วันเสาร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

อย่าศรัทธาแต่พระพุทธ พระธรรม จนละทิ้งพระสงฆ์




ในช่วงเวลาหลัง ๆ มานี้ มีชาวไทยพุทธจำนวนไม่น้อยที่เริ่มเบื่อหน่ายการทำบุญกับพระสงฆ์

เหตุเพราะมีข่าวพฤติกรรมเสื่อม ๆ หลายอย่างของคนที่เข้าไปบวชเป็นพระ

หลายคนรู้สึกอยากทำบุญกับเรื่องอื่น ๆ แทน เช่น ทำบุญกับโรงพยาบาล ทำบุญกับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ทำทานแก่ผู้ยากไร้ หรืออะไรอื่น ๆ มากกว่าจะไปทำบุญกับพระสงฆ์

วันนี้ผมเลยอยากเขียนบทความนี้ขึ้น แต่ก่อนอื่นขอเล่าประวัติพุทธศาสนาในประเทศไทยโดยสังเขปก่อน

----------------

การเผยแผ่พุทธศาสนาในประเทศไทย

ไทยเราได้รับพุทธศาสนามาจากลังกา หรือ ศรีลังกา โดยพระเถระจากลังกาได้เข้ามาเผยแผ่พุทธศาสนาในอาณาจักรศรีวิชัยก่อน (ปัจจุบันคือจังหวัดนครศรีธรรมราช)

ต่อมาในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช พระองค์ได้สดับถึงกิตติศัพท์ของพระเถระลังกาว่า "น่าเลื่อมใส" จึงได้เชิญพระเถระลังกาที่เผยแพร่ธรรมอยู่ที่นครศรีธรรมราช ให้มาเผยแผ่พุทธศาสนาสู่อาณาจักรสุโขทัย

พุทธศาสนาจึงเริ่มเจริญรุ่งเรืองในสยามประเทศ นับตั้งแต่นั้นเรื่อยมา

ดังนั้นเราจึงเรียกศาสนาพุทธนิกายเถรวาทในไทยว่า ลังกาวงศ์

จนเมื่อช่วงปลายสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีของคนไทย ขณะที่ลังกาในเวลานั้น ศาสนาพุทธในศรีลังกาได้ตกต่ำลงมาก จนไม่เหลือพระภิกษุในลังกาเลยสักรูป เหลือเพียงสามเณรเท่านั้น

เหตุที่พุทธศาสนาในศรีลังกาตกต่ำลง ก็เพราะมีปัญหาสงครามจากต่างชนเผ่า และปัญหาจากพวกต่างศาสนามารุกราน


จนเมื่อภาวะสงครามในลังกาทุเลาลง กษัตริย์ลังกาในยุคนั้น จึงได้ส่งคณะราชทูตมากรุงศรีอยุธยาในสมัยของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เพื่อขอให้ไทยช่วยส่งสมณทูตภิกษุไทยไปฟื้นฟูพุทธศาสนาในศรีลังกา

กรุงศรีอยุธยาจึงได้ส่งพระอุบาลี แห่งวัดธรรมาราม อยุธยา ไปฟื้นฟูพุทธศาสนาให้ศรีลังกาจนรุ่งเรืองมาจนถึงปัจจุบัน

ดังนั้นพุทธศาสนานิกายเถรวาทของศรีลังกาในปัจจุบันนี้ จึงมีชื่อเรียกว่า สยามวงศ์ ซึ่งมีที่มาจากการที่สยามประเทศส่งพระภิกษุมาช่วยฟื้นฟูพุทธศาสนาให้ศรีลังกา

อ่านเรื่องพระอุบาลีและสยามนิกายโดยละเอียดได้ที่ https://bit.ly/2rluQqw



เราจึงเห็นได้ว่า พระสงฆ์ จึงเป็นเสาหลักค้ำยันพระพุทธศาสนาที่สำคัญมาก เพราะศาสนาพุทธที่เจริญรุ่งเรืองและเผยแผ่มาถึงทุกวันนี้ได้ ก็เพราะมีพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีช่วยเผยแผ่

หากใครเลือกจะไม่นับถือพระสงฆ์ หรือเลือกจะไม่ทำบุญกับพระสงฆ์ จัดเป็นมิจฉาทิฏฐิ อย่างหนึ่ง และเป็นสีลลัพพตปรามาส (ความหลงผิด) อย่างหนึ่ง

ซึ่งจะเป็นเหตุขัดขวางการสำเร็จโสดาบันได้เลย ซึ่งถือเป็นอันตรายมากสำหรับผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็น พุทธศาสนิกชน

ต่อให้เราไปตักบาตรกับพระปลอม หรือทำบุญกับพระทุศีล

หากเราไม่รู้ว่า พระรูปนี้ท่านทุศีล หรือแม้กระทั่งเราไปตักบาตรให้คนที่ปลอมเป็นพระ โดยที่เราไม่รู้ แต่เราก็ยังได้กุศลจากการตักบาตรเต็มเปี่ยมเหมือนทำบุญกับพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเช่นกัน

เหตุพราะบุญกุศลนั้นสำเร็จได้ด้วยใจเป็นหลัก โดยมีกายเป็นรองคอยสนับสนุน

ซึ่งถ้าใครตั้งข้อรังเกียจการทำบุญกับพระสงฆ์แบบเหมารวม ว่า พระเดี๋ยวนี้หาดียาก จนหยุดบำรุงดูแลพระภิกษุตามสมควร

นั่นถือว่า เป็นแนวคิดที่ทำลายพุทธศาสนาได้เลย

----------------------

ข้อคิดเรื่อง "พระไม่ดี" จาก หลวงปู่ชา สุภัทโธ 

โยม : หลวงปู่ครับ ผมจะขอนับถือแค่ พระพุทธ กับ พระธรรมนะครับ เพราะพระสงฆ์ทุกวันนี้ มีแต่เรื่องเสื่อมเสีย ผมว่าพระแท้ ๆ หมดแล้วจากพุทธศาสนาไปแล้ว !!!

หลวงปู่ : ถ้าเป็นอย่างนั้น แสดงว่า โยมก็ไม่นับถือ อาตมาด้วยสิ

โยม : เปล่าครับ ๆ หลวงปู่ ผมยังเคารพศรัทธาหลวงปู่เหมือนเดิม

หลวงปู่ : อ้าว ! ไหนว่าไม่นับ ถือพระสงฆ์ไงล่ะ

โยม : เว้นหลวงปู่สิครับ

หลวงปู่ : เว้นหลวงปู่ก็แสดง ว่า หลวงปู่ก็ไม่ใช่พระสงฆ์สิ

โยม : (ทำหน้าเหมือนคิดหนัก)......

หลวงปู่ : โยม ! เวลาเขาหาเอาทองคำนั้น เขาไปหามาจากที่ไหน

โยม : ไปขุดดินแล้วร่อนแยกเอาทองมาครับ

หลวงปู่ : ดินมากหรือทองมาก

โยม : ดินมากครับผม ร่อนจากดินมาก ได้ทองแค่นิดเดียว

หลวงปู่ : มันก็เหมือนพระสงฆ์นั่นแหละ พระสงฆ์ก็ร่อนมาจากลูกชาวบ้าน ลูกสมมติ พระสงฆ์ไม่ใช่เป็นพระอรหันต์แล้วมาบวชเมื่อไหร่

มันก็มีดีบ้างเสียบ้าง จะให้ดีหมด มันก็ทำไม่ได้ ...จะให้มันเสีย หมดก็ทำไม่ได้ ...

ส่วนที่มันเป็นดินก็ อย่าเอา.....

ให้เอาส่วนที่มันเป็นทองสิ ....

ถ้าเชื่อหลวงปู่ ... ถ้าเคารพหลวงปู่ ก็จงเชื่อว่า ...
พระผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ มีมากมาย อย่าเหมาพระว่าไม่ดีทั้งหมด

ขนาดคุณ ยังมีข้อเสีย จะให้ดีทั้งหมดทั้งโลกก็ไม่ได้

พระรัตนตรัย เหมือนไม้สามลำค้ำกันไว้ เอาออกอันหนึ่งมันก็ล้ม จำไว้ ....

พระ ก็คือนักเรียน

ผู้เป็นอริยะ คือ ผู้สอบผ่าน

ผู้ประพฤติไม่เหมาะสม คือ ผู้สอบตก

ให้สงสารคนสอบตก อย่าไปเกลียดคนสอบตก เพราะไม่มีใครอยากจะสอบตก เข้าใจนะ !

--------

สรุปท้ายบทความ

ดังนั้น พวกเราชาวพุทธมีหน้าที่ต้องบำรุงพุทธศาสนาให้ดำรงอยู่ จึงควรบำรุงพระสงฆ์ตามสมควร

แต่ต้องเป็นการบำรุงพระสงฆ์อย่างมีสติและปัญญา ไม่ใช่นึกแต่แค่ทำบุญหวังผลบุญด้วยความโลภ ซึ่งนั่นจะเป็นการทำร้ายพระสงฆ์โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ได้

แนะนำคลิกอ่าน อย่าทำบุญพระจนเกินความพอดีของการเป็นภิกษุ



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ถ้าแสดงความเห็นตรงช่องนี้ผมจะได้อ่านทุกความเห็นครับ แต่ถ้าความเห็นไม่ขึ้นอาจเพราะระบบรอตรวจสแปม ต้องรอ1-2วัน / ใหม่ เมืองเอก kaeake@ymail.com


ผู้ติดตาม