วันอาทิตย์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ทำไมชาวนาอินเดียถึงยากจนเหมือนชาวนาไทย







อินเดีย จัดเป็นชาติที่มีคนจนมากที่สุดในโลก แต่!! อินเดียก็จัดเป็นชนชาติที่ฉลาดที่สุดในโลกเช่นเดียวกัน

อินเดีย มีมหาเศรษฐีระดับเกิน100ล้านบาท ประมาณ 60-70 ล้านคน จากจำนวนประชากรประมาณ 1,200ล้านคน แค่เศรษฐีในอินเดียก็มีมากกว่าประชากรไทยทั้งประเทศ

อินเดีย ยังมีมหาเศรษฐีรวยติดอันดับ1ใน10 ของโลกด้วย และมหาเศรษฐีของอินเดียที่ติดอันดันในฟอร์บส์ มีมากร่วมๆ 50 คน

อินเดีย เป็นแหล่งกำเนิดศาสนาที่สำคัญของโลกหลายศาสนา

นี่คงพอให้เห็นภาพรวมของอินเดียพอสังเขป

หลังจากไทยหลุดจากแชมป์ส่งออกข้าวมากที่สุดในโลกปีนี้ ก็มีอินเดียกับเวียดนาม ที่ก้าวขึ้นมาเป็นอันดับ1 และ 2 ของโลก ซึ่งยังไม่อาจชี้ชัดได้ว่า ชาติไหนจะคว้าแชมป์ไปแน่นอนในปีนี้

แต่สิ่งหนึ่งที่ชาวนาอินเดียเหมือนกับชาวนาไทยอย่างหนึ่งก็คือ ส่วนใหญ่ชาวนายังยากจนเหมือนกัน ซึ่งก็มีสาเหตุค่อนข้างเหมือนกันก็คือ

ชาวนาอินเดีย ก็โดนหลอกให้ปลูกข้าวเชิงเดี่ยว เพื่อการจำหน่ายและส่งออก เหมือนที่เกษตรกรไทยโดนหลอก โดยหลอกว่า ปลูกข้าวจำนวนเยอะๆ ใช้ปุ๋ยเร่งผลผลิตเยอะๆ ใช้ยาฆ่าแมลงเยอะๆ จะทำให้ได้ผลผลิตข้าวที่มากมาย ซึ่งจะทำให้ชาวนารวย

ซึ่งนั่นคือผลพวงจากการปฏิวัติสีเขียว (green revolution) โดยสหรัฐอเมริกา ธนาคารโลก และบริษัทการเกษตรของสหรัฐอเมริกา ได้ร่วมกันหลอกให้ประเทศด้อยพัฒนาหลงเชื่อทำเกษตรเชิงเดี่ยวเน้นปริมาณเพื่อการส่งออก  (คลิกอ่านคำอธิบายเรื่องปฏิวัติสีเขียว)

และเพราะหลงเชื่อสหรัฐอเมริกา และบริษัทเอกชนอเมริกา ทำให้จนแล้วจนรอด ชาวนาอินเดียก็ไม่เคยได้รวยสักที เพราะสุดท้ายเงินก็ไปหมดกับค่าปุ๋ย ค่ายา เสียหมด นั่นเพราะเกษตรเชิงเดี่ยวคือต้นตอที่ทำให้เกษตรกรอินเดียต้องตกเป็นทาสของบริษัทการเกษตรต่างชาติไป

บริษัทต่างชาติ ที่เข้ามากอบโกยด้วยการขายปุ๋ย ขายยา กลับรวยเอาๆ

ชาวนาอินเดียประท้วงบริษัท Monsanto บรฺิษัทการเกษตรต่างชาติที่ใหญ่ที่สุดในอินเดีย
โดยมีดร.วานนาดา ชิวา เป็นผู้นำประท้วง (ผู้หญิงที่ถือป้ายด้านหน้า)

แถมเมล็ดพันธุ์ดั้งเดิมต่างๆ เกษตรกรอินเดียก็สูญเสียความเป็นเจ้าของ เพราะล้วนแต่ต้องไปซื้อเมล็ดพันธุ์ที่ผ่านการปรับปรุงพันธุ์แล้วจากบริษัทเกษตรต่างชาติ ซึ่งพอเกษตรกรซื้อเมล็ดพันธุ์จากบริษัทเกษตรต่างชาติแล้ว ก็เพาะปลูกได้แค่รุ่นเดียว ก็ต้องขายผลผลิตไปจนหมด เพราะไม่สามารถเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้เพาะปลูกในฤดูกาลต่อไปได้

เนื่องจากเมล็ดพันธุ์ที่ซื้อจากบริษัทต่างชาติ เป็นเมล็ดพันธุ์ที่ถูกปรับปรุงพันธุ์ด้วยวิศวพันธุศาสตร์ (รวมถึงพืชGMO) ซึ่งเมล็ดพันธุ์เหล่านี้เหมือนถูกวางระเบิดเวลาไว้คือ ปลูกได้แค่รุ่นเดียว หากเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้เพาะปลูกในคราวต่อไปอีก พืขชนิดนั้นจะไม่ให้ผลผลิตดีเท่าซื้อเมล็ดพันธุ์ใหม่จากบริษัทการเกษตรต่างชาติ

(ถ้าในไทยก็มี บ.เจียไต๋ ในเครือซีพีเป็นบรฺิษัทผลิตเมล็ดพันธุ์ขาย คุมตลาดเมล็ดพันธุ์ อันดับ1ของไทย)

อีกทั้งเมล็ดพันธุ์ที่ซื้อจากบริษัทเกษตรต่างชาติไม่สามารถทนทานต่อโรคและแมลงได้เท่าพันธุ์พื้นเมืองเดิมๆ จึงต้องเร่งปุ๋ยเร่งยาเท่านั้น จึงได้จะผลผลิตมากๆ ตามที่ต้องการ

โฆษณาเรื่องปุ๋ย ยา ในอินเดียจึงระบาดแพร่หลายเหมือนโฆษณาปุ๋ยยาในประเทศไทย รายการเกี่ยวกับการเกษตร ก็มักจะมีโฆษณาชวนเชื่อให้เกษตรกรอินเดียซื้อปุ๋ยซื้อยา ยี่ห้อนั้นๆ มาใช้ เพราะใช้แล้วจะรวย

สุดท้ายแล้ว เกษตรกรก็ไม่รวยสักที ในขณะที่พวกขายปุ๋ยขายยารวยเอาๆ เมื่อบางปีเกษตรกรเจอภัยธรรมชาติ เงินที่เกษตรกรไปกู้มาทำการเกษตรก็พลอยเจ๊งไปด้วย สุดท้ายไม่มีเงินจ่ายค่ายาค่าปุ๋ย และค่าเมล็ดพันธุ์

เพราะเกษตรกรต่างหลงเชื่อที่บริษัทปุ๋ยยาโฆษณา  จึงใช้ยาใช้ปุ๋ยมาก จนดินเกิดความแห้งแล้ง ผลกระทบทำให้ดินเสีย สุดท้ายก็เจ๊งอีก บริษัทปุ๋ยก็หลอกขายผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ต่อไปอีกว่า ต้องใช้ตัวนี้แทนถึงจะดีขึ้น เกษตรกรก็เชื่ออีก

หรืออย่างเช่นยาฆ่าแมลง พอแมลงมันดื้อยา เกษตรกรก็ต้องเปลี่ยนยาตัวใหม่อีก ซึ่งพอเปลี่ยนยาตัวใหม่ทีไร ราคายาก็แพงขึ้นทุกครั้ง

สุดท้ายนี่คือวงจรอุบาทว์ ที่เกษตรกรอินเดีย ชาวนาอินเดียเผชิญมาตลอดระยะเวลาหลายสิบปี (เช่นเดียวกับเกษตรกรไทย)

จนในที่สุด จึงมีเกษตรกร ชาวนา ฆ่าตัวตายเพราะหนี้มันท่วมหัว ซึ่งก็ไม่ต่างจากเกษตรกรไทยเท่าไหร่ เพราะความรวยไปตกอยู่ที่บริษัทปุ๋ยยาแทบทั้งหมด จึงมีชาวนาอินเดียล้มละลายจากหนี้สิน จนฆ่าตัวตายปีละหลายคน

ชาวนาอินเดียฆ่าตัวตาย



ปัญหาทั้งหมดเกิดจากอะไรล่ะ?

ก็เกิดจากโดนรัฐบาล นายทุน บริษัทต่างชาติหลอกใช้เกษตรกรอินเดีย ทำเกษตรเชิงเดี่ยว ละทิ้งการเกษตรผสมผสานแบบดั้งเดิม ละทิ้งความขยันในเรือกสวนไร่นา หันไปใช้เครื่องทุ่นแรงอย่างปุ๋ยและยาฆ่าแมลง และเมล็ดพันธฺุ์ที่ผ่านการปรับปรุงพันธุ์จากบริษัทเกษตรต่างชาติแทน เพื่อหวังผลผลิตเยอะๆ เพื่อการส่งออก

สุดท้าย มีแต่นักการเมือง นายทุน และบริษัทเกษตรต่างชาติที่รวยเอาๆ

นั่นจึงทำให้ชาวนาอินเดียวต้องยากจนอยู่ทุกวันนี้

แล้วทางรอดคืออะไร ? ทางรอดของชาวนาอินเดีย ก็ไม่ต่างจากชาวนาไทยคือ ต้องหันกลับมาใช้เกษตรผสมผสาน เกษตรอินทรีย์ ปุ๋ยชีวภาพ เกษตรพอเพียง แบบที่ในหลวงเราทรงสอนไง

ที่อินเดีย เขามี Dr. Vandana Shiva ที่พยายามส่งเสริมให้เกษตรกรอินเดีย หันกลับมาเลิกใช้ปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลงในการทำเกษตร เพื่อลดต้นทุนการผลิต หันมาผลิตเมล็ดพันธุ์ขึ้นเอง ไม่ใช้เมล็ดพันธุ์จากบริษัทต่างชาติ ซึ่งการเกษตรแบบนี้เหมือนกับที่ในหลวงเราทรงสอน แต่ที่อินเดียเขาเรียกการเกษตรแบบนี้ว่า การเกษตรแบบชีวภาพ

ดร.วานนาดา ชีวา เป็นผู้รณรงค์ให้เกษตรกรและชาวนาอินเดีย ออกจากวงจรอุบาทว์ที่บริษัทเกษตรต่างชาติหลอกไว้ ด้วยการให้เกษตรกรเลิกใช้เมล็ดพันธุ์จากบริษัทต่างชาติ เลิกใช้ปุ๋ย และยาฆ่าแมลง ให้เกษตรกรหันกลับมาทำการเกษตรแบบดั้งเดิม ที่ไม่พึ่งพาเครื่องทุ่นแรงเหล่านั้น ซึ่งเหมือนกันกับทฤษฎีใหม่ของในหลวงของเรา โดยไม่ได้ลอกเลียนแบบกันเลย

นั่นเพราะเกษตรพอเพียง เกษตรธรรมชาติ คือสิ่งที่มีมาแล้วแต่บรรพบุรุษของชนทุกชาตินั่่นเอง ครับ

Vandana Shiva: The Future of Food-Part 1


ในประเทศไทยเรา ตอนนี้ก็กำลังเกิดปัญหาที่บริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งต่างชาติและไทย เป็นผู้ขายเมล็ดพันธุ์ให้แก่เกษตรกร จนเกิดปัญหาหลายเรื่องๆ ในตอนนี้เช่นกัน




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ถ้าแสดงความเห็นตรงช่องนี้ผมจะได้อ่านทุกความเห็นครับ แต่ถ้าความเห็นไม่ขึ้นอาจเพราะระบบรอตรวจสแปม ต้องรอ1-2วัน / ใหม่ เมืองเอก kaeake@ymail.com


ผู้ติดตาม