ก่อนอื่นผมขอเกริ่นนำไว้ก่อนว่า บทความนี้ผมเขียนบนความเข้าใจของผมเองส่วนตัว จะไม่มีการยกหลักฐานใด ๆ ในคดีมาถกให้มากเรื่องจนปวดหัว เพราะบทความผมไม่ได้มาพูดเรื่องหลักฐานคดีและการต่อสู้คดีเป็นสำคัญ
ใครใคร่เชื่อผมก็เชื่อ ใครไม่ใคร่เชื่อก็ไม่ต้องเชื่อ
คดีสวรรคตของรัชกาลที่ 8 นั้น เป็นการลอบปลงพระชนม์แน่นอน แต่ใครที่ลอบปลงพระชนม์ล่ะ ?
ผมจะไม่ตอบให้ชัด แต่ผมถามคุณผู้อ่านว่า ถ้าคุณผู้อ่านมีความจงรักภักดีต่อกษัตริย์ยิ่งชีพ
หากคุณผู้อ่านเป็นต้นห้อง เป็นองครักษ์เฝ้าหน้าห้องพระบรรทม แล้วคนในห้องคือกษัตริย์ที่ถูกลอบปลงพระชนม์ ถามว่า คุณผู้อ่านควรรับผิดชอบในหน้าที่ที่ผิดพลาดอย่างไร ที่ปล่อยให้เกิดการปลงพระชนม์กษัตริย์ได้ ?
ถ้าผมเป็นต้นห้องของรัชกาลที่ 8 นะ ผมยิงตัวตายชดใช้ความผิดของผมด้วยมือผมเองแน่นอน ผมไม่ต้องรอให้ศาลมาตัดสินประหารชีวิตของผมหรอก
แต่ย้อนถามไปว่า ต้นห้องรัชกาลที่ 8 ได้ยิงตัวตาย หรือปลิดชีพตัวเองเพื่อสำนึกในหน้าที่ที่ผิดพลาดของตัวเองหรือไม่ ?
คำตอบคือไม่ เพราะทั้ง 2 คน ต่อสู้คดีจนถึงที่สุด ถุย !!
เมื่อมีหน้าที่เฝ้าหน้าห้องพระบรรทม แต่กลับปล่อยให้มีใครก็ไม่รู้เข้าไปลอบปลงพระชนม์ได้ เพียงแค่นี้ก็สมควรโดนโทษประหารแล้ว
แต่กลับสู้คดีไปจนถึง 3 ศาล นี่คือพิรุธว่า ต้นห้องหรือหน้าห้องบรรทมทั้ง 2 คน มีพิรุธและบกพร่องในเรื่องความจงรักภักดีแน่นอน
แปลง่าย ๆ คือ พวกมันไม่ได้จงรักภักดี !!
----------------------
1 ใน 2 คนหน้าห้องพระบรรทม (กับอีก 1 คน ที่ไม่ได้อยู่หน้าห้องพระบรรทม แต่โดนโทษประหารในข้อหาสมรู้ร่วมคิดเช่นกัน) คือ ผู้รู้เห็นการลอบปลงพระชนม์จริงหรือไม่ ?
อาจมี 1 ใน 2 คนหน้าห้องพระบรรทมที่รู้เห็นการลอบปลงพระชนม์ แต่อาศัยวางยานอนหลับให้กับอีกคนที่เหลือ ก่อนเปิดโอกาสให้มีการก่อเหตุลอบปลงพระชนม์
หรืออาจสมรู้ร่วมคิดทั้ง 2 คนเลยก็ได้ เพราะนั่งอยู่หน้าห้องพระบรรทม ใครจะเข้าออกห้องนี้ ทั้งสองคนย่อมรู้เห็น
แต่ถ้าสมรู้ร่วมคิดร่วมกันทั้ง 2 คนเพื่อลอบปลงพระชนม์ ประเด็นวางยานอนหลับก็ตกไป เพราะไม่จำเป็นต้องวางยานอนหลับใคร
แต่ก็นั่นแหละ ความผิดที่ไม่สามารถปกป้องและรักษาความปลอดภัยให้รัชกาลที่ 8 ได้ ก็มีโทษสมควรตายทั้งหมด
แต่ในคำพิพากษาของศาลฎีกา ได้พิพากษาว่า มหาดเล็ก 2 คนคือนายชิด กับ นายบุศย์ ที่ทำหน้าที่อยู่หน้าห้องพระบรรทมในวันเกิดเหตุมีความผิด เนื่องจากทั้งสองคนไม่สามารถบอกได้ว่า มีใครเข้าไปปลงพระชนม์ในหลวง ดังนั้นจึงถือว่า ทั้งสองคนจึงมีความผิดชัดเจนในข้อหาสมรู้ร่วมคิดลอบปลงพระชนม์ในหลวง ร.8
ส่วนอีกคนที่สำคัญมากในคดีนี้ คือ นายเฉลียว
ขอเชิญคุณผู้อ่านไปหาอ่านเอาเองโดยละเอียดเถิด ตามลิงค์คำพิพากษาศาลฎีกาด้านล่างนี้ แล้วคุณจะรู้ว่า นายเฉลียว คนนี้เลวสุด ๆ ทำตัวไม่เคารพพระเกียรติรัชกาลที่ 8 มีการแสดงออกกระด้างกระเดื่องต่อรัชกาลที่ 8 อยู่หลายครั้ง จนรัชกาลที่ 8 ทรงต้องขอให้นายปรีดีปลดนายเฉลียวออกจากตำแหน่งราชเลขานุการส่วนพระองค์
นายเฉลียวจึงโกรธแค้นรัชกาลที่ 8 มากจนถึงกับต้องวางแผนลอบปลงพระชนม์ โดยมีนายชิดร่วมสมรู้ร่วมคิด โดยเพราะนายชิด เองก็มีการแสดงออกถึงการหมิ่นพระเกียรติรัชกาลที่ 8 อยู่เนือง ๆ
อ้อ ส่วนมือปืนที่ยิงรัชกาลที่ 8 เป็นที่สงสัยว่าคือ เรือเอกวัชรชัย แต่หลักฐานยังก้าวไปไม่ถึง แล้วระหว่างการดำเนินคดี รอ.วัชรชัย ก็หนีหายสาบสูญไป
รายละเอียดคดีนี้ คลิกอ่าน คำพิพากษาศาลฎีกา คดีประหารชีวิตมหาดเล็กหน้าห้องพระบรรทม 2 คน กับ ผู้วางแผนสมรู้ร่วมคิดอีก 1 คน
--------------------
ความขัดแย้งระหว่างปรีดี กับ จอมพล ป.
ปรีดี ไม่ได้อยู่เบื้องหลังลอบปลงพระชนม์แน่นอน อันนี้ผมมั่นใจ แต่ที่ปรีดีโดนสงสัยมาก เหตุเพราะนายเฉลียว นักโทษ 1 ใน 3 รายที่ถูกประหารในคดีลอบปลงพระชนม์รัชกาลที่ 8 เคยเป็นคนสนิทของปรีดี
แล้วใครล่ะที่แค้นปรีดี มากจนวางแผนปลงพระชนม์ เพื่อใส่ร้ายปรีดี
คำตอบที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุด คือ จอมพล ป.พิบูลย์สงคราม ซึ่งก็เป็น 1 ในคณะราษฎรที่ร่วมเปลี่ยนแปลงการปกครองเหมือนนายปรีดีเช่นกัน แต่จอมพลป. ก็มีแค้นฝังหุ่นกันหลายเรื่องหลายประเด็นกับนายปรีดี
ทั้งที่ นายปรีดี พนมยงค์ ได้เคยช่วยเหลือให้ จอมพล ป. ไม่ต้องถูกดำเนินคดีในฐานะอาชญากรสงคราม ที่นำพาประเทศไทยไปอยู่กับฝ่ายจักรวรรดิญี่ปุ่น ในสงครามโลกครั้งที่ 2 แม้กระนั้นก็ตาม จอมพล ป.ก็เหมือนจะยังตามแค้นนายปรีดี ไม่เลิกรา
ความขัดแย้งระหว่างนายปรีดี กับ จอมพล ป.อาทิ เช่น
เรื่องแรก กรณีที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น เมื่อนำพระราชบัญญัติหรือพระบรมราชโองการใดก็แล้วแต่ เสนอผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เพื่อลงพระนามและลงนามในพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จอมพล ป.พิบูลสงคราม จะลงนามในฐานะนายกรัฐมนตรี ผู้รับสนองพระบรมราชโองการไปเป็นการล่วงหน้า เป็นการบีบบังคับให้ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ต้องลงนามในพระราชบัญญัติหรือพระบรมราชโองการนั้น ๆ เสมือนเป็นตรายาง อันเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
นายทวี บุณยเกตุ ในฐานะเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ซึ่งมีหน้าที่เป็นผู้นำพระราชบัญญัติขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย ได้บันทึกไว้ในหนังสือความทรงจำของท่านว่าดังนี้
"…ตามระเบียบนั้น จะเป็นพระราชบัญญัติก็ตามหรือพระบรมราชโองการใด ๆ ก็ตาม พระมหากษัตริย์หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ จะต้องทรงลงพระปรมาภิไธยหรือลงนามก่อน แล้วนายกรัฐมนตรีจึงจะเป็นผู้ลงนาม รับสนองพระบรมราชโองการในภายหลัง แต่ในสมัยที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี และมีคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์นั้น จอมพล ป.พิบูลสงคราม มักจะลงนามรับสนองพระบรมราชโองการก่อน แล้วจึงได้ให้คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ลงนาม…"
แต่ในสมัยที่ท่านปรีดีฯ เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ท่านไม่ยอมให้จอมพล ป.ฯ ทำเช่นนั้น โดยท่านอ้างว่า การกระทำของจอมพล ป.ฯ เช่นนั้นเป็นการละเมิดรัฐธรรมนูญ
เรื่องที่ 2 ก็เช่น จอมพลป. เสนอให้เลิกฐานันดรศักดิ์แบบเดิม แล้วให้ไปใช้ฐานันดรศักดิ์แบบใหม่ตามแบบฝรั่ง ซึ่งนายปรีดีไม่เห็นด้วย เพราะจอมพล ป. กำลังทำตนเสมือนตนเป็นพระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่เสียเอง
ในคดีดำที่ 4226/2521 ท่านปรีดี พนมยงค์ โจทก์ยื่นฟ้อง นายรอง ศยามานนท์ ศาสตราจารย์ทางประวัติศาสตร์ จำเลย กรณีที่ศาสตราจารย์ผู้นั้นบิดเบือนประวัติศาสตร์ หมิ่นประมาทใส่ความ ซึ่งในที่สุดจำเลยรับผิดตามฟ้องนั้น คำบรรยายฟ้องตอนหนึ่งว่า ดังนี้
"เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2484 ได้มีพระราชกฤษฎีกาแต่งตั้งให้จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด และพลโทมังกร พรหม โยธี เป็นรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด ต่อมาอีก 6 วัน คือในวันที่ 18 เดือนเดียวกันนี้ ก็ได้มีกฤษฏีกาเพิ่มเติมอีกฉบับหนึ่งว่า ให้จอมพลพิบูลฯ มีอำนาจสิทธิ์ขาดผู้เดียว ในการสั่งทหารสามเหล่าทัพ อันเป็นอำนาจพิเศษยิ่งกว่า ผู้บัญชาการทหารสูงสุดอื่น ๆ
ครั้นต่อมาในปลายเดือนพฤศจิกายนนั้นเอง คือก่อนที่ญี่ปุ่นจะรุกรานประเทศไทย ในวันที่ 8 ธันวาคม 2484 จอมพลพิบูลฯ ได้เสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ให้บัญญัติกฎหมายยกเลิกบรรดาศักดิ์ไทยเดิม โดยสถาปนา “ฐานันดรศักดิ์” (Lordshin) ตามแบบฝรั่งขึ้นใหม่ คือ ดยุค. มาควิส, เคานท์, ไวสเคานท์, บารอน ฯลฯ โดยตั้งศัพท์ใหม่ขึ้นเพื่อใช้สำหรับฐานันดรศักดิ์เจ้าศักดินาใหม่ คือ สมเด็จเจ้าพญา, ท่านเจ้าพญา, เจ้าพญา, ท่านพญา ฯลฯ ส่วนภรรยาของฐานันดรศักดินาใหญ่นั้นให้เติมคำว่า “หญิง” ไว้ข้างท้าย เช่น “สมเด็จเจ้าพญาหญิง”
แต่หลวงวิจิตรวาทการเสนอให้เรียกว่า “สมเด็จหญิง” และฐานันดรศักดินาให้มีคำว่า “แห่ง” (of) ต่อท้ายด้วยชื่อแคว้นหรือบริเวณท้องที่ เช่น สมเด็จเจ้าพญาแห่งแคว้น…, พญาแห่งเมือง… ฯลฯ ทำนองฐานันดรเจ้าศักดินายุโรป เช่น ดยุค ออฟ เบดฟอร์ด ฯลฯ ฐานันดรเจ้าศักดินาใหม่นี้ให้แก่รัฐมนตรี และข้าราชการไทย ตามลำดับตำแหน่ง เครื่องราชอิสริยาภรณ์สายสะพาย เช่น จอมพลพิบูลฯ ได้รับพระราชทางสายสะพายนพรัตน์ ก็จะได้ดำรงฐานันดรเจ้าศักดินาเป็น “สมเด็จเจ้าพญาแห่ง…”
ฐานันดรเจ้าศักดินาใหม่นั้น ทายาทสืบสันตติวงศ์ ได้เหมือนในยุโรปและญี่ปุ่น อันเป็นวิธีการซึ่งนักเรียนที่ศึกษาประวัติ นายพลนโปเลียน โบนาปาร์ด ทราบกันอยู่ว่า ท่านนายพลผู้นั้นได้ขยับขึ้นทีละก้าวทีละก้าว จากเป็นผู้บัญชาการกองทัพ แล้วเป็นกงสุลคนหนึ่งในคณะกงสุล 3 คน ที่มีอำนาจสิทธิ์ขาดปกครองประเทศฝรั่งเศส ครั้นแล้วนายพลนโปเลียน โบนาปาร์ด ก็เป็นกงสุลผู้เดียวตลอดกาล ซึ่งมีสิทธิ์ตั้งทายาทสืบตำแหน่ง
รัฐมนตรีที่เป็นผู้ก่อการฯ จำนวนหนึ่งรวมทั้งโจทก์ด้วยนั้น ได้คัดค้านจอมพลพิบูลฯ ว่าขัดต่ออุดมคติของคณะราษฎร อันเป็นเหตุให้จอมพลพิบูลฯ ไม่พอใจ ท่านจึงเสนอให้ที่ประชุมเลือกเอาสองทาง คือทางหนึ่งตกลงตาม แผนสถาปนาฐานันดรนครเจ้าศักดินาอย่างใหม่ ทางที่สองเวรคืนบรรดาศักดิ์เดิมทุกคน
รัฐมนตรีส่วนข้างมาก จึงลงมติในทางเวรคืนบรรดาศักดิ์เดิม เมื่อจอมพลพิบูลฯ แพ้เสียงข้างมาก ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีแล้ว ท่านจึงเสนอว่า เมื่อเวรคืนบรรดาศักดิ์เก่าแล้ว ผู้ใดจะใช้ชื่อและนามสกุลเดิม หรือเปลี่ยนนามสกุลตามชื่อบรรดาศักดิ์เดิมก็ได้
โจทก์ (ท่านปรีดีฯ-ผู้เขียน) กับรัฐมนตรีส่วนหนึ่งกลับใช้ชื่อและนามสกุลเดิม แต่จอมพลพิบูลฯ เปลี่ยนนามสกุลเดิมของท่านมาใช้ตามราชทินนามว่า “พิบูลสงคราม” และรัฐมนตรีบางท่านก็ใช้ชื่อเดิม โดยเอาสกุลเดิมเป็นชื่อรอง และใช้ราชทินนามเป็นนามสกุล ซึ่งเป็นต้นเหตุแห่งชื่อและนามสกุลยาว ๆ แพร่หลายจนทุกวันนี้"
ต่อกรณีดังกล่าวนี้ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา อดีตประธานคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ได้ให้การเป็นพยานในคดีอาชญากรสงคราม ที่มีจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นจำเลย มีความตอนหนึ่งรับกันกับคำฟ้องของท่านปรีดีฯ ข้างต้น ดังนี้
"ตอนที่จอมพล ป.ฯ นำให้มีการลาออกหรือให้พ้นจากบรรดาศักดิ์กันนั้น ขุนนิรันดรชัยได้มาทาบทามข้าพเจ้าว่า จะได้มีการแต่งตั้งบรรดาศักดิ์กันใหม่ เป็นสมเด็จเจ้าพญาชายบ้าง สมเด็จเจ้าพญาหญิงบ้าง และขุนนิรันดรชัยถูกแต่งตั้งให้เป็นกรรมการ โดยยึดหลักเกณฑ์ว่า ผู้ที่ได้สายสะพายนพรัตน์ จะได้เป็นสมเด็จเจ้าพญาชาย ซึ่งมีจอมพล ป.ฯ คนเดียวที่ได้สายสะพายนั้น เมื่อตั้งสมเด็จเจ้าพญาชายแล้ว เมียของผู้นั้นก็ได้เป็น สมเด็จเจ้าพญาหญิงตามไปด้วย
ข้าพเจ้ารู้สึกว่า จอมพล ป.ฯ นั้น กระทำการเพื่อจะเป็นพระเจ้าแผ่นดินเสียเอง แล้วภรรยาจอมพล ป.ฯ ก็มีความมักใหญ่ใฝ่สูงทำนองเดียวกัน เอารูปไปฉายในโรงหนัง ให้คนทำความเคารพโดยมีการบังคับ ในการทำบุญวันเกิดก็เท่าเทียมวันเฉลิมพระชนม์พรรษาของพระเจ้าแผ่นดิน เช่น มีตราไก่กางปีกประดับธงทิวทำนองเดียวกับ ตราครุฑหรือตราพระบรมนามาภิไธยย่อ และได้สร้างเก้าอี้ขึ้นทำนองเดียวกับ เก้าอี้โทรนของพระเจ้าแผ่นดิน เว้นแต่ใช้ตราไก่กางปีกแทนตราครุฑเท่านั้น…"
ที่ผมยกมานี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งในความขัดแย่งของอำนาจของจอมพลป. ที่มีนายปรีดีคอยขัดขวาง ซึ่งจอมพลป. พยายามลดพระราชอำนาจพระมหากษัตริย์ในทุกทาง จึงน่าจะวางแผนการอันแยบยลลอบปลงพระชนม์รัชกาลที่ 8 และใส่ร้ายปรีดี
เพราะคดีสวรรคต ร.8 ไม่เคยมีใครตั้งข้อสงสัยไปที่จอมพล ป. ?
และหลังจากที่จอมพล ป.มีอำนาจในภายหลังต่อมา คนที่ทำรัฐประหารรัฐบาลจอมพล ป. ลงก็คือ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ด้วยการเรียกร้องและเสียงสนับสนุนจากนักศึกษาไทยและคนไทยที่ยังจงรักภักดี ที่เห็นว่า จอมพล ป. ออกกฎหมายลิดรอนพระราชทรัพย์ของในหลวง และออกกฎหมายลดบทบาทพระมหากษัตริย์ลง ให้กษัตริย์เป็นเพียงแต่สัญลักษณ์เท่านั้น เพราะจอมพล ป. เป็นพวกไม่นิยมเจ้า
แนะนำคลิกอ่าน บทความจากโอเคเนชัน เรื่องความขัดแย้งระหว่างจอมพล ป. กับ ในหลวง
แต่พวกล้มเจ้าไม่อยากเชิดชูจอมพล ป. เพราะถ้าชูจอมพล ป. ไปก็ไม่ขึ้น เพราะจอมพล ป. แม้ไม่นิยมกษัตริย์ แต่ก็เกลียดและเป็นศัตรูกับพวกคอมมิวนิสต์ในไทย ซึ่งก็คือพวกล้มเจ้าตกยุคที่หลงเหลืออยู่ในปัจจุบัน
พวกล้มเจ้าเลือกที่ไปเกาะกระแสนายปรีดีแทน เพราะนายปรีดีคือผู้ถูกกระทำ จนต้องลี้ภัยไปต่างประเทศ ซึ่งภายหลังต่อมา คดีใส่ร้ายปรีดีเรื่องสวรรคตของรัชกาลที่ 8 นายปรีดีชนะคดีหมิ่นประมาททุกคดี
แต่ถ้าคุณผู้อ่านไปอ่านในเว็บปรีดี พูนศุข ที่ยืนยันเองว่านายปรีดีรักเจ้า หรืออ่านประวัติศาสตร์ไทยที่ผ่านมาโดยไม่ฟังความข้างเดียวจากการบอกเล่าจากฝ่ายเดียว คุณผู้อ่านจะรู้เลยว่า นายปรีดี เป็นผู้เทิดทูนกษัตริย์อย่างมาก เพราะนายปรีดีเป็นผู้ที่ไม่ยอมให้เลิกระบบกษัตริย์ไทยภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475
"การที่ผลักปรีดีให้กลายเป็นคนผิด คือการไปสนับสนุนให้พวกล้มเจ้าได้ปรีดีไปแอบอ้างใช้เป็นพวกมัน ทำให้พวกล้มเจ้ามีกำลังมากขึ้น ฉะนั้นอย่าโง่ไปช่วยพวกล้มเจ้าครับ"
หรือถ้าจะคิดให้ลึกกว่านั้น จอมพล ป. ก็อาจเป็นเหยื่อเหมือนนายปรีดีก็ได้ นั่นคือ คนที่เกลียดทั้งนายปรีดี และจอมพล ป. เป็นคนวางแผน ด้วยทฤษฎีเสี้ยมคนที่มีอำนาจมากที่สุดให้ชนกัน เพื่อสุดท้ายพังทั้งคู่
แต่คนวางแผนเสี้ยมให้คนที่มีอำนาจมากที่สุดหันมาห่ำหั่นกันเองนี้ไม่ยอมเผยตัวออกมา อาจเป็นคนไทยเอง หรืออาจเป็นยิ่งกว่านั้นคือ แผนของต่างชาติก็ได้
ส่วนจอมพล ป. ต่อมาหลังจากที่ได้ลี้ภัยการเมืองไปอยู่ญี่ปุ่นแล้ว ก็ได้เขียนจดหมายมาขอโทษนายปรีดี เรื่องที่เคยใส่ร้ายนายปรีดี ในคดีรัชกาลที่ 8
ศัตรูของปรีดี มี 4 กลุ่ม คือ
1. กลุ่มนายทหารบางกลุ่ม เพราะปรีดีพยายามสร้างประชาธิปไตยที่ห้ามทหารมีอำนาจทางการเมือง
2. นักการเมืองบางกลุ่ม
3. พวกที่ไม่นิยมกษัตริย์ ที่หวังเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ให้เป็นสาธารณรัฐแต่ไม่สำเร็จ
4. กลุ่มเจ้าที่สนับสนุนการครองราชย์อีกสายที่ไม่ใช่ราชสกุลมหิดล
ถ้าใครไม่ค่อยรู้ประวัติและเส้นทางการเมืองอันโชกโชนของ จอมพล ป. ไปอ่านตามลิงค์นี้
คลิกอ่านประวัติ จอมพล ป. นายกรัฐมนตรีจอมเผด็จการที่ครองอำนาจยาวนานที่สุด
แต่ผลของการลอบปลงพระชนม์ ร.8 ต่อมา ก็ได้มีพวกล้มเจ้าและพรรคคอมมิวนิสต์ไทย พยายามฉวยโอกาสเอาคดีนี้มาสานต่อเพื่อใส่ร้ายในหลวงรัชกาลที่ 9 ของเรา เจตนาเพื่อหวังให้ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงไปเป็นระบอบการปกครองอื่นที่ไม่มีพระมหากษัตริย์อีกต่อไป ว่าแต่ระบอบไหนล่ะ ?
ถ้าเมื่อก่อนก็ต้องหมายถึง ระบอบคอมมิวนิสต์ แต่วันนี้คอมมิวนิสต์ไม่ใช่ภัยร้ายแรงแล้ว ระบบสาธารณรัฐต่างหากที่พวกชั่วคอมมิวนิสต์กลายพันธุ์นี้ต้องการ !!
ฉะนั้น คดีนี้ไม่เกี่ยวกับในหลวงของเราแน่นอน พระองค์ก็ทรงเป็นเหยื่อในการใส่ร้ายของพวกไม่หวังดีต่อชาติเช่นกัน
ฟังในหลวงตรัสถึงคดีรัชกาลที่ 8
เพราะในหลวงทรงเอ่ยถึงว่า มีการเมืองมายุ่งเกี่ยว บทความนี้ผมถึงเขียนถึงปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองของ จอมพลป. กับ ปรีดี
ถ้าใครเคยดูหนังบางเรื่องที่เกี่ยวกับพระนางมารีอ็องตัวเน็ต ของฝรั่งเศส จะรู้เลยว่า พระนางมารี ก็เป็นเหยื่อที่ถูกพวกล้มเจ้าใส่ร้าย เพื่อใช้เธอเป็นชนวนจุดความเกลียดชังราชวงศ์ฝรั่งศส เพื่อให้คนฝรั่งเศสเกลียดระบบกษัตริย์
ส่วนพวกอำมาตย์หรือขุนนางฝรั่งเศสที่โกงกินประเทศและทำลายประเทศตัวจริงกลับไม่เดือดร้อนเท่าไหร่นัก เพราะสุดท้ายพวกอำมาตย์ขุนนางในฝรั่งเศส ก็กลับไปเป็นใหญ่ภายใต้ระบอบสาธารณรัฐได้อยู่ดี
คลิกอ่าน เนื้อหาบางส่วนจาก สถาบันปรีดี-พูนศุข ไปอ่านตามลิงค์นี้เถอะ แล้วคุณจะรู้ว่า นายปรีดีปกป้องสถาบันกษัตริย์ และในหลวงทั้งสองพระองค์อย่างไร
แก้คำผิด "สืบราชสันตติวงศ์"
แต่ถ้าศึกษาข้อกฎหมายดี ๆ หม่อมเจ้าอานันทมหิดล ทรงเป็นตัวเลือกอันดับแรกที่สมควรเป็นกษัตริย์อยู่แล้ว เพียงแต่ว่า นายปรีดี พยายามอภิปรายให้คณะพิจารณาเข้าใจในกฎมณเฑียรบาลอย่างถูกต้องตรงกัน
-----------------------
จริง ๆ แล้ว นายปรีดี คือผู้สนับสนุนให้รัชาลที่ 8 ขึ้นครองราชย์ รวมทั้งรัชกาลที่ 9 ด้วยเช่นกัน อีกทั้งรัชกาลที่ 8 มีพระบรมราชโองการแต่งตั้งให้นายปรีดี เป็นรัฐบุรุษของชาติอีกด้วย
รัชกาลที่ 8 ถูกลอบปลงพระชนม์ในช่วงที่นายปรีดีเป็นนายกรัฐมนตรีพอดี เมื่อมองด้วยสามัญสำนึก คุณว่าจะมีนายกรัฐมนตรีคนไหนอยากให้เกิดเรื่องเลวร้ายในสมัยที่ตนดำรงตำแหน่งบ้าง ??
ฉะนั้นประเด็นเรื่องการลอบปลงพระชมน์ จริง ๆ แล้วซับซ้อนว่าใครอยู่เบื้องหลังที่แท้จริงกันแน่ แต่ที่แน่ ๆ ผมมั่นใจว่า นายปรีดีไม่ใช่ผู้อยู่เบื้องหลัง
ส่วนจอมพล ป.จะอยู่เบื้องหลังจริงหรือไม่ อันนี้ผมยังไม่มั่นใจนัก
(เพราะเรื่องบางอย่าง เราไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ ประกอบกับผมดูหนังสืบสวนลึกลับมาเยอะ การวางแผนซ้อนแผนและการใส่ร้าย มันยากที่คาดเดามีอยู่มาก)
เพราะตอนนั้นประเทศไทยมีกลุ่มการเมืองมากมายหลายกลุ่มที่แย่งชิงอำนาจ รวมทั้งหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็มีกลุ่มมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา และรัสเซียในสงครามเย็น ที่กำลังเผยแพร่ระบอบคอมมิวนิสต์เข้ามาในเอเซียอย่างมาก
แปลความง่าย ๆ ว่า ลัทธิทุนนิยม กับลัทธิคอมมิวนิสต์กำลังแผ่ขยายเข้ามาในไทย ประเทศไทยเหลือรอดจากการแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 และรอดจากการถูกเป็นเมืองขึ้นมหาอำนาจตะวันตก จนสถาบันพระมหากษัตริย์ยังอยู่รอดมาจนวันนี้
ถ้าเอาตามหลักการทั่วไป พรรคคอมมิวนิสต์สายรัสเซียเวียดนาม มีความต้องการล้มสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยแน่นอน
ส่วนการหยิบยกเรื่องคดีรัชกาลที่ 8 มามโนปั้นน้ำเป็นตัวต่อของพวกล้มเจ้าที่ส่วนใหญ่คือพวกคอมมิวนิสต์อกหักซ้ายตกขอบ ที่แพ้แก่ความเมตตาของรัฐบาลพลเอกเปรม พวกนี้ถึงได้เกลียดพลเอกเปรมมาก เพราะพลเอกเปรมได้รับสนองพระราชประสงค์ของในหลวง ให้ทำนโยบายเมตตาแก่คนไทยที่หลงผิดกลับใจใหม่อีกครั้ง และนี่คือที่มาของนโยบาย 66/23 ให้สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยทุกคนได้กลับใจมาเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยภายใต้พระบรมโพธิสมภาร
ส่วนพวกล้มเจ้าสายคอมมิวนิสต์ นำโดยนายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ คือหัวเรือใหญ่ ผู้ซึ่งเคยได้รับการพระราชทานอภัยโทษให้รอดพ้นจากโทษประหารชีวิต มาแล้ว
แต่นายสุรชัย แซ่ด่าน มันก็กลับไม่สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ มันยังคิดอกตัญญูในหลวงต่อไป ก็เพื่อหวังผลล้มสถาบันกษัตริย์ให้ได้ ซึ่งพวกคอมมิวนิสต์ไทยที่พ่ายแพ้นี่แหละ ที่พยายามจะใช้เรื่องคดีรัชกาลที่ 8 เพื่อโจมตีสถาบันต่อไป แล้วก็มีพวกโง่หลงเชื่อมากเสียด้วยสิ
ล่าสุดเมื่อปี 2556 นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ ที่เพิ่งได้รับพระราชทานอภัยโทษออกจากคุกอีกครั้งในคดีความผิดตามมาตรา 112 มันได้ออกมาคุยโวว่า อยู่ในคุกสบายมาก แถมทักษิณยังส่งเงินให้ใช้เดือนละ 3 พัน
โถ ๆ ไอ้ด่าน ทำเป็นเรียกร้องความเท่าเทียมกัน แต่พอมึงอยู่ในคุกกลับพอใจที่ได้รับการดูแลเป็นพิเศษกว่านักโทษคนอื่น ๆ ถุย !! ทั้งที่จริงทักษิณให้เดือนละ 5 พัน แต่มึงโดนแกนนำแดงอมไปว่ะ 555
คลิกอ่านข่าว สุรชัย ด่าน โวทักษิณให้เงินใช้เดือนละ 3 พัน
คนอย่างไอ้สุรชัย แซ่ด่าน มันเคยทำประโยชน์อะไรให้ประเทศชาติบ้าง วัน ๆ ก็ได้แต่คิดคดกุเรื่องให้คนไทยแตกแยกไปวัน ๆ ใครเชื่อไอ้ด่าน ก็โง่แท้แล้ว
แม้แต่นักการเมืองที่ว่าเลว ๆ โกงชาติก็ยังทำประโยชน์ให้ชาติบ้าง แต่คนอย่างไอ้สุรชัย แซ่ด่านเนี่ย หมาจรจัดตามถนนยังมีค่าบนแผ่นดินไทยมากกว่าชีวิตมันเสียอีก
เพราะคนที่อกตัญญูผู้ให้มันมีชีวิตอยู่จนวันนี้ มันยังเนรคุณได้ จัญไรจริง ๆ
------------------
ข่าวลือที่มีมานาน ปฐมเหตุลอบปลงพระชนม์ ร.8
ข่าวลือนี้ผมได้ยินตั้งแต่เด็ก ผู้ใหญ่เล่าต่อ ๆ กันมา ซึ่งไม่ได้มีหลักฐานอะไรอ้างอิง เพราะเป็นเพียงคำบอกเล่าของผู้คน
ข่าวลือที่ว่านั้น ก็คือ รัชกาลที่ 8 ทรงเรียนทางด้านนิติศาสตร์ ทรงมีความปรารถนาว่าหากพระองค์ทรงเรียนจบปริญญาเอกแล้ว ก็ทรงอยากจะสละราชบัลลังค์ให้พระอนุชา เพื่อพระองค์จะเข้าสู่สนามการเมืองเพราะทรงอยากเป็นนายกรัฐมนตรี (เรื่องเล่าลือเช่นนี้ มีกล่าวถึงในคำให้การในเอกสารคำพิพากษาศาลฏีกาคดีลอบปลงพระชนม์ ไปหาอ่านเองตามที่ลิงค์ให้ไว้ข้างต้นครับ)
พวกที่คิดปองร้ายในหลวง ร.8 อาจคาดการณ์ล่วงหน้าไว้ว่า ถ้าในหลวงลงเลือกตั้ง ประชาชนก็ต้องแห่กันเลือกพรรคการเมืองของในหลวงแน่ ๆ ดังนั้นพวกที่มีอำนาจทางการเมืองในยุคนั้น จึงต้องตัดไฟเสียแต่ต้นลม
ข่าวลือเรื่องที่สองคึอ รัชกาลที่ 8 ทรงมีคู่รักเป็นผู้หญิงชาวยุโรป ซึ่งมีพวกคัดค้านแบบหัวโบราณในยุคนั้น ยอมรับไม่ได้กรณีหากรัชกาลที่ 8 ทรงอภิเษกกับผู้หญิงฝรั่งจริง ๆ แล้วประเทศไทยจะต้องมีพระราชินีเป็นคนต่างชาติ
(ตามกฎมณเฑียรบาล ก่อนการขึ้นครองราชย์ ผู้ที่จะขึ้นครองราชย์ต้องไม่เคยแต่งงานกับชาวต่างประเทศ)
ดังนั้นจึงมีพวกหัวโบราณที่ยอมรับในเรื่องนี้ไม่ได้เลย จึงคิดปลงพระชนม์รัชกาลที่ 8
---------------
ประเทศไทยเรามีสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ดีที่สุด ในชัยภูมิอันเหมาะสมในการอยู่ของมนุษย์ที่สุด อุดมสมบูรณ์ที่สุด
แต่ที่ไทยเราไม่เจริญ เพราะคนไทยไปหลงเชื่อนักการเมืองขี้โกงและมีคนไทยอักพวกไปหลงเชื่อไอ้พวกล้มเจ้า นี่แหละครับ
นักการเมืองโกงกินร่วมมือกับนายทุนเอาเปรียบคนไทย ออกกฎหมายที่พวกนายทุนได้ประโยชน์ แล้วนักการเมืองมันก็โยนความผิดแห่งความยากจนของคนไทยไปที่เรื่องชนชั้น ด้วยการใช้วาทกรรมคำว่า อำมาตย์ หรือพวกเผด็จการแทน เพื่อพวกมันจะได้รอดพ้นจาการถูกคนไทยเกลียด
แล้วพวกนักการเมืองเลว ๆ มันก็เอาคำว่าประชาธิปไตยและการเลือกตั้งมาสวมทับเพื่อบดบังความชั่วของพวกมัน
ส่วนคนไทยโง่ ๆ ที่ยากจนก็โดนหลอกให้ไปโทษอำมาตย์แทน
แล้วพวกล้มเจ้าก็มาเกาะกระแสนักการเมืองที่เป็นนายทุนใหญ่เลว ๆ ที่ใช้อำนาจหาผลประโยชน์เข้าพวกพ้อง
คงไม่ต้องบอกหรอกนะว่า นายทุนใหญ่นักการเมืองคนนั้นเป็นใคร เพราะมันคือคนที่คุณก็รู้ว่าใคร
แล้วไอ้พวกล้มเจ้าก็รีบฉวยโอกาสมาเป็นเห็บเป็นหมัด กระโดดเกาะนายทุนใหญ่การเมืองคนนั้นทันที เพื่อเกาะกระแสประชาธิปไตยของนายทุนใหญ่ หวังใช้ล้มสถาบันกษัตริย์ โดยพวกมันก็แอบอ้างคำว่าประชาธิปไตย มาบังหน้าเช่นกัน
v
v
ปริศนาทิ้งท้าย ถ้าคนร้ายที่ลอบปลงพระชมน์ ร. 8 ไม่ได้เข้ามาทางประตูหน้าห้องพระบรรทม แต่เข้ามาทางหน้าต่างแทนล่ะ ??
ในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สายลับฝีมือระดับพระกาฬมีมากมายในหลายประเทศ ที่เก่งจนเหลือเชื่อ จนคนไทยยุคนั้นยังนึกไม่ถึง แถมระบบรักษาความปลอดภัยของไทยในตอนนั้น จัดว่า ล้าหลังอยู่มาก
ทางฝ่ายจอมพล ป. ก็จะสนิทสนมกับฝ่ายญี่ปุ่น ส่วนฝ่ายปรีดี ก็สนิทสนมกับทางสหรัฐอเมริกา ซึ่งทั้งสองชาติมีจารชนระดับโลกแล้วในยุคสงครามโลก
การที่นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล คิดแต่ในกรอบว่า คนร้ายต้องอยู่บนตัวตึกและเข้ามาจากทางหน้าห้องพระบรรทมเท่านั้น จึงเป็นการคิดที่คับแคบและยึดติดในกรอบความคิดที่ล้าหลังมาก ๆ
ขอยกตัวอย่างปิดท้าย คือกรณีคดีนายห้างทอง ธรรมวัฒนะ แม้วิทยาศาสตร์ทางการแพทย์และการชันสูตรพลิกศพจะเจริญก้าวหน้ากว่าในยุคสมัย ร.8 มามากแล้ว แต่ผลการชันสูตรศพนายห้างทอง ยังเกิดข้อโต้แย้งทางการแพทย์มาจนวันนี้ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่า ศาลจะเลือกเชื่อข้อมูลฝ่ายไหน
ดังนั้นกรณีการสวรรคตรัชกาลที่ 8 ก็ยังมีหลายคนในยุคนั้นและหลายคนในยุคนี้ เชื่อว่า หรือบางทีอาจเป็นอุบัติเหตุ ที่วงการแพทย์สมัยนั้นยังก้าวไปไม่ถึง
---------------------
แถมความเห็นบุคคลสำคัญ ต่อนายปรีดี พยนมยงค์
"ข้าพเจ้าเชื่อว่าชีวิตของคนทุกคนย่อมจะต้องเป็นไปตามแนวแห่งกรรมประจำตัว จะไม่มีผู้ใดที่จะเลี่ยงพ้นจากกรรมได้ ดังนี้ดวงของท่าน (ปรีดี) ที่ได้พุ่งขึ้นสูงส่งอย่างน่าประหลาด คือท่านเป็นศาสตราจารย์ที่ยิ่งใหญ่ เป็นรัฐมนตรีมาแทบทุกยุคทุกสมัย ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ได้เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน และยังมีชื่อเสียงไปทั่วโลกว่าเป็นผู้สามารถธำรงเกียรติศักดิ์ของชาติไทยไว้ได้ ครั้นแล้วชะตาชีวิตของท่านอาจารย์ปรีดีก็พลันกลับทำให้ท่านต้องตกต่ำลงมาจนถึงขั้นต่ำสุด ตลอดจนชะตาของท่านอาจารย์ปรีดีก็โหดร้ายต่อตัวท่าน ต่อลูกเมียท่านนานาประการ ถึงขนาดที่เกือบจะต้องตกเป็นคนไทยที่ไม่มีสิทธิ์ในแผ่นดินไทยซึ่งเป็นบ้านเมืองที่รักของท่าน
ข้าพเจ้าเคยกล่าวอยู่เสมอว่า ชะตาหรือดวงของคนคนหนึ่งนั้นอาจจะไปสัมพันธ์กับชะตาชีวิตของคน อีกหลายสิบล้านแม้แต่ดวงของประเทศ และถ้าพิจารณากันให้ละเอียดแล้วจะเห็นได้ชัดว่า ดวงของท่านอาจารย์ปรีดีเป็นเช่นนั้น เพราะว่าชะตาหรือดวงของท่านนั้น มิใช่จะทำให้แต่ตัวท่าน ต้องตกระกำลำบาก และเป็นผู้ที่สูญเสียแต่เพียงผู้เดียว แต่ยังทำให้คนไทยอีกหลายสิบล้านคน ที่ต้องพลอยถูกกระทบกระเทือนและสูญเสียไปด้วย... และต้องเสียไปอย่างที่จะไม่มีทางกลับคืนมาได้อีกแล้ว" พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล
"ตามที่ผมไปเห็นในหลวงและสมเด็จพระราชชนนีมาแล้วในคราวนี้ ผมกล้าบอกได้อย่างแน่นอนว่าท่านมิได้เชื่อว่าคุณหลวงฯ (ปรีดี) เป็นผู้ฆ่าในหลวงดังที่เขาลือกันเลย พูดตามจริงแล้วบรรดาสิ่งต่างๆ ที่ผมเคยคุยกับสมเด็จพระราชชนนีไว้ที่กรุงเทพฯ ในเรื่องที่เกี่ยวกับพวก Royalists ว่าวิธีการปฏิบัติของเขามิได้แสดงเลยว่าเขาเป็น Royalist กล่าวคือถ้าเขาเป็น Royalists จริงแล้ว เขาย่อมจะต้องไม่เอาพระนามในหลวงไปใช้เป็นประโยชน์ของเขาในทางการเมือง ดังที่ปรากฏมาแล้วอันล้วนแต่เป็นการเสื่อมเสียต่อในหลวงทั้งสิ้น" หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท สวัสดิวัตน์ พระเชษฐาของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี สมเด็จพระราชินีในรัชกาลที่ 7
"ถ้าคิดว่าท่านอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ เป็นปฏิปักษ์ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์แล้ว จะมองไม่เห็นความดีของอาจารย์ปรีดี ซึ่งมีเป็นอเนกประการ ถ้ารู้ความจริงว่าอาจารย์ปรีดีเป็นผู้พยายามพิทักษ์สถาบันพระมหากษัตริย์ จะเห็นคุณูปการอันยิ่งใหญ่ต่อสังคมไทยของท่านอาจารย์ปรีดี พนมยงค์" ศ.นพ. ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส
"ในความรู้สึกของอาตมา ท่านรัฐบุรุษอาวุโสเป็นผู้สนใจในพระพุทธศาสนา ในการปรับปรุงพระพุทธศาสนาให้ทันสมัย ท่านพอใจในกิจการของสวนโมกข์ จนถึงกับได้ขอร้องให้อาตมามาแสวงหาที่เพื่อจะจัดสวนโมกข์ขึ้นในจังหวัดอยุธยา...สำหรับอาตมาได้รับคำขอร้องจากท่านผู้นี้ให้ทำทุกอย่างเพื่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่ทันสมัย อาตมาก็ได้สนองความประสงค์อันนี้ พยายามทำหนังสือหนังหาทุกแง่ทุกมุมที่จะสนองความประสงค์อันนั้นเท่าที่เห็น ๆ กันอยู่แล้วในบัดนี้" ท่านพุทธทาสภิกขุ
"โดยกาลเวลาแห่งยุคสมัย นายปรีดี พนมยงค์ นับว่าห่างไกลจากอาตมาภาพ เนื่องจากท่านเป็นคนรุ่นก่อนบิดามารดาเล็กน้อย จะว่าโดยวิถีชีวิต ท่านก็ห่างไกลกับอาตมภาพในแง่ที่ว่า ท่านอยู่ในวงการเมือง แต่อาตมภาพเป็นพระภิกษุอยู่ทางด้านพระศาสนา แต่แม้ห่างไกลอย่างนั้น ก็มีจุดที่ท่านรัฐบุรุษอาวุโสกับอาตมภาพมาบรรจบกัน จุดนั้นก็คือ “ธรรม” พระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต)
"เพราะผมศรัทธาในท่านพระพรหมคุณาภรณ์ที่สุด ผมจึงเชื่อว่า นายปรีดี พนมยงค์ เป็นผู้มีธรรมะ จึงไม่ใช่ผู้ที่คิดล้มล้างระบบกษัตริย์แน่นอน เพราะพวกคิดล้มล้างระบบกษัตริย์จะไม่มีธรรมะในใจ แม้กระทั่งการตั้งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็มีที่มาจากคำว่า ธรรมะ + ศาสตร์" ใหม่เมืองเอก
สุดท้ายผมขอฝากกว่า นายปรีดี พนมยงค์ เป็นคนรักเจ้า แต่ถูกการเมืองในยุคนั้นที่ทรยศหักหลังกันเอง ใส่ร้ายให้ต้องลี้ภัยออกต่างประเทศ
เว็บไซค์ของปรีดี พูนศุข ยืนยันว่า นายปรีดี รักสถาบันพระมหากษัตริย์ การที่มีคนบางกลุ่มพยายามผลักนายปรีดีให้กลายเป็นคนผิด ก็เท่ากับไปสนับสนุนให้พวกล้มเจ้าที่อาศัยเกาะกระแสนายปรีดีแข็งแรงขึ้นแทน
อย่าผลักไสคนดีไปเข้าทางพวกชั่วครับ
คณะราษฎร์นั้นมีมากมายหลายคน แต่ตอนนี้มีความพยายามผลักความผิดของคณะราษฎรไปที่นายปรีดีเพียงคนเดียว
หมายเหตุ ช่วงเดือนธันวาคม 2557 ผมเห็นเฟสบุ๊ก Somsak Jeamteerasakul เถียงกับ เพจคณะร่าน เรื่องคดีรัชกาลที่ 8 ซึ่งผมชอบนะ ที่สองฝ่ายนี้มาถกเถียงกันเรื่องนี้ ซึ่งผมก็ไม่ได้ให้ความสำคัญในเนื้อหาของทั้งสองฝ่ายเท่าใดนัก
แต่ผมเห็นดีว่า การถกเถียงของ 2 ฝ่าย ก็เหมือนฝ่ายลบ มาปะทะฝ่ายบวก สุดท้ายกลายเป็นศูนย์
คลิกอ่าน ไม่ธรรมดา กว่าพระองค์เจ้าอานันทมหิดลจะได้ขึ้นเป็นรัชกาลที่ 8
คลิกอ่าน มาตรา 112 ที่รัก
คลิกอ่าน พระพรหมคุณาภรณ์ ประยุทธ ปยุตโต เขียนถึงรัฐบุรุษปรีดี