็เอาแต่เดินดุ่ม ๆ หมายจะเข้าไปต่อยลำตัวนักมวยญี่ปุ่น เพื่อหวังจะน็อคนักชกญี่ปุ่น เพราะนักชกไทยมีฐานความคิดเก่า ๆ เดิม ๆ ว่า นักชกญี่ปุ่นจะท้องและลำตัวไม่แข็ง หากเจอต่อยลำตัวจัง ๆ หรือถูกต่อยสะสมที่ลำตัวมาก ๆ เข้า นักชกญี่ปุ่นก็จะพ่ายแพ้ให้เราในที่สุด

ทุกวันนี้เราจึงเห็นนักชกไทยทำตัวเหมือนควาย เอ้ย วัวกระทิง ที่เดินดุ่ม ๆ เข้าไปชกนักชกญี่ปุ่นแบบโง่ ๆ สุดท้ายก็น็อคเขาไม่ได้ ไล่เขาไม่จน เพราะนักชกญี่ปุ่นเขาปิดความบกพร่องเรื่องความอ่อนของหน้าท้องลงไปหมดแล้ว หายากที่นักชกญี่ปุ่นจะพ่ายแพ้เพราะถูกชกท้อง

นักมวยสากลอาชีพญี่ปุ่นเขาพัฒนาไปไกลแล้ว มีแชมป์โลกสถาบันหลักหลายคน ในขณะที่วงการมวยไทยยังย่ำอยู่กับความคิดเดิม ๆ สไตล์การชกแบบโง่ ๆ ดุ่ม ๆ ต่อยท้องอย่างเดียวต่อไป

ดังนั้น หากนักชกไทยยังไม่เน้นมีหมัดนำ เหมือนโผน กิ่งเพชร สด จิตรลดา และอดีตแชมป์โลกคนอื่น ๆ อีกมากมาย ที่มักเน้นฟุตเวิร์คคล่องแคล่ว หมัดแย็บสวยงาม

วงการมวยสากลอาชีพของไทยก็ถอยหลังลงคลองต่อไป คือ เดิมดุ่ม ๆ เข้าไปหาให้ฝ่ายตรงข้ามชกหมัดหน้าทำคะแนนไป

----------------

นักมวยสากลอาชีพไทยไม่มีก๊อกสอง ก๊อกสาม

เรามักจะเห็นนักชกไทยเวลาไปชิงแชมป์โลก หรือ ป้องกันแชมป์โลก ก็ตาม หากมีจังหวะที่ชกจนนักชกคู่ต่อสู้มีอาการเป๋หรือแสดงอาการอ่อนแอมึนหมัดให้เห็น

ผู้ชมก็เฮดีใจ แล้วก็ต่างลุ้นให้นักมวยไทยเข้าไปขยี้รัวหมัดเอาให้คู่ต่อสู้แพ้น็อคให้ได้เร็วที่สุด

แต่จนแล้วจนรอด นักชกไทยส่วนใหญ่ก็มักไม่มีปัญญาเอาชนะน็อคคู่ต่อสู้ได้เลย เมื่อโอกาสดี ๆ มาเยือนแล้ว

แบบที่เรียกว่า พลาดวินาทีทอง !!

ส่วนผู้ชมชาวไทยก็พลอยเสียอารมณ์ไปตาม ๆ กัน พร้อมกับคำสบถว่า "แม่งโคตรโง่เล้ย"

ซึ่งต่างจากนักชกญี่ปุ่น หรือนักมวยสากลอาชีพต่างชาติอื่น ๆ ที่แม้ดูจะมีสภาพอ่อนระโหยโรยแรงแทบจะหมดแรงไปแล้ว แต่เมื่อเขาเห็นคู่ต่อสู้ออกอาการมึนหมัดให้เห็น นักชกต่างชาติก็มักจะมีก๊อคที่ 2 ที่ 3 เหมือนมีแรงมีพลังขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เปรียบเสมือนฉลามได้กลิ่นกลิ่นคาวเลือด สามารถบุกตะลุยรัวหมัดจนนักชก(ไทย) อีกฝ่ายแพ้น็อคได้ในพริบตา โดยเฉพาะในนักมวยชาวอเมริกันจะมีให้เห็นมาก ที่เป็นตำนานก็คือ ชูกาเรย์ เรียวนาร์ด

ซึ่งในการชกระหว่างเรียวนาร์ด กับ โธมัส เฮิร์น

เรียวนาร์ด โดยเฮิร์นชกทำคะแนนนำขาดมาทุกยก จนเรียวนาร์ดมีสภาพอ่อนล้าจนจะไปแหล่มิไปแหล่แล้ว บอบช้ำที่สุดในชีวิตการชกของเรียวนาร์ด

แต่เมื่อเฮิร์น พลาดท่าโดนหมัดของเรียวนาร์ดจนออกอาการเป๋

เรียวนาร์ด ที่สภาพก็ย่ำแย่แล้ว ก็กลับเสมือนมีก๊อก 2-3 เกิดแรงฮึดขึ้นมาใหม่ตามรัวหมัด ไล่ถลุงเฮิร์น ถึง 2 ยก.ในยกที่ 13 และ 14  จนสามารถเอาชนะเทคนิเคิลน็อคเอ้าท์ได้ในที่สุด



นักชกไทยที่ผมจำได้ว่า มีก๊อก 2 ก็อก 3 ที่สามารถรัวหมัดเอาชนะน็อคคู่ต่อสู้ได้ในเวลาอันรวดเร็ว ก็คือ เขาทราย แกแลคซี่ แชมป์โลก WBA ผู้ยิ่งใหญ่ตลอดกาลของโลกและของไทย

ซึ่งในช่วงที่เขาทราย ได้เป็นแชมป์โลกใหม่ ๆ ก็ไม่ค่อยมีหมัดหน้านำ ชอบเดินดุ่ย ๆ เข้าไปชกท้องคู่ต่อสู้ จนตัวเองก็เจ็บตัวไม่น้อย จนถูกแฟนมวยชาวไทยประชดว่า เขาควาย !!

แต่ต่อมา เขาทรายก็พัฒนาฝีมือ ปิดข้อบกพร้องของตัวเองได้จนหมด คือ มีหมัดหน้านำ แถมการไล่ต้อนคู่ชกก็ทำได้อย่างเหนือชั้น จนได้รับการยกย่องว่า เขาทราย แกแลคซี่ คือนักมวยที่ต่อยลำตัวคู่ต่อสู้ได้เก่งที่สุดในโลก

ถึงจะอ้างว่านักชกไทยเป็นมวยบุก มวยไฟต์เตอร์ ก็ต้องมีหมัดหน้านำทาง เช่น ใช้หมัดหน้าชกให้คู่ต่อสู้เปิดการ์ด หรือใช้หมัดหน้าชกให้คู่ต่อสู้รำคาญและกังวล เป็นต้น ไม่ใช่เอาแต่เดินดุ่ย ๆ เดินเข้าไปหาคู่ชกแบบซื่อบื้อ

แต่นั่นคือ เขาทราย ผู้มีพลังกำปั้นซ้ายที่หนักที่สุดในโลกหนักกว่าใครในรุ่นเดียวกัน

ถ้านักมวยสากลอาชีพชาวไทยคนไหน หมัดไม่หนักพอ ๆ กับเขาทราย ก็อย่าสะเออะเดินหน้าดุ่ม ๆ แบบโง่ ๆ ไร้หมัดหน้านำเลยครับ เพราะโอกาสชนะมีแต่ฟลุ้คเท่านั้น

------------------------

สรุป สิ่งที่นักมวยสากลอาชีพไทยควรแก้ไข

1. การฟุตเวิร์คที่หายไป

2. หมัดแยบ หมัดหน้าไม่ค่อยมี

3. พลังแฝงไม่มี ขาดก๊อก 2 ก๊อก 3 เหตุเพราะไม่ฝึกหมัดรัวยามหมดแรงบ่อย ๆ

4. อย่าวนต่อยอยู่แค่นักมวยฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย เพราะนักชกพวกนี้บางคนเขามาแค่หวังเงินเท่านั้น จึงมักไม่ต่อยเอาจริง เอาแค่พอเจ็บหน่อยก็รีบแพ้น็อคเอาเงินกลับบ้านเขาแล้ว ส่วนนักชกไทยก็หลงดีใจกับความสำเร็จจอมปลอม

----------------



ตัวอย่างชัดเจนกับความหลงผิดสไตล์เดิม ๆ  นั่นคือ กรณี นวพล นครหลวงโปรโมชั่น

ถึงขนาดช่อง 3 ทำสกู๊ปการฝึกซ้อมของนวพลนานร่วมเดือน โปรโมทว่า จะชิงแชมป์ของโผน กิ่งเพชร คืนกลับสู่แผ่นดินไทยอีกครั้ง เพราะแชมป์โลกรุ่นนี้ห่างหายไปจากแผ่นดินไทยกว่า 5 ปีแล้ว

สถิติของนวพลสวยหรู ไม่เคยแพ้ใคร แถมชนะน็อคเพียบ (น็อคพวกปินส์กับพวกอิเหนาเป็นส่วนใหญ่) สถิตินวพล ชนะ 33 ครั้งรวด ชนะน็อค 28 ครั้ง

แต่พอนวพล นครหลวงโปรโมชั่น รองแชมป์โลกอันดับ 1 ขึ้นชิงแชมป์เปี้ยนโลกที่ว่างลงของสภา่มวยโลก WBC รุ่นฟลายเวต 112 ปอนด์ กับ ฮวน เฮอร์นันเดซ รองแชมป์โลกอันดับ 2 ชาวเม็กซิกัน

นวพล ก็พ่ายหมดรูป แพ้เทคนิเคิลน็อคเอ้าท์ไปในยกที่ 3 พ่ายแบบที่นักชกไทยหลายต่อหลายคนมักพ่ายมาคือ ชอบเดินดุ่ม ๆ เข้าไปหาคู่ต่อสู้แบบโง่ ๆ แล้วไม่มีหมัดนำเลย คือ หวังจะน็อคเขา แต่กลายเป็นแพ้น็อคเสียเอง

สมควรแล้วกับบทเรียนของนักชกไทยคราวนี้ ซึ่งหวังว่า นักมวยสากลอาชีพไทยคนอื่น ๆ ควรจะศึกษากรณีนวพล และนักชกไทยที่ไปพ่ายชิงแชมป์โลกในต่างประเทศเป็นตัวอย่าง

ส่วนนวพล แพ้คาบ้านเราเอง เขาคงเสียใจไม่น้อย แต่ผมว่า ถ้าเขาแก้ไขข้อบกพร่องตามที่ผมแนะนำในบทความนี้ เขาน่าจะยังมีโอกาสกลับมาชิงแชมป์โลกได้อีกครั้งแน่นอน






ผู้ติดตาม