หลักการเล่นหุ้นของมหาเศรษฐี
วอเรน บัฟเฟต เคยกล่าวไว้ว่า "ผมจะซื้อหุ้นเมื่อคนส่วนใหญ่เขาขาย และผมจะขายเมื่อคนส่วนใหญ่เขาซื้อ"
แต่จริงๆ แล้ว วอเรนมักจะถ่อมตัวเสมอว่า เขาไม่ใช่นักเล่นหุ้นตัวยง หรือเซียนหุ้น เลย
เพราะเขาเลือกที่จะซื้อหุ้นที่มั่นคง มีผลประกอบการดี โดยที่เขาจะถือหุ้นไว้ระยะยาว เขามักจะซื้อหุ้นดีๆ เก็บไว้เรื่อยๆ ไม่ค่อยจะขาย
ซึ่งทำให้เขาเป็นเศรษฐีหุ้นตัวจริง คือการมีหุ้นมากเพราะการซื้อเก็บ และซื้อทบเข้าไปเรื่อยๆ ในหุ้นที่มั่นคง
"หลังจากที่ซื้อหุ้นแล้ว ผมจะไม่สนใจตลาดหุ้นเลยและถึงแม้ว่าตลาดหุ้นจะปิดทำการยาวนานถึง10ปีก็ตาม ทั้งนี้ก็เพราะว่า ผมมั่นใจธุรกิจที่ลงทุนไปแล้วนั้นมีมูลค่าที่แท้จริงของมัน ซึ่งผมไม่จำเป็นต้องให้ตลาดหุ้นมารับรู้ด้วยก็ได้" วอเรน บัฟเฟต กล่าว
ฉะนั้น มหาเศรษฐีหุ้นอันดับ 1 ของโลก เขาจึงเป็นนักลงทุน ไม่ใช่นักเก็งกำไร
-------------------------------------
การปั่นหุ้นในตลาดหลักทรัพย์
เพราะตลาดหุ้น เปิดโอกาสให้ซื้อขายหุ้น และกำไรจากการซื้อขายหุ้น ก็ไม่ต้องเสียภาษี จึงมีนักลงทุนจากทั่วโลกเข้ามาลงทุนได้ อย่างในช่วงเศรษฐกิจไทยบูมสุดขีด ก่อนจะล้มลงในวิกฤติปี 40
กระแสทุนจากต่างชาติที่ไหลเข้ามาลงทุนในไทยจำนวนมหาศาล เงินตรงนี้ ทำให้ประเทศไทยเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจมาก
แต่การเจริญเติบโตในตลาดหุ้น มักมาพร้อมกับภาพลวงตาเช่นกัน เพราะมันเกิดการปั่นกระแสตลาด การเก็งกำไรในหุ้น เกิดการซื้อมาขายไปอย่างรวดเร็วภายในวันเดียว โดยไม่สนเรื่องผลตอบแทนประจำปีในรูปเงินปันผล
จึงทำให้ในตลาดหุ้นมีการปล่อยข่าว สร้างกระแสในตลาดหุ้นทุกวัน ยิ่งในช่วงแรกๆ ที่กฎระเบียบในตลาดหลักทรัพย์ยังไม่เท่าทันนักลงทุนจอมเจ้าเล่ห์ การปั่นหุ้นจึงเกิดได้ง่ายมาก
การปั่นหุ้น ก็คือ การสร้างกระแสให้กับหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง เพื่อล่อให้แมงเม่าหรือนักลงทุนรายย่อยแตกตื่น ยิ่งมีนักลงทุนรายย่อยแตกตื่นมากเท่าไหร่ โอกาสที่เซียนหุ้นใหญ่ๆ จะฟันกำไรจากแมลงเม่าก็ยิ่งง่ายดาย ไมต่างจากการเล่นเก้าเก เลยครับ
-----------------------
การปั่นหุ้นทำอย่างไร
การปั่นหุ้นทำได้หลายวิธี โดยเฉพาะในช่วงที่กฎกติกาในตลาดหุ้นยังหละหลวม
ตัวอย่างเช่น บริษัทที่จดทะเบียนในหลักทรัพย์ออกมาปล่อยข่าวลวงเองก็มี เพื่อให้หุ้นบริษัทตัวเองตก เพื่อที่ตัวเองจะคอยช้อนซื้อ แล้วค่อยสร้างกระแสข่าวในทางบวกใหม่ เพื่อให้หุ้นขึ้นแล้วก็ขายปล่อยออกเพื่อทำกำไร โดยมากต้องมีผู้ร่วมมือนอกบริษัทคอยช่วย
หรืออาจเช่น นักลงทุนเงินหนาแกล้งปล่อยข่าวว่าตัวเองสนใจจะซื้อหุ้นตัวไหน ก็จะทำให้แมงเม่าแห่กันไปซื้อไว้ก่อน เพื่อหวังขายทำกำไร แต่สุดท้ายก็ไม่มีการซื้อขายจริงเกิดขึ้น แล้วพอไม่มีการซื้อขายจริงเกิดขึ้น หุ้นก็มักมีแรงดีดตกลงพรวดมากกว่าเดิม ทีนี้นักลงทุนรายใหญ่ก็จะค่อยๆ มาช้อนซื้อหุ้นจากแมงเม่าอีกที
หรือบางทีรายใหญ่ปล่อยข่าวว่าจะซื้อ พอคนแห่ไปซื้อตาม กลับกลายเป็นว่า รายใหญ่รายนั้นคือผู้ที่ขายหุ้นเองเพื่อทำกำไรจากแมงเม่าทั้งหลาย
หรือวิธีปั่นหุ้นแบบ รายใหญ่ 2 ราย ช่วยกันปั่น เช่น นักลงทุนก. อยากให้หุ้นA มีราคาขึ้น ก็แกล้งซื้อหุ้นจากนักลงทุนข. โดยตั้งราคาสูงขึ้นไปเรื่อยๆ แต่ต่างฝ่ายก็ต่างซื้อกันเองขายกันเอง แบบนี้ก็ทำให้ราคาหุ้น A ขึ้นไปได้อย่างง่ายดาย โดยไม่สมเหตุสมผลจากปัจจัยพื้นฐานที่แท้จริง
การปั่นหุ้นจะให้เนียนมากๆ ต้องมีผู้ร่วมปั่นมากกว่า 2 รายขึ้นไป แบบนี้จะจับได้ยากมากครับ
นี่เป็นแค่ตัวอย่างการปั่นหุ้น ซึ่งในปัจจุบันจะมีวิธีที่แยบยลกว่า และจับได้ยากมากขึ้น
ถ้าใครจำเสี่ยสอง วัชรศรีโรจน์ได้ คนๆ นี้รวยมากจากการปั่นหุ้น โดยว่ากันว่า ได้วัดจานบินเป็นสปอนเซอร์ในการระดมทุนมาให้เสี่ยสองช่วยปั่น และเมื่อเสี่ยสองได้กำไร ก็จะนำกำไรจากตลาดหุ้นไปทำบุญกับวัดจานบินอีกทอดนึง เนียนกันจริงๆ
ถึงแม้เสี่ยสอง จะโดนเล่นงานจากคดีปั่นหุ้นก็ตาม แต่เขาก็แต่ล้มบนฟูกเท่านั้น เพราะเสี่ยสองก็หนีไปอยู่เมืองนอกอย่างสุขสบายเหมือนอีกหลายๆ รายที่โดนคดีประเภทเดียวกัน และรอจนคดีหมดอายุความค่อยกลับมา (เงินทองมหาศาลที่ได้มาจากแมงเม่ามันหอมหวลจริง ๆ)
แล้วใครละครับที่โดนพวกนี้หลอก แล้วใครล่ะครับต้องล่มจมขาดทุน ก็พวกแมงเม่าแทบทั้งนั้น
และในวันนี้เสี่ยสอง กลับมาในตลาดหุ้นอีกครั้งแล้ว ในชื่อใหม่ว่า "โทนี่"
-----------------------------------
ช่วงก่อนวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง ของบริษัทไฟแนนซ์
มีการไหลเข้าของเงินจากนักลงทุนต่างประเทศเข้ามาในตลาดหุ้นจำนวนมาก บรรดาพวกบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ (ไฟแนนซ์) หรือบริษัทโบรกเกอร์ ก็มีเงินไหลเข้ามาซื้อหุ้นในบริษัทกลุ่มนี้มากเช่นกัน
คลิกอ่านความแตกต่างของบริษัทเงินทุน บริษัทหลักทรัพย์ และบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์
ผมจำได้ว่า บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์จะมีการจ่ายโบนัสประจำปีแก่พนักงานสูงกว่าธุรกิจอื่นๆ บางบริษัทจ่ายเงินปันผลให้พนักงานมากถึง 10 เดือนก็มี
เงินที่ได้มาง่ายจากตลาดหลักทรัพย์ ทำให้คนในบริษัทโบรกเกอร์พวกนี้ใช้จ่ายเงินสุรุ่ยสุร่าย และอีกส่วน บ.เงินทุนหลักทรัพย์ ก็เอาเงินที่ได้มาง่ายๆ ไปปล่อยให้นักลงทุนก่อสร้างด้านอสังหาริมทรัพย์อีกต่อนึงด้วย และก็ปล่อยให้คนกันเอง พรรคพวกตัวเอง ให้นำเงินไปลงทุนในหุ้นอสังหาริมทรัพย์เพื่อเก็งกำไร
หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์จึงเป็นหุ้นที่ร้อนแรง และมีการเก็งกำไรสูงเช่นกัน ซึ่งประชาชนทั่วไปข้างนอกจะมองว่า เศรษฐกิจดี เพราะอสังหาริมทรัพย์ก็ขายดีทุกโครงการ ทุกคนต่างอยู่ในภาวะมั่นใจว่าเศรษฐกิจดี และจะดีไปอีกนาน จนเกิดภาวะฟองสบู่ด้านอสังหาริมทรัพย์โดยที่ไม่มีใครรู้ตัว
แถมช่วงนั้นตลาดรถยนต์ก็บูมสุดขีด มีการปล่อยไฟแนนซ์ให้คนซื้อรถมากมายและหละหลวมกว่าในปัจจุบัน
ในตอนนั้น หุ้นของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ทั้งหลาย คือหุ้นที่นักเก็งกำไรระยะสั้นชอบเล่นมากที่สุด เพราะสามารถทำกำไรได้เร็วที่สุด และมากที่สุด นักเล่นหุ้นที่ชอบเสี่ยงยุคนั้นจึงชอบเลือกที่จะเล่นหุ้นของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์เป็นหลัก
ทำให้หุ้นไฟแนนซ์ หรือหุ้นบริษัทหลักทรัพย์ จึงเป็นหุ้นที่มีการปั่นมากที่สุดเช่นกัน
ซึ่งหลังจากเกิดภาวะฟองสบู่แตก บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ที่ผู้คนเคยเชื่อว่า เป็นบริษัทที่มั่นคง ภาพพจน์ดี มีรายได้สูง แถมเป็นบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ชั้นนำอันดับต้นๆ ของประเทศ หลายๆ บริษัทก็ได้ล้มละลายลงในพริบตา ปิดกิจการในที่สุดกว่า 50 บริษัท
คนที่ถือหุ้นและเล่นหุ้นบริษัทหลักทรัพย์ไว้ ก็คือเจ๊ง บางคนก็ถึงขั้นหมดตัว ตามบริษัทที่ปิดกิจการไปด้วย
--------------------
ตัวอย่างการปล่อยเงินกู้แบบผิดๆ
ธนาคารกรุงเทพพาณิชยการ ก็เป็นธนาคารที่ล้มไปแล้วในปี2540 สาเหตุหลักหนึ่งก็คือ การปล้อยกู้ให้แก่พวกพ้องตัวเองในอัตราที่สูงเกินจริง
เช่น การปล่อยเงินให้พวกพ้องที่นำที่ดินราคา 5 ล้านบาท แต่ธนาคารกลับให้เงินกู้ไปมากถึง 30 ล้านบาท เพื่อนำไปลงทุนก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น
หรือการปล่อยกู้ให้พรรคพวกตัวเอง และพวกนักการเมือง ในราคาสูงเกินจริง เช่นนำที่ดินราคา 5 แสนมาจำนองธนาคารได้ในราคา10 ล้านบาท ก็มี
จนเมื่อภาวะฟองสบู่อสังริมทรัยพ์แตก หนี้เน่าของธนาคารกรุงเทพพาณิชยการ ก็เป็นสาเหตุให้ธนาคารต้องเจ๊ง ปิดตัวลงในที่สุด
---------------------
การเก็งกำไรจากหุ้น คือการพนัน
การเจริญเติบโตของตลาดหลักทรัพย์ที่เกิดจากการเก็งกำไร เป็นภาพลวงตาทางเศรษฐกิจ เพราะผู้คนส่วนใหญ่มักคิดว่าเมื่อดัชนีหุ้นสวยงาม ย่อมแปลว่า เศรษฐกิจดี นั่นคือสาเหตุทำให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจปี 40 แบบตั้งตัวไม่ทัน
เพราะก่อนปี 2540 บรรดาโบรกเกอร์ทั้งหลายในไทย ต่างร่ำรวยมหาศาล โบรกเกอร์พยายามพูดจาชักชวนให้เห็นความสวยหรู ความร่ำรวยในตลาดหลักทรัพย์เพื่อหวังให้พวกแมงเม่าอยากรวย บินเข้าไปเล่นหุ้นกันมากๆ
ผมจำได้ว่า บริษัทที่จ่ายโบนัสประจำปีสูงที่สุดในยุคนั้น ล้วนแต่เป็นบริษัทโบรกเกอร์ทั้งนั้น
หลังจากรัฐบาลชวน เปิดเสรีทางการเงิน (แต่ดันคุมอัตราค่าเงินบาทคงที่) ทำให้เงินจากนอกไหลเข้าไทยมาก จนตลาดหุ้นไทยบูมสุดๆ ในปี2536 และเมื่อปี2537 ดัชนีตลาดหุ้นไทยเคยพุ่งขึ้นสูงสุดที่ 1,700 จุด ก่อนจะปรับตัวลงมาเหลือประมาณ800 จุด ในช่วงปี2538 - 2539
และช่วงก่อนวิกฤติปี 2540 บรรดานักวิเคราะห์หลักทรัพย์ต่างพยายามพูดจาเชิญชวนแมงเม่าว่า ตลาดหุ้นไทยดัชนีจะทะลุ 1 พันจุดอีกครั้งแน่นอน เพื่อล่อให้คนโลภที่อยากรวยเร็ว อยากเข้ามาเล่นหุ้นกันให้มากขึ้น
และคนที่เข้าไปเล่นหุ้นส่วนใหญ่ ก็คือ หวังกำไรจากการเก็งกำไรจากราคาหุ้น มากกว่ารอเงินปันผลจากหุ้น
จนเกิดภาพลวงตาของการเติบโตทางเศรษฐกิจ เพราะเงินจำนวนมากที่ไหลเข้ามาในตลาดหุ้น ส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นเงินที่พวกนักเก็งกำไรช่วยกันสร้างภาพลวงตาขึ้นมาทั้งนั้น ไม่ได้เป็นการเติบโตจากกระบวนการผลิตที่แท้จริง
จนเมื่อนักลงทุนต่างชาติถอนทุนคืนอย่างฉับพลัน พวกแมงเม่าที่ยังถือหุ้นค้างในราคาที่สูง ก็เหมือนถือเศษกระดาษที่ไร้ค่าเท่านั้น โดยเฉพาะหุ้นที่มีอัตราผลตอบแทนและความเสี่ยงสูงอย่าง หุ้นของบริษัทหลักทรัพย์ต่างๆ ที่พากันล้มระเนระนาดในวิกฤติปี 40
พวกเจ้าของบริษัทพวกนี้ ต่างล้มบนฟูกทั้งนั้น ที่ปั่นกระแสราคาหุ้นของตัวเองมาจนติดเพดานราคาที่สูงมาก แต่พอเกิดวิกฤติ40 หุ้นที่ราคาสูงเหล่านั้น ก็ไร้ค่าในพริบตา
-------------------
ตัวอย่างเช่น บางกอกแลนด์
อนันต์ กาญจนพาสน์ เจ้าของบางกอกแลนด์ เจ้าของเมืองทองธานี เคยขึ้นสู่ทำเนียบเศรษฐีอันดับ1 ของไทย แต่พอฟองสบู่แตก จากอภิมหาเศรษฐี กลับกลายเป็นหนี้ห้าหมื่นสองพันล้านในพริบตา
ช่วงก่อนวิกฤติปี 40 หุ้นบางกอกแลนด์ก็เป็นหุ้นที่ร้อนแรงตัวนึงในตลาดหลักทรัพย์ทีเดียว
(แต่มาวันนี้เสี่ยอนันต์ ใกล้พาบางกอกแลนด์ให้รอดพ้นจากหนี้กองโตได้แล้ว คลิกอ่าน)
-------------------
ส่วนพวกนักวิเคราะห์หุ้นดังๆ ทั้งหลาย ก็ไม่มีไอ้หน้าไหนออกมาแสดงความรับผิดชอบที่ช่วยกันปั่นกระแสตลาดหุ้นให้ผู้คนอยากเข้ามาเล่นหุ้นกันเลยสักคนเดียว
พอผ่านไปหลายปี พวกนักวิเคราะห์หุ้นทั้งหลายเหล่านั้น ก็ยังอยู่ดีมีสุข ออกมาวิเคราะห์หุ้นหากินชวนผู้คนให้เข้ามาเป็นเหยื่อในตลาดหุ้นกันใหม่ต่อไป
-----------------------------
กองทุนรวมก็ยังเจ๊ง
ในยุคก่อนปี 40 บรรดาพวกกองทุนรวมเพิ่งเกิดขึ้นในเมืองไทย กองทุนรวมเหล่านี้แม้จะลงทุนในหุ้นที่มีความมั่นคง เช้นหุ้นธนาคาร แถมเงินปันผลของบรรดากองทุนรวมในช่วงนั้น ล้วนมีผลตอบแทนเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 15 - 20 เปอร์เซนต์ต่อปี
แต่พอเกิดวิกฤติปี 40 บรรดากองทุนรวมต่างๆ ก็ขาดทุนยับ งดจ่ายเงินปันผลร่วม ๆ10ปี และทุกกองทุนจากราคาเริ่มต้นที่หน่วยละ 10บาท ก็กลับต่ำลงเหลือหน่วยละ 2-3บาทเท่านั้น ในเวลาข้ามคืน
ซึ่งตรงนี้ทำให้ประชาชนที่มีเงินน้อยแต่อยากเข้ามาลงทุนผ่านกองทุนรวมเลยพลอยซวยขาดทุนไปด้วย
ส่วนหุ้นธนาคารทุกธนาคารก็ตกต่ำลงสุดๆ ไม่มีการจ่ายเงินปันผลเลยร่วมๆ 10ปี อ้างเพราะขาดทุนมาจากวิกฤติปี 40 ทั้งสิ้น
กิจการธนาคารของคนไทย ก็ถูกบรรดาชาวต่างชาติเข้าซื้อหุ้นทุกธนาคาร เพื่อพยุงสภาพคล่องให้อยู่รอด และมีอีกหลายธนาคารก็ต้องควบกิจการกับธนาคารอื่นๆ ก็มี แต่ทั้งหมดก็จะถูกต่างชาติเข้าถือหุ้นทั้งนั้น
-------------------------------
ทักษิณ พายัพ
เมื่อทักษิณมาเป็นนายกรัฐมนตรี คำพูดทุกคำของนายก นโยบายทุกนโยบายของนายก ย่อมมีผลต่อความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นทั้งทางตรงทางอ้อม
นายพายัพ ก็เหมือนพี่ชายของมัน คือเวลาทำกิจการปกติทั่วไปก็มักเจ๊ง จนเมื่อพี่ชายมันมาเป็นนายก พี่ชายมันก็คอยส่งสัญญาณให้พายัพคอยช้อนซื้อหุ้นตามลมปากพี่ชายที่ช่วยปั่นกระแสเศรษฐกิจในแต่ละวัน วันไหนทักษิณอยากให้หุ้นตก ก็จะบอกให้น้องชายคอยช้อนซื้อเก็บไว้ก่อน
วันไหนที่พี่ชายอยากให้หุ้นขึ้น ก็สร้างนโยบายภาพลักษณ์ที่เอื้อต่อตลาด หรือพูดให้บรรยากาศการลงทุนดีขึ้น พายัพก็คอยปล่อยหุ้นออกไป ทำให้ต่อมานายพายัพ จึงร่ำรวยหุ้น เพราะมีพี่ชายที่เป็นนายกรัฐมนตรีคอยหนุนหลังให้
และคุณผู้อ่านไม่ต้องแปลกใจว่า ทำไมข่าวจัดอันดับเศรษฐีหุ้น จึงมีเครือญาตินักการเมืองรวยหุ้น เพราะนักการเมืองมันย่อมมีโอกาสรู้ข้อมูลภายในของรัฐ และข้อมูลภายในจากธุรกิจในเครือข่ายนักการเมืองได้ง่ายนั่นเอง
และพวกที่ต้องเป็นเหยื่อให้พวกรู้ข้อมูลภายให้ได้ตักตวงกำไร ก็คือบรรดาแมงเม่าทั้งหลายนั่นแหละครับ
----------------------
กองทุน กบข. ขาดทุนหลายหมื่นล้าน เพราะอะไร ?
ว่ากันว่า กองทุนกบข. คอยช่วยนักการเมืองในการปั่นหุ้น เช่น เมื่อนักการเมืองไปซื้อหุ้นในราคาต่ำ ก็จะให้กบข.เข้ามาซื้อหุ้นเพื่อดันราคาหุ้นให้สูงขึ้น นักการเมืองก็ขายทำกำไร
หรือบางที นักการเมืองติดหุ้นในราคาสูง ต่อมาหุ้นตัวนั้นราคาตก ก็สั่งให้กบข. เข้ามาช่วยซื้อหุ้นตัวนั้นเพื่อดันราคากลับ เพื่อให้นักการเมืองจะได้ขายหุ้นอย่างไม่ขาดทุน
คุณผู้อ่านลองไปเสริ์ชหาข่าวเก่าๆ เกี่ยว กบข.ขาดทุนเองเองเถอะ
-----------------------
จากที่ผมอธิบายมา พอมองเห็นภาพหรือยังครับว่า การเก็งกำไรในตลาดหุ้น การที่ได้เงินจากตลาดหุ้นบูมมาง่ายๆ ได้มีส่วนช่วยทำให้ประเทศชาติเสียหายอย่างไรบ้าง
เงินที่ได้มาง่าย ก็มักจะนำไปใช้จ่ายง่าย และไม่ค่อยรอบคอบ ก็เหมือนเงินที่ได้จากการพนันนั่นเอง
ถ้าคุณเคยเล่นไพ่เก้าเก คุณจะพอมองออกว่า ลูกล่อลูกหลอกลูกชน การวางเหยื่อล่อ การเกทับ เป็นอย่างไร ในตลาดหุ้นก็มีการใช้วิธีการแบบนี้เช่นกัน เพียงแต่มันซับซ้อนมากขึ้น และมีการใช้คนร่วมมือกันล่อหลอกมากขึ้น เพื่อให้ได้มาซึ่งกำไร
ถามว่า คนที่รวยจากหุ้น โดยไม่ปั่นหุ้นมีไหม ?
มีมากมายครับ แต่ต้องเก็งกำไรให้ถูกต้อง คือเดาใจคนเก่ง และกล้าตัดสินใจ แต่ทั้งหมดมันก็คือการเก็งกำไร ที่คนที่แม่นกว่า เดาใจได้เก่งกว่า ก็มีโอกาสรวยมากกว่า
แต่จำไว้ว่า คนที่รวยจากการส่วนต่างราคาหุ้น ย่อมได้เงินมากจากคนที่ขาดทุนจากราคาหุ้น
ซึ่งจำนวนคนที่รวย ย่อมมีน้อยกว่าคนที่ขาดทุนเสมอ เขาถึงได้รวย ฉะนั้นมันก็คล้ายการพนันอย่างหนึ่งนั่นเอง ว่าใครเก็งหุ้นถูก เลือกหุ้นถูก คนนั้นก็จะเป็นผู้ชนะในเกมหุ้น
ส่วนคนที่เล่นหุ้นอย่างชาญฉลาดและไม่เก็งกำไรระยะสั้น ก็คือการซื้อหุ้นที่มีอนาคตและปัจจัยพื้นฐานดี ผลประกอบการดี แต่ราคายังต่ำ และถือหุ้นไว้นานๆ อย่างใจเย็น รอจนราคาขึ้น ค่อยขายทำกำไรในระยะยาว นี่แหละครับ คือการเล่นหุ้นแบบไม่เก็งกำไรระยะสั้น
ผู้ที่มีสายป่านยาว โอกาสขาดทุนก็น้อยกว่า ส่วนบรรดาแมงเม่ามักถือระยะยาวไม่ค่อยได้ เพราะสายป่านสั้น เวลามีปัจจัยใดๆ มากระทบตลาดแรงๆ พวกแมงเม่าก็มักแตกตื่นได้ง่าย ซึ่งตรงจุดนี้นี่แหละ ที่เป็นช่องทางให้รายใหญ่ทำกำไรจากแมงเม่า
-----------------------
หน้าผาการคลังของสหรัฐกระทบตลาดหุ้นไหย
เพราะนโยบายหน้าผาการคลังของสหรัฐ หรือนโยบายลดรายจ่ายอย่างฉับพลัน และเพิ่มรายได้ด้วยการเก็บภาษีมากขึ้น และจะมีการเก็บภาษีจากส่วนต่างกำไรจากการขายหุ้นด้วย ซึ่งนโยบายนี้เพิ่งจะเลื่อนออกไป และอาจจะเริ่มใช้ในอีกไม่นานนี้
ทำให้นักลงทุนต่างชาติหวั่นเกรงนโยบายหน้าผาการคลัง จึงโยกย้ายทุน หันมาลงทุนในตลาดเอเซียมากขึ้น
และตลาดหุ้นที่นักลงทุนชอบมาลงทุนมากที่สุดคือ ตลาดหุ้นไหย เพราะแมงเม่าโลภมากโง่ๆ ที่นี่มันเยอะดี
ทำให้ช่วงนี้เงินทุนต่างชาติไหลเข้ามาในตลาดทุนของไทยเป็นจำนวนมาก ตลาดหุ้นไทยช่วงนี้จึงบูมสุดๆ ทำให้ค่าเงินบาทแข็งมากขึ้น เพราะเมื่อเงินทุนต่างชาติไหลเข้า ก็ต้องมีการแลกเปลี่ยนเป็นเงินบาทมากขึ้น
ภาพลวงตาทางเศรษฐกิจกำลังเกิดในตลาดหุ้นไทย ถ้าเราจำบทเรียนวิกฤติปี 40 ได้ ก็ไม่ควรประมาทกับภาพลวงตานี้
ราคาหุ้นไทยตอนนี้โลดแล่น มูลค่าการซื้อขายตลาดวันหนึ่งๆ บูมสุดๆ ถึง5-7 หมื่นล้านต่อวัน (หรือที่เรียกว่าภาวะกระทิง)
ตอนนี้สภาวะตลาดหุ้นไทย กำลังหอมหวล แมงเม่าก็อยากจะเข้าไปร่ำรวยกันในตลาดหุ้นมากขึ้นเช่นกัน
ย้อนอ่าน ตอนแรก คลิก !!